ไปหน้าแรก

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ 24

วิภังคสูตร

อริยมรรค ๘

[๓๓] สาวัตถีนิทาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดู

ก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง จักจำแนกอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘

แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงพึงอริยมรรคนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว

ภิกษุพวกนั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ เป็นไฉน

คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ.

[๓๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน ความรู้ในทุกข์ ใน

ทุกขสมุทัย ในทุกขนิโรธ ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ.

[๓๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสังกัปปะเป็นไฉน ความดำริใน

การออกจากกาม ความดำริในอันไม่พยาบาท ความดำริในอันไม่เบียดเบียน

นี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ.

[๓๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาวาจาเป็นไหน เจตนาเครื่องงา.

เว้น จากพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ นี้เรียกว่า สัมมาวาจา.

[๓๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมากัมมันตะเป็นไฉน เจตนาเครื่อง

งดเว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน จากอพรหมจรรย์ นี้เรียกว่า สัมมา-

กัมมันตะ.

[๓๘] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาอาชีวะเป็นไฉน อริยสาวกใน

ธรรมวินัยนี้ ละการเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย สำเร็จชีวิตอยู่ด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ นี้

เรียกว่าสัมมาอาชีวะ.

[๓๙] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัมมาวายามะเป็นไฉน ภิกษุในธรรม

วินัยนี้ยังฉันทะให้เกิด พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้

เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น เพื่อละอกุศลธรรมอันลามก

ที่บังเกิดขึ้นแล้ว เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น พยายาม ปรารภความ

เพียร ประคองจิตไว้ เพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน เพิ่มพูน ไพบูลย์ เจริญ

บริบูรณ์ แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว นี้เรียกว่า สัมมาวายามะ.

[๔๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสติเป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัย

นี้ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ

พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา

เนือง ๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัส

ในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเนือง ๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ

มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรม

เนือง ๆ อยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัส

ในโลกเสีย นี้เรียกว่า สัมมาสติ.

[๔๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิเป็นไฉน ภิกษุในธรรม

วินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตกวิจาร มีปีติ

และสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน

เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติ

และสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนาม

กาย เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้

ได้ฌานนี้เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์

ไม่มีสุข เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสก่อน ๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุ

ให้สติบริสุทธิ์อยู่ นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ.

จบวิภังคสูตรที่ ๘

อรรถกถาวิภังคสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในวิภังคสูตรที่ ๘.

บทว่า กตมา จ ภิกฺขเว สมฺมาทิฏฺฐิ ความว่า พระผู้มีพระ-

ภาคเจ้า ทรงจำแนกมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ โดยปริยายนั้นแล้ว ทรง

เริ่มเทศนานี้ เหมือนทรงประสงค์จะจำแนกโดยปริยายอื่นอีก.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ทุกฺเข ญาณํ ความว่า ญาณอื่นเกิดขึ้น

ด้วยอาการ ๔ ด้วยสามารถการฟัง ๑ การพิจารณารอบคอบ ๑ การแทงตลอด ๑

การพิจารณา ๑. แม้ในสมุทัยก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ส่วนในสองบทที่เหลือ

(นิโรธและมรรค) ญาณ ๓ อย่างเท่านั้น ย่อมควรเพราะการพิจารณาไม่มี

กัมมัฏฐานในสัจจะ ๔ นี้ พระองค์ทรงแสดงแล้วด้วยบทว่า ทุกฺเข ญาณํ

เป็นต้นด้วยอาการอย่างนี้.

ในบทเหล่านั้น สัจจะ ๒ ข้างต้น เป็นวัฏฏะ ๒ ข้างปลายเป็น

วิวัฏฏะ ในวัฏฏะและวิวัฏฏะเหล่านั้น ความยึดมั่นในกัมมัฏฐานของภิกษุมีใน

วัฏฏะ ในวิวัฏฏะความยึดมั่นไม่มี. ก็โยคาวจรเมื่อเรียนซึ่งสัจจะ ๒ ข้างต้น

ในสำนักของอาจารย์ ท่องด้วยวาจาบ่อย ๆ โดยสังเขปอย่างนี้ ปญฺจกฺขนฺธา

ทุกฺขํ ตณฺหาสมุทโย และโดยพิสดารมีนัยเป็นอาทิว่า กตเม ปญฺจกฺขนฺธา

รูปกฺขนฺโธ แล้วจึงทำกรรม. ส่วนในสัจจะ ๒ นอกนี้ เธอย่อมทำกรรม

ด้วยการฟังอย่างนี้ว่า นิโรธสัจจะ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ มรรคสัจจะ

น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เธอเมื่อทำอย่างนี้ ย่อมแทงตลอดซึ่งสัจจะ ๔

ด้วยปฏิเวธอย่างหนึ่ง ย่อมตรัสรู้ด้วยการตรัสรู้อย่างหนึ่ง ย่อมแทงตลอด

ทุกข์ได้ด้วยการกำหนดรู้ ซึ่งสมุทัยได้ด้วยการละ ซึ่งนิโรธได้ด้วยการทำให้

แจ้ง ย่อมแทงตลอดมรรคได้ด้วยการเจริญ. ย่อมตรัสรู้ทุกข์ได้ ด้วยการ

กำหนดรู้ ฯลฯ ย่อมตรัสรู้มรรคได้ด้วยการเจริญ.

การเรียน การไต่ถาม การฟัง การทรงไว้ การพิจารณาและ

การแทงตลอด ย่อมมีในสัจจะ ๒ (ทุกข์ สมุทัย) ในส่วนเบื้องต้นแห่ง

สัจจะ ๔ ด้วยประการอย่างนี้. การฟังและการแทงตลอดเท่านั้น ย่อมมีใน

สัจจะ ๒ (นิโรธ มรรค) ในกาลต่อมา ว่าโดยกิจ ปฏิเวธธรรมย่อมมี

ในสัจจะ ๓ (ทุกข์ สมุทัย มรรค). ในนิโรธ มีปฏิเวธเป็นอารมณ์. ส่วน

ปฏิเวธ ย่อมมีแก่สัจจะ ๔ ด้วยการพิจารณา. แต่การกำหนดในเบื้องต้น

ย่อมไม่มี. ความห่วงใย การรวบรวม การทำไว้ในใจ และการพิจารณา

ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนี้ผู้กำหนดอยู่ในเบื้องต้นว่า เราย่อมกำหนดรู้ทุกข์ ย่อมละ

สมุทัย ย่อมทำให้แจ้งซึ่งนิโรธ เราย่อมยังมรรคให้เกิด. ความห่วงใยเป็นต้น

ย่อมมีจำเดิมแต่การกำหนด. แต่ในกาลต่อมา ทุกข์ ย่อมเป็นอันเธอกำหนด

รู้แล้วแล ฯลฯ มรรค ย่อมเป็นอันเธอทำให้เกิดแล้ว.

ในสัจจะ ๔ เหล่านั้น สัจจะ ๒ ชื่อว่า เป็นธรรมลุ่มลึก เพราะ

เห็นได้ยาก. สัจจะ ๒ ชื่อว่า เห็นได้ยาก เพราะเป็นธรรมลุ่มลึก. จริงอยู่

ทุกขสัจจะ ก็ปรากฏได้ เพราะความเกิดขึ้น ย่อมถึงแม้ซึ่งอันตนพึงกล่าวว่า

ทุกข์หนอ ในการกระทบด้วยตอและหนามเป็นต้น. แม้สมุทัยก็ปรากฏได้

เพราะความเกิดขึ้น ด้วยสามารถมีความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะเคี้ยวกินและจะบริโภค

เป็นต้น. แต่ว่า โดยการแทงตลอดถึงลักษณะ ทุกข์และสมุทัยสัจแม้ทั้งสอง

ก็เป็นธรรมลุ่มลึก. สัจจะเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นธรรมอันลุ่มลึก. เพราะเห็น

ได้ยาก ด้วยประการดังนี้. ความพยายามเพื่อต้องการเห็นสัจจะทั้งสองนอกนี้

(นิโรธ มรรค) ย่อมเป็นเหมือนการเหยียดมือไปเพื่อจับภวัคคพรหม

เหมือนการเหยียดเท้าไปเพื่อถูกต้องอเวจี และเหมือนการยังปลายแห่งขนหาง-

สัตว์ซึ่งแยกแล้วโดย ๗ ส่วน ให้ตกสู่ปลาย. สัจจะเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นธรรม

ลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยากด้วยประการดังนี้. บทเป็นอาทิว่า ทุกฺเข ญาณํ นี้

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วด้วยสามารถการเรียนเป็นต้น ในสัจจะ ๔ ชื่อว่า

เป็นธรรมลุ่มลึก เพราะเห็นได้ยาก และชื่อว่า เป็นธรรมเห็นได้ยาก

เพราะเป็นธรรมลุ่มลึก ด้วยประการดังนี้. ส่วนญาณนั้น ย่อมมีอย่างนี้แล

ในลักษณะแห่งปฏิเวธ.

พึงทราบในบท เนกขัมมสังกัปปะเป็นอาทิ ความดำริในการออก

จากกามว่า เกิดขึ้นแล้วโดยภาวะที่ออกไปจากกาม เพราะอรรถว่าเป็นข้าศึก

ต่อกามบ้าง เกิดขึ้นแล้วแก่ผู้พิจารณากามอยู่ดังนี้บ้างว่า เมื่อทำการกำจัดกาม

ให้กามสงบก็เกิดขึ้นดังนี้บ้าง ว่าเมื่อสงัดจากกามก็เกิดขึ้นดังนี้บ้าง. แม้ใน

สองบทที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ส่วนธรรมมีเนกขัมมสังกัปปะเป็นต้น

เหล่านั้นแม้ทั้งหมด ชื่อว่าต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความหมายในการ

งดเว้นจากกาม จากพยาบาท และจากวิหิงสามีสภาวะต่างกัน.

ส่วนในขณะแห่งมรรค ความดำริในกุศลอย่างเดียวเท่านั้น ย่อม

เกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น

เพราะขาดกับบทแห่งความดำริในอกุศลอันเกิดนั้นในฐานะทั้ง ๓ เหล่านี้

นี้ชื่อว่า สัมมาสังกัปปะ.

ธรรมแม้มีเจตนาเครื่องงดเว้นจากพูดเท็จเป็นต้น ชื่อว่า ต่างกันใน

ส่วนเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากพูดเท็จเป็นต้น มีภาวะต่างกัน.

ส่วนในขณะแห่งมรรค เจตนาเครื่องงดเว้นเป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้น ย่อม

เกิดขึ้น ยังองค์มรรคให้บริบูรณ์อยู่ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น

เพราะขาดกับบทเจตนาเครื่องทุศีล อันเป็นอกุศล ซึ่งเกิดขึ้นในฐานะทั้ง ๔

เหล่านี้ นี้ชื่อว่า สัมมาวาจา.

ธรรมแม้มีเจตนาเครื่องงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้น ชื่อว่า ต่างกัน

ในส่วนเบื้องต้น เพราะความหมายในการงดเว้นจากปาณาติบาตเป็นต้นมีภาวะ

ต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรค เจตนาเครื่องงดเว้นอันเป็นกุศลอย่างเดียว

ย่อมเกิดขึ้น ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่

เกิดขึ้น เพราะขาดกับบทโดยไม่ทำเจตนาเครื่องทุศีลอันเป็นอกุศลซึ่งเกิดขึ้น

ในฐานะทั้ง ๓ เหล่านี้ นี้ชื่อว่า สัมมากัมมันตะ.

บทว่า มิจฺฉาอาชีวํ ได้แก่ ทุจริตทางกายและทางวาจา อันตน

ให้เป็นไปแล้ว เพื่อต้องการของควรเคี้ยวและของควรบริโภคเป็นต้น. บทว่า

ปหาย คือ เว้น. บทว่า สมฺมาอาชีเวน ได้แก่ ด้วยการเลี้ยงชีพอัน

พระพุทธเจ้าสรรเสริญแล้ว. บทว่า ชีวิตํ กปฺเปติ ความว่า ย่อมยังความ

เป็นไปแห่งชีวิตให้เป็นไป แม้สัมมาอาชีวะ ชื่อว่า ต่างกันในเบื้องต้น เพราะ

ความหมายในการงดเว้นจากการหลอกลวงเป็นต้นมีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะ

แห่งมรรค เจตนาเครื่องงดเว้นเป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมเกิดขึ้น

ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ด้วยสามารถให้สำเร็จความไม่เกิดขึ้น เพราะ

ขาดกับบทเจตนาเครื่องทุศีลอันเป็นมิจฉาชีพ ซึ่งเกิดขึ้นในฐานะทั้ง ๗

เหล่านี้แล นี้ชื่อว่า สัมมาอาชีวะ.

บทว่า อนุปฺปนฺนานํ ความว่า เห็นอารมณ์ทั้งหลายเห็นปานนั้น

ในเรือนแห่งหนึ่ง ย่อมยังฉันทะให้เกิด เพื่อความไม่เกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรม

อันเป็นบาปซึ่งยังไม่เกิดขึ้นแก่ตน หรือว่าเห็นอารมณ์ทั้งหลาย ที่กำลังเกิดขึ้น

แก่ผู้อื่น ย่อมยังฉันทะให้เกิด เพื่อความไม่เกิดขึ้น แห่งอกุศลธรรมอันเป็น

บาป ซึ่งยังไม่เกิดขึ้น อย่างนี้ว่า โอหนอ ธรรมอันเป็นบาปเห็นปานนี้

ไม่พึงเกิดขึ้นแก่เรา ดังนี้. บทว่า ฉนฺทํ ความว่า ย่อมยังวิริยฉันทะ

เป็นเหตุให้สำเร็จแห่งการปฏิบัติมิให้อกุศลธรรมเหล่านั้นเกิดขึ้น ให้เกิดขึ้น.

บทว่า วายมติ ได้แก่ ย่อมทำความพยายาม. บทว่า วิริยํ อารภติ

ได้แก่ ย่อมยังความเพียรให้เป็นไป. บทว่า จิตฺตํ ปคฺคณฺหาติ ความว่า

ย่อมทำจิตอันความเพียรประคองไว้แล้ว. บทว่า ปทหติ ความว่า ย่อมยัง

ความเพียรไห้เป็นไปว่า หนัง เอ็น และกระคะจงเหือดแห้งไปก็ทามเถิด. บทว่า

อุปฺปนฺนานํ ความว่า เคยเกิดขึ้นแล้วแก่ตน ด้วยสามารถความฟุ้งซ่าน

ย่อมยังฉันทะให้เกิด เพื่อละอกุศลธรรมเหล่านั้น ด้วยคิดว่า บัดนี้ เราจัก

ไม่ให้อกุศลธรรมทั้งหลายเช่นนั้นเกิดขึ้น.

บทว่า อนุปฺปนฺนานํ กุสลานํ ความว่า กุศลธรรมมีปฐมฌาน

เป็นต้น ที่ยังไม่ได้. บทว่า อุปฺปนฺนานํ ได้แก่ กุศลธรรมเหล่านั้นนั่นแล

ที่ตนได้แล้ว. บทว่า  ิติยา ความว่า เพื่อความตั้งมั่นด้วยสามารถความ

เกิดขึ้นติดกันบ่อย ๆ. บทว่า อสมฺโมสาย ได้แก่ เพื่อความไม่สูญหาย.

บทว่า ภิยฺโย ภาวาย ได้แก่ เพื่อสูงขึ้นไป. บทว่า เวปุลฺลาย ได้แก่

เพื่อความไพบูลย์. บทว่า ปาริปูริยา ได้แก่ เพื่อให้ภาวนาบริบูรณ์.

สัมมาวายามะ แม้นี้ชื่อว่า ต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะอกุศลธรรมที่ยัง

ไม่เกิด คิดมิให้เกิดเป็นต้น มีภาวะต่างกัน. ส่วนในขณะแห่งมรรคความเพียร

เป็นกุศลอย่างเดียวเท่านั้น ย่อมเกิดขึ้น ยังองค์มรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วย

สามารถให้สำเร็จกิจ ในฐานะ ๔ เหล่านี้แล นี้ชื่อว่า สัมมาวายามะ.

แม้สัมมาสติ ชื่อว่า ต่างกันในส่วนเบื้องต้น เพราะความต่างกัน

แห่งจิตกำหนดกายเป็นต้น. ส่วนในขณะแห่งมรรค สติอย่างเดียว ย่อมเกิดขึ้น

ยังองค์แห่งมรรคให้บริบูรณ์อยู่ ด้วยสามารถให้สำเร็จกิจ ในฐานะ ๔ เหล่านี้

นี้ชื่อว่า สัมมาสติ.

พึงทราบในฌานเป็นต้น ในส่วนเบื้องต้น สัมมาสมาธิ ต่างกัน

ด้วยสามารถสมาบัติ ในขณะแห่งมรรค ด้วยสามารถมรรคที่ต่างกัน. จริงอยู่

ปฐมมรรคของฌานอย่างหนึ่ง ย่อมมีปฐมฌาน แม้ทุติยมรรคเป็นต้น มี

ปฐมฌาน หรือมีฌานอย่างใด อย่างหนึ่ง ในทุติยฌานเป็นต้น ปฐมมรรค

ของฌานอย่างหนึ่ง ย่อมมีฌานอย่างใด อย่างหนึ่ง แห่งทุติยฌานเป็นต้น.

แม้ทุติยมรรคเป็นต้น มีฌานอย่างใด อย่างหนึ่ง แห่งทุติยฌานเป็นต้น

หรือมีปฐมฌาน. มรรคแม้ ๔ จะเหมือนกัน ไม่เหมือนกันหรือเหมือนกัน

บางอย่าง ย่อมมีด้วยสามารถแห่งฌาน อย่างนี้แล.

ส่วนความต่างกันแห่งมรรคนี้ ย่อมมีด้วยการกำหนดฌานที่เป็นบาท.

จริงอยู่ มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ได้ปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้วเห็นแจ้งอยู่

ย่อมมีปฐมฌานด้วยการกำหนดฌานที่เป็นบาท. ส่วนในฌานนี้ ย่อมมีองค์แห่ง

มรรคโพชฌงค์และฌานบริบูรณ์แล้วแล. มรรคที่เกิดขึ้นแก่ผู้ออกจากทุติยฌาน

แล้วเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีทุติยฌาน. ส่วนในฌานนี้ องค์มรรคมี ๗ มรรคที่เกิด

ขึ้นแก่ผู้ออกจากตติยฌานเห็นแจ้งอยู่ ย่อมมีตติยฌานก็ในฌานนี้มีองค์มรรค ๗

โพชฌงค์มี ๖. ตั้งแต่จตุตถฌานจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะก็มีนัยนี้.

จตุกกฌานและปัญจมกฌานในอรูปฌานย่อมเกิดขึ้น และฌานนั้น

ท่านกล่าวว่า เป็นโลกุตระหาเป็นโลกิยะไม่ ดังนี้.

แม้ในบทว่า กถํ นี้ในบทนั้น มรรคนั้น เกิดขึ้นแล้ว ในอรูปฌาน

เพราะออกจากปฐมฌานเป็นต้น ได้โสดาปัตติมรรคเจริญอรูปสมาบัติ.

มรรค ๓ แม้มีฌานนั้น ย่อมเกิดขึ้นในอรูปฌานนั้นของฌานนั้น.

ฌานที่เป็นบาท ย่อมกำหนดอย่างนี้แล. ส่วนพระเถระบางพวก

ย่อมกล่าวว่า ขันธ์เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา ย่อมกำหนด. บางพวกกล่าวว่า

อัธยาศัยของบุคคลย่อมกำหนด. บางพวกย่อมกล่าวว่า วุฏฐานคามินีวิปัสสนา

ย่อมกำหนด. การวินิจฉัยในวาทะของพระเถระเหล่านั้น พึงทราบโดยนัย

อันกล่าวไว้แล้ว ในอธิการว่าด้วยวุฏฐานคามินีวิปัสสนา ในวิสุทธิมรรค.

บทว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว สมฺมาสมาธิ ดังนี้ นี้เป็นโลกิยะในส่วน

เบื้องต้น ในส่วนเบื้องปลายเป็นโลกุตระ ท่านเรียกว่า สมาธิ.

จบอรรถกถาวิภังคสูตรที่ ๘