ไปหน้าแรก

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 444

อภยสูตร

ว่าด้วยบุคคลที่กลัวและไม่กลัวตาย ๔ จำพวก

[๑๘๔] ครั้งนั้นแล พราหมณ์ชื่อชานุโสณีเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นผ่านการปราศรัย

พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล

พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้ามีวาทะอย่างนี้ มีทิฏฐิ

อย่างนี้ว่า สัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมไม่กลัว ไม่ถึงความสะดุ้งต่อ

ความตาย ไม่มี.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ สัตว์ผู้มีความตายเป็น

ธรรมดา ย่อมกลัว ถึงความสะดุ้งต่อความตาย มีอยู่ สัตว์ผู้มีความตายเป็น

ธรรมดา ไม่กลัว ไม่ถึงความสะดุ้งต่อความตาย มีอยู่ ดูก่อนพราหมณ์ ก็

สัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมกลัว ถึงความสะดุ้งต่อความตายเป็นไฉน

บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความกำหนัด ยังไม่ปราศจาก

ความพอใจ ยังไม่ปราศจากความรัก ยังไม่ปราศจากความกระหาย ยังไม่

ปราศจากความเร่าร้อน ยังไม่ปราศจากควานทะยานอยากในกามทั้งหลาย มี

โรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องเขา เมื่อเขามีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูก

ต้องแล้ว ย่อมมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า กามอันเป็นที่รักจักละเราไปเสียละหนอ

และเราก็จะต้องละกามอันเป็นที่รักไป เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมลำบากใจ ย่อม

ร่ำไร ทุบอกคร่ำครวญถึงความหลงใหล ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลนี้แล ผู้มี

ความตายเป็นธรรมดา ย่อมกลัว ย่อมถึงความสะดุ้งต่อความตาย.

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 445

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ยังไม่ปราศจากความ

กำหนัด ยังไม่ปราศจากความพอใจ ยังไม่ปราศจากความรัก ยังไม่ปราศจาก

ความกระหาย ยังไม่ปราศจากความเร่าร้อน ยังไม่ปราศจากความทะยานอยาก

ในกาย มีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องเขา เมื่อเขามีโรคหนักอย่างใด

อย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว ย่อมมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า กายอันเป็นที่รักอย่างใด

ไปละหนอ และเราก็จักละกายอันเป็นที่รักไป เขาย่อมเศร้าโศก... ดูก่อน-

พราหมณ์ แม้บุคคลนี้แล ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมกลัว ย่อมถึงความ

สุดุ้งต่อความตาย.

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่ได้ทำความดีไว้

ไม่ได้ทำกุศลไว้ ไม่ได้ทำความป้องกันความกลัวไว้ ทำแต่บาป ทำแต่กรรม

ที่หยาบช้า ทำแต่กรรมที่เศร้าหมอง มีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องเขา

เมื่อเขามีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว ย่อมมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า

เราไม่ได้ทำความดีไว้ ไม่ได้ทำกุศลไว้ ไม่ได้ทำความป้องกัน ความกลัวไว้

ทำแต่บาป ทำแต่กรรมที่หยาบช้า ทำแต่กรรมที่เศร้าหมอง ดูก่อนพราหมณ์

คติของคนไม่ได้ทำความดี ไม่ได้ทำกุศล ไม่ได้ทำความป้องกันความกลัว

ทำแต่บาป ทำแต่กรรมที่หยาบช้า ทำแต่กรรมที่เศร้าหมอง มีประมาณเท่าใด

เราละไปแล้วย่อมไปสู่คตินั้น เขาย่อมเศร้าโศก...ดูก่อนพราหมณ์ แม้บุคคล

นี้แล ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมกลัว ย่อมถึงความสะดุ้งต่อความตาย.

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีความสงสัย

เคลือบแคลง ไม่ถึงความตกลงใจในพระสัทธรรม มีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่ง

ถูกต้องเขา เมื่อเขามีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว ย่อมมีความปริวิตก

อย่างนี้ว่า เรามีความสงสัยเคลือบแคลง ไม่ถึงความตกลงใจในพระสัทธรรม

เขาย่อมเศร้าโศก...ดูก่อนพราหมณ์ แม้บุคคลนี้แล มีความเป็นธรรมดา

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 446

ย่อมกลัว ย่อมถึงความสะดุ้งต่อความตาย ดูก่อนพราหมณ์ บุคคล ๔ จำพวกนี้

มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมกลัว ถึงความสะดุ้งต่อความตาย.

ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลมีความตายเป็นธรรมดา ย่อมไม่กลัว ไม่ถึง

ความสะดุ้งต่อความตาย เป็นไฉน ? บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ปราศจาก

ความกำหนัด ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความ

กระหาย ปราศจากความเร่าร้อน ปราศจากควานทะยานอยากในกามทั้งหลาย

มีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องเขา เมื่อเขามีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่ง

ถูกต้องแล้ว ย่อมไม่มีความปริวิตกอย่างนี้ว่า กามทั้งหลายอันเป็นที่รักจักละ

เราไปเสียละหนอ และเราก็จักละกามอันเป็นที่รักไป เขาย่อมไม่เศร้าโศก

ไม่ลำบาก ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความหลงใหล ดูก่อนพราหมณ์

บุคคลนี้แล ผู้มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมไม่กลัว ไม่ถึงความสะดุ้งต่อ

ความตาย.

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ปราศจากความกำหนัด

ปราศจากความพอใจ ปราศจากความรัก ปราศจากความกระหาย ปราศจาก

ความเร่าร้อน ปราศจากความทะยานอยากในกาย มีโรคหนักอย่างหนึ่งถูก

ต้องเขา เมื่อเขามีโรคหนักย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว ย่อมไม่มีปริวิตก

อย่างนี้ว่า กายอันเป็นที่รักจักละเราไปละหนอ และเราก็จักละกายอันเป็นที่รัก

นี้ไป เขาย่อมไม่เศร้าโศก...ดูก่อนพราหมณ์ บุคคลแม้นี้แล มีความตาย

เป็นธรรมดา ย่อมไม่กลัว ย่อมไม่ถึงความสะดุ้งต่อความตาย.

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่ได้กระทำบาป

ไม่ได้ทำกรรมที่หยาบช้า ไม่ได้ทำกรรมที่เศร้าหมอง เป็นผู้ทำความดีไว้

ทำกุศลไว้ ทำธรรมเครื่องป้องกันความกลัวไว้ มีโรคอย่างใดอย่างหนึ่งถูก

ต้องเขา เมื่อเขามีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว ย่อมมีความปริวิตก

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 447

อย่างนี้ว่า เราไม่ได้ทำกรรมอันเป็นบาป ไม่ได้ทำกรรมหยาบช้า ไม่ได้ทำ

กรรมที่เศร้าหมอง เป็นผู้ทำกรรมดีไว้ ทำกุศลไว้ ทำกรรมเครื่องป้องกัน

ความกลัวไว้ คติของบุคคลผู้ไม่ได้ทำบาปไว้ ไม่ได้ทำกรรมหยาบช้า ไม่ได้

ทำกรรมที่เศร้าหมอง ทำกรรมดีไว้ ทำกุศลไว้ ทำกรรมเครื่องป้องกันความ

กลัวไว้เพียงใด เราละไปแล้ว จักไปสู่คตินั้น เขาย่อมไม่เศร้าโศก...ดูก่อน

พราหมณ์ แม้บุคคลนั้นแล มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมไม่กลัว ย่อมไม่ถึง

ความสะดุ้งต่อความตาย.

อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่มีความสงสัย ไม่มี

ความเคลือบแคลง ถึงความตกลงใจในพระสัทธรรม มีโรคหนักอย่างใด

อย่างหนึ่งถูกต้องเขา เมื่อเขามีโรคหนักอย่างใดอย่างหนึ่งถูกต้องแล้ว ย่อมมี

ความปริวิตกอย่างนี้ว่า เราไม่มีความสงสัย ไม่มีความเคลือบแคลง ถึงความ

ตกลงใจในพระสัทธรรม เขาย่อมไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่ร่ำไร ไม่

ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความหลงใหล ดูก่อนพราหมณ์ แม้บุคคลนี้แล

มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมไม่กลัว ย่อมไม่ถึงความสะดุ้งต่อความตาย

ดูก่อนพราหมณ์ บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีความตายเป็นธรรมดา ย่อมไม่กลัว

ย่อมไม่ถึงความสะดุ้งต่อความตาย.

พราหมณ์ชานุโสณีได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ภาษิต-

ของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอท่านพระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า

เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

จบอภยสูตรที่ ๔

พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 448

อรรถกถาอภยสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในอภยสูตรที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :-

โรคนั่นแหละ ชื่อว่า โรคาตัวกะ เพราะอรรถว่า เป็นเหตุทำชีวิตให้

ลำบาก. บทว่า ผุฏฐสฺส ได้แก่ประกอบด้วยโรคาตังกะนั้น . บทว่า อุรตฺตาฬี

กนฺทติ ได้แก่ ทุบตีอกค่ำไห้. บุญกรรมท่านเรียกว่า กัลยาณะ ในบทมี

อาทิว่า อกตกลฺยาโณ ดังนี้. ชื่อว่า อกตกลฺยาโณ เพราะเขาไม่ได้ทำ

บุญกรรมนั้นไว้. แม้ในบทที่เหลือก็นัยนี้เหมือนกัน. จริงอยู่ บุญกรรมนั่นแล

ชื่อว่า กุศล เพราะเกิดจากความฉลาด. กุศลท่านเรียกว่า ภีรุตตาณะ เพราะ

เป็นเครื่องป้องกันสำหรับคนกลัว. อกุศลกรรมอันลามก ท่านเรียกว่า บาป

ในบทมีอาทิว่า กตปาโป ดังนี้. บทว่า ลุทฺทํ ได้แก่ กรรมหยาบช้า. บทว่า

กิพฺพิสํ ได้แก่ กรรมไม่บริสุทธิ์มีมลทิน. บทว่า กงฺขี โหติ ได้แก่

เป็นผู้ประกอบด้วยความสงสัยในฐานะทั้ง ๘ คือ ในพุทธคุณ ธรรมคุณ และ

สังฆคุณ ในสิกขา ในอดีต ในอนาคต ทั้งในอดีตและอนาคต และใน

ปฏิจจสมุปบาท. บทว่า วิจิกิจฺฉี ได้แก่ เป็นผู้ประกอบด้วยความลังเลใจ

คือไม่ถึงความตกลงใจในพระสัทธรรมคำสั่งสอน ไม่สามารตกลงใจด้วยการ

เรียนและการสอบถาม. พึงทราบความในบททั้งหมดโดยนัยนี้ .

จบอรรถกถาอภยสูตรที่ ๔