ไปหน้าแรก

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 433

. วัตถูปมสูตร

[๙๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน

อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มี

พระภาคเจ้า ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้น

ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.

[๙๒] พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผ้าที่

เศร้าหมองมลทินจับ ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นหย่อนลงในน้ำย้อมใด ๆ คือ

สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นผ้ามีสีที่เขาย้อมไม่ดี

มีสีมัวหมอง ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะผ้าเป็นของไม่บริสุทธิ์ ฉันใด

เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.

ผ้าที่บริสุทธิ์หมดจด ช่างย้อมพึงนำเอาผ้านั้นหย่อนลงในน้ำย้อมใด ๆ

คือ สีเขียว สีเหลือง สีแดง หรือสีชมพู ผ้านั้นพึงเป็นผ้ามีสีที่เขาย้อมดี

มีสีสด ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะผ้าเป็นของบริสุทธิ์ ฉันใด เมื่อจิต

ไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้ ฉันนั้น.

[๙๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเหล่าไหนเป็นเครื่องเศร้าหมอง

ของจิต [คือ] อภิชณาวิสมโลภะ [ละโมบไม่สม่ำเสมอด้วยอำนาจ

ความเพ่งเล็ง] พยาบาท [ปองร้ายเขา] โกธะ [โกรธ] อุปนาหะ

[ผูกโกรธไว้] มักขะ [ลบหลู่คุณท่าน] ปลาสะ [ตีเสมอ] อิสสา

[ริษยา] มัจฉริยะ [ตระหนี่] มายา [มารยา] สาเถยยะ [โอ้อวด]

ถัมภะ [หัวดื้อ] สารัมภะ [แข็งดี] มานะ [ถือตัว] อติมานะ

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 434

[ดูหมิ่นท่าน] มทะ [มัวเมา] ปมาทะ [เลินล่อ] [เหล่านี้เป็น

ธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิต.

อุปกิเลส ๑๖

[๙๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นรู้ชัดว่า อภิชฌาวิสมโลภะ

พยาบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มายา

สาเถยยะ ลัมภะ สารัมภะ นานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ เป็น

ธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิตด้วยประการฉะนี้แล้ว ย่อมละอภิชฌาวิสม-

โลภะ พยาสบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ

มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ ปมาทะ

อันเป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิตเสีย.

[๙๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุรู้ชัดว่า อภิชฌา-

วิสมโลภะ พยาบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ อิสสา -

มัจฉริยะ มายา สาเถยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ มทะ

ปมาทะ เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิตด้วยประการฉะนี้แล้ว ก็ละ

อภิชฌาวิสมโลภะ พยาบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ

อิสสา มัจฉริยะ มายา สาเลยยะ ถัมภะ สารัมภะ มานะ อติมานะ

มทะ ปมาทะ อันเป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองของจิตเสียได้แล้ว ในกาล

นั้น เธอเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระพุทธเจ้าว่า

แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์

ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมแล้วด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว

ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดา

ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม

เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระธรรมว่า ธรรมอัน

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสดีแล้ว อันบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล

ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนจะพึงรู้เฉพาะคน

[แล] เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระสงฆ์ว่า พระสงฆ์

สาวกของ พระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติ

ชอบยิ่ง คือ คู่บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล ๘ นั่นแหละ พระสงฆ์สาวกของ

พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควรรับเครื่องสักการะ เป็นผู้ควรของต้อนรับ

เป็นผู้ควรทักขิณา เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญ

อื่นยิ่งกว่า ก็เพราะเหตุที่กิเลสนั้น ๆ อัน ภิกษุนั้นสละได้แล้ว ตายแล้ว

ปล่อยแล้ว ละเสียแล้ว สละคืนแล้ว เธอย่อมได้ความรู้แจ้งอรรถ ย่อม

ได้ความรู้แจ้งธรรม ย่อมได้ปราโมทย์อันประกอบด้วยธรรมว่า เราเป็น

ผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระพุทธเจ้า เราเป็นผู้ประกอบ

ด้วยความเลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระธรรม เราเป็นผู้ประกอบด้วยความ

เลื่อมใสอันแน่วแน่ในพระสงฆ์ และเพราะกิเลสนั้น ๆ อัน เราสละได้แล้ว

ตายแล้ว ปล่อยแล้ว ละเสียแล้ว สละคืนแล้ว ดังนี้ เมื่อปราโมทย์แล้ว

ย่อมเกิดปีติ เมื่อมีปีติในใจ กายย่อมสงบ เธอมีกายสงบแล้ว ย่อมได้

เสวยสุข เมื่อมีสุข จิตย่อมตั้งมั่น

[๙๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นแลมีศีลอย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้

มีปัญญาอย่างนี้ ถึงแม้จะฉันบิณฑบาตข้าวสาลีปราศจากเมล็ดดำ มีแกงมี

กับมิใช่น้อย การฉันบิณฑบาตของภิกษุนั้น ก็ไม่มีอันตรายเลย.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผ้าอันเศร้าหมอง มลทินจับ อาศัยน่าอันใส

จึงเป็นผ้าหมดจดผ่องใส อีกอย่างหนึ่ง ทองคำอาศัยเบ้าหลอมที่ทำทอง

ให้บริสุทธิ์ จึงเป็นทองบริสุทธิ์ผ่องใส ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นแล มีศีล

อย่างนี้ มีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้ ถึงแม้จะฉันบิณฑบาตข้าวสาลี

ปราศจากเมล็ดดำ มีแกงมีกับมิใช่น้อย การฉันบิณฑบาตของภิกษุนั้น

ก็ไม่มีอันตรายเลย.

[๙๗] ภิกษุนั้นมีใจประกอบด้วยเมตตา ประกอบด้วยกรุณา

ประกอบด้วยมุทิตา ประกอบด้วยอุเบกขา แผ่ไปยังทิศหนึ่งอยู่ ทิศที่ ๒

ทิศที่ ๓ ทิศที่ ๔ ก็เหมือนกันมีใจประกอบด้วยเมตตาประกอบด้วยกรุณา

ประกอบด้วยมุทิตา ประกอบด้วยอุเบกขา อันไพบูลย์เป็นมหัคคตะ ไม่

มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท แผ่ไปยังทิศเบื้องบน เบื้องต่ำ

ด้านขวาง ทั่วโลกทั้งสิ้น โดยเป็นผู้หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั่วหน้า ในที่

ทุกแห่ง ด้วยประการฉะนี้ เธอย่อมรู้ชัดว่า สิ่งนี้มีอยู่ สิ่งที่เลวทรามมี

อยู่ สิ่งที่ประณีตมีอยู่ ธรรมเป็นเครื่องสลัดออกที่ยิ่งแห่งสัญญานี้มีอยู่

เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสาวะ แม้จากภวาสวะ

แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว

รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว

กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้ เรากล่าวว่า

เป็นผู้สรงสนานแล้วด้วยเครื่องสนานอันเป็นภายใน

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคาถาสุภาษิต

[๙๘] ก็โดยสมัยนั้นแล สุนทริกภารทวาชพราหมณ์นั่งอยู่ไม่ไกล

พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ท่านพระโคดมจะ

เสด็จไปยังแม่น้ำพาหุกาเพื่อจะสรงสนานหรือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส

ตอบว่า ดูก่อนพราหมณ์ จะมีประโยชน์อะไรด้วยแม่น้ำพาหุกาเล่า แม่น้ำ

พาหุกาจักทำประโยชน์อะไรได้.

สุ. ท่านพระโคดม แม่น้ำพาหุกา ชนเป็นอันมากยอมรับว่าให้

ความบริสุทธิ์ได้ ท่านพระโคดม แม่น้ำพาหุกา ชนเป็นอันมากยอมรับ

ว่าเป็นบุญ อนึ่ง ชนเป็นอันมาก พากันไปลอยบาปกรรมที่ตนทำแล้ว

ในแม่น้ำพาหุกา.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะสุนทริกภารทวาชพราหมณ์

ด้วยพระคาถาทั้งหลายว่า

คนพาล มีบาปกรรม มุ่งไปยังแม่น้ำพาหุกา ท่าน้ำ

อธิกักกะ แม่น้ำคยา แม่น้ำสุนทริกา แม่น้ำสรัสสดี

ท่าน้ำปยาคะ และแม่น้ำพาหุมดี แม้เป็นนิตย์ ก็

บริสุทธิ์ไม่ได้ แม่น้ำสุนทริกา ท่าน้ำปยาคะ หรือ

แม่น้ำพาหุกา จักทำอะไรได้ จะชำระนรชนผู้มีเวร

ทำกรรมอันหยาบช้า ผู้มีกรรมอันเป็นบาปนั้น ให้

บริสุทธิ์ไม่ได้เลย สำหรับบุคคลผู้หมดจดแล้วจะ

ประสบผัคคุณฤกษ์ทุกเมื่อ สำหรับบุคคลผู้หมดจด

แล้วรักษาอุโบสถทุกเมื่อ วัตรของบุคคลผู้หมดจดแล้ว

มีการงานอันสะอาด ย่อมถึงพร้อมทุกเมื่อ ดูก่อน

พราหมณ์ ท่านจงสนามในคำสอนของเรานี้เถิด จง

ทำความเกษมในสัตว์ทั้งปวงเถิด ถ้าท่านไม่กล่าว

คำเท็จไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ถือเอาวัตถุที่เขาไม่ให้

เป็นผู้มีความเชื่อ ไม่ตระหนี่ไซร้ ท่านจักต้องไปยัง

แม่น้ำคยาทำไม แม้การดื่มน้ำในแม่น้ำคยาก็จักช่วย

อะไรท่านได้ .

สุนทริกพราหมณ์บรรลุพระอรหัต

[๙๙] ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว สุนทริกภารทวาช -

พราหมณ์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ

ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ภาษิตของ

พระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอก

ทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุดีจักเห็น

รูปดังนี้ ฉันใด พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย

ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่ท่านพระโคดม ข้าพระองค์นี้ขอถึงท่านพระโคดม

พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา

อุปสมบทในสำนักของท่านพระโคดมผู้เจริญเถิด สุนทริกภารทวาช-

พราหมณ์ ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็

ท่านพระภารทวาชะครั้นอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว

ไม่ประมาท มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยว ไม่ช้านานเท่าไร ก็ทำให้แจ้ง

ซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์ ไม่มีธรรมอื่นยิ่งกว่า ที่กุลบุตรทั้งหลายผู้มีความ

ต้องการ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่า

ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ

ความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็ท่านพระภารทวาชะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง

ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ฉะนั้นแล .

จบ วัตถูปมสูตรที่ ๗

อรรถกถาวัตถูปมสูตร๑

[๙๑] วัตถูปมสูตร เริ่มต้นว่า เอวมฺเม สุตํ (ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้).

บรรดาคำเหล่านั้น คำนี้ว่า ภิกฺขเว ยถา วตฺถํ ในคำว่า เสยฺยถาปิ

ภิกฺขเว วตฺถํ เป็นคำอุปมา. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงอุปมา

ในที่ลางแห่งทรงแสดงอุปมาก่อนทีเดียว แล้วจึงทรงแสดงอุปไมย

(เนื้อความ) ในภายหลัง ในที่ลางแห่งทรงแสดงอุปไมยก่อนแล้ว

จึงทรงแสดงอุปมาภายหลัง ในที่ลางแห่งทรงนำข้ออุปมามาแสดงประกอบ

อุปไมย ในที่ลางแห่งทรงนำอุปไมยแสดงประกอบอุปมา. จริงอย่างนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้น เมื่อจะทรงแสดงเทวทูตสูตรแม้ทั้งสิ้น

ให้เป็นอุปมาก่อน แล้วแสดงอุปไมยในภายหลัง จึงตรัสว่า ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนเรือน ๒ หลัง มีประตูเดียวกัน คนผู้มีตาดี

ยืนอยู่ตรงกลาง พึงมองเห็นในเรือน ๒ หลังนั้นได้ (ตลอด ). อนึ่ง

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงอุปไมย (เนื้อความ) ที่เป็น

อิทธิวิธิแม้ทั้งสิ้นก่อนแล้วแสดงอุปมาในภายหลัง จึงตรัสโดยนัยเป็นต้น

ว่า ผู้มีฤทธิ์ย่อมเดินทะลุออกนอกฝา นอกกำแพง นอกภูเขา เปรียบ

เหมือนเดินไปในอากาศ (ที่ว่าง) ฉะนั้น.

เมื่อจะทรงเอาอุปมามาล้อม (แสดงประกอบ) อุปไมย จึงได้ตรัสจุลลสาโรปมสูตรแม้ทั้งสิ้นโดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนพราหมณ์ เปรียบเหมือนคนผู้มีความต้องการแก่นไม้ จึงแสวงหาแก่นไม้ฉะนั้น. อนึ่ง เมื่อจะทรงเอาอุปไมย (เนื้อความ) มาล้อม( แสดงประกอบ) อุปมา จึงตรัสสูตรทั้งหลายมี อลคัททสูตร และมหาสาโรปมสูตร เป็นต้น แม้ทั้งสิ้นโดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรลางพวกในโลกนี้ ย่อมเรียนเอาธรรมคือสุตตะ ฯลฯ เปรียบเหมือนบุรุษผู้มีความต้องการด้วยงูพิษฉะนั้น นะภิกษุทั้งหลาย. พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้นั้น ทรงแสดง

คำอุปมาก่อนในที่นี้แล้วทรงแสดงอุปไมยในภายหลัง.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงอย่างนี้.

ตอบว่า เพราะอัธยาศัยของบุคคล หรือเพราะทรงยักย้ายเทศนา.

จริงอยู่ บุคคลเหล่าใดเข้าใจอุปไมยที่พระองค์ตรัสแสดงอุปมาไว้ก่อน

ได้โดยง่าย พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงอุปมาก่อน แก่กุลบุตร

เหล่านั้น. ในทุกบทก็นัยนี้. อนึ่ง เพราะทรงแทงตลอดธรรมธาตุใดด้วยดี

พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงชื่อว่า ทรงชำนาญการยักย้ายเทศนาธรรมธาตุนั้น

อันพระองค์ทรงแทงตลอดด้วยดีแล้ว เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า

พระองค์นั้น จึงทรงเป็นธรรมิศรธรรมราชา ชำนาญการยักย้ายพระธรรม

เทศนา พระองค์ย่อมทรงแสดงธรรมได้ตามที่ทรงปรารถนา ด้วยประการ

ดังกล่าวมานี้ พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดง ( ธรรม)

อย่างนี้ คือทั้งเพราะ ( ตาม ) อัธยาศัยของบุคคล ทั้งเพราะทรงยักย้าย

เทศนานี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วตฺถํ ได้แก่ผ้าสะอาดตามปกติ.

บทว่า สงฺกิลิฏฺฐํ มลคฺคหิตํ ความว่า ชื่อว่า เศร้าหมองแล้ว

เพระเครื่องเศร้าหมอง มีฝุ่นธุลีเป็นต้น ที่ปลิวมาเกาะ และชื่อว่าอัน

มลทินจับแล้ว เพราะถูกมลทินมีคราบเหงื่อเป็นต้นเกาะแล้ว.

รังคชาตในบทว่า รงฺคซาเต นี้ ได้แก่น้ำย้อมนั่นเอง.

บทว่า อุปสํหเรยฺย เปลว่า พึงน้อมเข้าไป.

บทว่า ยทิ นีลกาย ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า เพื่อต้องการให้มีสีเขียว. ในทุกบทก็อย่างนี้. จริงอยู่ ช่างย้อนเมื่อจะนำไปย้อม เพื่อต้องการให้เป็นสีเขียว ก็จะนำไปแช่ลงในน้ำย้อมสีเขียว มีสีดำสำริดและสีเขียวใบไม้เป็นต้น เมื่อจะนำผ้าไปย้อม เพื่อต้องการให้เป็นสีเหลือง ก็จะนำผ้าไปแช่ในน้ำย้อมสีเหลือง เช่นกับดอกกรรณิการ์ เมื่อจะน้ำผ้าไปย้อมเพื่อต้องการให้เป็นสีแดง ก็จะนำผ้าไปแช่ในน้ำย้อมสีแดง เช่นกับดอกชบาเมื่อจะนำผ้าไปย้อมเพื่อต้องการให้เป็นสีบานเย็น ก็จะนำผ้าไปแช่ในน้ำย้อมสีแดงเรื่อ เช่นกับดอกกณวีระ. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึง

ตรัสว่า ยทิ นีลกาย ฯเปฯ ยทิ มญฺเชฏฺฐิกาย ดังนี้.

บทว่า ทุรตฺตวณฺณเมวสฺส ได้แก่พึงเป็นผ้ามีสีที่ย้อมแล้วไม่ดีนั่นเอง.

บทว่า อปริสุทฺธวณฺณเมวสฺส ความว่า แม้สีเขียวของผ้านั้นก็จะ

ไม่สดใส แม้สีที่เหลือ (ก็ไม่สดใสเหมือนกัน). เป็นความจริง ผ้าเช่น

นั้นแม้ที่เขาแช่ลงไปในหม้อน้ำย้อมสีเขียว ก็ไม่เป็นสีเขียวแท้. แม้แช่ลง

ไปในหม้อน้ำย้อมที่เหลือ ก็จะไม่เป็นสีแท้ มีสีเหลืองแท้เป็นต้น ย่อมมี

สีเขียวซีด สีหญ้าหางช้างแห้ง สีดอกกรรณิการ์แห้ง สีดอกชบาแห้ง

และสีดอกกณวีระแห้งเท่านั้น.

บทว่า ตํ กิสฺส เหตุ ความว่า ผ้านั้นเป็นเช่นนี้เพราะเหตุอะไร

คือ เพราะมีอะไรเป็นเหตุ อีกอย่างหนึ่ง น้ำย้อมที่ผ้านั้นเป็นเช่นนี้ คือ

มีสีไม่สวย สดใส เพระเหตุอะไร ? ก็เพราะความที่ผ้าผืนนั้นไม่สะอาด

นั้นแหละเป็นเหตุในข้อนี้ ไม่ใช่เหตุอะไรอื่น ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า

จึงตรัสว่า อปริสุทฺธตฺตา ภิกฺขเ วตฺถสฺส ดังนี้. คำว่า เอวเมว

เป็นคำอุปไมย.

สองบทว่า จิตฺเต สงฺกิลิฏฺเฐ ความว่า เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว.

ถ้าหากมีคำถามสอดเข้ามาว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า

จึงได้ทรงการทำคำอุปมาไว้ด้วยผ้าอันเศร้าหมองแล้ว.

ตอบว่า เพื่อทรงแสดงว่าความพยายามมีผลมาก. เปรียบเหมือนผ้า

ที่เศร้าหมอง เพราะมลทินที่ปลิวมาเกาะ. เมื่อซักอีกครั้ง ย่อมขาวสะอาด

เพราะตามปกติเป็นของขาวสะอาดอยู่แล้ว ความพยายามใน (การซัก)

ผ้านั้น จะไร้ผล ดุจความพยายามใน (การฟอก) ขนแกะที่ดำธรรมชาติ (ให้ขาวสะอาด) หามิได้ฉันใด. แม้จิตที่เศร้าหมองเพราะกิเลสทั้งหลายที่จรมากฉันนั้น (คือ) ก็ตามปกติ จิตนั้นย่อมเป็นธรรมชาติที่สะอาดทีเดียว ในวาระปฏิสนธิจิตและภวังคจิต. สมดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนั้นเป็นธรรมชาติประภัสสร ก็จิตนั้นแลเศร้าหมองไปเพราะอุปกิเลสที่จรมา จิตนั้นเมื่อได้รับการชำระให้บริสุทธิ์บุคคลก็สามารถทำให้ประภัสสรยิ่งขึ้นอีกได้ ความพยายามในการชำระจิตนั้นย่อมไม่ไร้ผลแล. พระผู้มีพระภาคเจ้า บัณฑิตพึงทราบว่า ทรงการทำคำอุปมาด้วยผ้าที่เศร้าหมอง เพื่อจะทรงแสดงว่าความพยายามมีผลมากด้วยประการฉะนี้.

บทว่า ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา ความว่า เมื่อจิตเป็นเช่นนี้ ทุคติเป็นอันบุคคลพึงหวังได้ ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า ทุคติเป็นคติที่เขาพึงหวังได้อย่างนี้ว่า ผู้นี้จักถึงทุคติแน่นอน ไม่ถึงคติอื่น ดังนี้ คือ ทุคติเป็น คติที่เขามีส่วนร่วมอย่างนี้. ก็ชื่อว่า ทุคตินี้นั้นมี ๒ อย่างคือ ปฏิปัตติทุคคติ และคติทุคคติ. ถึงแม้ปฏิบัติทุคติ ก็มี ๒ อย่างคือ อาคาริยปฏิบัติทุคติ และอนาคาริยปฏิปัตติทุคคติ. อธิบายว่า คฤหัสถ์มีจิตใจ

เศร้าหมอง ย่อมฆ่าสัตว์บ้าง ย่อมลักทรัพย์บ้าง ย่อมประพฤติอกุศลกรรมบถ ๑๐ ทั้งสิ้นบ้าง นี้ชื่อว่า อาคาริยปฏิปัตติทุคติ ของคฤหัสถ์นั้น.

คฤหัสถ์นั้นดำรงอยู่ในอัตภาพนั้นแล้ว ครั้นกายแตก ( ตายไป ) ย่อมไปสู่

นรกบ้าง กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง นี้ชื่อว่า คติทุคคติ ของ

คฤหัสถ์นั้น. ฝ่ายบรรพชิต บวชในศาสนานี้แล้ว มีจิตใจเศร้าหมอง

อาสารับใช้คนอื่นทำตัวเป็นหมอ ตะเกียกตะกายทำลายสงฆ์ ทำลายเจดียสถาน เลี้ยงชีพด้วยการให้ไม้ไผ่เป็นต้น ประพฤติอนาจาร และเที่ยวไป

ยังสถานที่อโคจรแม้ทั้งสิ้น นี้ชื่อว่า อนาคาริยปฏิปัตติทุคคติ ของ

บรรพชิตนั้น. บรรพชิตนั้นดำรงอยู่ในอัตภาพนั้นแล้ว ครั้นกายแตก

(มรณภาพ) ย่อมไปสู่นรกบ้าง กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานบ้าง เปรตวิสัยบ้าง

ชื่อว่าเป็นสมณยักษ์ สมณเปรต มีกายลุกโชติช่วงด้วยผ้าสังฆาฏิเป็นต้น

ที่ถูกไฟไหม้แล้ว ส่งเสียงร้องครวญครางเที่ยวไป นี้ชื่อว่า คติทุคคติ ของ

บรรพชิตนั้น.

บทว่า เสยฺยถาปิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มแสดง

ธรรมฝ่ายขาว (สุคติ). เนื้อความของธรรมฝ่ายขาวนั้น พึงทราบด้วย

ธรรมตรงกันข้ามที่ท่านกล่าวไว้แล้วในธรรมฝ่ายดำ (ทุคติ) นั่นแล.

อนึ่ง ชื่อว่า สุคติ แม้ในที่นี้ก็มี ๒ อย่าง คือ ปฏิปัตติสุคติ และ

คติสุคติ . แม้ปฏิปัตติสุคติก็มี ๒ อย่าง คือ อาคาริยปฏิปัตติสุคติ และ

อนาคาริยปฏิปัตติสุคติ . อธิบายว่า คฤหัสถ์มีจิตบริสุทธิ์ ย่อมงดเว้นจาก

การฆ่าสัตว์บ้าง จากการลักทรัพย์บ้าง บำเพ็ญกุศลกรรมบถ ๑๐ ทั้งสิ้น

บ้าง นี้ชื่อว่า อาคาริยปฏิปัตติสุคติ ของคฤหัสถ์นั้น. คฤหัสถ์นั้น

ดำรงอยู่ในอัตภาพนั้นแล้ว ครั้นกายแตก (ตายไป) ย่อมเข้าถึงความ

เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่มนุษย์บ้าง ความเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในหมู่เทวดาบ้าง

นี้ชื่อว่า คติสุคติ ของคฤหัสถ์นั้น. ฝ่ายบรรพชิตบวชในศาสนานี้

มีจิตบริสุทธิ์ รักษาปาริสุทธิศีล ๔ หมดจด สมาทานธุดงค์ ๑๓

เรียนเอากรรมฐานอันเหมาะแก่ตนในอารมณ์ ๓๘ อยู่เสนาสนะอันสงัด

ทำบริกรรมกสิณ (จน) ให้เกิดฌานสมาบัติ ได้บรรลุโสดาปัตติ

มรรค ฯลฯ ได้บรรลุอนาคามิมรรค นี้ชื่อว่า อนาคาริยปฏิปัตติสุคติ

ของบรรพชิตนั้น. บรรพชิตนั้นดำรงอยู่ในอัตภาพนั้นแล้ว ครั้นกายแตก

(มรณภาพ) ย่อมเกิดในตระกูลใหญ่ ๓ ตระกูล ในมนุษยโลกบ้าง ใน

เทพชั้นกามาวจร ๖ ชั้นบ้าง ในภพแห่งพรหม ๑๐ ภพบ้าง ในชั้น

สุทธาวาส ๕ ชั้นบ้าง ในอรูปภพ ๔ บ้าง นี้ชื่อว่า คติสุคติ ของ

บรรพชิตนั้น.

[๙๓] พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสว่า เมื่อจิตเศร้าหมองทุคติเป็นอันหวังได้ และเมื่อจิตไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นอันหวังได้ อย่างนี้แล้ว

บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงอุปกิเลสทั้งหลายที่เป็นเหตุให้จิตเศร้าหมอง จึง

ตรัสคำเป็นต้นว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อุปกิเลสแห่งจิตเป็นไฉน?

คืออภิชฌาวิสมโลภะ ดังนี้ . บรรดาอุปกิเลสเหล่านั้น ความรักความพอใจใน

ภัณฑะของตน ชื่อว่า อภิชฌา ความรักความพอใจในภัณฑะของคนอื่น

ชื่อว่า วิสมโลภะ. อีกอย่างหนึ่ง ความรักความพอใจในภัณฑะของตน

หรือของคนอื่น จงยกไว้ ความรักความพอใจในฐานะที่ถูกที่ควร ชื่อว่า

อภิชฌา ความรักความพอใจในฐานะที่ไม่ถูกไม่ควร ชื่อว่า วิสมโลภะ.

ส่วนพระเถระกล่าวไว้ว่า โลภะทุกอย่างจะไม่ชื่อว่า วิสมะก็หามิได้ เพราะ

พระบาลีว่า พวกเธอทำการแบ่งแยกไปทำไม จะเป็นในอารมณ์ที่

เหมาะหรือไม่เหมาะก็ตาม ราคะก็เป็นวิสมะ โทสะก็เป็นวิสมะ โมหะ

ก็เป็นวิสมะ. (เหมือนกัน) เพราะฉะนั้น โลภะนี้นั่นเอง ชื่อว่า อภิชฌา

เพราะอรรถว่า เพ่งเล็ง ชื่อว่า วิสมะ เพราะอรรถว่า ไม่เหมาะ (ไม่

ชอบธรรม) คำว่า อภิชฌา และ วิสมะ นี้ มีความหมายอันเดียวกัน

ต่างกันแต่เพียงพยัญชนะเท่านั้น. ก็อภิชฌาวิสมโลภะนี้นั้น เกิดขึ้นแล้ว

ย่อมทำร้ายจิต คือไม่ให้จิตผ่องใส เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า

จึงตรัสว่า เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ดังนี้. เหมือนอย่างว่า

อภิชฌาวิสมโลภะนี้เป็นฉันใด พยาบาทอันเกิดมาจากอาฆาตวัตถุ (เหตุ

ที่ตั้งแห่งความอาฆาต ) ๙ อย่าง ความโกรธอันเกิดมาจากอาฆาตวัตถุ ๑๐ อย่าง ความผูกโกรธ อันครอบคลุมจิตบ่อย ๆ ก็ฉันนั้น ความลบหลู่ อันการทำสิ่งที่เขาทำดีแล้วให้พินาศไป ไม่ว่าของคฤหัสถ์หรือของบรรพชิต (มีลักษณะเหมือนกัน) อธิบายว่า ฝ่ายคฤหัสถ์ (เดิมที)เป็นคนขัดสน (ครั้นแล้ว) ผู้มีกรุณาบางคนได้ยก (เขา) ไว้ในฐานะที่สูงส่ง ต่อมา (เขากลับกล่าวว่า) ท่านทำอะไรให้ข้าพเจ้า ชื่อว่า

ทำลายความดีที่คนผู้กรุณานั้นทำไว้แล้วให้พินาศไป ฝ่ายบรรพชิตแล

จำเดิมแต่สมัยเป็นสามเณรน้อย อันอาจารย์หรืออุปัชฌาย์ท่านใดท่านหนึ่ง

อนุเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ และด้วยอุทเทศและปริปุจฉา ให้สำเหนียกความ

เป็นผู้ฉลาดในปกรณ์เป็นต้น ด้วยธรรมกถา สมัยต่อมา อันพระราชาและ

ราชมหาอำมาตย์เป็นต้น สักการะเคารพแล้ว (เธอ) กลับขาดความยำเกรงในอาจารย์และอุปัชฌาย์เที่ยวไป อันอาจารย์เป็นต้นกล่าวว่า ผู้นี้สมัยเขาเป็นเด็ก เราทั้งหลายช่วยอนุเคราะห์และส่งเสริมให้ก้าวหน้าอย่างนี้ก็แต่ว่าบัดนี้ เขาไม่น่ารักเสียแล้ว ก็กล่าว (ตอบ) ว่า พวกท่านทำอะไรให้ผม ดังนี้ ชื่อว่า ทำลายความดีที่อุปัชฌาย์และอาจารย์เหล่านั้นทำแล้วให้พินาศไป ความลบหลู่ที่ทำความดีที่ท่านทำไว้แล้วให้พินาศไปของบรรพชิตนั้นย่อมเกิดขึ้นทำร้ายจิต คือไม่ให้จิตผ่องใส เพราะเหตุนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ดังนี้.

เหมือนอย่างว่า ความลบหลู่นี้เป็นฉันใด การตีเสมอ (ซึ่งได้แก่)

การถือเป็นคู่แข่ง ก็ฉันนั้น เกิดขึ้นลามไปอ้างถึงบุคคลแม้เป็นพหูสูต

โดยนัยเป็นต้นว่า ท่านผู้เป็นพหูสูตเช่นนี้ ยังมีคติไม่แน่นอน (แล้ว)

ท่านกับผมจะมีอะไรวิเศษเล่า. ความริษยา ได้แก่การนึกตำหนิสักการะ

เป็นต้นของคนอื่น. ความตระหนี่ ได้แก่ (การที่ ) ทนไม่ได้ที่สมบัติ

ของตนมีคนอื่นร่วมใช้สอย. มายา ได้แก่กิริยาที่เป็นการประพฤติ

หลอกลวง. ความโอ้อวดเกิดขึ้นโดย (ทำให้) เป็นคนคุยโต. จริงอยู่

คนคุยโตย่อมเป็นเหมือนปลาอานนท์.

เล่ากันว่า ปลาอานนท์( ชอบ). เอาหางอวดปลา (พวกอื่นและ)

เอาศีรษะอวดงู ให้ (ปลาและงูเหล่านั้น ) รู้ว่าเราเป็นเช่นกับพวกท่าน.

บุคคลผู้คุยโต ก็เช่นนั้นเหมือนกัน เข้าไปหานักพระสูตร หรือนักพระอภิ-

ธรรมใด ๆ ย่อมกล่าวกะท่านนั้น ๆ อย่างนี้ว่า ผมประพฤติประโยชน์เพื่อ

ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายต้องอนุเคราะห์ผม ผมจะไม่ทิ้งพวกท่านหรอก

ดังนี้. เมื่อเป็นอย่างนี้แลนักพระสูตรและนักอภิธรรมเหล่านั้นก็จักสำคัญ

(เธอ) ว่า ผู้นี้มีความเคารพยำเกรงในเจ้าทั้งหลาย ความโอ้อวดนี้แลของบุคคลนั้น เมื่อเกิดขึ้นโดย (ทำให้) เป็นคนคุยโตย่อมเกิดขึ้นทำร้ายจิตคือไม่ให้จิตผ่องใส เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ดังนี้. เหมือนอย่างว่า ความโอ้อวดนี้เป็นฉันใดความหัวดื้อก็ฉันนั้น เป็นตัวการทำให้ไม่ให้ประพฤติอ่อนน้อม เชิดศีรษะเพราะเป็นผู้กระด้าง เป็นเช่นกับสูบที่เต็มลม. ความแข็งดี มีการกระทำยิ่งกว่านั้น, ความแข่งดีนั้น แยกออกได้ ๒ ประเภท คือ ฝ่ายอกุศล และกุศล. ก็ในบรรดาความแข่งดี ๒ ประเภทนั้น สำหรับคฤหัสถ์ความแข็งดีเกิดขึ้นเพราะได้เห็นเครื่องประดับเป็นต้นที่คนอื่นทำแล้ว แล้วทำให้ทวีคูณ ๆ ขึ้นไปกว่านั้น ๆ จัดเป็นอกุศล และสำหรับบรรพชิต (ขณะที่)

บรรพชิตอื่น เล่าเรียนหรือกล่าวธรรมะมีประมาณเท่าใด ๆ ความแข่งดี

ที่เกิดขึ้นด้วยการกระทำให้ทวีคูณ ๆ ไปกว่านั้น ๆ ด้วยอำนาจแห่งมานะ

จัดเป็นอกุศล. ส่วนคฤหัสถ์ ความแข็งดีที่เกิดขึ้นเพราะได้เห็นคนอื่นถวาย

สลากภัตร ๑ ที่ แล้วตนเองประสงค์จะถวาย ๒ หรือ ๓ ที่ จัดเป็นกุศล.

และสำหรับบรรพชิต เมื่อ (ได้ทราบว่า) ภิกษุอื่นเรียนได้ ๑ นิกาย

แล้ว ความแข็งดีเกิดขึ้นโดยไม่อาศัยมานะ (แต่) เพราะได้เห็นภิกษุอื่น

นั้น (เรียนได้แล้ว ๑ นิกาย) แล้วประสงค์จะครอบงำความเกียจคร้าน

ของตนอย่างเดียว เรียนเอาให้ได้ ๒ นิกาย จัดเป็นกุศล. แต่ในที่นี้

ท่านประสงค์เอาความแข็งดีที่เป็นอกุศล. เพราะว่า ความแข็งดีที่เป็น

อกุศลนี้ย่อมเกิดขึ้นทำร้ายจิต คือไม่ให้จิตผ่องใส เพราะฉะนั้น พระผู้มี

พระภาคเจ้า จึงตรัสว่า เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต. อนึ่ง ความ

แข็งดีนี้เป็นฉันใด ความถือตัวก็ฉันนั้น เป็นไปด้วยอำนาจความพองตัว

แห่งจิต เพราะอาศัยชาติ (กำเนิด ) เป็นต้น มานะที่เป็นไปด้วยอำนาจ

ความพองตัวยิ่งแห่งจิต ชื่อว่า อตินานะ อาการที่รับเอาด้วยความมัวเมา

ชื่อว่ามทะ มทะที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจการปล่อยจิตไปในกามคุณทั้งหลาย

ชื่อว่า ปมาทะ ปมาทะย่อมเกิดขึ้นทำร้ายจิต คือไม่ให้จิตผ่องใส เพราะ

ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นธรรมเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดง อุปกิเลส จึงทรงแสดงโลภะไว้เป็นอันดับแรก.

ตอบว่า เพราะโลภะนั้นเกิดขึ้นก่อนเพื่อน.

จริงอยู่ เมื่อสัตว์ทั้งปวงเกิดขึ้นในภพใดภพหนึ่ง โดยที่สุดแม้ในภูมิ

สุทธาวาส โลภะย่อมเกิดขึ้นก่อนเพื่อนด้วยอำนาจความยินดีในภพ ต่อจาก

นั้น อุปกิเลสนอกนี้มีพยาบาทเป็นต้น ย่อมเกิด ตามควรแก่ปัจจัยเพราะ

อาศัยปัจจัยที่ควรแก่ตน และไม่ใช้แก่อุปกิเลสของจิต ๑๖ อย่างนี้เท่านั้น

เกิดขึ้น แต่พึงทราบว่าโดยนัยนี้ ย่อมเป็นอันรวมกิเลสแม้ทั้งหมดทีเดียว.

[๙๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงกิเลสเครื่องเศร้าหมอง

ด้วยคำอธิบายเพียงเท่านี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงความผ่องใส จึงตรัส

คำเป็นต้นว่า ส โข โส ภิกฺขเว ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อิติ วิทิตฺวา แปลว่า รู้อสย่างนี้.

บทว่า ปชหติ ความว่า ละ (อุปกิเลสแห่งจิต ) ด้วยอริยมรรคด้วยอำนาจแห่งสมุจเฉทปหาน.

ในบทว่า ปชหติ นั้น พึงทราบการละมีอยู่ ๒ อย่าง คือ (ละ) ตามลำดับกิเลส และตามลำดับมรรค. (จะอธิบายการละ) ตามลำดับ กิเลสก่อน, กิเลส ๖ เหล่านี้ คือ อภิชฌาวิสมโลภะ (ความโลภโดยไม่ชอบธรรมคือความเพ่งเล็ง) ถัมภะ (หัวดื้อ) สารัมภะ (แข็งดี) มานะ (ถือตัว) อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) มทะ (มัวเมา) ย่อมละ

ได้ด้วยอรหัตตมรรค. กิเลส ๔ เหล่านี้ คือ พยาปาทะ (ความพยาบาท)

โกธะ (ความโกรธ) อุปนาหะ (ความผูกโกรธไว้) ปมาทะ (เลินเล่อ)

ย่อมละด้วยอนาคามิมรรค. กิเลส ๖ เหล่านี้ คือ มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน)

ปลาสะ (ตีเสมอ) อิสสา (ความริษยา) มัจฉริยะ ( ตระหนี่ ) มายา (มารยา, เจ้าเล่ห์) สาเถยยะ (โอ้อวด) ย่อมละด้วยโสดาปัตติมรรค. ส่วนการละตามลำดับมรรคจะอธิบายดังต่อไปนี้ :-

กิเลส ๖ เหล่านี้ คือ มักขะ (ลบหลู่คุณท่าน) ปลาสะ (ตีเสมอ)

อิสสา (ความริษยา) มัจฉริยะ (ตระหนี่) มายา (มารยา, เจ้าเล่ห์)

สาเถยยะ ( โอ้อวด) ย่อมละด้วยโสดาปัตติมรรค.

กิเลส ๔ เหล่านี้ คือ พยาปาทะ (ความพยาบาท ) โกธะ( ความโกรธ) อุปนาหะ (ความผูกโกรธไว้) ปมาทะ (เล่นเล่อ) ย่อมละด้วยอนาคามิมรรค.

กิเลส ๖ เหล่านี้คือ อภิชฌาวิสมโลภะ ความโลภโดยไม่ชอบธรรมคือ

ความเพ่งเล็ง ถัมภะ (หัวดื้อ) สารัมภะ (ถือตัว) อติมานะ (ดูหมิ่นท่าน) มทะ (มัวเมา ) ย่อมละด้วยอรหัตตมรรค.

แต่ในที่นี้กิเลสเหล่านี้จะถูกฆ่าด้วยโสดาปัตติมรรค หรือถูกฆ่าด้วยมรรคที่เหลือก็ตามถึงกระนั้นพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำเป็นต้นว่า บุคคลย่อม

ละอภิชฌาวิสมโลภะอันเป็นเครื่องเศร้าหมองแห่งจิต ดังนี้ ทรงหมายเอา

การละด้วยอนาคามิมรรคนั่งเอง. นี้เป็นการเกิด (แห่งผล ) อันมาแล้ว

ตามมรรคที่สืบต่อกันในที่นี้ . ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงมรรค

ที่ ๔ ไว้ในชั้นสูงสุดแล้ว การเกิดแห่งผลนั้นจึงจะถูก อุปกิเลสมีวิสมโลภะ

เป็นต้นที่เหลือจากอุปกิเลสที่ละได้แล้วด้วยตติยมรรค ย่อมเป็นอันละได้

ด้วยมรรคที่ นั้น. กิเลสที่เหลือย่อมเป็นอันละได้ด้วยมรรคที่ ๔ นี้เช่นกัน.

เพราะว่า อุปกิเลสมีมักขะเป็นต้น แม้เหล่าใด ย่อมละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค อุปกิเลสแม้เหล่านั้น ย่อมเป็นอันละได้เด็ดขาดแล้วด้วยอนาคามิมรรคนั่นแล เพราะจิตอันเป็นสมุฏฐานแห่งอุปกิเลสมีมักขะเป็นต้นนั้นยังละไม่ได้โดยเด็ดขาด (ด้วยโสดาปัตติมรรค ). แต่ในอธิการนี้อาจารย์บางพวกพรรณนาการละได้ด้วยปฐมมรรคนั้นแล. คำนั้นไม่สมกับคำต้นและคำปลาย. อาจารย์บางพวกพรรณนาวิกขัมภนปหานไว้ในอธิการนี้. คำนั้นเป็นเพียงความประสงค์ของอาจารย์พวกนั้นเท่านั้น.

[๙๕] บทว่า ยโต ในคำว่า ยโต โข ภิกฺขเว นี้ แปลว่าในกาลใด. ด้วยบทว่า ปหีโน โหติ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสหมายเอาการละในขณะแห่งอนาคามิมรรค.

บทว่า โส พุทฺเธ อเวจฺจปฺปสาเทน นี้ พึงประกอบเข้ากับบทแต่ละบทอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลใดแล ภิกษุละวิสมโลภะได้ในกาลนั้นเธอย่อมประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า.

จริงอยู่ ภิกษุรูปนี้มีความเลื่อมใสอันเป็นโลกุตตระมาแล้วโดยอนาคามิมรรค สมัยต่อมาเมื่อภิกษุนี้ระลึกถึงอยู่ ซึ่งพระคุณของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม และพระสงฆ์ ความเลื่อมใสอันเป็นโลกิยะย่อมเกิดขึ้นได้.

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความเลื่อมใส ทั้งที่เป็นโลกิยะ และ

โลกุตตระทั้งหมดนั้นของภิกษุนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า พุทฺเธ อเวจฺจปฺ-

ปสาเทน ดังนี้ .

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเวจฺจปฺปสาเทน ความว่า ด้วยความเลื่อมใส ชื่อว่าไม่หวั่นไหว คือไม่คลอนแคลน เพราะรู้พุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ตามเป็นจริง. เมื่อภิกษุนั้นระลึกถึงความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวนั้นเกิดขึ้นแล้วโดยวิธีใด บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงวิธีนั้น จึงทรงยังฐานะที่ตั้งแห่งอนุสสติ ๓ ให้พิสดารโดยนัยเป็นต้นว่า อิติปิ โส ภควา ดังนี้. การพรรณนาเนื้อความแห่งที่ตั้งอนุสสติเหล่านั้น ท่านพระพุทธโฆษาจารย์กล่าวไว้แล้วอย่างละเอียดในอนุสสติกถาในวิสุทธิมรรค.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงความเลื่อนใสทั้งที่เป็นโลกิยะและโลกุตตระของพระอนาคามีนั้น อย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงการละกิเลสและอานิสงส์มีโสมนัสเป็นต้น อันประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวที่เกิดขึ้นแก่พระอนาคามีผู้พิจารณาอยู่ จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ยโถธิโข ปนสฺส ดังนี้. คำนั้นมีอธิบายว่า จริงอยู่ โสมนัสกล้าย่อมเกิดขึ้นแก่พระอนาคามีผู้พิจารณาอยู่ ถึงการละกิเลสของตนว่า กิเลสเหล่านี้ ๆ เราละได้แล้ว เปรียบเหมือนโสมนัสกล้าเกิดขึ้นแก่พระราชาผู้ทรงปราบอันตรายคือโจร ที่ซ่องสุมอยู่บริเวณปลายแดงให้สงบแล้ว

เสด็จกลับมาประทับพิจารณาพระราชกิจนั้นอยู่ในพระมหานครนั้นฉะนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงโสมนัสนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า

ยโถธิโข ปนสฺส ดังนี้ . คำนั้นมีอธิบายว่า พระอนาคามีนี้ใดพิจารณา

อยู่อย่างนี้ว่า พระอริยสาวกเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว

ในพระพุทธเจ้า ฯลฯ พระธรรม ฯลฯ (และ ) ฯลฯ พระสงฆ์

เป็นบุญเขตอันยอดเยี่ยมของชาวโลก กิเลสนั้นเป็นอันพระอนาคามีสละแล้ว

สลัดทิ้งแล้วตามส่วนแล ได้แก่สละแล้วตามอำนาจส่วนของตน ๆ นั่นแล

กิเลสนั้น ๆ เป็นอันพระอนาคามีนั้น คายแล้ว ปล่อยแล้ว ละได้แล้ว

สลัดทิ้งแล้ว.

บทว่า สกสกโอธิวเสน ความว่า ส่วนมี ๒ คือส่วนแห่งกิเลสและ

ส่วนแห่งมรรค. บรรดาส่วน ๒ ส่วนนั้น ว่าด้วยอำนาจส่วนแห่งกิเลส

(ก่อน) กิเลสเหล่าใดอันบุคคลพึงฆ่าด้วยมรรคใด กิเลสเหล่านั้นไม่ปน

กับกิเลสที่มรรคอื่นพึงฆ่า ย่อมเป็นอันพระอนาคามีละได้แล้วด้วยส่วน

ของตนนั้นแล. ว่าด้วยส่วนแห่งมรรคบ้าง กิเลสเหล่าใดอันบุคคลพึงละ

ด้วยมรรคใด กิเลสเหล่านั้นนั่นแลย่อมเป็นอันละแล้วด้วยมรรคนั้น. กิเลส

นั้น ๆ ย่อมเป็นอันท่านสละแล้ว สลัดทิ้งแล้วทีเดียว ด้วยอำนาจส่วน

ของตน ด้วยประการฉะนี้. เชื่อมความว่า ท่านพิจารณาถึงกิเลสที่ละได้

แล้วนั้นเป็นผู้ได้โสมนัส, เธอย่อมได้ความรู้อรรถ ( ผล ) ยิ่งไปกว่านั้น

ว่าเราเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้า.

ปาฐะว่า ยโถธิ โข ดังนี้ก็มี. ด้วยอำนาจปาฐะนั้น มีเนื้อควานดังต่อ

ไปนี้. ก็แล เพราะเหตุที่กิเลสย่อมเป็นอันภิกษุนั้นละได้แล้ว สละได้แล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต เป็นตติยาวิภัตติ. มีอธิบายว่า

ยสฺมา (เพราะเหตุใด). มรรค ๓ เบื้องต่ำท่านเรียกว่า "โอธิ" เพราะ

เหตุไร ? เพราะมรรค ๓ เบื้องต่ำเหล่านั้น ทำ ( กิเลส) ให้เป็นส่วน

คือให้เป็นสัด (โกฏฐาสะ ) แล้วย่อมละ ( กิเลส ) ได้ ยกเว้นกิเลส

ที่พึงละด้วยมรรคเบื้องสูง ๆ ฉะนั้น มรรค ๓ เบื้องต่ำท่านจึงเรียกว่า

โอธิ ดังนี้. ส่วนอรหัตตมรรคย่อมละกิเลสทุกอย่างไม่ให้เหลืออยู่ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อโนธิ ดังนี้. อนึ่ง ภิกษุรูปนี้ สละกิเลสได้แล้วด้วยมรรค ๓ เบื้องต่ำ. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ยโตธิ โข ปน จตฺตํ โหติ ดังนี้ .

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โข ปน เป็นเพียงนิบาต. ส่วนเนื้อความ

นี้เป็นความรวม. ก็เพราะกิเลส ชื่อว่า โอธิ เป็นอันภิกษุรูปนั้นสละแล้ว

สลัดทิ้งแล้ว ฉะนั้น จึงควรขยายความตามพระบาลีว่า ภิกษุรูปนั้นพิจารณา

ถึงกิเลสที่ละได้แล้วนั้นย่อมได้โสมนัส เธอย่อมได้ความรู้แจ้งอรรถ (ผล)

แม้ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ว่าเราเป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว

ในพระพุทธเจ้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตฺตํ นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจการสละภาวะของตน.

ส่วนบทว่า วนฺตํ นี้ ท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจการแสดงภาวะคือความไม่ยึดถือ.

บทว่า มุตฺตํ นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจเปลื้องจากสันตติ.

บทว่า ปหีนํ นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจการแสดงว่า กิเลสแม้ที่พ้นได้แล้วไม่ตั้งอยู่ในที่ไหน ๆ.

บทว่า ปฏินิสฺสฏฺฐํ นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจการแสดง การสละกิเลสที่เคยยึดถือในกาลก่อน หรือด้วยอำนาจการแสดงภาวะแห่งกิเลสที่ตนสลัดทิ้งแล้วเฉพาะหน้า ท่านกล่าวอธิบายว่า ด้วยอำนาจการแสดงภาวะแห่งกิเลสที่คนครอบงำด้วยกำลังแห่งภาวนา สลัดทิ้งแล้ว ดังนี้.

ในข้อว่าย่อมได้การรู้อรรถ (ผล ) การรู้ธรรม (เหตุ) นี้ มีอธิบายว่าควานเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นนั้นแลชื่อว่าอรรถ เพราะอันบุคคลพึงดำเนิน อธิบายว่า พึงเข้าไปให้ถึง.

ชื่อว่าธรรม เพราะเป็นสภาพทรงไว้ มีอธิบายว่า ให้ตกต่ำ.

บทว่า เวท หมายเอาคัมภีร์บ้าง หมายเอาญาณบ้าง หมายเอาโสมนัสบ้าง. คัมภีร์ท่านเรียกว่า เวท (ดัง) แม้ในประโยคเป็นต้นว่าถึงฝั่งแห่งเวท ๓ ดังนี้. ญาณท่านเรียกว่า เวท (ดัง ) ในประโยคเป็นต้นว่า

พราหมณ์ใดถึงเวทมีความรู้ยิ่ง ไม่มีกิเลส เครื่อง

กังวล ไม่ข้องอยู่ในกามภพ ดังนี้ .

โสมนัสท่านเรียกว่า เวท (ดัง ) ในประโยคเป็นต้นว่า ชนเหล่าใดเกิดความยินดี ย่อมท่องเที่ยวไปในโลก ดังนี้ . แต่ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาโสมนัส และญาณอันประกอบด้วยโสมนัส เพราะฉะนั้น ในข้อนี้พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า :-

บทว่า ลภติ อตฺถเวทํ ลภติ ธมฺมเวทํ ความว่า ย่อมได้โสมนัสอันมีความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวเป็นอารมณ์ และญาณอันสำเร็จด้วยโสมนัส. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบความในข้อนี้แม้อย่างนี้ว่า :-

บทว่า อตฺถเรทํ ความว่า (ย่อมได้) ความรู้ (เวท) มีประการดังกล่าวนั่นแล อันเกิดขึ้นแล้วแก่ท่านผู้พิจารณาอยู่ ซึ่งความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว.

บทว่า ธมฺมเวทํ ความว่า ( ย่อมได้) ซึ่งความรู้ (เวท) มี

ประการดังกล่าวแล้วนั่นแล อันเกิดขึ้นแล้วแก่ท่านผู้พิจารณาอยู่ ซึ่งการละกิเลสโดยเป็นส่วนเพราะเหตุแห่งความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว.

สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้นี้ว่า ญาณ ในเหตุ ชื่อว่า ธัมมปฏิสัมภิทาญาณในผลของเหตุ ชื่อว่า อัตถปฏิสัมภิทา ดังนี้.

บทว่า ธมฺมูปสญฺหิตํ ปาโมชฺชํ ความว่า (ย่อมได้) ปราโมทย์อันเกิดขึ้นแล้วแก่ท่านผู้พิจารณาอยู่ ซึ่งอรรถและธรรมนั้นนั่นแล และความรู้ (เวท ) อันเป็นอานิสงส์เกิดมาจากความรู้อรรถและธรรมนั้น.

จริงอยู่ ปราโมทย์นั้นท่านกล่าวว่า ประกอบด้วยธรรมอันเป็นไปโดย

อาการพิจารณาโดยลักษณะที่ไม่มีโทษ.

บทว่า ปมุทิตสฺส ปีติ ชายติ ความว่า ปีติ อันไม่เจือด้วยอามิสย่อมเกิดแก่ท่านผู้บันเทิงด้วยปราโมทย์นี้.

บทว่า ปีติมนสฺส ความว่า ผู้มีใจอิ่มเอิบด้วยปีตินั้น.

บทว่า กาโย ปสฺสมฺภติ ความว่า แม้กายก็เป็นอันสงบระงับคือมีความกระวนกระวายอันสงบระงับแล้ว.

บทว่า ปสฺสทฺธกาโย สุขํ ความว่า ท่านผู้มีความกระวนกระวายทางกายสงบแล้วอย่างนี้ ย่อมเสวยสุขทางใจ.

บทว่า จิตฺตํ สมาธิยติ ความว่า จิตย่อมตั้งมั่นโดยชอบ คือดำรงอยู่ ไม่หวั่นไหว ดุจถึงอัปปนา.

[๙๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงอานิสงส์มีโสมนัสเป็นต้น อันเกิดขึ้นอยู่แก่ภิกษุรูปนั้น ผู้พิจารณาอยู่ซึ่งการละกิเลสอันประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงประกาศอาการอันเป็นไปแล้วแห่งการพิจารณาของภิกษุนั้น โดยวาระว่า ยโตธิ โข ปน เม ดังนี้ แล้วแสดงพลานุภาพแห่งอนาคามิมรรคนั้นนั่นแล จึงตรัสคำว่า ส โข โส ภิกฺขเว ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอวํสีโล ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมทรงแสดงศีลขันธ์อันประกอบด้วย อนาคามิมรรคของภิกษุรูปนั้น.

บทว่า เอวํธมฺโม เอวํปญฺโญ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงแสดงสมาธิขันธ์ และปัญญาขันธ์อันประกอบด้วยอนาคามิมรรคนั้นนั่นแล.

บทว่า สาลีนํ ความว่า แห่งข้าวสาลีชนิดต่าง ๆ มีข้าวสาลีแดงและข้าวสาลีหอมเป็นต้น.

บทว่า ปิณฺฑปาตํ ได้แก่ข้าวสุก.

บทว่า วิจิตกาฬกํ ความว่า นำส่วนที่คำ (เสีย) ออก.

บทว่า เนวสฺส ตํ โหติ อนฺตราย ความว่า การฉันบิณฑบาต มีประการดังกล่าวนั้น ของภิกษุเห็นปานนี้นั้น ย่อมไม่เป็นอันตรายแก่มรรคหรือผล. จริงอยู่ การฉันนั้น ของท่านผู้ได้ (บรรลุ) คุณธรรมแล้วจักทำอันตรายอะไรได้ แม้ว่าท่านยังไม่ได้บรรลุอรหัตตมรรคและอรหัตตผล (แต่ ) ยัง (อยู่ในระยะ) เจริญวิปัสสนาเพื่อบรรลุมรรคผลนั้น การฉันนั้นก็ไม่จัดเป็นอันตรายเลย คือไม่สามารถจะทำอันตรายได้เลย. เพราะเหตุไร ? เพราะท่านมีจิตบริสุทธิ์ด้วยมรรคที่ประมวล ศีล

ธรรม และปัญญา มีประการดังกล่าวแล้วไว้. ก็เพราะในข้อที่มีเหตุนี้ นั้นแล ฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงข้ออุปมาอันเหมาะแก่เหตุนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า เสยฺยถาปิ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อจฺฉํ ความว่า ใสสะอาด เพราะปราศจากมลทิน ผ่องแผ้ว เพราะประภัสสร.

บทว่า อุกฺกามุขํ ความว่า เบ้าหลอมของช่างทอง เพราะในที่นี้เบ้าของช่างทองท่านเรียกว่า อุกกา. แต่ในที่อื่นแม้ประทีปเป็นต้นท่านก็เรียกว่า อุกกา. จริงอยู่ ประทีปท่านเรียกว่า อุกกา ( คบเพลิง) ในอาคตสถานว่า อุกฺกา ธาริยมานาสุ ดังนี้. เบ้าท่านเรียกว่า อุกกา (เบ้าหลอม) ในอาคตสถานว่า ช่างทอง พึงก่อเบ้าหลอม ครั้น

ก่อเสร็จแล้ว พึงฉาบปากเบาหลอม ดังนี้ เตาช่างทองท่านก็เรียกว่า

อุกกา ในอาคตสถานว่า เหมือนอย่างเตาไฟของช่างทอง ลุกไหม้อยู่ (แค่) ข้างใน ไม่ลามออกมาข้างนอก. กำลังลมท่านก็เรียกว่า อุกกา ในอาคตสถานว่า กำลังลม (อุกกาบาต) จักมีผลอย่างนี้ ดังนี้. แต่ในที่นี้และในที่อื่นอันนี้ลักษณะเดียวกันนี้ เบ้าของช่างทองพึงทราบว่า อุกกา ในอาคตสถานว่า ช่างทองเอาคีมคีบทองสอดเข้าไปในปากเบ้า ดังนี้.

ในข้อนั้น มีการเปรียบเทียบด้วยอุปมาดังต่อไปนี้. ก็จิตของภิกษุนี้ในเวลา

ที่ยังเป็นปุถุชนเกลือกกลั้วด้วยมลทินมีกามราคะเป็นต้น พึงเห็นเหมือนผ้า

ที่สกปรกและเหมือนทองคำที่หนองฉะนั้น. อนาคามิมรรคพึงเห็นเหมือน

น้ำอันใสสะอาดและเหมือนปากเบ้าฉะนั้น. การที่ภิกษุรูปนั้นมีจิตบริสุทธิ์

เพราะอาศัยอนาคามิมรรคอันประมวลไว้ซึ่ง ศีล ธรรม และปัญญา

มีประการดังกล่าวแล้ว พึงเห็นเหมือนผ้าขาวสะอาดและทองคำบริสุทธิ์

เพราะอาศัยน้ำและปากเบ้าฉะนั้น ดังนี้แล.

[๙๗] บทว่า โส เมตฺตาสหคเตน เจตสา ความว่า พระธรรมเทศนามาแล้วตามอนุสนธิ. จริงอยู่ อนุสนธิมี ๓ คือ ปุจฉานุสนธิ อัชฌาสยานุสนธิ และ ยถานุสนธิ. ในอนุสนธิ ๓ นั้น พึงทราบ

ปุจฉานุสนธิ ด้วยอำนาจพระสูตร ที่ทรงวิสัชนาแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย

ผู้ทูลถามอยู่อย่างนี้ (ดังในประโยคเป็นต้น) ว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความหวาดสะดุ้งเพราะไม่มีสติในภายนอกนั้นมีหรือ

หนอแล. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสตอบว่า มี ภิกษุ. พึงทราบอัชฌาสยานุสนธิ ด้วยอำนาจสูตร ที่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบอัธยาศัยของคนอื่นแล้วตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนพราหมณ์ พึงมีอยู่หนอแล ท่านพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า แม้ ( จน ) วันนี้พระสมณโคดมก็ยังไม่หมดราคะแน่นอน. ส่วนยถานุสนธิ พึงทราบ (ด้วยอำนาจ ) สูตรทั้งหลายซึ่งเป็นที่มาแห่งเทศนาขั้นสูง (ขึ้นตามลำดับ) ด้วยอำนาจธรรมที่เหมาะสมและเป็นปฏิปักษ์ต่อธรรมที่เป็นเหตุให้เทศนาเกิดขึ้นในตอนแรก เช่นในอากังเขยยสูตร เทศนาด้วยเรื่องศีลธรรม (เป็นเทศนา) ขั้นต่ำ อภิญญา ๖

มา (เป็นเทศนา) ขั้นสูง ในกกโจปมสูตร เทศนาว่าด้วยความไม่อดทน

เกิดขึ้น (เป็นเทศนา) ขั้นต่ำ โอวาทอุปมาด้วยเลื่อยมา (เป็นเทศนา)

ขึ้นสูง. ในอลคัททสูตร เทศนาว่าด้วยการแสดงทิฏฐิเกิดขึ้น (เป็นเทศนา)

ขั้นต่ำ การประกาศสุญญตามา (เป็นเทศนา ) ขั้นสูง. ในจุลอัสสปุรสูตร

เทศนาว่าด้วยความไม่อดทนเกิดขึ้น (เป็นเทศนา) ขั้นต่ำ พรหมวิหารมา

(เป็นเทศนา) ขึ้นสูง. ในโกสัมพิกสูตร เทศนาว่าด้วยการทะเลาะกัน

เกิดขึ้น (เป็นเทศนา) ขั้นต่ำ สาราณียธรรมมา (เป็นเทศนา) ขั้นสูง.

แม้ในวัตถุสูตรนี้ การแสดงเรื่องกิเลสเกิด (เป็นเทศนา ) ขั้นต่ำ พรหมวิหารมา (เป็นเทศนา) ขั้นสูง. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ยถานุสนฺธิวเสน เทสนา อาคตา ดังนี้ . ส่วนในพรหมวิหารธรรม ท่านกล่าวการพรรณนาตามลำดับบท และนัยแห่งการเจริญทั้งหมดไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค อย่างครบถ้วน. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงการเจริญพรหมวิหารของพระอนาคามีนั้น อันเป็นปฏิปักษ์ต่ออุปกิเลส มีอภิชฌาเป็นต้น ชื่อว่า ได้ปทัฏฐานแล้ว เพราะกำจัดธรรมอันเป็นข้าศึก โดยการละกามราคะ พยาบาท โดยประการทั้งปวงทีเดียวอย่างนี้แล้ว บัดนี้

เพื่อจะแสดงวิปัสสนา เพื่อความเป็นพระอรหันต์แห่งพระอนาคามีนั้นแล้ว

ทรงแสดงการบรรลุพระอรหัต (ของท่าน) จึงตรัสคำเป็นต้น ว่า โส อตฺถิ อิทํ ดังนี้. คำนั้นมีเนื้อความว่า พระอนาคามีนั้นได้เจริญพรหมวิหารอย่างนี้แล้ว ออกจากพรหมวิหารข้อใดข้อหนึ่งในบรรดาพรหมวิหารเหล่านั้นแล้ว กำหนดธรรมคือพรหมวิหารเหล่านั้นนั่นแล ว่าเป็นนาม (และ) กำหนดธรรมคือ ภูตรูป และอุปาทายรูป ว่าเป็นรูป โดยนัยเป็นต้นว่าหทัยวัตถุ เป็นที่อาศัยของพรหมวิหารธรรมเหล่านั้น ภูตรูปเป็นที่อาศัยของหทัยวัตถุ ดังนี้แล้ว ย่อมรู้ชัดว่า ข้อนี้มีอยู่ ดังนี้. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ย่อมเป็นอันพระอนาคามีนี้กระทำการกำหนดทุกขสัจแล้ว. ต่อจากนั้นท่านเมื่อแทงตลอดทุกขสมุทัย ย่อมรู้ชัดว่า สิ่งที่เลวยังมีอยู่ ดังนี้. ด้วย

เหตุเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันท่านกระทำการกำหนดสมุทัยแล้ว ต่อจากนั้น

ท่านเมื่อเลือกเฟ้นอุบายเป็นเครื่องละสมุทัยสัจนั้น ย่อมรู้ชัดว่า สิ่งที่

ประณีตยังมีอยู่. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันพระอนาคามีนี้ทำการกำหนด

มัคคสัจแล้ว. ต่อจากนั้นท่านเมื่อพิจารณาฐานะที่พึงบรรลุด้วยมรรคนั้น

ย่อมรู้ชัดว่า วิธีสลัดสัญญาให้ยิ่งขึ้นไปยังมีอยู่. อธิบายว่า ย่อมรู้ชัด

อย่างนี้ว่า พระนิพพานเป็นเครื่องสลัดออกซึ่งพรหมวิหารสัญญานี้ อันเรา

บรรลุแล้ว อันยิ่ง ยังมีอยู่ ดังนี้ . ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันพระอนาคามีนี้ทำการกำหนดนิโรธสัจแล้ว.

บทว่า เอวํ ชานโต เอวํ ปสฺสโต ความว่า เมื่อพระอนาคามีนั้นรู้อยู่ซึ่งสัจจะ ๔ ด้วยอาการ ๔ อย่างนี้ด้วยวิปัสสนาปัญญา เห็นอยู่อย่างนี้ด้วยมรรคปัญญา จิตย่อมหลุดพ้นแม้จากอาสวะ โดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในภยเภรวสูตร.

บทว่า อิตฺถตฺตายาติ ปชานาติ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยังเทศนาให้จบลงจนกระทั่งถึงพระอรหัตอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพราะเหตุที่พราหมณ์ผู้มีความเห็นว่าความบริสุทธิ์ มีได้เพราะการอาบน้ำ นั่งอยู่ในบริษัทนั้น (และ) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบแล้วว่า พราหมณ์นั้นนั่นแล ได้ฟังการพรรณนาถึงความบริสุทธิ์ (มีอยู่) เพราะการอาบน้ำ (อันเราตถาคต) กล่าวอยู่ บวชแล้ว จักบรรลุพระอรหัต ดังนี้

ฉะนั้น เพื่อประสงค์จะตักเตือนพราหมณ์นั้น จึงตรัสอนุสนธิแยกเฉพาะนี้

ว่า อยํ วุจฺจติ ภิกฺขเว ภิกฺขุ สินาโต อนฺตเรน สินาเนน (ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนี้เราตถาคตกล่าวว่า อาบแล้วด้วยการอาบภายใน) ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อนฺตเรน สินาเนน ความว่า ด้วยการอาบ คือการออกจากกิเลสอันมีในภายใน.

[๙๘] บทว่า สุนฺทริกภารทฺวาโช ได้แก่พราหมณ์นั้น ชื่อว่าภารทวาชะ ด้วยอำนาจโคตรของตน. ก็พราหมณ์นั้นมีความเห็นดังนี้ว่า คนที่อาบน้ำในแม่น้ำสุนทริกา ย่อมละบาปได้ เพราะฉะนั้น จึงถูกเรียกว่า สุนทริกภารทวาชะ ดังนี้. พราหมณ์นั้น ได้ฟังพระดำรัสของ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นแล้วคิดว่า แม้พวกเราย่อมสรรเสริญความบริสุทธิ์เพราะการอาบน้ำ ฝ่ายพระสมโคดมก็ย่อมสรรเสริญ ความบริสุทธิ์เพราะการอาบน้ำนั้นเหมือนกัน บัดนี้ พระสมณโคดมนี้มีด้วยความพอใจเหมือนกันกับพวกเรา ดังนี้. ลำดับนั้น พราหมณ์สำคัญ พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า เป็น

เหมือนเสด็จไปยังแม่น้ำพาหุกา ลอยบาปในน้ำนั้นแล้วเสด็จมา จึงกราบทูลว่า ก็พระโคดมผู้เจริญย่อมเสด็จไปยังแม่น้ำพาหุกา เพื่อทรงสรงสนานหรือ ? พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสเลยทีเดียวว่า ไป หรือไม่ได้ไป (แต่) ทรงมีพระประสงค์จะถอน ความเห็น (ผิด) ของพราหมณ์นั้น จึงตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ประโยชน์อะไรด้วยแม่น้ำพาหุกา แม่น้ำพาหุกาจักทำอะไรได้ ดังนี้ . คำนั้นมีเนื้อความว่า ประโยชน์อะไรด้วย แม่น้ำพาหุกา, แม่น้ำพาหุกานั้นจักทำอะไรได้ แม่น้ำพาหุกานั้นไม่สามารถอำนวยประโยชน์อะไรให้ได้หรอก เราจักไปที่แม่น้ำนั้นทำไม.

ลำดับนั้น พราหมณ์เมื่อจะสรรเสริญข้อความนั้น จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า

โลกฺขสมฺมตา . บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โลกฺขสมฺมตา ความว่า แม่น้ำพาหุถา

อันชาวโลกยอมรับกันว่าเป็นแดนพ้นบาป อธิบายว่า อันชาวโลกยอมรับ

กันอย่างนี้ว่า ย่อมให้ความพ้นบาป คือความหลุดพ้น ได้แก่ความบริสุทธิ์.

ปาฐะว่า โลกฺยสมฺมตา ดังนี้บ้าง. ปาฐะนั้นมีเนื้อความว่า อันชาวโลกยอมรับกันอย่างนี้ว่า ย่อมให้ถึงโลกที่ประเสริฐที่สุด.

บทว่า ปุญฺญสมฺมตา ได้แก่อันชาวโลกยอมรับกันว่า เป็นบุญดังนี้ .

บทว่า ปวาเหติ ความว่า ลอยไป คือ ทำให้สะอาด.

บทว่า คาถาหิ อชฺฌภาสิ ความว่า ได้ตรัสด้วยพระคาถาทั้งหลาย.

จริงอยู่ พระคาถาทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าจะตรัส ย่อมตรัสแก่บุคคลผู้ชอบคาถา เพื่อทรงแสดงเนื้อความนั้นเท่านั้น หรือเพื่อแสดงเนื้อความที่สำคัญ. แต่ในที่นี้ พระคาถาเหล่านั้น พึงทราบว่า ตรัสไว้เพื่อแสดงเนื้อความทั้งสอง.

จริงอยู่ บทว่า พาหุกํ นี้นั่นแลเป็นบทแสดงเนื้อความนั้นในที่นี้.

บทที่เหลือเป็นบทแสดงเนื้อความที่สำคัญ. เหมือนอย่างว่า สุนทริกภาร-

ทวาชพราหมณ์ ย่อมไปยังแม่น้ำพาหุกาเพื่อลอยบาปด้วยการอาบน้ำฉันใด ชาวโลกก็ย่อมไปยังสถานที่มีท่าน้ำอธิกักกาเป็นต้นเพื่อลอยบาป

ด้วยการอาบน้ำฉันนั้น. บรรดาชาวโลกเหล่านั้น ชนเหล่าใด อยู่ใกล้

สถานที่เหล่านั้น ชนเหล่านั้น ย่อมอาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง. ชนเหล่าใด

อยู่ไกล ชนเหล่านั้น ย่อมอาบน้ำวันละ ๒ ครั้ง ครั้งเดียว วันเว้นวัน

ตามลำดับ อย่างนี้จนกระทั่งถึงปีเว้นปี. ส่วนชนเหล่าใด ไม่สามารถ

จะไปได้เลย ชนเหล่านั้น ก็ใช้ให้คนอื่นเอาหม้อตักน้ำจากที่นั้นมาอาบ.

ก็คำทั้งหมดนี้ไม่มีประโยชน์. เพราะฉะนั้น เมื่อจะทรงแสดงเนื้อความ

สำคัญนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อธิกกฺกาทีนิปิ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อธิกกกํ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส

หมายเอาท่าน้ำแห่งหนึ่ง อันได้โวหาร (อย่างนั้น) ด้วยอำนาจเป็น

อุปกรณ์ในการอาบ.

บทว่า คยา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงท่าน้ำสัณฐานเหมือน

สระกลมนั่นแล.

แม้บทว่า ปยาคา นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสหมายถึง ท่าน้ำ ท่าหนึ่งของแม่น้ำคงคา ซึ่งเป็นสถานที่ตรงหน้าบันไดปราสาทของพระเจ้ามหาปนาทะ ที่จมลงไปในแม่น้ำคงคาแล้ว. ส่วนลำน้ำเหล่านี้ คือ พาหุกา สุนทริกา สรัสสตี พาหุมตี เป็นแม่น้ำ ๔ สาย

บทว่า พาโล ได้แก่ผู้มีปัญญาทราม.

บทว่า ปกฺขนิโน แปลว่า เข้าไป.

บทว่า น สุชฺฌติ แปลว่า ไม่บรรลุถึงความบริสุทธิ์จากกิเลส.

เขาย่อมลอยได้แต่คราบฝุ่นอย่างเดียวเท่านั้น.

บทว่า กึ สุนฺทริกา กริสฺสติ ความว่า แม่น้ำสุนทริกา จักกระทำอะไรได้ด้วยการชำระกิเลส. อธิบายว่า ไม่สามารถจะทำอะไรได้เลย.

ในท่าน้ำปยาคา และแม่นำพาหุกา ก็มีนัยนี้. ก็ด้วยบททั้ง ๓ นี้ที่ท่าน

กล่าวไว้แล้ว ก็ย่อมเป็นอันท่านกล่าว ๔ บทนอกนี้ไว้ด้วยเหมือนกัน

โดยลักขณหารนัย. เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า แม้ท่า อธิกักกาเป็นต้น

ก็ทำอะไรไม่ได้ เหมือนกับแม่น้ำสุนทริกา แม่น้ำปยาคา และแม่น้ำ

พาหุกา ทำอะไรไม่ได้ฉะนั้น.

บทว่า เวรึ แปลว่า ผู้ประกอบด้วยเวร ๕ มีปาณาติบาตเป็นต้น

บทว่า กตกิพฺพิสํ คือผู้ได้ทำกรรมอันหยาบช้าไว้แล้ว.

บทว่า น หิ นํ โสธเย ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า แม่น้ำสุนทริกา

ท่าน้ำปยาคา หรือแม่น้ำพาหุกา ก็ทำให้เขาบริสุทธิ์ไม่ได้เลย.

บทว่า ปาปกมฺมินํ ความว่า ประกอบด้วยกรรมอันเป็นบาป คือ

กรรมที่ชั่วช้าอันเป็นเวร หรือประกอบด้วยกรรมอันลามก ท่านกล่าว

อธิบายไว้ว่า ประกอบด้วยบาปแม้เล็กน้อย อันยังไม่ถึงความเป็นโทษ

คือเวร.

บทว่า สุทฺธสฺส แปลว่า หมดกิเลส.

บทว่า สทา ผคฺคุ ได้แก่แม้งานนักษัตรประจำเดือน ที่มีเป็น

ประจำ. ได้ยินว่า พราหมณ์นั้นมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ในเดือน ๔ ผู้ใดอาบน้ำ

ในวันข้างขึ้นเดือน ๔ ผู้นั้นย่อมชำระบาปที่ตนกระทำตลอดปีได้. เพราะ

เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงคัดค้านทิฏฐิของพราหมณ์นั้น

จึงตรัสว่า สำหรับผู้บริสุทธิ์แล้วเดือน ๔ มีอยู่ทุกเมื่อ สำหรับผู้หมดกิเลส

แล้วนักษัตรประจำเดือน ๔ มีประจำ ห้วงน้ำนอกน จักชำระล้างได้อย่างไร

ดังนี้.

บทว่า อุโปสโถ สทา ความว่า ก็บุคคลผู้บริสุทธิ์แล้วแม้จะไม่

ได้สมาทานองค์อุโบสถในวันเพ็ญ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ของอุโบสถ ก็ย่อมมี

อยู่เป็นนิจทีเดียว.

บทว่า สุทฺธสฺส สุจิกมฺมสฺส แปลว่า ชื่อว่า ผู้สะอาดแล้ว เพราะเป็นผู้หมดกิเลส และเป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรมเป็นต้นอันสะอาด.

บทว่า สทา สมฺปชฺชเต วตํ ความว่า ก็แม้การสมาทานวัตรอันประกอบด้วยกุศลของบุคคลเช่นนี้ ย่อมถึงพร้อมเป็นประจำทีเดียว.

บทว่า อิเธว สินาหิ ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า เธอจงอาบน้ำในศาสนาของเราตถาคตนี้แล.

ท่านกล่าวอธิบายไว้อีกว่า ถ้าเธอปรารถนาจะล้างมลทิน คือกิเลสภายในไซร้ จงอาบด้วยน้ำคือมรรคมีองค์ ๘ ในศาสนาของเราตถาคตนี้นั่นแล. เพราะว่าในที่อื่น น้ำคือมรรคมีองค์ ๘ เช่นนี้ไม่มี ดังนี้.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความบริสุทธิ์ในทวารแม้ทั้ง ๓ ด้วยอำนาจเทศนาอันเหมาะแก่พราหมณ์นั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า สพฺพภูเตสุ กโรหิ เขมตํ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เขมตํ ได้แก่ความไม่มีภัย คือความเกื้อกูล อธิบายว่า ได้แก่เมตตา. ด้วยบทนั้น ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความบริสุทธิ์ทางมโนทวารแก่พราหมณ์นั้น. ด้วยบทว่า สเจ มุสา น ภณสิ นี้ ย่อมเป็นอัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความสะอาดทางวจีทวาร.

ด้วยบทเหล่านี้ว่า สเจ ปาณํ น หึสสิ สเจ อทินฺนํ นาทิยสิ ย่อมอันเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความบริสุทธิ์ ทางกายทวาร.

ก็ด้วยบทเหล่านี้ว่า สทฺทหาโน อมจฺฉรี พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกอบพราหมณ์นั้น ผู้มีทวารบริสุทธิ์แล้วอย่างนี้ไว้ในสัทธาสัมปทา

และจาคสัมปทา. ส่วนบาลีนี้ว่า กึ กาหสิ คยํ คนฺตฺวา อุทปาโนปิ

เต คยา เป็นกึ่งคาถา. พึงประกอบใจความอย่างนี้ว่า ถ้าว่า เธอจัก

กระทำความปลอดภัยในสัตว์ทั้งปวง ไม่พูดเท็จ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์

มีความเชื่อ ไม่ตระหนี่ เธอไปยังแม่น้ำคยาจักทำอะไรได้ แม่น้ำคยา

ก็เป็น (เพียง ) บ่อน้ำสำหรับเธอ เพราะว่า เมื่อเธออาบน้ำอยู่ในแม่น้ำ

คยา ก็ดี ในบ่อน้ำก็ดี ความบริสุทธิ์จากกิเลสจะมีได้ก็ด้วยการปฏิบัตินี้

เท่านั้น ส่วนความบริสุทธิ์จากมลทินทางร่างกายมีได้เหมือนกันในที่ทั้ง ๒

แห่ง. บัณฑิตพึงทราบเนื้อความว่า ก็เพราะว่าแม่น้ำคยาอันชาวโลกรู้จัก

กันมากกว่าในโลก ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้ถูกพราหมณ์นั้นทูลถาม

ว่า ก็พระโคดมผู้เจริญ เสด็จไปยังแม่น้ำพาหุกาหรือ ? ไม่ตรัสว่า เธอ

ไปยังแม่น้ำพาหุกา จักทำอะไรได้ (แต่ ) ตรัสว่า เธอไปยังแม่น้ำคยา

จักการทำอะไรได้ ดังนี้.

[๙๙] คำเป็นต้นอย่างนี้ว่า เอวํ วุตฺเต นับว่า ชัดแล้วแลเพราะท่านกล่าวไว้แล้วในภยเภรวสูตร. ก็ในบทเป็นต้นว่า เอโก วูปกฏฺโฐ พึงทราบอธิบายดังนี้ พราหมณ์

ชื่อว่าเป็นผู้เดียวด้วยกายวิเวก ชื่อว่าหลีกออกแล้ว (จากการคลุกคลีด้วยนิวรณ์) ด้วยจิตวิเวก ชื่อว่าไม่ประมาท ด้วยการไม่ละสติในกัมมัฏฐาน ชื่อว่ามีความเพียร ด้วยความเพียรเผากิเลส กล่าวคือความเพียรทางกาย และความเพียรทางจิต ชื่อว่าหมดอาลัยในตนแล้ว เพราะไม่มีความห่วงใยในกายและชีวิต ชื่อว่าอยู่ด้วยการอยู่ด้วยอิริยาบถอย่างใดอย่างหนึ่ง (ในบรรดาอิริยาบถ ๔).

บทว่า น จิรสฺเสว ท่านกล่าวหมายถึงการบรรพชา.

บทว่า กุลปุตฺตา ได้แก่กุลบุตรมี ๒ จำพวกคือ กุลบุตรโดยชาติ(กำเนิด) และกุลบุตรโดยอาจาระ. ก็พราหมณ์นี้เป็นกุลบุตรแม้โดยประการทั้ง ๒.

บทว่า อคารสฺมา แปลว่า จากเรือน.

บทว่า อนคาริยํ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ การงานอันเป็นเหตุ

เพิ่มพูนทรัพย์สมบัติ มีกสิกรรมและโครักขกรรมเป็นต้น อันเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ (การ) ครองเรือน ท่านเรียกว่า อคาริยะ. การงานที่เกื้อกูลแก่การครองเรือนในการบรรพชานี้ ไม่มี เหตุนั้น การบรรพชานี้จึงชื่อว่า อนคาริยํ. คำว่า อนคาริยํ นั้น เป็นชื่อของการบวช.

บทว่า ปพฺพชนฺติ แปลว่า เข้าไปใกล้ คือเข้าไปหา.

บทว่า ตทนุตฺตรํ ตัดบทเป็น ตํ อนุตฺตรํ (แปลว่า ผลอันยอดเยี่ยมนั้น).

บทว่า พฺรหฺมจริยปริโยสานํ ได้แก่ที่สุดแห่งมรรคพรหมจรรย์ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า (ได้แก่) อรหัตตผล ดังนี้. จริงอยู่. พวกกุลบุตรบวชก็เพื่อประโยชน์แก่อรหัตตผลนั้น.

บทว่า ทิฏฺเฐว ธมฺเม แปลว่า ในอัตภาพนั้นนั่นเอง.

บทว่า สยํ อภิญฺญา สจฺฉิกตฺวา ความว่า กระทำให้ประจักษ์ด้วยปัญญา ด้วยตนเองทีเดียว. อธิบายว่า รู้โดยไม่มีผู้อื่นเป็นปัจจัย ดังนี้ .

บทว่า อุปสมฺปชฺช วิหาสิ ความว่า บรรลุ คือให้สำเร็จอยู่.

ก็พระสุนทริกภารทวาชะเมื่ออยู่ด้วยอาการอย่างนั้น ก็ได้ทราบชัดว่าชาติ

สิ้นแล้ว ฯลฯ ดังนี้ พระอานนทเถระแสดงถึงภูมิแห่งปัจจเวกขณญาณ

ของท่านด้วยคำนั้น.

ถามว่า ก็ชาติไหนของท่านสิ้นไปแล้ว และท่านรู้ชาติที่ในรูปนั้นอย่างไร ?

ข้าพเจ้าจะเฉลยต่อไป :-

ก็ข้อความนั้นได้กล่าวไว้แล้วในภยเภรวสูตรก็จริง. แต่ถึงอย่างนั้น

ในที่นี้ ข้าพเจ้าจะกล่าวข้อความนั้นซ้ำอีก โดยสังเขป (ย่อ) เพื่อจะ

แสดงนัยแห่งการอธิบายประกอบความด้วยอำนาจปฐมบุรุษะ ชาติอันเป็น

อดีตของพระสุนทริกภารทวาชะนั้น ไม่ชื่อว่าสิ้นไปแล้วก่อน (ในที่นี้ )

เพราะชาตินั้นสิ้นไปแล้วในกาลก่อนนั่นแล. ชาติที่เป็นอนาคตก็ไม่ชื่อว่า

สิ้นไป เพราะท่านไม่มีความพยายามในชาติอันเป็นอนาคตนั้น. ชาติ

ที่เป็นปัจจุบันก็ไม่ชื่อว่าสิ้นไป เพราะชาติปัจจุบันยังมีอยู่. ก็ชาติใด

แยกประเภทเป็นขันธ์ ๑ ขันธ์ ๔ และขันธ์ ๕ ในเอกโวการภพ จตุโวการภพและปัญจโวการภพ พึงเกิดขึ้น เพราะยังไม่ได้เจริญมรรคให้เกิดมี ชาตินั้นชื่อว่าสิ้นไปแล้ว เพราะถึงความเป็นชาติที่มีการไม่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เหตุที่ท่านได้เจริญมรรคให้เกิดมีแล้ว. พระสุนทริกภารทวาชะนั้น พิจารณาถึงกิเลสที่มรรคภาวนาละได้แล้ว รู้อยู่ว่า เมื่อไม่มีกิเลส กรรมแม้มีอยู่ ก็ย่อมไม่ให้ปฏิสนธิต่อไป ชื่อว่า ย่อมรู้ชาติที่สิ้นไปนั้น.

บทว่า วุสิตํ ความว่า อยู่แล้ว คืออยู่จบแล้ว อธิบายว่า กระทำแล้ว ประพฤติแล้ว ให้จบแล้ว.

บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่มรรคพรหมจรรย์.

บทว่า กตํ กรณียํ ความว่า กิจทั้ง ๑๖ คือ ปริญญากิจ ปหานกิจ

สัจฉิกิริยากิจ และภาวนากิจ อันท่านให้สำเร็จแล้ว ด้วยมรรค ๔ ในสัจจะทั้ง ๔.

บทว่า นาปรํ อิตฺถตฺตาย ความว่า การเจริญมรรคเพื่อความเป็นอย่างนี้อีก คือเพื่อกิจ ๑๖ อย่าง หรือเพื่อความสิ้นกิเลสอย่างนี้ ไม่มีในบัดนี้.

อีกประการหนึ่ง บทว่า อิตฺถตฺตาย ความว่า ความสืบต่อแห่งขันธ์อื่นจากความเป็นอย่างนี้ คือจากขันธสันดานที่เป็นไปอยู่ในบัดนี้อย่างนี้ ไม่มี. ก็ พระสุนทริกภารทวาชะนั้น ได้รู้แล้วว่า ขันธ์ ๕ เหล่านี้อันตนกำหนดรู้แล้วยังดำรงอยู่ (แต่ก็) เปรียบเหมือนต้นไม้ที่ถูกตัดรากเหง้าแล้วฉะนั้น.

บทว่า อญฺญตโร มีความหมายเท่ากับ เอโก ( แปลว่า หนึ่ง).

บทว่า อรหตํ คือ อรหนฺตานํ. อธิบายว่า ท่านเป็นพระอรหันต์

องค์หนึ่ง บรรดาพระอรหันต์ผู้สาวกพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้.

จบ อรรถกถาวัตถสูตร (วัตถุปมสูตร) ที่ ๗.