ไปหน้าแรก

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้าที่ 147

จูฬตัณหาสังขยสูตร

[๔๓๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ประทับอยู่ที่ปราสาทแห่งมิคารมารดา

ในวิหารบุพพารามใกล้นคราวัตถี ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ เข้าไป

เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง

หนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กล่าวโดยย่อด้วยข้อปฏิบัติ

เพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา มีความสำ

เร็จล่วงส่วน มีความปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็น

พรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์

ทั้งหลาย.

[๔๓๔] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนจอมเทพ ภิกษุในธรรมวินัย

นี้ได้สดับว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ถ้าข้อนี้ ภิกษุได้สดับแล้ว ภิกษุนั้น

ย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่ง ครั้นทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วย

ปัญญาอันยิ่งแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง

แล้ว เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็

ดี เธอย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณาเห็น

ความดับ พิจารณาเห็นความสละคืนในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็น

ดังนั้น ย่อมไม่ยึดมั่นสิ่งอะไรๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาด

หวั่น เมื่อไม่สะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้เฉพาะตัว และทราบชัด

ว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ

ความเป็นอย่างนี้มิได้มีดังนี้ ดูก่อนจอมเทพ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเท่านั้น

แล ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วง

ส่วนมีความปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารี

ล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย.

ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระ

ภาคเจ้า ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณและหายไปในที่นั้น

นั่นเอง.

ท้าวสักกะเข้าไปหาพระมหาโมคคัลลานะ

[๔๓๕] ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ นั่งอยู่ไม่ไกลพระผู้มีพระ

ภาคเจ้า มีความดำริว่า ท้าวสักกะนั้นทราบความพระภาษิตของพระผู้มีพระ

ภาคเจ้า แล้วจึงยินดี หรือว่าไม่ทราบก็ยินดี ถ้ากระไรเราพึงรู้เรื่องท้าวสักกะ

ทราบความพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วจึงยินดี หรือว่าไม่ทราบ

แล้วก็ยินดี ลำดับนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้หายไปในปราสาทของ

มิคารมารดา ในวิหารบุพพารามปรากฏในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ ประ

หนึ่ง บุรุษที่มีกำลังเหยียดแขนที่งอออกไป หรืองอแขนที่เหยียดเข้ามา

ฉะนั้น สมัยนั้นท้าวสักกะจอมเทพ กำลังอิ่มเอิบ พร้อมพรั่งบำเรออยู่ด้วย

ทิพยดนตรีห้าร้อยในสวนดอกบุณฑริกล้วน ท้าวเธอได้เห็นท่านพระมหา

โมคคัลลานะมาอยู่แต่ไกล จึงให้หยุดเสียงทิพยดนตรีห้าร้อยไว้ เสด็จเข้าไปหา

แล้วรับสั่งว่า นิมนต์มาเถิด ท่านมาดีแล้ว นานแล้วท่านได้ทำปริยายเพื่อจะมา

ในที่นี้ นิมนต์นั่งเถิด อาสนะนี้แต่งตั้งไว้แล้ว. ส่วนท้าวสักกะจอมเทพ

ก็ถืออาสนะต่ำแห่งหนึ่ง นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

[๔๓๖] ท่านพระโมคคัลลานะได้ถามท้าวสักกะผู้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วน

ข้างหนึ่งว่า ดูก่อนท้าวโกสีย์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสถึงความน้อมไปใน

ธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหาโดยย่อแก่ท่านอย่างไร ขอโอกาสเถิด แม้

ข้าพเจ้า จักขอมีส่วนเพื่อจักฟังกถานั้น.

ท้าวสักกะตรัสว่า ข้าแต่ท่านโมคคัลลานะ ข้าพเจ้ามีกิจมาก มีธุระที่

จะต้องทำมาก ทั้งธุระส่วนตัว ทั้งธุระของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ พระภาษิต

ใดที่ข้าพเจ้าฟังแล้วลืมเสียเร็วพลัน พระภาษิตนั้น ท่านฟังดี เรียนดี ทำไว้ใน

ใจดี ทรงไว้ดีแล้ว ข้าแต่พระโมคคัลลานะ เรื่องเคยมีมาแล้ว สงครามระหว่าง

เทวดาและอสูรได้ประชิดกันแล้ว ในสงครามนั้น พวกเทวดาชนะพวกอสูร

แพ้ ข้าพเจ้าชนะเทวาสุรสงครามเสร็จสิ้นแล้ว กลับจากสงครามนั้น

แล้ว ให้สร้างเวชยันตปราสาท เวชยันตปราสาทมีร้อยชั้น ในชั้นหนึ่ง ๆ

มีกูฏาคารเจ็ดร้อย ๆ ในกูฏาคารแห่งหนึ่งๆ มีนางอัปสรเจ็ดร้อยๆ นางอัปสรผู้

หนึ่งๆ มีเทพธิดาผู้บำเรอเจ็ดร้อย ๆ ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะ ท่าน

ปรารถนาเพื่อจะชมสถานที่น่ารื่นรมย์ แห่งเวชยันตปราสาทหรือไม่.

ท่านมหาโมคคัลลานะรับด้วยดุษฏีภาพ.

[๔๓๗] ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ และท้าวเวสวัณมหาราช นิมนต์

ท่านมหาโมคคัลลานะออกหน้าแล้ว ก็เข้าไปยังเวชยันตปราสาท พวก

เทพธิดาผู้บำเรอของท้าวสักกะ เห็นท่านพระมหาโมคคัลลานะมาอยู่แต่ที่

ไกล เกรงกลัวละอายอยู่ ก็เข้าสู่ห้องเล็ก ของตนๆ คล้ายกะว่าหญิงสะใภ้เห็น

พ่อผัวเข้าก็เกรงกลัวละอายอยู่ ฉะนั้น ครั้นนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ และท้าว

เวสวัณมหาราช เมื่อให้ท่านมหาโมคคัลลานะเที่ยวเดินไปใน

เวชยันตปราสาทได้ตรัสว่า ข้าแต่ท่านพระโมคคัลลานะ ขอท่านจงดูสถานที่

น่ารื่นรมย์แห่งเวชยันตปราสาทแม้นี้ ขอท่านจงดูสถานที่น่ารื่นรมย์แห่ง

เวชยันตปราสาทแม้นี้.

ท่านพระมหาโมคคัลลานะกล่าวว่า สถานที่น่ารื่นรมย์ของท่านท้าว

โกสีย์นี้ย่อมงดงามเหมือนสถานที่ของผู้ที่ได้ทำบุญไว้ในปางก่อน แม้มนุษย์

ทั้งหลายเห็นสถานที่น่ารื่นรมย์ไหนๆ เข้าแล้วก็กล่าวกันว่างามจริง ดุจสถาน

ที่น่ารื่นรมย์ของพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์.

ในขณะนั้น ท่านมหาโมคคัลลานะ มีความดำริว่า ท้าวสักกะนี้

เป็นผู้ประมาทอยู่มากนัก ถ้ากระไร เราพึงให้ท้าวสักกะนี้สังเวชเถิด จึง

บันดาลอิทธาภิสังขาร เอาหัวแม่เท้ากดเวชยันตปราสาทเขย่าให้สั่นสะท้านหวั่น

ไหว ทันใดนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ ท้าวเวสวัณมหาราช และพวกเทวดาชั้น

ดาวดึงส์ มีความประหลาดอัศจรรย์จิต กล่าวกันว่า ท่านผู้เจริญทั้ง

หลาย นี่เป็นความประหลาดอัศจรรย์ พระสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุ

ภาพมาก เอาหัวแม่เท้ากดทิพยพิภพ เขย่าให้สั่นสะท้านหวั่นไหวได้.

วิมุตติกถา

[๔๓๘] ครั้นนั้น ท่านมหาโมคคัลลานะทราบว่า ท้าวสักกะจอม

เทพมีความสลดจิตขนลุกแล้ว จึงถามว่า ดูก่อนท้าวโกสีย์ พระผู้มีพระภาค

เจ้า ได้ตรัสความพ้นเพราะสิ้นแห่งตัณหาโดยย่นย่ออย่างไร ขอโอกาส

เถิด แม้ข้าพเจ้าจักขอมีส่วนเพื่อจะฟังกถานั้น.

ท้าวสักกะจึงตรัสว่า ข้าแต่ท่านพระมหาโมคคัลลานะผู้นฤทุกข์

ข้าพเจ้าจะเล่าถวาย ข้าพเจ้าเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายอภิวาทแล้ว

จึงได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้

เจริญ กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วใน

ความพ้นเพราะสิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วนมีความปลอดโปร่งจาก

กิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วง

ส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้าทูลถามอย่าง

นี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนจอมเทพภิกษุในธรรมวินัยนี้

ได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ถ้าข้อนั้นภิกษุได้สดับแล้ว ภิกษุนั้น

ย่อมทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่ง ครั้นทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วย

ปัญญา อันยิ่งแล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงดัง

นั้นแล้ว เธอได้เสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่

สุขก็ดี เธอย่อมพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณา

เห็นความดับ พิจารณาเห็นความสละคืนในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณา

เห็นดังนั้น ก็ไม่ยึดมั่นสิ่งอะไร ๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาด

หวั่น เมื่อไม่สุดสะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้เฉพาะตัว และทราบชัด

ว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ

ความเป็นอย่างนี้มิได้มี ดังนี้ ดูก่อนจอมเทพ กล่าวโดยย่อด้วยข้อปฏิบัติเพียง

เท่านี้แล ภิกษุชื่อว่า พ้นแล้วเพราะความสิ้นแห่งตัณหามีความสำเร็จล่วง

ส่วน มีความปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารี

ล่วงส่วนมีที่สุดล่วงส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ข้าแต่ท่านพระมหาโมคคัลลานะ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสความพ้นเพราะ

ความสิ้นแห่งตัณหาโดยย่อแก่ข้าพเจ้าอย่างนี้แล.

ครั้นนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ชื่นชมยินดีภาษิตของท้าว

สักกะ แล้วได้หายไปในหมู่เทวดาชั้นดาวดึงส์ มาปรากฏที่ปราสาทของ

มิคารมารดา ในวิหารบุพพาราม ประหนึ่งว่าบุรุษผู้มีกำลังเหยียดแขน

ที่ออกไป หรืองอแขนที่เหยียดเข้ามา ฉะนั้น.

ครั้งนั้น พวกเทพธิดาผู้บำเรอของท้าวสักกะจอมเทพ เมื่อท่านพระ

มหาโมคคัลลานะหลีกไปแล้วไม่นาน ได้ทูลถามท้าวสักกะว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้นฤทุกข์ พระสมณะนั้น เป็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ศาสดาของพระองค์

หรือหนอ

ท้าวสักกะตรัสบอกว่า ดูก่อนเหล่าเทพธิดาผู้นฤทุกข์ พระสมณะ

นั้น ไม่ใช่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระศาสดาของเรา เป็นท่านพระมหาโมคคัล

ลานะผู้เป็นสพรหมจารีของเรา

พวกเทพธิดานั้นทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นฤทุกข์ เป็นลาภของพระองค์ๆ

ได้ดีแล้วที่ได้สมณะที่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากอย่างนี้ เป็นสพรหมจารี

ของพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระศาสดาของพระองค์ คงมีฤทธิ์

มาก มีอานุภาพมากเป็นอัศจรรย์เป็นแน่.

[๔๓๙] ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค

เจ้า ถวายอภิวาทแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลว่า ข้า

แต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงทราบว่า พระองค์เป็นผู้ตรัส

ความน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นแห่งตัณหาโดยย่อ แก่เทพผู้มีศักดิ์มากผู้ใดผู้

หนึ่งบ้างหรือหนอ.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ เรารู้เฉพาะอยู่

จะเล่าให้ฟัง ท้าวสักกะจอมเทพเข้ามาหาเรา อภิวาทเราแล้ว ได้ไปยืน

อยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ถามเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

กล่าวโดยย่อ ด้วยข้อปฏิบัติเพียงไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่

สิ้นแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วน มีความปลอดโปร่งจากกิเลสเป็นเครื่อง

ประกอบล่วงส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วงส่วน เป็นผู้ประ-

เสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดูก่อนโมคคัลลานะ เมื่อท้าวสักกะนั้น

ถามอย่างนี้แล้ว เราบอกว่า ดูก่อนจอมเทพ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ได้สดับ

ว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ถ้าข้อนั้นภิกษุได้สดับแล้ว ภิกษุนั้นย่อมทราบ

ชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันยิ่ง ครั้นทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอัน

นี้แล้ว ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวง ครั้นกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงแล้ว เธอได้เสวย

เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง สุขก็ดี ทุกข์ก็ดี มิใช่ทุกข์มิใช่สุกก็ดี เธอย่อมพิจารณา

เห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณาเห็นความดับ พิจารณา

เห็นความสละคืนในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ย่อมไม่ยึดมั่น

สิ่งอะไร ๆ ในโลก เมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้งหวาดหวั่น เมื่อไม่สะดุ้งหวาด

หวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้เฉพาะตน ย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหม-

จรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้

มี ดังนี้ ดูก่อนจอมเทพ กล่าวโดยย่อด้วยข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่า

พ้นไปแล้วเพราะสิ้นไปแห่งตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วนมีความปลอดโปร่ง

จากกิเลสเป็นเครื่องประกอบล่วงสวน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีที่สุดล่วง

ส่วน เป็นผู้ประเสริฐกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดูก่อนโมคคัลลานะ

เราจำได้อยู่ว่า เราเป็นผู้กล่าวความพ้นเพราะสิ้นแห่งตัณหาโดยย่อ แก่ท้าว

สักกะจอมเทพอย่างนี้แล.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระพุทธพจน์นี้จบแล้ว ท่านพระมหาโมคคัล

ลานะ ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ฉะนี้แล.

จบ จูฬตัณหาสังขยสูตรที่ ๗