ไปหน้าแรก

เป็นพราหมณ์เพราะกรรม

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 405

[๗๐๖] ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว วาเสฏฐมาณพได้ทูลถามพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าด้วยคาถาทั้งหลายว่า

ข้าพระองค์ทั้งสองเป็นผู้ทรงไตรเพท

อันอาจารย์อนุญาตแล้ว และปฏิญาณได้

เองว่า เป็นผู้ได้ศึกษาแล้ว ข้าพระองค์

เป็นศิษย์ท่านโปกขรสาติพราหมณ์มาณพ

ผู้นี้เป็นศิษย์ท่านตารุกพราหมณ์ ข้า-

พระองค์ทั้งสองเป็นผู้รู้จบในบทที่พราหมณ์

ผู้ทรงไตรเพทบอกแล้ว ข้าพระองค์ทั้งสอง

เป็นผู้มีข้อพยากรณ์แม่ยำตามบท เซ่น

เดียวกับอาจารย์ในสถานกล่าวมนต์ ข้าแต่

พระโคดม ข้าพระองค์ทั้งสองมีการโต้เถียง

กันในการกล่าวถึงชาติ คือ ภารทวาชมาณพ

กล่าวว่า บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์เพราะ

ชาติ ส่วนข้าพระองค์กล่าวว่า บุคคลชื่อว่า

เป็นพราหมณ์เพราะกรรม พระองค์ผู้มี

จักษุขอจงทรงทราบอย่างนี้ ข้าพระองค์

ทั้งสองนั้นไม่อาจจะให้กันและกันยินยอม

ได้ จึงได้มาเฝ้าเพื่อทูลถามพระผู้มีพระ-

ภาคสัมพุทธเจ้า ผู้ปรากฏด้วยอาการฉะนี้

ชนทั้งหลายเมื่อจะเข้าไปประณมมือถวาย

บังคม ก็จักถวายพระโคดมได้ทั่วโลก

เหมือนพระจันทร์เต็มดวง ฉะนั้น ข้า-

พระองค์ขอทูลถามพระโคดมผู้เป็นดวง

จักษุ อุบัติขึ้นในโลกว่า บุคคลชื่อว่าเป็น

พราหมณ์เพราะชาติ หรือว่าเป็นเพราะ

กรรม ขอจงตรัสบอกแก่ข้าพระองค์

ทั้งสองผู้ไม่ทราบ ตามที่จะทราบบุคคลผู้

เป็นพราหมณ์นั้นเถิด.

[๗๐๗] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่า

ดูก่อนวาเสฏฐะ เราจักพยากรณ์

การจำแนกชาติ ของสัตว์ทั้งทลาย ตาม

ลำดับ ตามสมควรแก่ท่านทั้งสองนั้น

เพราะมันมีชาติเป็นคนละอย่าง ๆ ท่านจงรู้

จักแม้ติณชาติและรุกขชาติ แม้จะปฏิญาณ

ตนไม่ได้ เพศของติณชาติและรุกขชาติ

นั้นก็สำเร็จด้วยชาติ เพราะมันมีชาติเป็น

คนละอย่าง ๆ แต่นั้นท่านจงรู้จักตั๊กแตน

ผีเสื้อ ตลอดถึงมดดำและมดแดง เพศของ

สัตว์เหล่านั้นก็สำเร็จด้วยชาติ เพราะมันมี

ชาติเป็นคนละอย่าง ๆ อนึ่ง ท่านทั้งหลาย

จงรู้จักสัตว์สี่เท้า ทั้งเล็กทั้งใหญ่ เพศ

ของมันก็สำเร็จด้วยชาติ เพราะมันมีชาติ

เป็นคนละอย่าง ๆ อนึ่ง จงรู้จักสัตว์

มีท้องเป็นเท้า สัตว์ไปด้วยอก สัตว์มี

หลังยาว เพศของมันก็สำเร็จด้วยชาติ

เพราะมันมีชาติเป็นคนละอย่าง ๆ แต่นั้น

จงรู้จักปลา สัตว์เกิดในน้ำ สัตว์เที่ยวหากิน

ในน้ำ เพศของมันก็สำเร็จด้วยชาติ เพราะ

มันมีชาติเป็นคนละอย่าง ๆ แต่นั้นจงรู้จัก

นก สัตว์ไปได้ด้วยปีก สัตว์ที่ไปในอากาศ

เพศของมันก็สำเร็จด้วยชาติ เพราะมันมี

ชาติเป็นคนละอย่าง ๆ เพศอันสำเร็จด้วย

ชาติมีมากมาย ในชาติ ( สัตว์ ) เหล่านี้

ฉันใด เพศในมนุษย์ทั้งหลายอันสำเร็จ

ด้วยชาติมากมาย ฉันนั้น หามิได้ คือ

ไม่ใช่ด้วยผม ด้วยศีรษะ ด้วยหู ด้วย

นัยน์ตา ด้วยหน้า ด้วยจมูก ด้วยริมฝีปาก

ด้วยคิ้ว ด้วยคอ ด้วยบ่า ด้วยท้อง ด้วยหลัง

ด้วยตะโพก ด้วยอก ในที่แคบ ในที่

เมถุน ด้วยมือ ด้วยเท้า ด้วยนิ้ว ด้วยเล็บ

ด้วยแข้ง ด้วยขา ด้วยวรรณะ ด้วยเสียง

(หามิได้) เพศอันสำเร็จด้วยชาติ (ของ

มนุษย์) ย่อมไม่เหมือนในชาติ (ของสัตว์)

เหล่าอื่น สิ่งเฉพาะตัวในสรีระ (ในชาติ

ของสัตว์อื่น) นั้น ของมนุษย์ไม่มี ก็ใน

หมู่มนุษย์ เขาเรียกต่างกันตามชื่อ ดูก่อน

วาเสฏฐะ ก็ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดอาศัยการ

รักษาโคเลี้ยงชีวิต ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า

ผู้นั้นเป็นชาวนา ไม่ใช่พราหมณ์ ดูก่อน

วาเสฏฐะ อนึ่ง ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดเลี้ยง

ชีวิตด้วยศิลปะมากอย่าง ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า

ผู้นั้นเป็นศิลปิน ไม่ใช่พราหมณ์ ดูก่อน

วาเสฏฐะ อนึ่ง ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดเลี้ยง

ชีวิตด้วยการรับใช้ผู้อื่น ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า

ผู้นั้นเป็นรับใช้ ไม่ใช่พราหมณ์ ดูก่อน

วาเสฏฐะ อนึ่ง ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดอาศัย

ของที่เขาไม่ให้เลี้ยงชีวิต ท่านจงรู้อย่างนี้

ว่า ผู้นี้เป็นโจร ไม่ใช่พราหมณ์ ดูก่อน

วาเสฏฐะ อนึ่ง ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดอาศัย

ศาสตราวุธเลี้ยงชีวิต ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า

ผู้นั้นเป็นทหาร ไม่ใช่พวกพราหมณ์ ดูก่อน

วาเสฏฐะ อนึ่ง ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดเลี้ยง

ชีวิตด้วยการงานของปุโรหิต ท่านจงรู้

อย่างนี้ว่า ผู้นั้นเป็นเจ้าหน้าที่การบูชา

ไม่ใช่พราหมณ์ ดูก่อนวาเสฏฐะ อนึ่ง

ในหมู่มนุษย์ ผู้ใดปกครองบ้านและเมือง

ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ผู้นี้เป็นพระราชาไม่ใช่

พราหมณ์ และเราก็ไม่เรียกบุคคลผู้เกิดใน

กำเนิดไหน ๆ หรือเกิดจากมารดา (เช่น

ใด ๆ ) ว่าเป็นพราหมณ์ บุคคลถึงจะ

เรียกกันว่า ท่านผู้เจริญ ผู้นั้นก็ยังเป็นผู้มี

กิเลสเครื่องกังวลอยู่นั่นเอง เราเรียกบุคคล

ผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ผู้ไม่ยึดมั่นนั้นว่า

เป็นพราหมณ์ ผู้ใดแลตัดสังโยชน์ทั้งปวง

ได้แล้วไม่สะดุ้ง เราเรียกผู้นั้นผู้ล่วงกิเลส

เครื่องข้อง ไม่ประกอบด้วยสรรพกิเลส

ว่าเป็นพราหมณ์ เราเรียกบุคคลผู้ตัด

อุปนาหะดังชะเนาะ ตัณหาดังเชือกหนัง

ทิฐิดังเชือกบ่วง พร้อมทั้งทิฏฐานุสัยประดุจ

ปม มีอวิชชาดุจลิ่มสลักถอนขึ้นแล้ว

ผู้ตรัสรู้แล้ว ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดไม่

ประทุษร้าย อดกลั้นคำด่า การทุบตีและ

การจองจำได้ เราเรียกผู้มีขันติเป็นกำลัง

ดังหมู่พลนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ เราเรียก

บุคคลผู้ไม่โกรธ ผู้มีองค์ธรรมเป็นเครื่อง

กำจัด มีศีล ไม่มีกิเลสดุจฝ้า ฝึกฝนแล้ว

มีสรีระตั้งอยู่ในที่สุดนั้น ว่าเป็นพราหมณ์

ผู้ใดไม่ติดในกามทั้งหลาย เหมือนน้ำบน

ใบบัว หรือดังเมล็ดพันธุ์ผักกาดบนปลาย

เหล็กแหลม เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์

ผู้ใดรู้ธรรมเป็นที่สิ้นทุกข์ของตนในภพนี้

เอง เราเรียกผู้ปลงภาระผู้ไม่ประกอบ

แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ เราเรียกบุคคล

ผู้มีปัญญาอันเป็นไปในอารมณ์อันลึก มี

เมธาฉลาดในอุบายอันเป็นทางและมิใช่ทาง

บรรลุประโยชน์อันสูงสุด ว่าเป็นพราหมณ์

เราเรียกบุคคลผู้ไม่คลุกคลีด้วยคฤหัสถ์

และบรรพชิตทั้งสองพวก ผู้ไปได้ด้วยไม่มี

ความอาลัย ผู้ไม่มีความปรารถนาว่าเป็น

พราหมณ์ ผู้ใดวางอาชญาในสัตว์ทั้งหลาย

ทั้งเป็นสัตว์ที่หวั่นหวาดและมั่นคงไม่ฆ่า

เอง ไม่ใช้ผู้อื่นให้ฆ่า เราเรียกผู้นั้นว่า

พราหมณ์ เราเรียกบุคคลผู้ไม่มีพิโรธตอบ

ในผู้พิโรธ ดับอาชญาในตนได้ในเมื่อสัตว์

ทั้งหลายมีความถือมั่น ไม่มีความถือมั่น ว่า

เป็นพราหมณ์ ผู้ใดทำราคะ โทสะ มานะ

และมักขะให้ตกไป ดังเมล็ดพันธุ์ผักกาด

ตกจากปลายเหล็กแหลม เราเรียกผู้นั้นว่า

เป็นพราหมณ์ ผู้ใดกล่าววาจาสัตย์ อัน

ไม่มีโทษให้ผู้อื่นรู้สึกได้ อันไม่เป็นเครื่อง

ขัดใจคน เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์

แม้ผู้ใดไม่ถือเอาภัณฑะทั้งยาวหรือสั้น

เล็กหรือใหญ่ งามหรือไม่งามที่เจ้าเจ้าของ

ไม่ให้ในโลก เราเรียกผู้นั้นว่าเป็นพราหมณ์

ผู้ใดไม่มีความหวังทั้งในโลกนี้ และโลก

หน้า เราเรียกผู้ไม่มีความหวัง ผู้ไม่

ประกอบแล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใด

ไม่มีความอาลัย ไม่มีความสงสัยเพราะรู้

ทั่วถึง เราเรียกผู้บรรลุธรรมอันหยั่งลงใน

อมตธรรมนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใด

ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องทั้งสอง คือ บุญ

และบาปในโลกนี้ได้ เราเรียกผู้ไม่เศร้า-

โศก ปราศจากธุลี ผู้บริสุทธิ์นั้นว่าเป็น

พราหมณ์ เราเรียกบุคคลผู้ปราศจากมลทิน

บริสุทธิ์ผ่องใสไม่ขุ่นมัวดังดวงจันทร์

มีความเพลิดเพลินในภพสิ้นแล้ว ว่าเป็น

พราหมณ์ ผู้ใดล่วงอวิชชาประดุจทางลื่น

หรือดุจหล่มอันถอนได้ยาก เป็นเครื่องให้

ท่องเที่ยวให้หลงนี้ได้ ข้ามถึงฝั่งแล้ว

มีความเพ่งอยู่ไม่หวั่นไหว ไม่มีความสงสัย

ดับแล้วเพราะไม่ถือมั่น เราเรียกผู้นั้นว่า

เป็นพราหมณ์ ผู้ใดละกามได้ขาดแล้ว

เป็นบรรพชิต เว้นรอบในโลกนี้ เราเรียก

ผู้มีกามและภาพสิ้นรอบแล้วนั้น ว่าเป็น

พราหมณ์ ผู้ใดละตัณหาได้ขาดแล้ว เป็น

บรรพชิต เว้นรอบในโลกนี้ เราเรียกผู้มี

กามและภพสิ้นรอบแล้วนั้น ว่าเป็น

พราหมณ์ ผู้ใดละกามคุณอันเป็นของ

มนุษย์ ล่วงกามคุณอันเป็นของทิพย์แล้ว

เราเรียกผู้ไม่ประกอบด้วยกิเลสเครื่องประ-

กอบทั้งปวงนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ เราเรียก

บุคคลผู้ละความยินดี และความไม่ยินดี

เป็นผู้เย็น ไม่มีอุปธิครอบงำโลกทั้งปวง

ผู้แกล้วกล้านั้น ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดรู้

จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย โดยประ-

การทั้งปวง เราเรียกผู้ไม่ข้อง ผู้ไปดี

ตรัสรู้แล้วนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ เทวดา

คนธรรพ์และหมู่มนุษย์ไม่รู้คติของผู้ใด

เราเรียกผู้นั้นผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว เป็นพระ-

อรหันต์ ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดไม่มีกิเลส

เครื่องกังวลทั้งข้างหน้า ข้างหลัง และ

ท่ามกลาง เราเรียกผู้ไม่มีกิเลสเครื่องกังวล

ผู้ไม่ถือมั่นนั้น ว่าเป็นพราหมณ์ เราเรียก

บุคคลผู้องอาจ ผู้ประเสริฐ ผู้แกล้วกล้า

ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ผู้ชำนะแล้วโดยวิเศษ

ผู้ไม่หวั่นไหว อาบเสร็จแล้วตรัสรู้แล้วนั้น

ว่าเป็นพราหมณ์ ผู้ใดรู้ญาณเครื่องระลึก

ชาติก่อนได้ เห็นสวรรค์และอบาย และ

บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นชาติ เราเรียกผู้นั้นว่า

เป็นพราหมณ์ อันชื่อคือนามและโคตรที่

กำหนดตั้งไว้นี้ เป็นแต่สักว่าโวหารใน

โลก เพราะเกิดขึ้นมาตามชื่อที่กำหนดตั้ง

กันไว้ในกาลนั้น ๆ ทิฐิอันนอนเนื่องอยู่ใน

หทัยสิ้นกาลนาน ของสัตว์ทั้งหลายผู้ไม่รู้

เมื่อสัตว์ทั้งหลายไม่รู้ก็พร่ำกล่าวว่าเป็น

พราหมณ์เพราะชาติ บุคคลจะชื่อว่าเป็น

คนชั่วเพราะชาติก็หาไม่ จะชื่อว่าเป็น

พราหมณ์เพราะชาติก็หาไม่ ที่แท้ ชื่อว่า

เป็นคนชั่วเพราะกรรม ชื่อว่าเป็นพราหมณ์

เพราะกรรม เป็นชาวนาเพราะกรรม เป็น

ศิลปินเพราะกรรม เป็นพ่อค้าเพราะกรรม

เป็นคนใช้เพราะกรรม แม้เป็นโจรก็เพราะ

กรรม แม้เป็นทหารก็เพราะกรรม เป็น

ปุโรหิตเพราะกรรม แม้เป็นพระราชา

ก็เพราะกรรม บัณฑิตทั้งหลายมีปรกติ

เห็นปฏิจจสมุปบาท ฉลาดในกรรมและ

วิบาก ย่อมเห็นกรรมนั้นแจ้งชัดตามความ

เป็นจริงอย่างนี้ว่า โลกย่อมเป็นไปเพราะ

กรรม หมู่สัตว์ย่อมเป็นไปเพราะกรรม

สัตว์ทั้งหลายถูกผูกไว้ในกรรมเหมือนลิ่ม

สลักของรถที่กำลังแล่นไป ฉะนั้น

บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ ด้วยกรรม

อันประเสริฐนี้ คือ ตบะ พรหมจรรย์

สัญญมะและทมะ กรรม ๔ อย่างนี้ เป็น

กรรมอันสูงสุดของพรหมทั้งหลาย ทำให้

ผู้ประพฤติถึงพร้อมด้วยวิชชา ๓ ระงับ

กิเลสได้ สิ้นภพใหม่แล้ว ดูก่อนวาเสฏฐะ

ท่านจงรู้อย่างนี้ว่า ผู้นั้นชื่อว่าเป็นพรหม

เป็นท้าวสักกะ ของบัณฑิตผู้รู้แจ้งทั้งหลาย.

[๗๐๘] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว วาเสฏฐมาณพและ

ภารทวาชมาณพ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ

ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญภาษิตของพระองค์

แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงาย

ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ใน

ที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจะได้เห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์ทั้งสองนี้

ขอถึงพระโคดมผู้เจริญกับทั้งพระธรรมและพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอ

พระองค์โปรดทรงจำข้าพระองค์ทั้งสองว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉะนี้แล.