ไปหน้าแรก

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 1

พระอภิธรรมปิฎก

เล่มที่ ๑ ภาคที่ ๒

ธรรมสังคณี

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บทภาชนีย์อกุศลธรรม

อกุศลจิต ๑๒

จิตดวงที่ ๑

[๒๗๕] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ?

อกุศลจิต สหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุตด้วยทิฏฐิ มีรูปเป็นอารมณ์

หรือมีเสียงเป็นอารมณ์ มีกลิ่นเป็นอารมณ์ มีรสเป็นอารมณ์ มีโผฏฐัพพะเป็น

อารมณ์ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น ในสมัยใด

ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคา วิริยินทรีย์

สมาธินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ

มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วิริยพละ สมาธิพละ อหิริกพละ อโนตตัปปพละ

โลภะ โมหะ อภิชฌา มิจฉาทิฏฐิ อหิริกะ อโนตตัปปะ สมถะ ปัคคาหะ

อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ก็หรือว่านามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน

สมัยนั้น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 2

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

[๒๗๖] ผัสสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาที่ถูกต้อง ความถูกต้อง ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ผัสสะ มีในสมัยนั้น.

[๒๗๗] เวทนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ อันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญญาณ-

ธาตุที่สมกัน ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวย

อารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เวทนา

มีในสมัยนั้น.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 3

กถาแสดงธัมมุทเทสวารในบทอกุศล

อธิบายอกุศลจิตดวงที่ ๑

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์จะจำแนกแสดงบทอกุศล จึงทรง

เริ่มพระดำรัสว่า กตเม ธมฺมา อกุสลา (ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน)

ดังนี้เป็นต้น.

ในคำว่าอกุศลเป็นต้นเหล่านั้น พึงทราบประเภทวาระมีการกำหนด

ธรรมเป็นต้น และการวินิจฉัยเนื้อความแห่งบทที่มาแล้วในหนหลัง โดยนัยที่

กล่าวแล้วนั่นแหละ ก็ข้าพเจ้าจักพรรณนาบทที่เพียงต่างกันในที่นั้น ๆ เท่านั้น

ในอธิการแห่งอกุศลนั้น จะวินิจฉัยในการกำหนดสมัยก่อน เพราะอกุศลไม่ต่าง

ภูมิกันเหมือนกุศล ฉะนั้น อกุศลนี้แม้เป็นกามาวจรอย่างเดียว พระองค์ก็มิได้

ตรัสว่า เป็นกามาวจร.

วินิจฉัยคำว่าทิฏฐิคตสัมปยุต

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ทิฏฺิคตสมฺปยุตฺต นี้ต่อไป.

ทิฏฐินั่นแหละชื่อว่า ทิฏฐิคตะ เหมือนในประโยคทั้งหลายมีอาทิว่า

คูถคต (คูถ) มุตฺตคต (มูตร) ดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง ธรรมที่ชื่อว่า ทิฏฐิคตะ

เพราะอรรถว่า ทิฏฐิคตะนี้เป็นเพียงการเป็นไปของทิฏฐิเท่านั้น เพราะไม่มี

สิ่งที่ควรรู้ หรือเพราะไม่มีสิ่งที่ควรดำเนินไป. ที่ชื่อว่า ทิฏฐิคตสัมปยุต

เพราะอรรถว่า สัมปยุตด้วยทิฏฐินั้น.

ในทิฏฐิคตสัมปยุตจิตนั้น บัณฑิตพึงทราบความเกิดขึ้น แห่งความ

เห็นผิด กล่าวคือทิฏฐิคตะนี้ ด้วยเหตุทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ คือ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 4

อสทฺธทมสวน การฟังแต่อสัทธรรม

อกลฺยาณมิตฺตตา ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว

อริยาน อทสฺสนกามตาทีนิ ความเป็นผู้ไม่ต้องการเห็นพระอริยะ

เป็นต้น.

อโยนิโสมนสิกาโร การทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคาย.

จริงอยู่ ความเห็นอันนั่น พึงทราบว่า ย่อมเกิดขึ้นด้วยการฟังเว้นจาก

ความใคร่ครวญก้าวล่วงความเป็นกลาง มีมานะหลายอย่างเป็นประธานแห่ง

อสัทธรรมที่ประกอบด้วยวาทะอันผิดเหล่านั้น ด้วยความเป็นผู้มีอกัลยาณมิตร

กล่าวคือความเป็นผู้ซ่องเสพ มิตรชั่วผู้มีทิฏฐิวิบัติเหล่านั้น ด้วยไม่ต้องการเห็น

พระอริยะทั้งหลาย และสัตบุรุษทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ด้วยความเป็น

ผู้ไม่ฉลาดในอริยธรรมเเละสัปปุริสธรรมอันต่างด้วยสติปัฏฐาน ๔ เป็นต้น

ด้วยความไม่มีวินัยกล่าวคือการแตกแห่งสังวรในอริยธรรม และสัปปุริสธรรม

อันมีปาฏิโมกขสังวร อินทรียสังวร สติสังวร ญาณสังวร และปหานสังวร

ด้วยการกระทำไว้ในใจโดยอุบายอันไม่แยบคายด้วยเหตุเหล่านั้นนั่นแหละ

อันตนอบรมแล้ว และเพราะความเป็นผู้ขวนขวายในมงคลตื่นข่าวเป็นต้น.

ก็พึงทราบความที่จิตนี้เป็นอสังขาร (ไม่มีการชักจูง) โดยนัยที่กล่าวแล้วใน

หนหลังนั่นแหละ.

ว่าด้วยธัมมุทเทสมีผัสสะเป็นต้น

พึงทราบวินิจฉัยในวาระแห่งธัมมุทเทส (ข้อธรรม) ต่อไป.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 5

บทว่า ผสฺโส ได้แก่ ผัสสะที่เกิดพร้อมกับอกุศลจิต. แม้ในธรรม

มีเวทนาเป็นต้นก็นัยนี้แหละ ธรรมมีผัสสะเป็นต้นเหล่านี้แตกต่างจากธรรมที่

แสดงไว้ก่อนเพียงเป็นอกุศลเท่านั้น ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า จิตฺตสฺเสกคฺคตา โหติ (เอกัคคตาแห่งจิตย่อมมี) ความว่า

เอกัคคตา (สมาธิจิต) ย่อมมี เพราะความไม่ส่งจิตไปอื่นแม้ในปาณาติบาต

เป็นต้น. จริงอยู่ มนุษย์ทั้งหลายตั้งจิตไว้มั่นไม่ซัดส่ายจึงยังศัสตราให้ตก

ไปในสรีระของสัตว์ทั้งหลายไม่ผิดพลาด เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นแล้วย่อมนำวัตถุอัน

เป็นของมีอยู่ของคนอื่นไป ย่อมประพฤติมิจฉาจารด้วยจิตมีสภาพยินดีอย่างหนึ่ง

เอกัคคตาแห่งจิตย่อมมี แม้ในเพราะประพฤติอกุศล ด้วยประการฉะนี้.

คำว่า มิจฺฉาทิฏฺิ ได้แก่ ความเห็นไม่มีตามความเป็นจริง อีก

อย่างหนึ่ง ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ เพราะอรรถว่า เห็นคลาดเคลื่อนโดยถือเอาผิด.

ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ เพราะอรรถว่า เป็นทิฏฐิอันบัณฑิตเกลียด เพราะนำมา

แต่ความฉิบหายบ้าง. แม้ในมิจฉาสังกัปปะเป็นต้นก็นัยนี้แหละ. อีกอย่างหนึ่ง

ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ เพราะอรรถว่า เป็นเหตุให้คนเห็นผิด หรือเห็นผิดเอง

หรือทิฏฐินี้ เพียงเห็นผิดเท่านั้น.

มิจฉาทิฏฐินั้นมีการยึดถือมั่นโดยอุบายไม่แยบคายเป็นลักษณะ (อโย-

นิโส อภินิเวส ลกฺขณา) มีความยึดมั่นผิดสภาวะเป็นรส (ปรามาสรสา)

มีความยึดถือผิดเป็นปัจจุปัฏฐาน (มิจฺฉาภินิเวสนปจฺจุฏฺานา) มีความ

ไม่ต้องการเห็นพระอริยะทั้งหลายเป็นต้นเป็นปทัฏฐาน (อริยาน อทสฺสน-

กามตาทิปทฏฺานา) พึงเห็นว่าเป็นโทษอย่างยิ่ง. แม้ในมิจฉาสังกัปปะเป็นต้น

มีความต่างกันเพียงบทว่า มิจฺฉา เท่านั้น. คำที่เหลือพึงทราบโดยนัยที่กล่าว

ในอธิการแห่งกุศลนั้นแหละ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 6

เนื้อความแห่งพละในข้อว่า อหิริกพละ อโนตตัปปพละ นี้

จักแจ่มแจ้งในนิทเทสวาร ส่วนในคำนอกนี้ พึงทราบวจนัตถะดังต่อไปนี้.

บุคคลชื่อว่า อหิริโก เพราะอรรถว่า ย่อมไม่ละอาย. ภาวะแห่งบุคคลผู้ไม่

ละอาย ชื่อว่า อหิริก* (ความเป็นผู้ไม่ละอาย). สภาวธรรมที่ไม่ใช่โอตตัปปะ

ชื่อว่า อโนตัปปะ (ความเป็นผู้ไม่กลัว) ในธรรมทั้งสองเหล่านั้น อหิริกะ

มีการไม่รังเกียจกายทุจริตเป็นต้นเป็นลักษณะ. หรือมีความไม่ละอายกายทุจริต

เป็นต้นเป็นลักษณะ (กายทุจฺจริตาทีหิ อชิคุจฺฉนลกฺขณ อลชฺชนลกฺขณ

วา). อโนตตัปปะ มีความไม่กลัวกายทุจริตเป็นต้นเหล่านั้นนั่นแหละเป็น

ลักษณะ หรือมีความไม่สะดุ้งกายทุจริตเป็นต้นเหล่านั้นเป็นลักษณะ (เตเหว

อสารชฺชกฺขณ อนุตฺตาสนลกฺขณ วา). พละคืออหิริกะนั่นแหละ ชื่อว่า

อหิรกพละ. พละคืออโนตตัปปะนั่นแหละ ชื่อว่า อโนตัปปพละ. เนื้อความ

สังเขปในอธิการแห่งอกุศลนี้มีเท่านี้. ส่วนความพิสดารพึงทราบด้วยสามารถ

ความเป็นปฏิปักษ์กันตามที่กล่าวในหนหลังนั่นแหละ.

สภาวธรรมที่ชื่อว่า โลภะ เพราะอรรถว่า เป็นเหตุให้คนอยากได้

หรืออยากได้เอง หรือเป็นเพียงอยากได้เท่านั้น. ที่ชื่อว่า โมหะ เพราะอรรถว่า

เป็นเหตุให้คนหลง หรือหลงเอง หรือเป็นเพียงความหลงเท่านั้น. บรรดาสภาวะ

ทั้งสองเหล่านั้น โลภะ มีการยึดอารมณ์เป็นลักษณะ (อารมฺมณคฺคหณ-

ลกฺขโณ) เหมือนลิงติดตัง มีความคิดในอารมณ์เป็นรส (อภิสครโส)

เหมือนชิ้นเนื้อที่ใส่ในกระเบื้องร้อน มีการไม่สละไปเป็นปัจจุปัฏฐาน (อปริ-

จาคปจฺจุปฏฺาโน) เหมือนเปื้อนสีน้ำมันและยาหยอดตา มีความเห็นชอบ

ใจในธรรมเป็นอารมณ์ของสังโยชน์ เป็นปทัฏฐาน (สญฺโชนิยธมฺเมสุ

อสฺสาททสฺสนปทฏฺาโน) เมื่อเจริญขึ้นโดยความเป็นแม่น้ำ คือ ตัณหา

* บทนี้เป็น อริริกฺก ท่านลบกะอักษรจึงเป็นอหิริก.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 7

พึงทราบว่า ย่อมพาไปสู่อบายเท่านั้น เหมือนแม่น้ำมีกระแสอันเชี่ยว ย่อม

ไหลพัดพาไปสู่มหาสมุทรฉะนั้น.

โมหะ มีความมืดมนแห่งจิตเป็นลักษณะ หรือมีความไม่รู้เป็นลักษณะ

(จิตฺตสฺส อนฺธภาวลกฺขโณ อญฺาณลกฺขโน วา) มีความไม่แทงตลอด

เป็นรส (อสมฺปฏิเวธรโส) หรือมีความปกปิดสภาวะแห่งอารมณ์เป็นรส

(อารมมณสภาวจฺฉาทนรโส วา) มีการไม่ปฏิบัติโดยชอบเป็นปัจจุปัฏฐาน

(อสมฺมาปฏิปตฺติปจฺจุปฏฺาโน) หรือมีความมืดมนเป็นปัจจุปัฏฐาน

(อนฺธการปจจุปฏฺาโน วา) มีการทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคายเป็น

ปทัฏฐาน (อโยนิโสมนสการปทฏฺาโน) พึงทราบว่า เป็นมูลของอกุศล

ธรรมทั้งปวง.

สภาวธรรมที่ชื่อว่า อภิชฌา เพราะอรรถว่า เป็นเหตุให้คนเพ่งเฉพาะ

หรือย่อมเพ่งเฉพาะเอง หรือธรรมนี้เป็นเพียงการเพ่งเฉพาะเท่านั้น. อภิชฌา

นั้นมีความปรารถนากระทำสมบัติของผู้อื่นให้เป็นของตนเป็นลักษณะ (ปรสมฺ-

ปตฺตีน สกกรณอิจฺฉาลกฺขณา) มีความเกี่ยวข้องโดยอาการอย่างนั้นเป็นรส

(เตนากาเรน ปสงฺคภาวรสา) มีความมุ่งหมายแต่สมบัติของผู้อื่นเป็น

ปัจจุปัฏฐาน (ปรสมฺปตฺติอภิมุขภาวปจฺจุปฏฺานา) มีความยินดียิ่งใน

สมบัติของผู้อื่นเป็นปทัฏฐาน (ปรสมฺปตฺตีสุ อภิรติปทฏฺานา). จริงอยู่

อภิชฌานั้นย่อมปรากฏมุ่งหน้าแต่สมบัติของผู้อื่นเท่านั้น ก็เมื่อความยินดียิ่งมีอยู่

อภิชฌานั้นก็ย่อมเป็นไปในสมบัติของผู้อื่น พึงทราบว่า เหมือนจิตเหยียดมือไป

ในสมบัติเหล่านั้น ฉะนั้น.

พึงทราบวินิจฉัยในคำเป็นต้นว่า สมถะย่อมมี ต่อไป.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 8

สภาวธรรมที่ชื่อว่า สมถะ เพราะสงบความฟุ้งซ่านในกิจอื่น ๆ

ที่ชื่อว่า ปัคคาหะ เพราะประคองจิตให้เป็นไปในอกุศล. ชื่อว่า อวิกเขปะ

เพราะไม่ซัดส่ายไป. ในอกุศลจิตนี้ ไม่ถือเอาธรรมเหล่านี้คือ ศรัทธา สติ

ปัญญา และธรรม ๖ คู่ เพราะเหตุไร ? เพราะขึ้นชื่อว่า ความเลื่อมใสใน

จิตที่ไม่มีศรัทธาหามีได้ไม่ ฉะนั้น เบื้องต้นนี้จึงไม่ถือเอาศรัทธา. ถามว่า

ก็คนมีทิฏฐิทั้งหลายไม่เชื่อศาสดาของตน ๆ หรือ ? ตอบว่า เชื่อ. แต่การ

เชื่อนั้นไม่ชื่อว่าเป็นศรัทธา คำเชื่อนี้เป็นเพียงการรับคำเท่านั้น ว่าโดยอรรถ

ความเชื่อนั้นย่อมเป็นความเชื่อที่ปราศจากความใคร่ครวญบ้าง เป็นทิฏฐิบ้าง.

อนึ่ง สติย่อมไม่มีในอกุศลจิตเพราะไม่เป็นที่ตั้งแห่งสติ เพราะฉะนั้น

พระองค์จึงไม่ถือเอา. ถามว่า บุคคลผู้มีทิฏฐิทั้งหลายย่อมไม่ระลึกถึงการงาน

อันตนกระทำบ้างหรือ ? ตอบว่า ย่อมระลึก แต่การระลึกนั้นไม่ชื่อว่าเป็นสติ

เพราะอาการระลึกนั้น เป็นความประพฤติของอกุศลจิตอย่างเดียว ฉะนั้น จึงไม่

ทรงถือเอาสติ. ถามว่า เมื่อความเป็นอย่างนั้น เพราะเหตุไร ในพระสูตร

จึงตรัสว่า มิจฉาสติ เป็นความระลึกเล่า ? ตอบว่า เพื่อจะทรงยังมิจฉัตตะ

แห่งมิจฉามรรคให้บริบูรณ์ เพราะอกุศลขันธ์ทั้งหลายเป็นสภาวะเว้นจากสติ

และเป็นปฏิปักษ์ต่อสติ จึงทรงทำเทศนามิจฉาสติไหวในพระสูตรนั้นโดยปริยาย

แต่มิจฉาสตินั้นว่าโดยนิปปริยายย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น จึงไม่ทรงถือเอา.

อนึ่ง ปัญญา ย่อมไม่มีในจิตของอันธพาลนั้น เพราะฉะนั้น จึงไม่

ทรงถือเอา. ถามว่า ความรู้ (ปญฺา) เป็นเครื่องหลอกลวงของบุคคลผู้เป็น

มิจฉาทิฏฐิ ไม่มีหรือ ? ตอบว่า มีอยู่ แต่ความรู้เป็นเครื่องหลอกลวงนั้นไม่

ชื่อว่า ปัญญา ความรู้นั้นชื่อว่าเป็นมายา ว่าโดยใจความ มายานั้นก็คือตัณหา

นั่นเอง. ก็เพราะจิตนี้เป็นจิตกระวนกระวาย หนัก หยาบ แข็ง กระด้าง

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 9

ไม่ควรแก่การงาน ป่วย คด โกง ฉะนั้น ธรรม ๖ คู่ มีปัสสัทธิเป็นต้น

พระองค์จึงไม่ทรงถือเอา.

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงบท ๓๒ ที่ขึ้นสู่พระบาลีด้วยสามารถ

องค์แห่งจิตโดยลำดับบทเพียงเท่านี้แล้ว บัดนี้ เพื่อทรงแสดงเยวาปนกธรรมจึง

ตรัสพระพุทธพจน์มีอาทิว่า เย วา ปน ตสฺมึ สมเย (ก็หรือว่านามธรรม

ที่อิงอาศัยกันเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น) ดังนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในคำมีอาทิว่า เยวาปนกธรรมนั้นต่อไป.

ในอกุศลจิตแม้ทั้งหมด ธรรมทั้ง ๑๐ เหล่านี้เท่านั้น คือ ฉันทะ

อธิโมกข์ มนสิการ มานะ อิสสา มัจฉริยะ ถีนะ มิทธะ อุทธัจจะ กุกกุจจะ

เป็นเยวาปนกธรรมมาในพระสูตร ย่อมปรากฏในบทพระสูตร เพราะฉะนั้น

ข้าพเจ้าจึงกล่าวไว้ในที่นี้ ส่วนในอกุศลจิตนี้มีเยวาปนกธรรม ๔ ประการ

กล่าวคือเป็นองค์ที่แน่นอน คือ ฉันทะ อธิโมกข์ มนสิการ อุทธัจจะ.

ในบรรดาเยวาปนกธรรมเหล่านั้น ธรรมมีฉันทะเป็นต้น พึงทราบ

โดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ ก็ธรรมมีฉันทะเป็นต้น (ฉันทะ ๑

อธิโมกข์ ๑ มนสิการ ๑ ตัตรมัชฌัตตตา ๑ ตามนัยที่กล่าวแล้วนั้น) เป็นกุศล

อย่างเดียว ธรรมมีฉันทะเป็นต้น (คือ ฉันทะ ๑ อธิโมกข์ ๑ มนสิการ ๑

อุทธัจจะ ๑) เหล่านี้เป็นอกุศล. ส่วนธรรมนอกนี้ ความที่จิตฟุ้งซ่าน ชื่อว่า

อุทธัจจะ.

อุทธัจจะนั้นมีความไม่เข้าไปสงบเป็นลักษณะ (อวูปสมนลกฺขณ)

เหมือนน้ำกระเพื่อมเพราะลมพัด มีความไม่ตั้งมั่นเป็นรส (อนวฏฺานรส)

เหมือนธงชัยและธงแผ่นผ้าพริ้วไปเพราะลมพัด, มีความพล่านไปเป็นปัจจุบัน-

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 10

ฐาน (ภนฺตตฺตปจฺจุปฏฺาน) มีความไม่เข้าไปสงบเหมือนขี้เถ้าฟุ้งขึ้นเพราะ

แผ่นหินที่ทุ่มลง, มีความมนสิการโดยอุบายไม่แยบคายเป็นปทัฏฐาน (เจตโส

อวูปสโม อโยนิโสมนสิการปทฏฺาน) พึงทราบว่าเป็นความฟุ้งซ่านแห่งจิต.

บทธรรม ๓๒ มีผัสสะเป็นต้น (มีอวิกเขปะเป็นที่สุด) กับบทธรรม

๔ มีฉันทะเป็นต้นที่ตรัสด้วยอำนาจเยวาปนกธรรม รวมทั้งหมดเป็นบทธรรม

๓๖ ในวาระแห่งธัมมุทเทสนี้. บทธรรมที่มาในบาลีเหล่านั้นลดบทธรรมที่เป็น

เยวาปนกธรรมที่แน่นอน ๔ อย่าง ออกแล้วก็เหลือ ๓๒ เท่านั้น ด้วยประการฉะ

นี้. แต่ในอุทเทสแห่งอกุศลนี้ เพราะเว้นธรรมที่ไม่ถือเอาจึงเป็นธรรม ๑๖ บท

คือ หมวดธรรม ๕ มีผัสสะเป็นต้น* วิตก ๑ วิจาร ๑ ปีติ ๑ เอกัคคตาจิต ๑

วิริยินทรีย์ ๑ ชีวิตินทรีย์ ๑ มิจฉาทิฏฐิ ๑ โลภะ ๑ โมหะ ๑ อหิริกะ ๑

อโนตตัปปะ ๑.

บรรดาธรรม ๑๖ เหล่านั้น ธรรม ๗ จำแนกไม่ได้ ธรรม ๙ จำแนกได้

ธรรม ๗ ที่จำแนกไม่ได้ เป็นไฉน ? ธรรมที่จำแนกไม่ได้เหล่านี้คือ ผัสสะ

สัญญา เจตนา วิจาร ปีติ ชีวิตินทรีย์ โมหะ ส่วนธรรมที่จำแนกได้ ๙

เหล่านี้ คือ เวทนา จิต วิตก เอกัคคตาจิต วิริยินทรีย์ มิจฉาทิฏฐิ อหิริกะ

อโนตตัปปะ โลภะ.

บรรดาธรรม ๑๖ อย่างเหล่านั้น ธรรม ๖ อย่างจำแนกได้ ๒ ฐาน

ธรรมอย่างหนึ่งจำแนกได้ ๓ ฐาน ธรรมอย่างหนึ่งจำแนกได้ ๔ ฐาน และ

ธรรมอีกอย่างหนึ่งจำแนกได้ ๖ ฐาน. เป็นอย่างไร ? ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้

คือ จิต วิตก มิจฉาทิฏฐิ อหิริกพละ อโนตตัปปพละ โลภะ

จำแนกได้ ๒ ฐาน. จริงอยู่ บรรดาธรรมทั้ง ๖ เหล่านั้น จิตก่อนเพ่งถึง

ผัสสปัญจกะเรียกว่าจิต เพ่งถึงอินทรีย์เรียกว่ามนินทรีย์. วิตกเพ่งถึงองค์ฌาน

* ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 11

ทั้งหลายเรียกว่าวิตก เพ่งถึงองค์มรรคทั้งหลายเรียกว่ามิจฉาสังกัปปะ. มิจฉาทิฏฐิ

ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิเหมือนกันทั้งในองค์มรรคทั้งในกรรมบถ. อหิริกะเพ่งถึงพละ

ทั้งหลายเรียกว่าอหิริกพละ เพ่งถึงหมวดสองแห่งธรรมเป็นเครื่องยังโลกให้

พินาศเรียกว่าอหิริกะ แม้ในอโนตตัปปะก็นัยนี้แหละ. โลภะเพ่งถึงมูลเรียกว่า

โลภะ เพ่งถึงกรรมบถ เรียกว่า อภิชฌา. ธรรม ๖ อย่างเหล่านี้ท่านจำแนก

ในฐานะทั้ง ๒ ด้วยประการฉะนี้.

ส่วนเวทนาเพ่งถึงผัสสปัญจกะเรียกว่าเวทนา เพ่งถึงองค์ฌานทั้งหลาย

เรียกว่า สุข เพ่งถึงอินทรีย์ทั้งหลาย เรียกว่า โสมนัสสินทรีย์ ธรรม (เวทนา)

อย่างเดียวจำแนกได้ ๓ ฐานด้วยประการฉะนี้. ก็วิริยะเพ่งถึงอินทรีย์ทั้งหลาย

เรียกว่า วิริยินทรีย์ เพ่งถึงองค์มรรคทั้งหลาย เรียกว่า มิจฉาวายามะ เพ่งถึง

พละ เรียกว่า วิริยพละ เพ่งถึงธรรมปิฏฐิทุกะ เรียกว่า ปัคคาหะ ธรรม

(วิริยะ) อย่างเดียวนี้ท่านจำแนกไว้ ๔ ฐาน ด้วยประการฉะนี้. ก็สมาธิเพ่งถึง

องค์ฌานทั้งหลาย เรียกว่า เอกัคคตาจิต เพ่งถึงอินทรีย์ เรียกว่า สมาธินทรีย์

เพ่งถึงองค์มรรคทั้งหลาย เรียกว่า มิจฉาสมาธิ เพ่งถึงพละทั้งหลาย เรียกว่า

สมาธิพละ เพ่งถึงธรรมปิฏฐิทุกะ เรียกว่า สมถะ ด้วยสามารถแห่งธรรม

หมวดหนึ่งในทุติยทุกะ เรียกว่า อวิกเขปะ โดยทุกะที่สาม ธรรม (สมถะ)

นี้อย่างเดียวท่านจำแนกไว้ ๖ ฐาน ด้วยประการฉะนี้.

ก็ธรรมแม้ทั้งหมดเหล่านั้นจัดเป็น ๙ กอง คือ

ผัสสปัญจกะ ๑ องค์ฌาน ๑ อินทรีย์ ๑ องค์มรรค ๑ พละ ๑

มูล ๑ กรรมบถ ๑ โลกนาสกธรรม ๑ ปิฏฐิทุกะ ๑.

บรรดาธรรม ๙ กองนั้น กองนั้น คำใดที่ข้าพเจ้าพึงกล่าว คำนั้นข้าพเจ้ากล่าว

ไว้ในนิทเทสแห่งกุศลจิตดวงที่หนึ่งแล้วแล.

จบกถาว่าด้วยธัมมุทเทสวาร

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 12

บาลีนิทเทสวาร

[๒๗๘] สัญญา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การจำ กิริยาที่จำ ความจำ อันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุที่

สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัญญา มีในสมัยนั้น.

[๒๗๙] เจตนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การคิด กิริยาที่คิด ความคิด อันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุ

ที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เจตนา มีในสมัยนั้น.

[๒๘๐] จิต มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์

วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

จิต มีในสมัยนั้น.

[๒๘๑] วิตก มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ความดำริ ความที่จิตแนบอยู่ใน

อารมณ์ ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ มิจฉา-

สังกัปปะ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า วิตก มีในสมัยนั้น.

[๒๘๒] วิจาร มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตรอง ความพิจารณา ความตามพิจารณา ความเข้าไปพิจารณา

ความที่จิตสืบต่ออารมณ์ ความที่จิตเพ่งดูอารมณ์ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

วิจาร มีในสมัยนั้น.

[๒๘๓] ปีติ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 13

ความอิ่มใจ ความปราโมทย์ ความยินดียิ่ง ความบันเทิง ความร่าเริง

ความรื่นเริง ความปลื้มใจ ความตื่นเต้น ความที่จิตชื่นชมยินดี ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ปีติ มีในสมัยนั้น.

[๒๘๔] สุข มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบาย เป็นสุข

อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาที่เสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส

ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สุข มีในสมัยนั้น.

[๒๘๕] เอกัคคตา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความ

ไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ

สมาธินทรีย์ สมาธิพละ มิจฉาสมาธิ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เอกัคคตา

มีในสมัยนั้น.

[๒๘๖] วิริยินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การปรารภความเพียรทางใจ ความขะมักเขม้น ความบากบั่น ความ

ตั้งหน้า ความพยายาม ความอุตสาหะ ความทนทาน ความเข้มแข็ง ความ

หมั่น ความก้าวไปอย่างไม่ท้อถอย ความไม่ทอดทิ้งฉันทะ ความไม่ทอดทิ้ง

ธุระ ความประคับประคองธุระ วิริยะ อินทรีย์คือวิริยะ วิริยพละ มิจฉาวายามะ

ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า วิริยินทรีย์ มีในสมัยนั้น.

[๒๘๗] สมาธินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความ

ไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 14

อินทรีย์คือสมาธิ สมาธิพละ มิจฉาสมาธิ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

สมาธินทรีย์ มีในสมัยนั้น.

[๒๘๘] มนินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ อินทรีย์คือ

มโนวิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด

นี้ชื่อว่า มนินทรีย์ มีในสมัยนั้น.

[๒๘๙] โสมนัสสินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบาย เป็นสุข

อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาที่เสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส

ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า โสมนัสสินทรีย์มีในสมัยนั้น.

[๒๙๐] ชีวิตินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

อายุ ความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ กิริยาที่เป็นไปอยู่ อาการสืบเนื่อง

กันอยู่ ความประพฤติเป็นไปอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่ ชีวิต อินทรีย์คือชีวิต

ของนามธรรมนั้น ๆ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า ชีวิตินทรีย์ มีในสมัยนั้น.

[๒๙๑] มิจฉาทิฏฐิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ป่าชัฏคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็น

เป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปรแห่งทิฏฐิ สัญโญชน์คือทิฏฐิ ความยึดถือ

ความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความถือผิด ทางชั่ว ทางผิด ภาวะที่ผิด ลัทธิ

เป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดยวิปลาสในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

มิจฉาทิฏฐิ มีในสมัยนั้น.

[๒๙๒] มิจฉาสังกัปปะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 15

ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ความดำริ ความที่จิตแนบอยู่ใน

อารมณ์ ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ ความ

ดำริผิด ในสมัยนั้น อันใด ที่ชื่อว่า มิจฉาสังกัปปะ มีในสมัยนั้น.

[๒๙๓] มิจฉาวายามะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การปรารภความเพียรทางใจ ความขะมักเขม้น ความบากบั่น ความ

ตั้งหน้า ความพยายาม ความอุตสาหะ ความทนทาน ความเข้มแข็ง ความหมั่น

ความก้าวไปอย่างไม่ท้อถอย ความไม่ทอดทิ้งฉันทะ ความไม่ทอดทิ้งธุระ

ความประคับประคองธุระ วิริยะ วิริยินทรีย์ วิริยพละ ความพยายามผิด

ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า มิจฉาวายามะ มีในสมัยนั้น.

[๒๙๔] มิจฉาสมาธิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความ

ไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ

สมาธินทรีย์ สมาธิพละ ความตั้งใจผิด ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า มิจฉาสมาธิ

มีในสมัยนั้น.

[๒๙๕] วิริยพละ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความปรารภความเพียรทางใจ ความขะมักเขม้น ความบากบั่น ความ

ตั้งหน้า ความพยายาม ความอุตสาหะ ความทนทาน ความเข้มแข็ง ความ

หมั่น ความก้าวหน้าไปอย่างไม่ท้อถอย ความไม่ทอดทิ้งฉันทะ ความไม่ทอดทิ้ง

ธุระ ความประคับประคองธุระ วิริยะ วิริยินทรีย์ กำลังคือวิริยะ มิจฉาวายามะ

ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า วิริยพละ มีในสมัยนั้น.

[๒๙๖] สมาธิพละ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 16

ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความ

ไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ

สมาธินทรีย์ กำลังคือสมาธิ มิจฉาสมาธิ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สมาธิพละ

มีในสมัยนั้น.

[๒๙๗] อหิริกพละ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

กิริยาที่ไม่ละอายต่อการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่น่าละอาย กิริยาที่ไม่

ละอายต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทั้งหลาย ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

อหิริกพละ มีในสมัยนั้น.

[๒๙๘] อโนตตัปปพละ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน

กิริยาที่ไม่เกรงกลัวต่อการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่น่าเกรงกลัว กิริยา

ที่ไม่เกรงกลัวต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทั้งหลาย ในสมัยนั้น อันใด

นี้ชื่อว่า อโนตตัปปพละมีในสมัยนั้น.

[๒๙๙] โลภะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การโลภ กิริยาที่โลภ ความโลภ การกำหนัดนัก กิริยาที่กำหนัดนัก

ความกำหนัด ความเพ่งเล็ง อกุศลมูลคือโลภะ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

โลภะมีในสมัยนั้น.

[๓๐๐] โมหะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความไม่รู้ ความไม่เห็น ความไม่ตรัสรู้ ความไม่รู้โดยสมควร ความ

ไม่รู้ตามความเป็นจริง ความไม่แทงตลอด ความไม่ถือเอาให้ถูกต้อง ความ

ไม่หยั่งลงโดยรอบคอบ ความไม่พินิจ ความไม่พิจารณา ความไม่กระทำให้

ประจักษ์ ความทรามปัญญา ความโง่เขลา ความไม่รู้ชัด ความหลง ความ

ลุ่มหลง ความหลงใหล อวิชชา โอฆะคืออวิชชา โยคะคืออวิชชา อนุสัย

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 17

คืออวิชชา ปริยุฏฐานคืออวิชชา ลิ่มคืออวิชชา อกุศลมูลคือโมหะ ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า โมหะ มีในสมัยนั้น.

[๓๐๑] อภิชฌา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การโลภ กิริยาที่โลภ ความโลภ ความกำหนัด กิริยาที่กำหนัด

ความกำหนัดนัก ความเพ่งเล็ง อกุศลมูลคือโลภะ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

อภิชฌา มีในสมัยนั้น.

[๓๐๒] มิจฉาทิฏฐิ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ทิฏฐิ ความเป็นไปข้างทิฏฐิ ป่าช้าคือทิฏฐิ กันดารคือทิฏฐิ ความเห็น

เป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ ความผันแปรแห่งทิฏฐิ สัญโญชน์ คือทิฏฐิ ความ

ยึดถือ ความยึดมั่น ความตั้งมั่น ความถือผิด ทางชั่ว ทางผิด ภาวะที่ผิด

ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือโดยวิปลาส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

มิจฉาทิฏฐิ มีในสมัยนั้น.

[๓๐๓] อหิริกะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

กิริยาที่ไม่ละอายต่อการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่น่าละอายกิริยาที่ไม่

ละอายต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทั้งหลาย ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

อหิริกะ มีในสมัยนั้น.

[๓๐๔] อโนตตัปปะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

กิริยาที่ไม่เกรงกลัวต่อการประพฤติทุจริตอันเป็นสิ่งที่น่าเกรงกลัว

กิริยาที่ไม่เกรงกลัวต่อการประกอบอกุศลบาปธรรมทั้งหลาย ในสมัยนั้น อันใด

นี้ชื่อว่า อโนตตัปปะ มีในสมัยนั้น.

[๓๐๕] สมณะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความ

ไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 18

สมาธินทรีย์ สมาธิพละ มิจฉาสมาธิ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สมถะ

มีในสมัยนั้น.

[๓๐๖] ปัคคาหะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การปรารภความเพียรทางใจ ความขะมักเขม้น ความบากบั่น ความ

ตั้งหน้า ความพยายาม ความอุตสาหะ ความทนทาน ความเข้มแข็ง ความหมั่น

ความก้าวไปอย่างไม่ท้อถอย ความไม่ทอดทิ้งฉันทะ ความไม่ทอดทิ้งธุระ

ความประดับประคองธุระ วิริยะ วิริยินทรีย์ วิริยพละ มิจฉาวายามะ ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ปัคคาหะ มีในสมัยนั้น.

[๓๐๗] อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความ

ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ

สมาธินทรีย์ สมาธิพละ มิจฉาสมาะ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น.

[๓๐๘] หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

[๓๐๙] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๕

ฌานมีองค์ ๕ มรรคมีองค์ ๔ พละ ๔ เหตุ ๒ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑

ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน

สมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

[๓๑๐] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 19

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร ปีติ เอกัคคตา วิริยินทรีย์ สมาธินทรีย์

ชีวิตินทรีย์ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วิริยพละ

สมาธิพละ อหิริกพละ อโนตตัปปพละ โลภะ โมหะ อภิชฌา มิจฉาทิฏฐิ

อหิริกะ อโนตตัปปะ สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะ หรือนามธรรมที่อิงอาศัย

เกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ในสมัยนั้น

นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

อรรถกถาแสดงนิทเทสวาร

พึงทราบวินิจฉัยนิทเทสเอกัคคตาแห่งจิตในนิทเทสวารก่อน.

สองบทนี้ที่ตรัสว่า สณฺิติ (ความดำรงอยู่) อวฏฺิติ (ความมั่น

อยู่) เป็นคำไวพจน์ของบท ฐิติ (ความตั้งอยู่) นั่นแหละ ส่วนคำใดที่กล่าวไว้

ในนิทเทสแห่งกุศลว่า ชื่อว่า อวฏฺิติ (ความมั่นอยู่) เพราะอรรถว่า หยั่งลง

คือเข้าไปสู่อารมณ์แล้วตั้งอยู่ ดังนี้ คำนั้นไม่ได้ในนิทเทสแห่งอกุศลนี้ เพราะว่า

ในอกุศล เอกัคคตาแห่งจิตมีกำลังทราม เพราะฉะนั้น สองบทว่า (สณฺิติ

และอวฏิติ) นี้ ข้าพเจ้าแสดงไว้ในบทหลังตามที่กล่าวแล้วนั้นแล.

ธรรมที่ชื่อว่า อวิสาหาโร (ความไม่ส่ายไปแห่งจิต) เพราะเป็น

สภาพตรงกันข้ามกับความส่ายไป ซึ่งเป็นไปด้วยอำนาจอุทธัจจะและวิจิกิจฉา

เพราะฉะนั้น ในนิทเทสแห่งอกุศลนี้ จึงไม่ได้อรรถะแม้เช่นนี้ แต่ในสหชาต-

ธรรม จิตชื่อว่า อวิสาหาร เพราะอรรถว่า ย่อมไม่ส่ายไป. ที่ชื่อว่า อวิกเขปะ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 20

(ความไม่ฟุ้งซ่าน) เพราะอรรถว่า ย่อมไม่ฟุ้งไป. ภาวะแห่งใจที่ไม่ส่ายไปด้วย

สามารถเอกัคคตาแห่งจิตที่เป็นอกุศล ชื่อว่า อวิสาหฏมานสตา (ภาวะที่จิต

ไม่ส่ายไป). ที่ชื่อว่า สมาธิพละ เพราะอรรถว่า ย่อมไม่หวั่นไหวในสหชาตธรรม

ทั้งหลาย. ที่ชื่อว่า มิจฉาสมาธิ เพราะตั้งมั่นตามความไม่เป็นจริง พึงทราบ

เนื้อความในอธิการแห่งอกุศลนี้ อย่างนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งวิริยินทรีย์ต่อไป.

นัยมีอาทิว่า ก็นี้เป็นความบากบั่นเพื่อบรรเทากามทั้งหลาย อันใดที่

ข้าพเจ้ากล่าวในหนหลัง นัยนั้นย่อมไม่ได้ในนิทเทสแห่งอกุศลนี้. พึงทราบว่า

ชื่อว่า วิริยพละ ด้วยอรรถว่าไม่หวั่นไหวในสหชาตธรรมทั้งหลายเท่านั้น.

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งมิจฉาทิฏฐิต่อไป.

สภาวะที่ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ ด้วยอรรถว่า เห็นตามความไม่เป็นจริง.

ที่ชื่อว่า ทิฏฐิคตะ (ความเห็นไปข้างทิฏฐิ) เพราะอรรถว่า ความเห็นนี้

เป็นไปในทิฏฐิทั้งหลาย เพราะเป็นสภาวะหยั่งลงภายในทิฏฐิ ๖๒. เนื้อความ

แห่งทิฏฐิแม้นี้ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในหลังนั่นแหละ. ทิฏฐินั่นแหละ ชื่อว่า

ทิฏฐิคหณะ (ป่าชัฏคือทิฏฐิ) เพราะอรรถว่า ก้าวล่วงไปโดยยาก เหมือนชัฏหญ้า

ชัฏป่า ชัฏภูเขา. ทิฏฐินั่นแหละ ชื่อว่า ทิฏฐิกันดาร (กันดารคือทิฏฐิ) ด้วย

อรรถว่า น่าระแวงและมีภัยเฉพาะหน้า เหมือนกันดารโจร กันดารสัตว์ร้าย

กันดารทราย กันดารน้ำ กันดารทุพภิกขภัย. ที่ชื่อว่า ทิฏฐิวิสูกายิกะ (ความ

เห็นเป็นข้าศึกต่อสัมมาทิฏฐิ) ด้วยอรรถว่าขัดแย้งและทวนกันสัมมาทิฏฐิ. จริง

อยู่ ความเห็นผิคเมื่อเกิดย่อมขัดแย้ง และทวนสัมมาทิฏฐิไป ที่ชื่อว่า ทิฏฐิวิป-

ผันทิตะ (ความผันแปรแห่งทิฏฐิ) เพราะอรรถว่า ผันแปรผิดรูปแห่งทิฏฐิ

เพราะบางคราวก็ถือเอา ความเที่ยง บางคราวก็ถือเอาความขาดสูญ เพราะว่า

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 21

คนผู้มีความเห็นผิดย่อมไม่อาจตั้งอยู่ในสิ่งเดียว คือบางคราวก็คล้อยตามความ

เที่ยง บางคราวก็คล้อยตามความขาดสูญ. ทิฏฐินั่นแหละ ชื่อว่า สัญโญชน์

ด้วยอรรถว่าเป็นเครื่องผูก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ทิฏฐิสัญโญชน์. ที่ชื่อว่า

คาหะ (ความยึดถือ) เพราะอรรถว่า ย่อมยึดอารมณ์ไว้มั่น เหมือนสัตว์ร้ายมี

จระเข้เป็นต้น เอาปากงับคนไว้มั่นฉะนั้น. ที่ชื่อว่า ปติฏฐวาหะ* (ความตั้งมั่น)

เพราะตั้งไว้โดยเฉพาะ จริงอยู่ ความตั้งมั่นนี้ ตั้งมั่นแล้วยึดไว้โดยความเป็น

ไปอย่างมีกำลัง. ที่ชื่อว่า อภินิเวสะ (ความยึดมั่น) เพราะอรรถว่า ย่อม

ตั้งมั่นโดยความเป็นของเที่ยงเป็นต้น ที่ชื่อว่า ปรามาสะ (ความถือผิด)

เพราะอรรถว่า ก้าวล่วงสภาวธรรมแล้ว ถือเอาโดยประการอื่นด้วยอำนาจแห่ง

ความเที่ยงเป็นต้น. ที่ชื่อว่า กุมมัคคะ (ทางชั่ว) เพราะอรรถว่า เป็นทาง

อันบัณฑิตเกลียด เพราะเป็นทางนำความพินาศมาให้ หรือเป็นทางแห่งอบาย

ทั้งหลายที่บัณฑิตเกลียด. ที่ชื่อว่า มิจฉาปถะ (ทางผิด) เพราะเป็นทางตาม

ความไม่เป็นจริง ที่ชื่อว่า มิจฉัตตะ (ภาวะที่ผิด) เพราะเป็นสภาพผิดเหมือน

กัน. เหมือนอย่างว่า ชนผู้หลงทิศ แม้ยึดถือว่า ทางนี้ชื่อทางของบ้านโน้น

ดังนี้ ก็ไม่ยังบุคคลนั้นให้ถึงบ้านได้ ฉันใด บุคคลผู้มิจฉาทิฏฐิ แม้ยึดถือว่า

ทางนี้เป็นไปสู่สุคติ ดังนี้ ก็ไม่สามารถถึงสุคติได้ ฉันนั้น. ชื่อว่า ทางผิด

เพราะเป็นทางตามความไม่เป็นจริง ทางนี้ ชื่อว่ามิจฉัตตะ เพราะมีสภาพผิด.

ที่ชื่อว่า ติตถะ (สัทธิเป็นดังท่า) เพราะเป็นที่ ๆ พวกคนพาลข้ามไป โดยการ

หมุนไปมาในที่นั้นนั้นแหละ ติตถะ (คือลัทธิ) นั้นด้วย เป็นอายตนะ (บ่อเกิด)

แห่งความฉิบหายด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า ติตถายตนะ (ลัทธิเป็น

บ่อเกิดแห่งความพินาศ). อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ติตถายตนะ เพราะอรรถว่า

เป็นอายตนะด้วยความหมายเป็นส่วนสัญชาติ และด้วยความหมายว่าเป็นที่อาศัย

* ในธรรมสังคณิเป็นปฏิคฺคาโห

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 22

ของพวกเดียรถีย์บ้าง. ที่ชื่อว่า วิปริเยสัคคาหะ (การถือโดยวิปลาส) เพราะ

อรรถว่า เป็นการถือสภาวะที่ใคร่ครวญผิด หรือว่าเป็นการถือสภาวะโดย

ตรงกันข้าม อธิบายว่า ถือเอาคลาคเคลื่อน.

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งอหิริกะและอโนตตัปปะต่อไป. บัณฑิต

พึงทราบเนื้อความแห่งอหิริกะและอโนตตัปปะโดยปริยายตรงกันข้ามในนิทเทส

แห่งหิริและโอตตัปปะ ก็บัณฑิต พึงทราบอหิริกพละและอโนตตัปปพละ

เพราะอรรถว่าไม่หวั่นไหวในสหชาตธรรมทั้งหลายเท่านั้น.

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งโลภะและโมหะต่อไป

สภาวะที่ชื่อว่า โลภะ เพราะอรรถว่า อยากได้. อาการที่โลภ ชื่อว่า

ลุพภนา (กิริยาที่โลภ) จิตที่สัมปยุตด้วยโลภะ หรือบุคคลผู้ประกอบด้วย

ความโลภ ชื่อว่า ลุพภิตะ ภาวะแห่งจิตที่สัมปยุตด้วยโลภะหรือแห่งบุคคลผู้

ประกอบด้วยความโลภ ชื่อว่า ลุพภิตัตตะ (ความโลภ) ที่ชื่อว่า สาราคะ

(ความกำหนัด) เพราะย่อมกำหนัดนัก. อาการแห่งความกำหนัดนัก ชื่อว่า

สารัชชนา (กิริยาที่กำหนัดนัก). ภาวะแห่งจิตที่กำหนัดนักชื่อว่า สารัชชิ-

ตัตตะ (ความกำหนัด). ชื่อว่า อภิชฌา ด้วยอรรถว่าเพ่งเล็ง.

การณะ (เหตุ) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยศัพท์ว่าโลภะอีก เพราะ

โลภะนั้นเป็นอกุศลด้วย เป็นมูลด้วย จึงชื่อว่า อกุศลมูล อีกอย่างหนึ่ง

โลภะนั้นเป็นมูลของอกุศลทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อกุศลมูล.

สภาวะที่ชื่อว่า อัญญาณ (ความไม่รู้) เพราะปฏิปักษ์ต่อญาณ. ที่ชื่อว่า

อทัสสนะ (ความไม่เห็น) เพราะปฏิปักษ์ต่อความเห็น. ที่ชื่อว่า อนภิสมัย

ความไม่ตรัสรู้) เพราะอรรถว่า เป็นสภาพเผชิญหน้าก็ไม่ตรัสรู้ตามธรรมได้

คือย่อมไม่ถึงโดยชอบ. ที่ชื่อว่า อนุโพธะ (ตรัสรู้โดยสมควร) เพราะอรรถว่า

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 23

ย่อมตรัสรู้ธรรมโดยสมควร ที่ชื่อว่า อนนุโพธะ (การไม่ตรัสรู้ธรรมโดย

สมควร) เพราะความที่อนนุโพธะนั้นเป็นปฏิปักษ์ต่ออนุโพธะนั้น. ที่ชื่อว่า

อสัมโพธะ (ไม่รู้ตามเป็นจริง) เพราะอรรถว่า ไม่ประกอบกับสภาวะทั้งหลาย

มีความไม่เที่ยงเป็นต้นแล้วตรัสรู้. ชื่อว่า อสัมโพธะ เพราะอรรถว่า ไม่

สงบและไม่ชอบ ดังนี้บ้าง. ที่ชื่อว่า อัปปฏิเวธะ (ไม่แทงตลอด) เพราะ

อรรถว่า ย่อมไม่แทงตลอดธรรมคือสัจจะ ๔. ที่ชื่อว่า อสังคาหณา (ไม่ถือ

เอาให้ถูกต้อง) เพราะอรรถว่า ย่อมไม่ถือเอาพร้อมแม้ธรรมหนึ่งในธรรมมี

รูปเป็นต้น โดยสามัญลักษณะมีความไม่เที่ยงเป็นต้น. ที่ชื่อว่า อปริโยคา-

หณา (ไม่หยั่งลงโดยรอบคอบ) เพราะอรรถว่า ย่อมไม่หยั่งลงสู่ธรรมนั้น

นั่นแหละ. ที่ชื่อว่า อสมเปกขนา (ความไม่พินิจ) เพราะอรรถว่า ย่อมไม่

เพ่งโดยสม่ำเสมอ. ที่ชื่อว่า อปัจจเวกขณา (ความไม่พิจารณา) เพราะ

อรรถว่า ย่อมไม่เพ่งเฉพาะสภาวะแห่งธรรมทั้งหลาย. ที่ชื่อว่า อปัจจักขกัมมะ

(การไม่ทำให้ประจักษ์) เพราะอรรถว่า กรรมแม้ข้อหนึ่งก็ไม่ประจักษ์แก่สภาวะ

นี้ในบรรดากุศลกรรมและอกุศลกรรมทั้งหลายด้วยความเป็นไปโดยวิปริตบ้าง

ด้วยไม่มีการกำหนดโดยสภาวะบ้าง อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า การทำให้ประจักษ์

แก่ธรรมไร ๆ เองมิได้มี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อปัจจักขกัมมะ. ที่ชื่อว่า

ทุมเมชฌะ (ความทรามปัญญา) เพราะอรรถว่า เมื่อโมหะนี้ยังไม่เกิดขึ้น

จิตสันดานใด พึงเป็นจิตบริสุทธิ์ คือสะอาดผ่องแผ้ว จิตสันดานอันบริสุทธิ์

นั้น อันโมหะนี้ประทุษร้ายแล้ว. ที่ชื่อว่า พาลยะ (ความโง่เขลา) เพราะ

อรรถว่า เป็นภาวะของพวกคนพาล. ที่ชื่อว่า โมหะ (ความหลง) เพราะ

อรรถว่า ย่อมหลง. โมหะมีกำลังแรงชื่อว่า ปโมหะ (ความลุ่มหลง) ที่ชื่อว่า

สัมโมหะ (หลงใหล) เพราะอรรถว่า ย่อมหลงโดยรอบ. ที่ชื่อว่า อวิชชา

เพราะอรรถว่า ไม่ใช่วิชชาเพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อวิชชา ความหมายของโอฆะ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 24

โยคะ และคัณฐะ ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วทั้งนั้น. ที่ชื่อว่า อนุสัย เพราะอรรถว่า

ย่อมนอนเนื่อง โดยอรรถว่ามีกำลัง. ที่ชื่อว่า ปริยุฏฐาน เพราะอรรถว่า

ย่อมกลุ้มรุม คือ ครอบงำจิต. ที่ชื่อว่า ลังคี (ลิ่ม) เพราะอรรถว่า ย่อม

ไม่อาจเพื่อไปมุ่งหน้าเฉพาะต่อประโยชน์ ย่อมติดโดยแท้ เพราะไม่มีการถือ

เอาประโยชน์ได้ คือ ย่อมไปลำบาก. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ลังคี เพราะอรรถ

ว่า ถอนขึ้นได้ยาก. เหมือนอย่างว่า ลิ่มกล่าวคือกลอนเหล็กใหญ่เป็นของถอน

ขึ้นโดยยาก ฉันใดอวิชชาเห็นก็ฉันนั้น เป็นราวกะลิ่ม เพราะฉะนั้น อวิชชา

นั้น จึงชื่อว่า ลังคี (ลิ่ม).

คำที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น เพราะฉะนั้น พึงทราบแม้สังคหวาระ

และสุญญตวาระโดยอรรถะ ด้วยนัยที่กล่าวไว้ในหนหลังนั่นแล.

จบอกุศลจิตดวงที่หนึ่ง

จิตดวงที่ ๒

[๓๑๑] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ?

อกุศลจิต สหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุตด้วยทิฏฐิ มีรูปเป็นอารมณ์ ฯลฯ

มีธรรมเป็นอารมณ์ ก็หรือว่าปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้นโดยมีการชักจูง ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 25

จิตดวงที่ ๓

[๓๑๒] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ?

อกุศลจิต สหรคตด้วยโสมนัส วิปปยุตจากทิฏฐิ มีรูปเป็นอารมณ์

หรือมีเสียงเป็นอารมณ์ มีกลิ่นเป็นอารมณ์ มีรสเป็นอารมณ์ มีโผฏฐัพพะเป็น

อารมณ์ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้นในสมัยใด

ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา วิริยินทรีย์

สมาธินทรีย์ มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ

มิจฉาสมาธิ วิริยพละ สมาธิพละ อหิริกพละ โอตตัปปพละ โลภะ โมหะ

อภิชฌา อหิริกะ อโนตตัปปะ สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะ มีอยู่ในสมัยนั้น

หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

[๓๑๓] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๕

ฌานมีองค์ ๕ มรรคมีองค์ ๓ พละ ๔ เหตุ ๒ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑

ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน

สมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

[๓๑๔] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร ปีติ เอกัคคตา วิริยินทรีย์ สมาธินทรีย์

ชีวิตินทรีย์ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วิริยพละ สมาธิพละ

อหิริกพละ โลภะ โมหะ อภิชฌา อหิริกะ อโนตตัปปะ สมถะ ปัคคาหะ

อวิกเขปะ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้น แม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 26

สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์ มีใน

สมัยใด ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

จิตดวงที่ ๔

[๓๑๕] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ?

อกุศลจิต สหรคตด้วยโสมนัส วิปปยุตจากทิฏฐิ มีรูปเป็นอารมณ์ ฯลฯ

มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ฯลฯ เกิดขึ้นโดยมีการชักจูง ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

จิตดวงที่ ๕

[๓๑๖] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ?

อกุศลจิต สหรคตด้วยอุเบกขา สัมปยุตด้วยทิฏฐิ มีรูปเป็นอารมณ์

หรือมีเสียงเป็นอารมณ์ มีกลิ่นเป็นอารมณ์ มีรสเป็นอารมณ์ มีโผฏฐัพพะ

เป็นอารมณ์ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้นในสมัยใด

ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา วิริยินทรีย์

สมาธินทรีย์ มนินทรีย์ อุเปกขินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ

มิจฉาสมาธิ วิริยพละ สมาธิพละ อหิริกพละ อโนตตัปปพละ โลภะ โมหะ

อภิชฌา มิจฉาทิฏฐิ อหิริกะ อโนตตัปปะ สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 27

[๓๑๗] ผัสสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาที่ถูกต้อง ความถูกต้องในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ผัสสะ มีในสมัยนั้น

เวทนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่ อันเกิดแต่

สัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ความเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิด

แต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส ใน

สมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เวทนา มีในสมัยนั้น ฯลฯ

อุเบกขา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่ ความเสวย

อารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์

ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า อุเบกขา มีใน

สมัยนั้น ฯลฯ

อุเปกขินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่ ความเสวย

อารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข

อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส

ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า อุเปกขินทรีย์ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

[๓๑๘] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๕

ฌานมีองค์ ๔ มรรคมีองค์ ๔ พละ ๕ เหตุ ๒ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 28

ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อันใด มีอยู่ใน

สมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

[๓๑๙] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกัคคตา วิริยินทรีย์ สมาธินทรีย์

ชีวิตินทรีย์ มิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วิริยพละ

สมาธิพละ อหิริกพละ อโนตตัปปะ โลภะ โมหะ อภิชฌา มิจฉาทิฏฐิ

อหิริกะ อโนตตัปปะ สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะ หรือนามธรรมที่อิงอาศัย

เกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ในสมัยนั้น

นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

จิตดวงที่ ๖

[๓๒๐] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ?

อกุศลจิต สหรตด้วยอุเบกขา สัมปยุตด้วยทิฏฐิ มีรูปเป็นอารมณ์

ฯลฯ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้นโดยมีการชักจูง

ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

จิตดวงที่ ๗

[๓๒๑ ] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ?

อกุศลจิต สหรคตด้วยอุเบกขา วิปปยุตจากทิฏฐิ มีรูปเป็นอารมณ์

หรือมีเสียงเป็นอารมณ์ มีกลิ่นเป็นอารมณ์ มีรสเป็นอารมณ์ มีโผฏฐัพพะเป็น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 29

อารมณ์ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้นในสมัยใด

ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา

วิริยินทรีย์ สมาธินทรีย์ มนินทรีย์ อุเปกขินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ มิจฉาสังกัปปะ

มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วิริยพละ สมาธิพละ อหิริกพละ อโนตตัปปพละ

โลภะ โมหะ อภิชฌา อหิริกะ อโนตตัปปะ สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะ มีใน

สมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

[๓๒๒] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๕ ฌานมี

องค์ มรรคมีองค์ ๓ พละ ๔ เหตุ ๒ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑ ธรรม-

ธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

[๓๒๓] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกัคคตา วิริยินทรีย์ สมาธินทรีย์

ชีวิตินทรีย์ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วิริยพละ สมาธิพละ

อหิริกพละ อโนตตัปปพละ โลภะ โมหะ อภิชฌา อหิริกะ อโนตตัปปะ

สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้น

เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาขันธ์ มีอยู่ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์

มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 30

จิตดวงที่ ๘

[๓๒๔] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ?

อกุศลจิต สหรคตด้วยอุเบกขา วิปปยุตด้วยทิฏฐิ มีรูปเป็นอารมณ์

ฯลฯ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้นโดยมีการชักจูง

ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

จิตดวงที่ ๙

[๓๒๕] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ?

อกุศลจิต สหรคตด้วยโทมนัส สัมปยุตด้วยปฏิฆะ มีรูปเป็นอารมณ์

หรือมีเสียงเป็นอารมณ์ มีกลิ่นเป็นอารมณ์ มีรสเป็นอารมณ์ มีโผฏฐัพพะ

เป็นอารมณ์ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้นในสมัยใด

ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร ทุกข์ เอกัคคตา วิริยินทรีย์

สมาธินทรีย์ มนินทรีย์ โทมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉา-

วายามะ มิจฉาสมาธิ วิริยพละ สมาธิพละ อหิริกพละ อโนตตัปปพละ โทสะ

โมหะ พยาปาทะ อหิริกะ อโนตตัปปะ สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะ มีใน

สมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

[๓๒๖] ผัสสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาที่ถูกต้อง ความถูกต้อง ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ผัสสะมีในสมัยนั้น

เวทนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 31

ความไม่สบายทางใจ ความทุกข์ทางใจอันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญ-

ญาณธาตุที่สมกัน ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อันเกิดแต่เจโตสัมผัส

กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อันเกิดแต่เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด

นี้ชื่อว่า เวทนามีในสมัยนั้น ฯลฯ

ทุกข์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความไม่สบายทางใจ ความทุกข์ทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบาย

เป็นทุกข์อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อันเกิดแต่

เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า ทุกข์ในสมัยนั้น ฯลฯ

โทมนัสสินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความไม่สบายทางใจ ความทุกข์ทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบาย

เป็นทุกข์อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อันเกิดแต่

เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า โทมนัสสินทรีย์มีในสมัยนั้น ฯลฯ

โทสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การคิดประทุษร้าย กิริยาที่คิดประทุษร้าย ความคิดประทุษร้าย การคิด

ปองร้าย กิริยาที่คิดปองร้าย ความคิดปองร้าย ความโกรธ ความแค้น

ความดุร้าย ความปากร้าย ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

โทสะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

พยาปาทะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การคิดประทุษร้าย กิริยาที่คิดประทุษร้าย ความคิดประทุษร้าย การ

คิดปองร้าย กิริยาที่คิดปองร้าย ความคิดปองร้าย ความโกรธ ความแค้น

ความดุร้าย ความปากร้าย ความไม่แช่มชื่นแห่งจิต ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

พยาปาทะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 32

หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

[๓๒๗] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๕ ฌาน

มีองค์ ๔ มรรคมีองค์ ๓ พละ ๔ เหตุ ๒ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑

ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน

สมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

[๓๒๘] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกคัคตา วิริยินทรีย์ สมาธินทรีย์

ชีวิตินทรีย์ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วิริยพละ สมาธิพละ

อหิริกพละ อโนตตัปปพละ โทสะ โมหะ พยาปาทะ อหิริกะ อโนตตัปปะ

สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้น

เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์

มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

จิตดวงที่ ๑๐

[๓๒๙] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ?

อกุศลจิต สหรคตด้วยโทมนัส สัมปยุตด้วยปฏิฆะ มีรูปเป็นอารมณ์

ฯลฯ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้นโดยมีการชักจูงใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 33

จิตดวงที่ ๑๑

[๓๓๐] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ?

อกุศลจิต สหรคตด้วยอุเบกขา สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉา มีรูปเป็นอารมณ์

หรือมีเสียงเป็นอารมณ์ มีกลิ่นเป็นอารมณ์ มีรสเป็นอารมณ์ มีโผฏฐัพพะเป็น

อารมณ์ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้นในสมัยใด ผัสสะ

เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา วิริยินทรีย์

มนินทรีย์ อุเปกขินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ มิจฉาสังกปะ มิจฉาวายามะ วิริยพละ

อหิริกพละ อโนตตัปพละ วิจิกิจฉา โมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ ปัคคาหะ

อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน

สมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

[๓๓๑] ผัสสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาที่ถูกต้อง ความถูกต้องในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ผัสสะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

เอกัคคตา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตั้งอยู่แห่งจิต ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เอกัคคตามีใน

สมัยนั้น ฯลฯ

วิจิกิจฉา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การเคลือบแคลง กิริยาที่เคลือบแคลง ความเคลือบแคลง ความคิดเห็น

ไปต่าง ๆ นานา ความตัดสินอารมณ์ไม่ได้ ความเห็นเป็นสองแง่ ความเห็น

เหมือนทางสองแพร่ง ความสงสัย ความไม่สามารถจะถือเอาโดยส่วนเดียวได้

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 34

ความคิดส่ายไป ความคิดพร่าไป ความไม่สามารถจะหยั่งลงถือเอาเป็นยุติได้

ความกระด้างแห่งจิต ความลังเลใจ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า วิจิกิจฉา

มีในสมัยนั้น ฯลฯ

หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

[๓๓๒] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๔ ฌาน

มีองค์ ๔ มรรคมีองค์ ๒ พละ ๓ เหตุ ๑ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑

ธรรมธาตุ ๑ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

[๓๓๓] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกัคคตา วิริยินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ วิริยพละ อหิริกพละ อโนตตัปปพละ วิจิกิจฉา

โมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ ปัคคาหะ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้

อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่า

สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

จิตดวงที่ ๑๒

[๓๓๔] ธรรมเป็นอกุศล เป็นไฉน ?

อกุศลจิต สหรคตด้วยอุเบกขา สัมปยุตด้วยอุทธัจจะ มีรูปเป็นอารมณ์

หรือมีเสียงเป็นอารมณ์ มีกลิ่นเป็นอารมณ์ มีรสเป็นอารมณ์ มีโผฏฐัพพะเป็น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 35

อารมณ์ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น ในสมัยใด

ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา

วิริยินทรีย์ สมาธินทรีย์ มนินทรีย์ อุเปกขินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ มิจฉาสังกัปปะ

มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วิริยพละ สมาธิพละ อหิริกพละ อโนตตัปปพละ

อุทธัจจะ โมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ สมถะ ปัคคาหะ อวิกเขปะ มีใน

สมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

[๓๓๕] ผัสสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาที่ถูกต้อง ความถูกต้องในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ผัสสะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

อุทธัจจะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความฟุ้งซ่านแห่งจิต ความไม่สงบแห่งจิต ความวุ่นวายใจ ความ

พล่านแห่งจิต ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า อุทธัจจะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

[๓๓๖] ก็ขันธ์ ๘ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๕ ฌาน

มีองค์ ๔ มรรคมีองค์ ๓ พละ ๔ เหตุ ๑ ผัสสะ ๑ ฯลฯ ธรรมายตนะ ๑

ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน

สมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล ฯลฯ

[๓๓๗] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 36

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกัคคตา วิริยินทรีย์ สมาธินทรีย์

ชีวิตินทรีย์ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสมาธิ วิริยพละ สมาธิพละ

อหิริกพละ อโนตตัปปพละ อุทธัจจะ โมหะ อหิริกะ อโนตตัปปะ สมถะ

ปัคคาหะ อวิกเขปะ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์

สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์มีใน

สมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอกุศล.

อกุศลจิต ๑๒ จบ

อธิบายอกุศลจิตดวงที่ ๒

พึงทราบวินิจฉัยในอกุศลจิตดวงที่ ๒ ต่อไป.

บทว่า สสขาเรน (โดยมีการชักจูง) เป็นความต่างกัน คำว่า

โดยมีการชักจูงนั้น ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในหนหลังนั่นแหละ. ก็อกุศลจิตนี้ย่อม

เกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ประกอบด้วยโสมนัสในอารมณ์ทั้ง ๖ ผู้ยังโลภะให้เกิดขึ้นแล้ว

ถือผิดโดยนัยมีอาทิว่า นี้เป็นสัตว์ นี้เป็นสัตว์ ดังนี้ แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น

ในกาลใด กุลบุตรปรารถนากุมาริกาของตระกูลมิจฉาทิฏฐิ และตระกูลเหล่านั้น

ย่อมไม่ให้กุมาริกา โดยอ้างว่า พวกท่านถือทิฏฐิอื่น. แต่ภายหลัง พวกญาติ

อีกพวกหนึ่งบอกให้ยกให้ ด้วยการตกลงกันว่า พวกท่านจงกระทำสิ่งที่กุลบุตร

นี้จักกระทำ ดังนี้ กุลบุตรนั้นพร้อมกับหมู่ญาติจึงพากันเข้าไปหาพวกเดียรถีย์

นั่นแหละ ตอนต้นยังเป็นผู้ลังเลอยู่ แต่เมื่อกาลผ่านไป ๆ ก็ชอบใจลัทธิ ย่อม

ถือซึ่งทิฏฐิด้วยคิดว่า กิริยาของพวกเดียรถีย์เหล่านี้เป็นที่ชอบใจ ในกาลเห็น

ปานนี้ พึงทราบว่า อกุศลจิตนี้ ย่อมได้ ดังนี้ เพราะความเกิดขึ้นโดยสัมปโยคะ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 37

(การประกอบพร้อมกัน) พร้อมด้วยอุบาย เพราะความที่อกุศลจิตนั้นเป็น

สสังขาริก (มีการชักจูง).

ส่วนในเยวาปนกธรรมทั้งหลาย ถีนมิทธะเป็นธรรมยิ่งในอกุศลจิต

ดวงที่ ๒ นี้. บรรดาอกุศลธรรมเหล่านั้น ความหดหู่ ชื่อว่า ถีนะ ความ

ง่วงโงก ชื่อว่า มิทธะ อธิบายว่า ความไม่อุตสาหะ ความไม่สามารถ และ

ความพิฆาต. ถีนะด้วยมิทธะด้วย ชื่อว่า ถีนมิทธะ ในอกุศลทั้งสองนั้น

ถีนะมีความไม่อุตสาหะเป็นลักษณะ (อนุสฺสาหนลกฺขณ) มีการกำจัดวิริยะ

เป็นรส (วิริยวิโนทนรส) มีความท้อถอยเป็นปัจจุปัฏฐาน (สสีทนปจฺจุ-

ปฏฺาน).

มิทธะ มีความไม่ควรแก่การงานเป็นลักษณะ (อกมฺมญฺตาลกฺขณ)

มีความมีการปกปิดเป็นรส (โอทหนรส) มีความหดหู่เป็นปัจจุปัฏฐาน

(ลีนตาปจฺจุปฏฺาน) หรือมีความง่วงโงกและความหลับเป็นปัจจุปัฏฐาน

(ปจลายิกนิทฺทาปจฺจุปฏฺาน). ถีนมิทธะแม้ทั้งสองมีมนสิการโดยอุบาย

ไม่แยบคายในสภาวะมีความไม่ยินดี ความเกียจคร้าน และความง่วงเหงาหาว

นอนเป็นต้นเป็นปทัฏฐาน.

อกุศลจิตดวงที่ ๒ จบ

อธิบายอกุศลจิตดวงที่ ๓

อกุศลจิตดวงที่ ๓ ย่อมเกิดแก่บุคคลผู้ประกอบด้วยโสมนัสในอารมณ์

ทั้ง ๖ ผู้ยังโลภะให้เกิดขึ้น ไม่ยึดถือโดยนัยว่า นี้เป็นสัตว์ นี้เป็นสัตว์ ดังนี้

แลดูอยู่ซึ่งพระราชา มวยปล้ำ การเล่นมีการต่อสู้เป็นต้น หรือมีการขวนขวาย

ในการฟังเสียงที่ชอบใจเป็นต้น ในอธิการแห่งอกุศลดวงที่ ๓ นี้ มีองค์ที่

เหมือนกัน ๕ องค์ พร้อมกับมานะ ในบรรดาองค์เหล่านั้น สภาวะที่ชื่อว่า

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 38

มานะ เพราะอรรถว่า ย่อมถือตัว. มานะนั้นมีการทรนงตนเป็นลักษณะ

(อุนฺนติลกฺขโณ) มีการยุกย่องสัมปยุตธรรมเป็นรส (สมฺปคฺคหนรโส)

มีความปรารถนาดุจธงเป็นปัจจุปัฏฐาน (เกตุกมฺยตาปจฺจุปฏฺาโน) มีโลภะ

ไม่ประกอบด้วยทิฏฐิเป็นปทัฏฐาน (ทิฏิวิปฺปยุตตฺตโลภปทฏฺาโน) พึง

ทราบว่า เหมือนคนบ้า.

อกุศลจิตดวงที่ ๓ จบ

อธิบายอกุศลจิตดวงที่ ๔

อกุศลจิตดวงที่ ๔ ย่อมเกิดขึ้นในฐานะมีประการดังกล่าวนั่นแหละคือ

ในฐานะทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ว่า ในกาลใด พวกชนย่อมถ่มเขฬะไปหรือโปรย

ฝุ่นเท้าไปบนศีรษะ ในกาลนั้น อกุศลจิตดวงที่ ๔ ย่อมเกิดแก่บุคคลทั้งหลาย

ผู้แลดูในระหว่างๆ โดยเป็นไปกับด้วยอุตสาหะเพื่อหลบหลีกเขฬะและฝุ่นเท้านั้น

และย่อมเกิดแก่บุคคลทั้งหลายผู้แลดูตามช่องนั้น ๆ เมื่อความวุ่นวายเป็นไปใน

เมื่อตัวละครหลวงกำลังออกมา ดังนี้. ในอกุศลจิตดวงที่ ๔ นี้ มีเยวาปนก-

ธรรม ๗ กับมานะถีนมิทธะ แม้อรรถแห่งอกุศลจิตทั้งสอง คืออกุศลจิตดวงที่ ๓

และที่ ๔ ย่อมลดมิจฉาทิฏฐิ พึงทราบการนับธรรมด้วยสามารถธรรมที่เหลือ

เว้นทิฏฐินั่นแล.

อกุศลจิตดวงที่ ๔ จบ

อธิบายอกุศลจิตดวงที่ ๕

อกุศลจิตดวงที่ ๕ ย่อมเกิดแก่บุคคลผู้มัชฌัตตะ (วางเฉย) ด้วย

สามารถแห่งเวทนาในอารมณ์ทั้ง ๖ ผู้ยังโลภะให้เกิด ผู้ยึดถืออยู่โดยนัยมีอาทิว่า

นี้เป็นสัตว์ นี้เป็นสัตว์. ก็ในอกุศลจิตดวงที่ ๕ นี้ อุเบกขาเวทนาย่อมมีในที่

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 39

โสมนัส (แทนโสมนัสเวทนา) ย่อมลดบทปีติ. คำที่เหลือทั้งหมดเป็นเหมือน

อกุศลจิตดวงที่หนึ่งแล.

อกุศลจิตดวงที่ ๕ จบ

อธิบายอกุศลจิตดวงที่ ๖, ๗, ๘

แม้อกุศลจิตดวงที่ ๖ ที่ ๗ และที่ ๘ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้ใน

อกุศลจิตดวงที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั่นแหละโดยเปลี่ยนเวทนาและลดบทปีติ. อธิปติ

แม้ทั้ง ๒ คือ สหชาตาธิปติและอารัมมณาธิปติ ย่อมได้ในจิตสหรคตด้วยโลภะ

๘ ดวง เหล่านี้.

โลภมูลจิต ๘ ดวงจบ

อธิบายอกุศลจิตดวงที่ ๙

อกุศลจิตดวงที่ ๙ ย่อมเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้ประกอบด้วยโทมนัสใน

อารมณ์ทั้ง ๖ ผู้ยังปฏิฆะให้เกิดขึ้นนั่นแหละ. จะวินิจฉัยในวาระว่าด้วยการ

กำหนดสมัย ๓ สมัย แห่งอกุศลจิตดวงที่ ๙ ก่อน.

มนะอันโทษประทุษร้ายแล้ว หรือมนะอันบัณฑิตเกลียด เพราะมี

เวทนาอันเลว เพราะเหตุนั้น มนะนั้น จึงชื่อว่า ทุมมโน (ผู้มีใจชั่ว). ภาวะ

แห่งบุคคลผู้มีใจชั่ว ชื่อว่า โทมนัส. อกุศลจิตสหรคตด้วยโทมนัสนั่น เพราะ

ฉะนั้น อกุศลจิตนั้น จึงชื่อว่า โทมนัสสสหคตะ (สหรคตด้วยโทมนัส).

สภาวะที่ชื่อว่า ปฏิฆะ เพราะอรรถว่า ย่อมกระทบในอารมณ์โดย

ภาวะที่ไม่พอใจ. อกุศลจิตที่สัมปยุตด้วยปฏิฆะนั้น ชื่อว่า ปฏิฆสัมปยุต.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 40

ในธัมมุทเทส โทมนัสสเวทนามาแล้วในฐานะแม้ทั้ง ๓. ในฐานะทั้ง ๓ มีเวทนา

เป็นต้นนั้น บทว่า เวทนา มีเนื้อความตามที่กล่าวไว้นั่นแหละ. บทว่า ทุกข์

และโทมนัส ก็กล่าวไว้แล้วเหมือนกัน. แต่เมื่อว่าโดยลักษณะเป็นต้น โทมนัส

มีการเสวยอารมณ์อันไม่หน้าชอบใจเป็นลักษณะ (อนิฏฺารมฺมณานุภวน-

ลกฺขณ) มีการเสวยอาการไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นรส (ยถา ตถา วา

อนิฏฺาการสมฺโภครส) มีความอาพาธทางใจเป็นปัจจุปัฏฐาน (เจตสิกา-

พาธปจฺจุปฏฺาน) มีหทยวัตถุเท่านั้นเป็นปทัฏฐาน (หทยวตฺถุปทฏฺาน).

ในมูลกรรมบถทั้งหลาย พระองค์ตรัสว่า โทสะย่อมมี พยาบาท

ย่อมมี เหมือนพระดำรัสที่ตรัสถึงอกุศลจิตดวงก่อน ๆ ว่า โลภะย่อมมี

อภิชฌาย่อมมี ฉะนั้น บรรดาโทสะและพยาบาททั้งสองนั้น สภาวะที่ชื่อว่า

โทสะ เพราะอรรถว่าเป็นเหตุให้คนประทุษร้าย หรือประทุษร้ายเอง หรือว่า

ธรรมชาตินั้นสักว่าเป็นเครื่องประทุษร้ายเท่านั้น.

โทสะนั้นมีความดุร้ายเป็นลักษณะ พึงเห็นเหมือนอสรพิษถูกประหาร

(จณฺฑิกฺกลกฺขโณ ปหฏาสิวิโส วิย) มีการกระสับกระส่ายเป็นรสพึงเห็น

เหมือนถูกยาพิษ (วิสปฺปนรโส วิสนิปาโต วิย) อีกอย่างหนึ่ง มีการหม่นไหม้

นิสัยของตนเป็นรส พึงเห็นเหมือนไฟไหม้ป่า (อตฺตโน นิสฺสยทหนรโส

วาทาวคฺคิ วิย) มีการประทุษร้ายเป็นปัจจุปัฏฐาน พึงเห็นเหมือนศัตรูได้โอกาส

(ทุสฺสนปจฺจุปฏฺาโน ลทฺโธกาโส วิย สปตฺโต) มีอาฆาตวัตถุเป็น

ปทัฏฐาน พึงเห็นเหมือนน้ำมูตรเน่าเจือด้วยยาพิษ (อาฆาตวตฺถุปทฏฺ-

าโน วิสสสฏฺปูติมุตฺต วิย) ฉะนั้น.

สภาวะที่ชื่อว่า พยาบาท เพราะอรรถว่า เป็นเหตุเบียดเบียน คือ

ย่อมเข้าถึงภาวะเสียจิต หรือว่าย่อมยังวินัย อาจาระ รูปสมบัติและหิตสุขเป็นต้น

ให้ถึงความพิบัติ. ก็เมื่อว่าโดยอรรถ พยาบาทนี้ ก็คือโทสะนั่นแหละ แต่ใน

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 41

อกุศลจิตดวงที่ ๙ นี้ เป็นบทอกุศล ๒ โดยลำดับ. พึงทราบบท ๑๔ บท

โดยการถือเอาบทที่ยังไม่ถือเอา และพึงทราบประเภทกองธรรมที่แจกได้ และ

แจกไม่ได้ ด้วยสามารถแห่งบทธรรมเหล่านั้น.

ในเยวาปนกธรรมทั้งหลาย สภาวธรรมเป็นนิยตะมีฉันทะ อธิโมกข์

มนสิการ และอุทธัจจะเป็นต้น (คือเจตสิกประกอบกับอกุศลจิตดวงที่ ๙ แน่

นอน) อนึ่ง ธรรม (ทั้ง ๔) เหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้นครั้งละ ๕ ๆ กับด้วยธรรม

อย่างใดอย่างหนึ่งในอิสสา มัจฉริยะ หรือกุกกุจจะ ธรรมทั้ง ๓ มีอิสสาเป็นต้น

แม้เหล่านี้ ชื่อว่า อนิยตเยวาปนกะ ด้วยประการฉะนี้. บรรดาธรรมทั้ง

๓ เหล่านั้น สภาวธรรมที่ชื่อว่า อิสสา เพราะอรรถว่า ย่อมริษยา.

อิสสานั้น มีการริษยาสมบัติของผู้อื่นเป็นลักษณะ (ปรสมฺปตฺตีน

อุสฺสุยนลกฺขณา) มีความไม่ยินดีในสมบัติของผู้อื่นนั้นนั่นแหละเป็นรส

(ตตฺเถว อนภิรติรสา) มีความเบือนหน้าจากสมบัติของผู้อื่นนั้นเป็นปัจจุปัฏ-

ฐาน (ตโต วิมุขภาวปจฺจุปฏฺานา) มีสมบัติของผู้อื่นเป็นปทัฏฐาน (ปร-

สมฺปตฺติปทฏฺานา) พึงทราบว่า เป็นสัญโญชน์.

ความเป็นแห่งความตระหนี่ ชื่อว่า มัจฉริยะ มัจฉริยะนั้นมีการ

ปกปิดสมบัติของตนที่ได้มาแล้ว หรือที่ควรได้เป็นลักษณะ (ลทฺธาน วา

ลภิตพฺพาน วา อตฺตโน สมฺปตฺตีน นิคูหณลกฺขณ) มีความไม่ชอบใจ

ในความที่สมบัติของตนนั้นนั่นแหละ เป็นของทั่วไปแก่ชนเหล่าอื่น เป็นรส

(ตาสเยว ปเรหิ สาธารณภาว อกฺขมนรส) มีความสยิ้วหน้าเป็นปัจจุปัฏฐาน

(สโกจนปจฺจุปฏฺาน) หรือว่ามีความหวงแหนเป็นลักษณะ (กฏุกญฺจุก-

ตาปจฺจุปฏาน วา) มีสมบัติของตนเป็นปทัฏฐาน (อตฺตโน สมฺปตฺ-

ติปทฏฺาน) มัจฉริยะนี้ พึงเห็นว่าเป็นความพิการของจิต.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 42

กรรมที่บัณฑิตเกลียด อันบุคคลทำแล้ว ชื่อว่า กุกตะ ความเป็น

แห่งกุกตะนั้น ชื่อว่า กุกกุจจะ กุกกุจจะนั้นมีความเดือดร้อนใจในภายหลัง

เป็นลักษณะ (ปจฺฉานุตาปนลกฺขณ) มีความเศร้าโศกเนือง ๆ ถึงบาปที่

ทำแล้ว และบุญที่ยังไม่ได้กระทำเป็นกิจ (กตากตานุโสจนรส) มีความ

วิปฏิสาร คือความเดือดร้อนเป็นปัจจุปัฏฐาน (วิปฺปฏิสารปจฺจุปฏฺาน)

มีการทำบาปแล้วและมิได้ทำบุญไว้เป็นปทัฏฐาน (กตากตปทฏฺาน) พึงเห็น

เหมือนอย่างความเป็นทาส ฉะนั้น.

นี้เป็นความต่างกันในอุทเทสวารก่อน. ในนิทเทสวาร พึงทราบความ

ไม่ชอบใจในเวทนานิทเทส ด้วยสามารถเป็นธรรมปฏิปักษ์ต่อความชอบใจ.

พึงทราบวินิจฉัยในโทสนิทเทสต่อไป

สภาวะที่ชื่อว่า โทสะ เพราะอรรถว่า ย่อมคิดประทุษร้าย. อาการ

ที่คิดประทุษร้ายชื่อว่า ทุสสนา (กิริยาที่ประทุษร้าย). ภาวะแห่งความ

ประทุษร้าย ชื่อว่า ทุสสิตัตตะ (ความคิดประทุษร้าย).

ความคิดเบียดเบียน ชื่อว่า พยาปัตติ (การคิดปองร้าย) ด้วยอรรถว่า

การละความเป็นปกติ. อาการแห่งการปองร้าย ชื่อว่า พยาปัชชนา (กิริยา

ที่ปองร้าย) ที่ชื่อว่า วิโรธ (ความโกรธ) เพราะอรรถว่า มุ่งร้าย. ที่ชื่อว่า

ปฏิวิโรธ (ความแค้น) เพราะอรรถว่า พิโรธเนือง ๆ. อีกอย่างหนึ่ง คำ

ทั้งสองนี้ ตรัสไว้ด้วยอำนาจแห่งอาการที่โกรธและอาการที่แค้น.

บุคคลมีจิตกคะด้างดุร้าย เรียกว่า จัณฑิกะ ภาวะแห่งจัณฑิกะนั้น

เรียกว่า จัณฑิกกะ (ความดุร้าย). ถ้อยคำอันคนดุร้ายนี้ยกขึ้นพูดอย่างดี

มิได้มี คำพูดของคนเช่นนี้เป็นคำพูดชั่ว คือ ไม่บริบูรณ์เลย เพราะฉะนั้น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 43

คนนี้จึงชื่อว่า อสุโรปะ (ปากร้าย). จริงอยู่ ในเวลาที่บุคคลผู้ดุร้ายโกรธแล้ว

ขึ้นชื่อว่า คำพูดที่บริบูรณ์ ย่อมไม่มี ถึงหากจะมีแก่บางคน ข้อนั้นก็ไม่เป็น

ประมาณ.

อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า คนเช่นนั้น ชื่อว่า อสุโรปะ (ความ

ไม่สุภาพ) เพราะให้เกิดน้ำตาโดยการไหลออกแห่งน้ำตา ข้อที่ว่านั้น ไม่ใช่เหตุ

ได้กล่าวแล้วในหนหลัง เพราะแม้โสมนัสก็ทำให้น้ำตาเกิดได้.

สภาวะที่ชื่อว่า อนัตตมนตา (ความไม่มีใจแช่มชื่น) เพราะอรรถว่า

ความเป็นผู้ไม่มีใจเป็นของตน เพราะความเป็นปฏิปักษ์ต่อความเป็นผู้มีใจเป็น

ของตน แต่เพราะความไม่มีใจแช่มชื่นนั้น เป็นของจิตเท่านั้น ไม่เป็นของ

สัตว์ ฉะนั้น จึงตรัสว่า จิตฺตสฺส (ของจิต) ดังนี้. คำที่เหลือในอกุศล

จิตดวงที่ ๙ นี้ และในสังคหวาร ในสูญญตวาร พึงทราบโดยนัยที่กล่าว

ไว้ในหนหลังนั่นแล.

อกุศลจิตดวงที่ ๙ จบ

อธิบายอกุศลจิตดวงที่ ๑๐

อกุศลจิตดวงที่ ๑๐ ย่อมเกิดแก่บุคคลผู้ถูกคนอื่น ๆ ให้เกิดอุตสาหะ

บ้าง ผู้ถูกคนอื่น ๆ ตักเตือนให้นึกถึงความผิดบ้าง ตนเองนั่นแหละนึกถึง

ความผิดของคนอื่น ๆ แล้วโกรธบ้าง เพราะความที่อกุศลจิตนี้เป็นไปกับการ

ชักจูง. แม้ในอกุศลจิตนี้ก็มี ๒๙ บทตามลำดับบท. เพราะถือเอาบทที่ยังมิได้

ถือเอาจึงเป็น ๑๔ บทเท่านั้น. แต่เพราะในเยวาปนกธรรมทั้งหลาย ย่อมได้

แม้ถีนะและมิทธะ ฉะนั้นในอกุศลจิตดวงนี้จึงเว้นอิสสา มัจฉริยะ และกุกกุจจะ

หรือเว้นซึ่งธรรม ๖ เหล่านี้ คือองค์ธรรมที่เหมือนกัน ๔ และถีนมิทธะ ในเวลาที่

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 44

อิสสาเป็นต้นเกิดขึ้น ก็จะเป็นเยวาปนกธรรม ๗ ข้อ ๆ กับข้อใดข้อหนึ่งใน

บรรดาธรรมมีอิสสาเป็นต้นนั้นเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน (พร้อมกัน). คำที่เหลือ

ทั้งหมดทุกวาระเป็นเช่นกับอกุศลจิตดวงที่ ๙ ทั้งนั้น. ก็ในโทมนัสจิตทั้ง ๒ นี้

ย่อมได้สหชาตาธิปติอย่างเดียว ไม่ได้อารัมมณาธิปติ. เพราะบุคคลโกรธแล้ว

ย่อมไม่ทำอารมณ์อะไร ๆ ให้หนัก (เป็นอธิบดี) ได้ ฉะนี้แล.

อกุศลจิตดวงที่ ๑๐ จบ

อธิบายอกุศลจิตดวงที่ ๑๑

อกุศลจิตดวงที่ ๑๑ ย่อมเกิดขึ้นในเวลาความสงสัยเป็นไปแก่บุคคลผู้

วางเฉยด้วยอำนาจเวทนาในอารมณ์ทั้ง ๖. ในการกำหนดสมัยของอกุศลจิต

ดวงที่ ๑๑ นั้น บทว่า วิจิกิจฺฉาสมฺปยุตฺต (สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉา) ไม่ใช่

บทที่เกิดก่อน เนื้อความแห่งอกุศลจิตนั้นว่า ที่ชื่อว่า วิจิกิจฉาสัมปยุต

เพราะอรรถว่า สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉา. ในธัมมุทเทส บทว่า วิจิกิจฺฉา โหติ

(วิจิกิจฉาย่อมมี) ดังนี้เท่านั้นแปลกกัน.

พึงทราบวินิจฉัยในวิจิกิจฉานั้น ต่อไป

สภาวธรรมที่ชื่อว่า วิจิกิจฉา เพราะอรรถว่า ปราศจากความแก้ไข

อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า วิจิกิจฉา เพราะอรรถว่า เป็นเหตุให้คนเมื่อคิดสภาว-

ธรรมย่อมยุ่งยาก คือย่อมลำบาก.

วิจิกิจฉานั้น มีความสงสัยเป็นลักษณะ (สสยนลกฺขณา) มีความ

หวั่นไหวเป็นรส (กมฺปนรสา) มีการตัดสินใจไม่ได้เป็นปัจจุปัฏฐาน (อนิจฺ-

ฉยปจฺจุปฏฺานา) หรือว่า มีการถือเอาอย่างเดียวไม่ได้เป็นปัจจุปัฏฐาน

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 45

(อเนกสคาหปจฺจุปฏฺานา) มีการทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคายเป็น

ปทัฏฐาน (อโยนิโสมนสิกสนปทฏานา) บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นการทำ

อันตรายต่อการปฏิบัติ. ในอกุศลจิตดวงที่ ๑๑ นี้ ได้บท ๒๓ ตามลำดับบท ว่า

โดยธรรมที่ยังมิได้ถือเอาก็เป็นธรรม ๑๔ บท พึงทราบวินิจฉัยในกองธรรมที่จำ-

แนกได้และจำแนกไม่ได้ ด้วยสามารถแห่งธรรม ๑๔ บทเหล่านั้น. ธรรมแม้ทั้ง

๒ คือมนสิการ และอุทธัจจะเป็นเยวาปนกธรรม.

ก็เพราะในนิทเทสเอกัคคตาแห่งจิตแห่งนิทเทสวาร อกุศลจิตนี้ ทุรพล

มีแต่เพียงฐิติ (คือการตั้งอยู่) ในปัจจุบัน ฉะนั้น จึงไม่ตรัสว่า สณฺิติ

(ความดำรงอยู่) เป็นต้น แต่ตรัสบทเดียวเท่านั้นว่า จิตฺตสฺส ิติ และด้วย

เหตุนั้นนั่นแหละ แม้ในอุทเทสวารพระองค์ไม่ตรัสคำเป็นต้นว่า สมาธินฺทริย

(สมาธินทรีย์).

พึงทราบวินิจฉัยในวิจิกิจฉานิทเทส ต่อไป

สภาวะที่ชื่อว่า กังขา ด้วยสามารถแห่งการเคลือบแคลง. อาการ

เป็นไปแห่งความเคลือบแคลง ชื่อว่า กังขายนา (กิริยาที่เคลือบแคลง).

จริงอยู่ การเคลือบแคลงอันแรกชื่อว่านำมาซึ่งการเคลือบแคลงต่อไป อีกอย่าง-

หนึ่ง การเคลือบแคลงนี้ ตรัสไว้ด้วยอำนาจแห่งอาการ. จิตที่พรั่งพร้อมด้วย

การสงสัย ชื่อว่า กังขายิตะ เพราะนำมาซึ่งความเคลือบแคลง. ภาวะแห่ง

กังขายิตะนั้นชื่อว่า กังขายิตัตตะ (ความเคลือบแคลง). สภาวะที่ชื่อว่า วิมติ

เพราะความคิดเห็นต่าง ๆ. วิจิกิจฉา (ความตัดสินอารมณ์ไม่ได้) มีเนื้อความ

ตามที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. ที่ชื่อว่า เทฺวฬหก (ความเห็นสองแง่) เพราะ

อรรถว่า ย่อมเห็นสองอย่างด้วยอรรถว่า หวั่นไหวไป. ที่ชื่อว่า เทฺวธาปโถ

(ความเห็นเหมือนทางสองแพร่ง) เพราะอรรถว่า เหมือนทางสองแพร่งโดย

การห้ามการปฏิบัติ. ที่ชื่อว่า สสโย (ความสงสัย) เพราะอรรถว่า ย่อมนอน

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 46

โดยรอบเพราะไม่สามารถดำรงอยู่ในอาการหนึ่งที่เป็นไปว่า นี้เที่ยงหรือหนอ

หรือว่าไม่เที่ยง เป็นต้น. ที่ชื่อว่า อเนกสคาโห (ความไม่สามารถถือเอาโดย

ส่วนเดียวได้) เพราะอรรถว่า ไม่ใช่ถือเอาโดยส่วนเดียว เพราะไม่สามารถ

ถือเอาโดยส่วนเดียว. ที่ชื่อว่า อาสปฺปนา (ความคิดส่ายไป) เพราะอรรถว่า

วิจิกิจฉานั้นเมื่อไม่อาจเพื่ออันชี้ขาด จึงถอยกลับจากอารมณ์. ที่ชื่อว่า ปริสปฺ-

ปนา (ความคิดพร่าไป) เพราะอรรถว่า วิจิกิจฉานั้นเมื่อไม่อาจเพื่อจะหยั่งลง

จึงคิดส่ายไปรอบด้าน. ที่ชื่อว่า อปริโยคาหนา (ความไม่สามารถจะหยั่งลง

ถือเอาที่สุดได้) เพราะความเป็นสภาวะไม่สามารถเพื่อหยั่งลงถือเอาได้. ที่ชื่อว่า

ถมฺภิตตฺต (ความกระด้าง) เพราะความเป็นสภาวะที่ไม่สามารถเพื่อเป็นไป

ในอารมณ์ด้วยอำนาจการตัดสินใจได้ อธิบายว่า ความที่จิตเป็นธรรมชาติ

กระด้าง. จริงอยู่ วิจิกิจฉาเกิดขึ้นแล้ว ย่อมทำจิตให้กระด้าง ก็เพราะวิจิกิจฉา

นั้นเมื่อเกิดเป็นดุจการจับอารมณ์มาขัดอยู่ซึ่งใจ ฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า

มโนวเลโข (รอยขีดใจ คือ ความลังเลใจ. คำที่เหลือในที่ทุกแห่งมีเนื้อความ

ง่ายทั้งนั้นแล.

อกุศลจิตดวงที่ ๑๑ จบ

อธิบายอกุศลจิตดวงที่ ๑๒

พึงทราบวินิจฉัยในอกุศลจิตดวงที่ ๑๒ ต่อไป.

ในการกำหนดสมัยแห่งอกุศลจิตดวงที่ ๑๒ ที่ชื่อว่า อุทธัจจสัมปยุต

เพราะอรรถว่า อกุศลจิตนั้นสัมปยุตด้วยอุทธัจจะ จริงอยู่ อกุศลจิตดวงที่ ๑๒ นี้

เป็นกลาง (อุเบกขา) ด้วยอำนาจเวทนาในอารมณ์ ๖ เป็นฟุ้งซ่าน (อุทฺธต)

ในอกุศลจิตดวงนี้ จิตนี้มาแล้วในที่วิจิกิจฉาในธัมมุทเทสว่า อุทฺธจฺจ โหติ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 47

(อุทธัจจะย่อมมี) ย่อมได้บท ๒๘ ตามลำดับ ว่าโดยบทที่ยังมิได้ถือเอาก็ได้

๑๔ บท. พึงทราบวิธีการจำแนกกองธรรมได้ และจำแนกไม่ได้ด้วยสามารถ

แห่งธรรม ๑๔ เหล่านั้น ธรรมทั้ง ๒ คือ อธิโมกข์ มนสิการ เท่านั้น

เป็นเยวาปนกธรรม.

พึงทราบวินิจฉัยในอุทธัจจนิทเทสแห่งนิทเทสวารต่อไป.

บทว่า จิตฺตสฺส. (แห่งจิต) คือไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล. บทว่า

อุทฺธจฺจ ได้แก่ อาการที่ฟุ้งซ่าน. สภาวะที่ชื่อว่า อวูปสมะ (ความไม่สงบ)

เพราะอรรถว่า การไม่เข้าไปสงบแห่งจิต. ที่ชื่อว่า เจตโส วิกฺเขโป (ความ

วุ่นวายใจ) เพราะอรรถว่า จิตซัดส่ายไป. บทว่า ภนฺตตฺต จิตฺตสฺส

(จิตพล่านไป) ได้แก่ ความที่จิตหมุนไป. ด้วยบทนี้ท่านกล่าวจิตดิ้นรนไปใน

อารมณ์เดียวเท่านั้น ดุจยานที่พล่านไปและโคที่พล่านไปเป็นต้น. เพราะอุท-

ธัจจะดิ้นรนไปในอารมณ์เดียว วิจิกิจฉาดิ้นรนไปในอารมณ์ต่าง ๆ. คำที่เหลือ

ทุกวาระ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้ในหนหลังนั่นแหละ.

บัดนี้ จะวินิจฉัยข้อปกิณกะในจิต ๒ ดวงนี้ต่อไป.

ก็เมื่อมีผู้กล่าวว่า ชื่อว่า จิตที่เป็นไปในอารมณ์ มีเท่าไร พึงตอบ

ได้ว่าจิตเหล่านี้มี ๒ ดวงเท่านั้น. บรรดาจิต ๒ ดวงนั้น จิตที่สหรคตด้วย

วิจิกิจฉา ย่อมเป็นไปอย่างเดียว ส่วนจิตที่สหรคตด้วยอุทธัจจะได้ที่อาศัยแล้ว

ได้ที่ยึดเหนี่ยวแล้วก็เป็นไปตามที่อาศัยอันได้แล้ว เพราะมีอธิโมกข์ได้แล้ว.

เหมือนอย่างว่า เมื่อแก้วมณี ๒ ดวง ดวงหนึ่งกลม ดวงหนึ่งสี่เหลี่ยม เมื่อเขา

ปล่อยให้กลิ้งไปในที่เนินลาด แก้วมณีดวงกลมย่อมกลิ้งไป ๆ โดยแท้ทีเดียว

ส่วนแก้วมณีดวงสี่เหลี่ยมพลิกไป ๆ ย่อมตั้งอยู่ได้ ฉันใด คำอุปไมยเป็นเครื่อง

เปรียบเทียบนี้ พึงทราบฉันนั้น.

ในอกุศลจิตแม้ทั้งหมด พระองค์มิได้ทรงยกขึ้นแสดงความแตกต่าง

กันโดยความเลวเป็นต้น เพราะความที่อกุศลทั้งหมดเป็นสภาพเลวอย่างเดียว

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 48

สหชาตาธิปติแม้ได้อยู่ก็ไม่ทรงยกขึ้นแสดง เพราะความที่นัยทรงแสดงไว้ใน

หนหลังแล้ว. ก็ในอกุศลทั้งหมดนี้ ชื่อว่า วิมังสาธิปติ ย่อมไม่มีเพราะไม่มี

ญาณ. ในจิต ๒ ดวงหลัง (ที่สัมปยุตด้วยวิจิกิจฉาและอุทธัจจะ) ไม่มีความ

แปลกกันเลย เพราะเหตุไร ? เพราะไม่เกิดขึ้นทำธรรมอะไร ๆ ให้เป็นธุระ

จึงทรงปฏิเสธไว้ในปัฏฐานปกรณ์นั่นแหละ.

ก็เมื่อกรรมอันอกุศลจิต ๑๒ ดวงเหล่านี้ประมวลมาแล้ว เว้นอกุศลจิต

ที่สหรคตด้วยอุทธัจจะ อกุศลจิตที่เหลือ ๑๑ ดวงเท่านั้น ย่อมชักปฏิสนธิมา

(คือให้ปฏิสนธิ).

ถามว่า ครั้นเมื่ออกุศลจิตสหรคตด้วยวิจิกิจฉามีอธิโมกข์ยังไม่ได้แล้ว

แม้มีกำลังทรามก็ยังชักปฏิสนธิมาได้ อกุศลจิตที่สหรคตด้วยอุทธัจจะมีอธิโมกข์

ได้แล้ว มีกำลังย่อมชักปฏิสนธิมาไม่ได้ เพราะเหตุไร ?

ตอบว่า เพราะไม่มีธรรมอันโสดาปัตติมรรคพึงละ ก็ผิว่าจิตที่สหรคต

ด้วยอุทธัจจะพึงชักปฏิสนธิมาไซร้ ก็จะพึงตรัสไว้ในวิภังค์แห่งบทว่า ทสฺสเนน

ปหาตพฺพา เพราะฉะนั้น อกุศลจิตที่เหลือ ๑๑ ดวงเว้นอุทธัจจสัมปยุตจิต

ย่อมชักปฏิสนธิมา. จริงอยู่ เมื่อกรรมอันอกุศลธรรมดวงใดดวงหนึ่งในบรรดา

อกุศลธรรมเหล่านั้น ประมวลมาแล้ว ปฏิสนธิจิตย่อมมีในอบาย ๔ ด้วยเจตนา

นั้น. บรรดาอกุศลวิบากทั้งหลาย สัตว์ย่อมถือปฏิสนธิด้วยเจตนาอันสหรคต

ด้วยอุเบกขา คืออเหตุกมโนวิญญาณธาตุ แม้การให้ปฏิสนธิในอบาย ๔ เหล่านี้

นั่นแหละก็พึงมีแก่อุทธัจจสหรคตจิต แต่เพราะอุทธัจจสหรคตจิตนั้นไม่มีการ

ให้ผลในปฏิสนธิ ฉะนั้น พระองค์จึงไม่ตรัสไว้ในวิภังค์ว่าด้วยบทว่า ทสฺสเนน

ปหาตพฺพา ดังนี้.

พรรณนาบทว่าด้วยธรรมอันเป็นอกุศบ จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 49

กามาวจรวิบาก

วิญญาณ ๕ ที่เป็นกุศลวิบาก

[๓๓๘] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

จักขุวิญญาณอันเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา มีรูปเป็นอารมณ์

เกิดขึ้นเพราะกามาวจรกุศลกรรมอันได้ทำไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้วในสมัยใด

ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต อุเขกขา เอกัคคตา มนินทรีย์ อุเปกขินทรีย์

ชีวิตินทรีย์ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน

สมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๓๓๙] ผัสสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาที่ถูกต้อง ความถูกต้องในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ผัสสะมีในสมัยนั้น.

[๓๔๐] เวทนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายใจก็ไม่ใช่ อันเกิดแต่สัมผัส

แห่งจักขุวิญญาณธาตุที่สมกัน ความเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่

เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า เวทนามีในสมัยนั้น.

[๓๔๑] สัญญา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การจำ กิริยาที่จำ ความจำ อันเกิดแต่สัมผัสแห่งจักขุวิญญาณธาตุ

ที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัญญามีในสมัยนั้น.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 50

[๓๔๒] เจตนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การคิด กิริยาที่คิด ความคิด อันเกิดแต่สัมผัสแห่งจักขุวิญญาณธาตุ

ที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เจตนามีในสมัยนั้น.

[๓๔๓] จิต มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์

วิญญาณ วิญญาณขันธ์ จักขุวิญญาณธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

จิตมีในสมัยนั้น.

[๓๔๔] อุเบกขา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่ ความเสวย

อารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข

อันเกิดแต่เจโตสัมผัสในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า อุเบกขามีในสมัยนั้น.

[๓๔๕] เอกัคคตา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตั้งใจอยู่แห่งจิต ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เอกัคคตามีใน

สมัยนั้น.

[๓๔๖] มนินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

จิต มโห มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ อินทรีย์ คือ

มโน วิญญาณ วิญญาณขันธ์ จักขุวิญญาณธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด

นี้ชื่อว่า มนินทรีย์มีในสมัยนั้น.

[๓๔๗] อุเปกขินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่ ความเสวย

อารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข

อันเกิดแต่เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า อุเปกขินทรีย์มีในสมัยนั้น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 51

[๓๔๘] ชีวิตินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

อายุ ความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ กิริยาที่เป็นไปอยู่ อาการที่

สืบเนืองกันอยู่ ความประพฤติเป็นไปอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่ ชีวิตอินทรีย์คือ

ชีวิต ขอนามธรรมนั้น ๆ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า ชีวิตินทรีย์มีใน

สมัยนั้น.

[๓๔๙] หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๓๕๐] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๓

ผัสสะ ๑ ฯลฯ จักขุวิญญาณธาตุ ๑ ธรรมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น

หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

[๓๕๑] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิด

ขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ในสมัยนั้น

นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๓๕๒] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โสตวิญญาณอันเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา มีเสียงเป็นอารมณ์

เกิดขึ้น ฯลฯ

ฆานวิญญาณอันเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา มีกลิ่นเป็นอารมณ์

เกิดขึ้น ฯลฯ

ชิวหาวิญญาณอันเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา มีรสเป็นอารมณ์

เกิดขึ้น ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 52

กายวิญญาณอันเป็นวิบาก สหรคตด้วยสุขเวทนามีโผฏฐัพพะเป็น

อารมณ์เกิดขึ้น เพราะกามาวจรกุศลกรรมอันได้ทำไว้แล้ว ในสมัยใด ผัสสะ

เวทนา สัญญา เจตนา จิต สุข เอกคัคตา มนินทรีย์ สุขินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๓๕๓] ผัสสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาที่ถูกต้อง ความถูกต้อง ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ผัสสะมีในสมัยนั้น.

[๓๕๔] เวทนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางกาย ความสุขทางกาย อันเกิดแต่สัมผัสแห่งกายวิญญาณ-

ธาตุที่สมกัน ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวย

อารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่กายสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เวทนา

มีในสมัยนั้น.

[๓๕๕] สัญญา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การจำ กิริยาที่จำ ความจำ อันเกิดแต่สัมผัสแห่งกายวิญญาณธาตุที่

สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัญญามีในสมัยนั้น.

[๓๕๖] เจตนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ก็คิด กิริยาที่คิด ความคิด อันเกิดแต่สัมผัสแห่งกายวิญญาณธาตุ

ที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เจตนามีในสมัยนั้น.

[๓๕๗] จิต มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์

วิญญาณ วิญญาณขันธ์ กายวิญญาณธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

จิตมีในสมัยนั้น.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 53

[๓๕๘] สุข มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางกาย ความสุขทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่เป็นสุข

อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่กายสัมผัส ใน

สมัยนั้น อันใด นี่ชื่อว่า สุขมีในสมัยนั้น.

[๓๕๙] เอกัคคตา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตั้งอยู่แห่งจิต สมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เอกัคคตามีในสมัยนั้น.

[๓๖๐] มนินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

จิต มโน มนัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ อินทรีย์ คือ

มโน วิญญาณ วิญญาณขันธ์ กายวิญญาณธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด

นี้ชื่อว่า มนินทรีย์มีในสมัยนั้น.

[๓๖๑] สุขินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางกาย ความสุขทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุข

อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่กายสัมผัส ใน

สมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สุขินทรีย์มีในสมัยนั้น.

[๓๖๒] ชีวิตินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

อายุ ความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ กิริยาที่เป็นไปอยู่ อาการที่

สืบเนืองกันอยู่ ความประพฤติเป็นไปอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่ ชีวิตอินทรีย์คือ

ชีวิต ของนามธรรมนั้น ๆ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า ชีวิตินทรีย์ มีใน

สมัยนั้น.

[๓๖๓] หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 54

[๓๖๔] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๓

ผัสสะ ๑ ฯลฯ กายวิญญาณธาตุ ๑ ธรรมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น

หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

[๓๖๕] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิด

ขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ในสมัยนั้น

นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

วิญญาณ ๕ ที่เป็นกุศลวิบาก จบ

มโนธาตุ เป็นกุศลวิบาก

[๓๖๖] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

มโนธาตุ อันเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา มีรูปเป็นอารมณ์ ฯลฯ

มีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น เพราะกามาวจร-

กุศลกรรม อันได้ทำไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้ว ในสมัยใด ผัสสะ เวทนา

สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา มนินทรีย์ อุเปกขินทรีย์

ชีวินทรีย์ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน

สมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 55

[๓๖๗] ผัสสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาที่ถูกต้อง ความถูกต้อง ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ผัสสะมีในสมัยนั้น.

[๓๖๘] เวทนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่ อันเกิดแต่

สัมผัสแห่งมโนธาตุที่สมกัน ความเสวยอารมณ์ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโต-

สัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า เวทนามีในสมัยนั้น.

[๓๖๙] สัญญา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การจำ กิริยาที่จำ ความจำ อันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนธาตุที่สมกัน

ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัญญามีในสมัยนั้น.

[๓๗๐] เจตนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การคิด กิริยาที่คิด ความคิด อันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนธาตุที่สมกัน

ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เจตนามีในสมัยนั้น.

[๓๗๑] จิต มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์

วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า จิต

มีในสมัยนั้น.

[๓๗๒] วิตก มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตรึก ความตรึงอย่างแรง ความดำริ ความที่จิตแนบอยู่ใน

อารมณ์ ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า วิตกมีในสมัยนั้น.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 56

[๓๗๓] วิจาร มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตรอง ความพิจารณา ความตามพิจารณา ความเข้าไปพิจารณา

ความที่จิตสืบต่ออารมณ์ ความที่จิตเพ่งอารมณ์ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

วิจารมีในสมัยนั้น.

[๓๗๔] อุเบกขา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่ ความเสวย

อารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข

อันเกิดแต่เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า อุเบกขามีในสมัยนั้น.

[๓๗๕] เอกัคคตา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตั้งอยู่แห่งจิต ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เอกัคคตา มีใน

สมัยนั้น.

[๓๗๖] มนินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ อินทรีย์คือ

มโน วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

มนินทรีย์ มีในสมัยนั้น.

[๓๗๗] อุเปกขินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่ ความเสวย

อารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข

อันเกิดแต่เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า อุเปกขินทรีย์มีในสมัยนั้น.

[๓๗๘] ชีวิตินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

อายุ ความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ กิริยาที่เป็นไปอยู่ อาการที่

สืบเนื่องกันอยู่ ความประพฤติเป็นไปอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่ ชีวิตอินทรีย์คือ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 57

ชีวิต ของนามธรรมนั้น ๆ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า ชีวิตินทรีย์มีใน

สมัยนั้น.

[๓๗๙] หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๓๘๐] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๓

ผัสสะ ๑ ฯลฯ มโนธาตุ ๑ ธรรมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น หรือ

นามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

[๓๘๑] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ หรือนามธรรม

ที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่

ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

มโนธาตุที่กุศลวิบาก จบ

มโนวิญญาณธาตุที่เป็นกุศลวิบาก

สหรคตด้วยโสมนัส

[๓๘๒] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก สหรคตด้วยโสมนัส มีรูปเป็นอารมณ์

ฯลฯ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น เพราะกามาวจร-

กุศลกรรมอันได้ทำไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้ว ในสมัยใด ผัสสะ เวทนา สัญญา

เจตนา จิต วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา มนินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 58

ชีวิตินทรีย์ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน

สมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๓๘๓] ผัสสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาที่ถูกต้อง ความถูกต้อง ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ผัสสะมีในสมัยนั้น.

[๓๘๔] เวทนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ อันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญญาณ-

ธาตุที่สมกัน ความเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวย

อารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เวทนา

มีในสมัยนั้น.

[๓๘๕] สัญญา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การจำ กิริยาที่จำ ความจำ อันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุที่

สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัญญามีในสมัยนั้น.

[๓๘๖] เจตนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การคิด กิริยาที่คิด ความคิด อันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุ

ที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เจตนามีในสมัยนั้น.

[๓๘๗] จิต มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์

วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

จิตมีในสมัยนั้น.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 59

[๓๘๘] วิตก มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ความดำริ ความที่จิตแนบอยู่ใน

อารมณ์ ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ ความยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า วิตกมีในสมัยนั้น.

[๓๘๙] วิจาร มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตรอง ความพิจารณา ความตามพิจารณา ความเข้าไปพิจารณา

ความที่จิตสืบต่ออารมณ์ ความที่จิตเพ่งอารมณ์ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

วิจารมีในสมัยนั้น.

[๓๙๐] ปีติ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความอิ่มใจ ความปราโมทย์ ความยินดียิ่ง ความบันเทิง ความร่าเริง

ความรื่นเริง ความปลื้มใจ ความตื่นเต้น ความที่จิตชื่นชมยินดีในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ปีติมีในสมัยนั้น.

[๓๙๑] สุข มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบาย เป็นสุข

อันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส

ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สุขมีในสมัยนั้น.

[๓๙๒] เอกัคคตา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตั้งอยู่แห่งจิต ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เอกัคคตามีในสมัยนั้น.

[๓๙๓] มนินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ อินทรีย์คือมโน-

วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

มนินทรีย์มีในสมัยนั้น.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 60

[๓๙๔] โสมนัสสินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจ ความสุขทางใจ ความเสวยอารมณ์ที่สบาย เป็นสุข

อื่นเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่สบายเป็นสุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส

ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า โสมนัสสินทรีย์มีในสมัยนั้น.

[๓๙๕] ชีวิตินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

อายุ ความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ กิริยาที่เป็นไปอยู่ อาการที่สืบ

เนื่องกันอยู่ ความประพฤติเป็นไปอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่ ชีวิตอินทรีย์คือชีวิต

ของนามธรรมนั้น ๆ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า ชีวิตินทรีย์มีในสมัยนั้น.

[๓๙๖] หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๓๙๗] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๓

ผัสสะ ๑ ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุ ๑ ธรรมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น

หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น.

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

[๓๙๘] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร ปีติ เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ หรือนาม

ธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์

มีอยู่ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

มโนวิญญาณธาตุที่เป็นกุศลวิบากสหรคตด้วยโสมนัส จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 61

มโนวิญญาณธาตุที่เป็นกุศลวิบาก

สหรคตด้วยอุเบกขา

[๓๙๙] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

มโนวิญญาณธาตุ อันเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา มีรูปเป็น

อารมณ์ ฯลฯ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น เพราะ

กามาวจรกุศลกรรมอันได้ทำไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้ว ในสมัยใด ผัสสะ เวทนา

สัญญา เจตนา จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา มนินทรีย์ อุเปกขินทรีย์

ชีวิตินทรีย์ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ใน

สมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๐๐] ผัสสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาที่ถูกต้อง ความถูกต้อง ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ผัสสะมีในสมัยนั้น.

[๔๐๑] เวทนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่ อันเกิดแต่

สัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ความเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิด

แต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส ในสมัย

นั้น อันใด นี้ชื่อว่า เวทนามีในสมัยนั้น.

[๔๐๒] สัญญา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การจำ กิริยาที่จำ ความจำ อันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุ

ที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สัญญามีในสมัยนั้น.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 62

[๔๐๓] เจตนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การคิด กิริยาที่คิด ความคิด อันเกิดแต่สัมผัสแห่งมโนวิญญาณธาตุ

ที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เจตนามีในสมัยนั้น.

[๔๐๔] จิต มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ มนินทรีย์

วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

จิตมีในสมัยนั้น.

[๔๐๕] วิตก มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตรึก ความตรึกอย่างแรง ความดำริ ความที่จิตแนบอยู่ใน

อารมณ์ ความที่จิตแนบสนิทอยู่ในอารมณ์ ความยกจิตในสู่อารมณ์ ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า วิตกมีในสมัยนั้น.

[๔๐๖] วิจาร มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตรอง ความพิจารณา ความตามพิจารณา ความเข้าไปพิจารณา

ความที่จิตสืบต่ออารมณ์ ความที่จิตเพ่งอารมณ์ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

วิจารมีในสมัยนั้น.

[๔๐๗] อุเบกขา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่ ความเสวย

อารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข

อันเกิดแต่เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า อุเบกขามีในสมัยนั้น.

[๔๐๘] เอกัคคตา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตั้งอยู่แห่งจิต ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เอกัคคตา มีใน

สมัยนั้น.

[๔๐๙] มนินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 63

จิต มโน มานัส หทัย ปัณฑระ มโน มนายตนะ อินทรีย์คือมโน-

วิญญาณ วิญญาณขันธ์ มโนวิญญาณธาตุที่สมกัน ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า

มนินทรีย์มีในสมัยนั้น.

[๔๑๐] อุเปกขินทรีย์ ในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความสบายทางใจก็ไม่ใช่ ความไม่สบายทางใจก็ไม่ใช่ ความเสวย

อารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุขอันเกิดแต่เจโตสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่ทุกข์ไม่สุข

อันเกิดแต่เจโตสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า อุเปกขินทรีย์มีในสมัยนั้น.

[๔๑๑] ชีวิตินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

อายุ ความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ กิริยาที่เป็นไปอยู่ อาการที่

สืบเนื่องกันอยู่ ความประพฤติเป็นไปอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่ ชีวิตอินทรีย์คือ

ชีวิตของนามธรรมนั้น ๆ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า ชีวิตินทรีย์มีในสมัยนั้น.

[๔๑๒] หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๑๓] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๓

ผัสสะ ๑ ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุ ๑ ธรรมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น

หรือนามธรรมท่องอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

[๔๑๔ ] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ หรือนามธรรม

ที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ใน

สมัยนั้น นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

มโนวิญญาณธาตุที่เป็นกุศลวิบากสหรคตด้วยอุเบกขา จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 64

อธิบายอัพยากตธรรม

บัดนี้ พระองค์ทรงประสงค์จะแสดงจำแนกบทอัพยากตธรรม จึงเริ่ม

คำว่า ธรรมอันเป็นอัพยากตะ เป็นไฉน ? เป็นต้น.

ในพระบาลีนั้น อัพยากตะมี ๔ อย่าง คือ วิบาก กิริยา รูป

พระนิพพาน บรรดาอัพยากตะเหล่านั้น พระองค์ตรัสประสงค์เอาอัพยากตวิบาก

แม้ในอัพยากตวิบาก ก็ทรงประสงค์เอากุศลวิบาก แม้ในกุศลวิบากนั้น ก็ทรง

ประสงค์เอากามาวจรวิบาก แม้ในกามาวจรวิบาก ก็ทรงประสงค์เอาอเหตุกะ

แม้ในอเหตุกะ ก็ทรงประสงค์เอาปัญจวิญญาณ (วิญญาณ ๕) แม้ในปัญจวิญ-

ญาณนั้นก็ทรงประสงค์เอาจักขุวิญญาณตามลำดับในทวาร แม้จักขุวิญญาณนั้น

เล่า ทรงประสงค์จะแสดงความเกิดขึ้นด้วยอำนาจกรรมปัจจัยที่ไม่ทั่วไปเท่านั้น

เว้นสาธารณปัจจัยทางทวารและอารมณ์เป็นต้น จึงตรัสพระดำรัสว่า เพราะ

กามาวจรกุศลกรรมอันตนทำแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กตตฺตา (อันได้ทำไว้แล้ว) ได้แก่

เหตุที่ทำไว้แล้ว. บทว่า อุปฺปจิตตฺตา (ได้สั่งสมไว้แล้ว) ได้แก่ ทำให้เจริญ

ขึ้นแล้ว. บทว่า จกฺขุวิญฺาณ ความว่า ที่ชื่อว่า จักขุวิญญาณ เพราะอรรถว่า

เป็นวิญญาณแห่งจักษุที่มีเหตุสำเร็จแล้ว หรือว่าวิญญาณอันเป็นไปทางจักษุ

หรือว่าเป็นวิญญาณอันอาศัยในจักษุ แม้ในโสตวิญญาณเป็นต้นข้างหน้าก็นัย

นี้แหละ.

ในวิญญาณ ๕ เหล่านั้น จักขุวิญญาณมีการรู้รูปอาศัยจักขุประสาทเป็น

ลักษณะ (จกฺขุสนฺนิสฺสิตรูปวิชานนลกฺขณ) มีอารมณ์เพียงรูปเป็นรส

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 65

(รูปมตฺตารมฺมณรส) มีความมุ่งต่อรูปเป็นปัจจุปัฏฐาน (รูปาภิมุขภาว-

ปจฺจุปฏฺาน) มีการไม่ปราศจากกิริยามโนธาตุซึ่งมีรูปเป็นอารมณ์เป็นปทัฏฐาน

(รูปารมฺมณาย กิริยามโนธาตุยา อปคมนปทฏฺาน).

โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ ที่จะมา

ข้างหน้าก็มีการรู้เสียงเป็นต้นอาศัยโสตเป็นต้นเป็นลักษณะ มีอารมณ์สักแต่ว่า

เสียงเป็นต้นเป็นรส มีความมุ่งต่อเสียงเป็นต้นเป็นปัจจุปัฏฐาน มีการไม่

ปราศจากกิริยามโนธาตุที่มีอารมณ์มีเสียงเป็นต้นเป็นปทัฏฐาน.

ในอัพยากตวิบากนี้ มีบทธรรมตามลำดับ ๑๐ บท ว่าโดยการถือเอา

บทที่ยังมิได้ถือเอาก็ได้ ๗ บท. ในบรรดา ๗ บทเหล่านั้น บทที่จำแนกไม่ได้

มี ๕ บท บทที่จำแนกได้มี ๒ บท บรรดาธรรมที่จำแนกได้นั้น จิตถึงการ

จำแนกให้ที่ทั้ง ๒ คือด้วยสามารถแห่งผัสสปัญจกะ และด้วยสามารถแห่งอินทรีย

เวทนาถึงการจำแนกในที่ทั้ง ๓ คือด้วยสามารถแห่งผัสสปัญจกะ องค์ฌาน และ

อินทรีย์. แม้กองธรรมเหล่านี้ก็มี ๓ เหมือนกัน เยวาปนกธรรมมีหนึ่ง คือ

มนสิการเท่านั้น.

ในนิทเทสวาร ตรัสจักขุวิญญาณว่า ปณฺฑร (ผ่องใส) โดยวัตถุ.

จริงอยู่ กุศล ชื่อว่า ปณฺฑร (ผ่องใส) เพราะความที่ตนบริสุทธิ์. อกุศล

ก็ชื่อว่า ปณฺฑร (ผ่องใส) เพราะผลอันไหลออกจากภวังค์ วิบากก็ชื่อว่า

ปฏฺฑร (ผ่องใส) เพราะผ่องใสโดยวัตถุ.

ในนิทเทสเอกัคคตาแห่งจิต ตรัสบทเดียวเท่านั้นว่า จิตฺตสฺส ิติ

(ความตั้งอยู่แห่งจิต) เพราะจิตแม้นี้ทุรพลในอัพยากตวิบากนี้ ย่อมได้เพียงตั้ง

อยู่เป็นไปเท่านั้น ย่อมไม่อาจเพื่อถึงความเป็นสัณฐิติ (ความดำรงอยู่.) อวัฏฐิติ

(ความมั่นอยู่) ในสังคหวาร ไม่ทรงยกองค์ฌานและองค์มรรคขึ้นแสดง เพราะ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 66

เหตุไร ? เพราะธรรมดาฌานมีวิตกเป็นธรรมต่ำ ธรรมดามรรคก็มีเหตุเป็น

ธรรมต่ำ องค์ฌานย่อมไม่ได้ในจิตที่ไม่มีวิตกตามปกติ องค์มรรคก็ไม่ได้ใน

อเหตุกจิต (จิตไม่ประกอบด้วยเหตุ) เหมือนกัน เพราะฉะนั้น องค์ฌานและ

องค์มรรคแม้ทั้ง ๒ พระองค์ จึงไม่ทรงยกขึ้นแสดงในจักขุวิญญาณนี้ ก็สังขาร-

ขันธ์ในจักขุวิญญาณนี้เป็นธรรมประกอบด้วยองค์ ๔ (ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา

ชีวิตินทรีย์) นั่นแหละจึงทรงจำแนกไว้. สุญญตวารเป็นไปตามปกตินั่นแหละ

แม้นิทเทสแห่งโสตวิญญาณเป็นต้น พึงทราบโดยนัยนี้เหมือนกัน.

ก็ในวิญญาณ ๕ นั้น มีความแปลกกันอย่างเดียว คือ ในจักขุวิญญาณ

เป็นต้น ทรงจำแนกอุเบกขา ในกายวิญญาณทรงจำแนกสุข. แม้ความต่างกัน

นั้นก็พึงทราบว่า ย่อมมีด้วยอำนาจการกระทบ เพราะในทวาร ๔ มีจักขุทวาร

เป็นต้น อุปาทารูปย่อมกระทบกับอุปาทารูปเท่านั้น ครั้นเมื่ออุปาทารูปนั่นแหละ

กระทบอยู่ซึ่งอุปาทารูป ความเสียดสีเกิดจากการกระทบย่อมไม่มีกำลัง ย่อม

เป็นเพียงถูกกันเท่านั้น ย่อมไม่กระทบกันหนัก เหมือนเวลาที่เขาวางปุยนุ่น

อันเกิดแต่ฝ้าย ๔ อันไว้บนทั่ง ๔ อัน แล้วเอาปุยนุ่นนั่นแหละกระทบกัน

ฉะนั้น เวทนาจึงตั้งอยู่ในฐานะกลาง (อุเบกขา) แต่ในกายทวาร อารมณ์

ที่เป็นมหาภูตรูปในภายนอกกระทบกายปสาทอันเป็นภายในแล้วกระทบมหาภูต-

รูปทั้งหลายที่มีปสาทรูปเป็นปัจจัย เหมือนบุคคลวางปุยนุ่นบททั่งแล้วเอาค้อน

ทุบ ค้อนก็เลยปุยนุ่นไปกระทบทั่ง เพราะการเสียดสีเป็นสภาพมีกำลัง ข้อนี้

ฉันใด การกระทบมหาภูตรูปกับมหาภูตรูปเป็นการเสียดสีที่มีกำลัง ฉันนั้น

เหมือนกัน. กายวิญญาณที่สหรคตด้วยสุข ย่อมเกิดขึ้นในอิฏฐารมณ์ กายวิญญาณ

ที่สหรคตด้วยทุกข์ย่อมเกิดขึ้นในอนิฏฐารมณ์.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 67

ก็วัตถุทวารและอารมณ์ของจิตทั้ง ๕ เหล่านี้ ย่อมเป็นของเกี่ยวข้องกัน

โดยเฉพาะ ชื่อว่า การก้าวก่ายกันด้วยวัตถุเป็นต้น ในที่นี้ย่อมไม่มี เพราะ

จักขุวิญญาณที่เป็นกุศลวิบาก กระทำจักขุปสาทให้เป็นวัตถุ (ที่อาศัยเกิด)

แล้วยังทัสสนกิจ (กิจคือการเห็น) ให้สำเร็จในรูปารมณ์อันมีสมุฏฐาน ๔ ใน

อิฏฐารมณ์ และในอิฏฐมัชฌัตตารมณ์ ดำรงอยู่ในจักขุทวารสำเร็จผล. โสต-

วิญญาณเป็นต้น ทำโสตปสาทเป็นต้นให้เป็นวัตถุแล้วให้สำเร็จสวนกิจฆายนกิจ

สายนกิจ และผุสนกิจในอารมณ์มีเสียงเป็นต้นที่เป็นอิฏฐารมณ์และอิฏฐมัช-

ฌัตตารมณ์ ดำรงอยู่ในโสตทวารเป็นต้นสำเร็จผล. ก็ในอารมณ์เหล่านั้น เสียงมี

สมุฏฐาน ๒ เท่านั้น.

อธิบายมโนธาตุกุศลวิบาก

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งมโนธาตุต่อไป.

ธาตุ คือ มโนนั่นแหละ ชื่อว่า มโนธาตุ ด้วยอรรถว่า สูญจาก

สภาวะและมิใช่สัตว์. มโนธาตุนั้นมีการรู้รูปารมณ์เป็นต้น ในลำดับแห่งจักขุ-

วิญญาณเป็นต้นเป็นลักษณะ (จกฺขุวิญฺาณาทีน อนนฺตรรูปาทิวิชานน-

ลกฺขณา) มีการรับอารมณ์ มีรูปเป็นต้นเป็นรส (รูปาทีน สมฺปฏิจฺฉนฺนรสา)

มีภาวะเช่นการรับอารมณ์อย่างนั้นเป็นปัจจุปัฏฐาน (ตถาภาวปจฺจุปฏานา)

มีการไม่ปราศจากจักขุวิญญาณเป็นปทัฏฐาน (จกฺขุวิญฺญาณา อปคมนปทฏฺ-

านา) ธัมมุทเทสในมโนธาตุนี้มี ๑๒ บท ว่าด้วยการถือเอาบทที่ยังมิได้ถือเอา

ก็ได้ ๙ บท. ใน ๙ บทนั้น ๗ บทจำแนกไม่ได้ ๒ บทจำแนกได้. เยวาปนก-

ธรรมมี ๒ คือ อธิโมกข์ และมนสิการ.

นิทเทสแห่งวิตก พระองค์ทรงกำหนดไว้ถึงอภินิโรปนะ (คือการยกจิต

ขึ้นสู่อารมณ์) ก็เพราะจิต (อัพยากตวิบาก) ดวงนี้เป็นกุศลก็มิใช่ เป็นอกุศล

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 68

ก็มิใช่ เพราะฉะนั้น จึงไม่ตรัสว่า เป็นสัมมาสังกัปปะหรือเป็นมิจฉาสังกัปปะ

องค์ฌานแม้ได้อยู่ในสังคหวารก็ตกไปเป็นไปในกระแสแห่งวิญญาณ ๕ เพราะ

ฉะนั้น จึงไม่ยกขึ้นแสดง ส่วนองค์มรรคย่อมไม่ได้โดยแท้ เพราะฉะนั้น จึง

ไม่ทรงยกขึ้นแสดงสุญญตวารเป็นไปตามปกตินั่นแหละ จิตนี้เป็นจิตเนื่องด้วย

วัตถุ คือ อาศัยเกิดที่หทยวัตถุเท่านั้น. ทวารและอารมณ์เป็นสภาพไม่เนื่องกัน

บรรดาทวารและอารมณ์ที่ไม่เนื่องกันเหล่านั้น ทวารและอารมณ์จะก้าวก่ายกัน

แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้นก็มีฐานเดียวกัน เพราะฐานนี้มีสัมปฏิจฉันนกิจ (กิจคือมี

หน้าที่รับอารมณ์) เหมือนกัน จริงอยู่ จิตดวงนี้ (อัพยากตวิบาก) เป็น

สัมปฏิจฉันนจิต (เป็นจิตรับอารมณ์) ในอารมณ์ ๕ ในปัญจทวาร สำเร็จผล

เมื่อวิญญาณ ๕ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น ที่เป็นกุศลวิบากดับแล้ว สันปฏิจฉันน-

จิต (อัพยากตวิบาก) นั้นก็รับอารมณ์เหล่านั้นนั่นแหละมีรูปารมณ์เป็นต้นที่ถึง

ฐานในลำดับทีเดียว.

อธิบายมโนวิญญาณธาตุ

พึงทราบวินิจฉัยในนิสเทสแห่งสันติรณมโนวิญญาณธาตุ. บทว่า ปีติ

เป็นบทอธิกะ (ยิ่ง) ในมโนวิญญาณธาตุดวงที่หนึ่ง แม้เวทนาก็เป็นโสมนัสส-

เวทนา เพราะมโนวิญญาณธาตุดวงที่หนึ่งนี้ ย่อมเป็นไปในอิฏฐารมณ์อย่างเดียว

ส่วนมโนวิญญาณธาตุดวงที่สอง ย่อมเป็นไปในอิฏฐมัชฌัตตัตตารมณ์ เพราะ

ฉะนั้น ในมโนวิญญาณธาตุดวงที่สองนี้ จึงเป็นอุเบกขาเวทนา บททั้งหลาย

เป็นเช่นเดียวกันในนิทเทสแห่งมโนธาตุนั่นแหละ ในมโนวิญญาณธาตุ แม้ทั้ง

๒ ดวง พระองค์มิได้ทรงยกองค์ฌานขึ้นแสดง เพราะความที่มโนวิญญาณธาตุ

๒ ดวงนั้นเป็นธรรมชาติ ตกไปเป็นไปในกระแสแห่งวิญญาณ ๕ ทีเดียว

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 69

องค์มรรคก็เหมือนกัน มิได้ทรงยกขึ้นแสดงเพราะไม่ได้โดยแท้. คำที่เหลือใน

ที่ทั้งหมดพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วนั้นแล.

อนึ่ง ว่าโดยลักษณะเป็นต้น มโนวิญญาณธาตุแม้ทั้ง ๒ เป็นอเหตุก-

วิบาก (วิปากจิตไม่มีเหตุประกอบ) มีการรู้อารมณ์ ๖ เป็นลักษณะ (สฬา-

รมฺมณวิชานนลกฺขณา) พึงทราบว่า มีการพิจารณาอารมณ์เป็นต้นเป็นรส

(สนฺติรณาทิรสา) มีความเป็นอย่างนั้น (มีการพิจารณาอารมณ์เป็นต้น

อย่างนั้น) เป็นปัจจุปัฏฐาน (ตถาภาวปจฺจุปฏฺานา) มีหทยวัตถุเป็น

ปทัฏฐาน (หทยวตฺถุปทฏฺานา).

บรรดามโนวิญญาณธาตุ ๒ ดวงนั้น ดวงที่ ๑ ย่อมให้ผลในฐานทั้ง ๒

จริงอยู่ มโนวิญญาณธาตุดวงที่ ๑ นั้น เมื่อมโนธาตุอันเป็นวิบาก (สัมปฏิจ-

ฉันนจิต) รับอารมณ์ในลำดับแห่งจักขุวิญญาณเป็นต้น ซึ่งเป็นกุศลวิบากใน

ทวาร ๕ นั้นดับแล้วก็ยังสันติรณกิจให้สำเร็จอยู่ในอารมณ์นั้นนั่นแหละ ย่อมตั้ง

อยู่ให้ผลในทวาร ๕ และย่อมเป็นตทารัมมณะให้ผลในอารมณ์ที่มีกำลังในทวาร

๖ ข้อนี้ เป็นอย่างไร ? คือ เปรียบเหมือนเมื่อเรือขวางลำในแม่น้ำกระแสเชี่ยว

ไปอยู่ กระแสน้ำก็แตกติดตามเรือไปสู่ที่หน่อยหนึ่ง แล้วก็ไปตามสมควรแก่

กระแสนั่นแหละ ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือเมื่ออารมณ์มีกำลังปรากฏ

ชัดในทวาร ๖ ไปสู่คลองแล้ว ชวนจิตย่อมแล่นไป เมื่อชวนนั้นเสพอารมณ์

แล้วก็เป็นโอกาสของภวังค์ แต่ว่าจิต (สันตรณจิต) นี้ไม่ให้โอกาสแก่ภวังค์ จึง

รับอารมณ์ที่ชวนจิตรับแล้วก็เป็นไปสิ้น ๑ วารจิต ๒ วารจิตก็หยั่งลงสู่ภวังค์

ทีเดียว. บัณฑิตพึงยังอุปมาด้วยอาการอย่างนี้นั่นแหละให้พิสดาร แม้ในฝูงโคที่

กำลังข้ามแม่น้ำ. มโนวิญญาณธาตุดวงที่หนึ่งนี้ ชื่อว่า ตทารัมมณจิต เพราะ

ความที่มโนวิญญาณธาตุนั่นนั่นแหละรับอารมณ์ที่ชวนจิตรับเอาแล้วให้ผลอยู่.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 70

ส่วนมโนวิญญาณธาตุดวงที่ ๒ ย่อมให้ผลใน ๕ ฐาน อย่างไร ? คือ

ในเบื้องต้นให้ผลเป็นปฏิสนธิจิต ในเวลาถือปฏิสนธิของคนบอดแต่เกิด คน

หนวกแต่เกิด คนใบ้แต่เกิด คนบ้าแต่เกิด เป็นอุภโตพยัญชนกและเป็นกระเทย

ในมนุษยโลกประการ ๑ เมื่อปฏิสนธิผ่านไปแล้วก็ให้ผลเป็นภวังค์ตลอดอายุ

ประการ ๑ ย่อมให้ผลเป็นสันติรณะ (พิจารณา) ในวิถีแห่งอารมณ์ ๕ ใน

อิฎฐมัชฌัตตตารมณ์ประการ ๑ ย่อมให้ผลเป็นตทารัมมณะในอารมณ์ที่มีกำลัง

ในทวาร ๖ ประการ ๑ ในเวลามรณะให้ผลเป็นจุติจิตประการ ๑ มโนวิญญาณ-

ธาตุดวงที่ ๒ นี้ย่อมอำนวยผลใน ๕ ฐานเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.

มโนวิญญาณธาตุ ๒ ดวงจบ

มหาวิบาก ๘

[๔๑๕] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก สหรตด้วยโสมนัส สัมปยุตด้วยญาณ

มีรูปเป็นอารมณ์ ฯลฯ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ

เกิดขึ้น ฯลฯ

มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก สหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุตด้วยญาณ

... เกิดขึ้น โดยมีการชักจูง ฯลฯ

มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก สหรคตด้วยโสมนัส วิปปยุตจากญาณ

... เกิดขึ้น ฯลฯ

มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก สหรคตด้วยโสมนัส วิปปยุตจากญาณ

... เกิดขึ้น โดยมีการชักจูง ฯลฯ

มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา สัมปยุตด้วยญาณ

... เกิดขึ้น ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 71

มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา สัมปยุตด้วย

ญาณ ...เกิดขึ้น โดยมีการชักจูง ฯลฯ

มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา วิปปยุตจากญาณ

... เกิดขึ้น ฯลฯ

มโนวิญญาณธาตุอันเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา วิปปยุตจากญาณ

... เกิดขึ้น โดยมีการชักจูง เพราะกามาวจรกุศลกรรมอันได้ทำไว้แล้ว ได้

สั่งสมไว้แล้ว ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๑๖] อัพยากตมูล คือ อโลภะ ฯลฯ อัพยากตมูล คือ อโทสะ

ฯลฯ อัพยากตมูล คือ อโมหะ ฯลฯ

ภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

มหาวิบาก ๘ จบ

อธิบายมหาวิบาก ๘ ดวง

บัดนี้ พระองค์ทรงประสงค์จะแสดงมหาวิบากจิต ๘ ดวง จึงทรงเริ่ม

พระดำรัส มีอาทิว่า กตเม ธมฺมา อพฺยากตา (ธรรมเป็นอัพยากฤต

เป็นไฉน ?) อีก.

ในมหาวิบาก ๘ เหล่านั้น ทรงแสดงเพียงนัยไว้ในพระบาลีแล้วทรง

ย่อวาระไว้ทั้งหมด. บัณฑิตพึงทราบเนื้อความแห่งวาระเหล่านั้นโดยนัยที่กล่าว

ในหนหลังนั่นแหละ ส่วนความแปลกกันอันใดในมหาวิบากจิตเหล่านั้น ทรง

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 72

ประสงค์จะแสดงความแปลกกันนั้น จึงตรัสพระพุทธพจน์มีอาทิว่า อโลโภ

อพฺยากตมูล (อัพยากตะคืออโลภะ) ดังนี้. พระดำรัสใดแม้มิได้ตรัสไว้

พระดำรัสนั้น บัณฑิตพึงทราบอย่างนี้ว่า

ก็ความต่างกันแห่งกรรม ทวาร กรรมบถ บุญกิริยาวัตถุ อันใดที่

ตรัสไว้ในกามาวจรกุศลทั้งหลาย ความต่างกันอันนั้นไม่มีในมหาวิบาก ๘ เหล่านี้

ข้อนั้นเพราะเหตุไร ? เพราะมหาวิบาก ๘ ให้วิญญัติเกิดไม่ได้ คือ เหตุที่

มหาวิบากไม่มีวิบากเป็นธรรมดา และเพราะมหาวิบากไม่เป็นไป (เหมือนบุญ

กิริยาวัตถุ) อย่างนั้น กรุณาและมุทิตาแม้เหล่าใดที่ตรัสไว้ในเยวาปนกธรรม

ทั้งหลาย กรุณาและมุทิตานั้นก็ไม่มีอยู่ในวิบากทั้งหลาย เพราะมีสัตว์เป็นอารมณ์

ด้วยว่า กามาวจรวิบากทั้งหลายเป็นปริตตารมณ์อย่างเดียว มิใช่กรุณาและ

มุทิตาเท่านั้นไม่มี แม้วิรตีทั้งหลายก็ไม่มีในวิบากเหล่านี้ ข้อนี้สมจริงดังที่

ตรัสว่า สิกขาบท ๕ เป็นกุศลเท่านั้น. ก็ในมหาวิบากนี้ พึงทราบวิธีของธรรม

ที่เป็นอสังขาร (ไม่มีการชักจูง) สสังขาร (มีการชักจูง) โดยกุศล และโดย

ความต่างแห่งปัจจัย.

จริงอยู่ กุศลเป็นอสังขาริก วิบากก็เป็นอสังขาริก กุศลเป็นสสังขาริก

วิบากก็เป็นสสังขาริก. อนึ่ง กุศลที่เป็นอสังขาริกเกิดขึ้นด้วยปัจจัยที่มีกำลัง

กุศลที่เกิดขึ้นด้วยปัจจัยนอกนี้เป็นสสังขาริก. แม้ในความต่างกันแห่งความเลว

เป็นต้น มหาวิบากเหล่านี้ย่อมไม่ชื่อว่าเลว ปานกลาง และประณีต เพราะ

ความที่ธรรมมีฉันทะเป็นต้นที่เลว ปานกลางและประณีตไม่ให้สำเร็จไว้ แต่ว่า

วิบากของกุศลที่เลวก็ย่อมเลว วิบากของกุศลปานกลางก็ย่อมเป็นปานกลาง

วิบากของกุศลที่ประณีตก็ย่อมเป็นของประณีต ในวิบากเหล่านี้ แม้ธรรมที่เป็น

อธิบดีทั้งหลาย ก็มิได้มี. ข้อนี้เป็นเพราะเหตุไร ? เพราะความที่วิบากเหล่านี้

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 73

ไม่ทำฉันทะเป็นต้นให้เป็นธุระแล้วเกิดขึ้น. คำที่เหลือทั้งหมดเหมือนกับคำที่

กล่าวไว้ในกุศล ๘ นั่นแล.

บัดนี้ พึงทราบที่เป็นที่ให้ผลของมหาวิบากจิต ๘ เหล่านี้ต่อไป.

จริงอยู่ มหาวิบากเหล่านี้ย่อมให้ผลในที่ทั้ง ๔ คือ ในปฏิสนธิ ๑

ในภวังค์ ๑ ในจุติ ๑ ในตทารัมมณะ ๑ ให้ผลอย่างไร ? คือ ย่อมให้ผล

เป็นปฏิสนธิ ในเวลาถือปฏิสนธิของผู้มีบุญทั้งหลายเป็นทุเหตุกะและติเหตุกะ

ในพวกมนุษย์ และในพวกเทพชั้นกามาพจรก่อน เมื่อปฏิสนธิจิตผ่านไปแล้วก็

ให้ผลเป็นภวังค์ในปวัตติกาลตลอดอายุ ๖๐ ปีบ้าง ๘๐ ปีบ้าง ตลอดอสงไขย

หนึ่งบ้าง ย่อมให้ผลเป็นตทารัมมณะในอารมณ์ที่มีกำลังในทวาร ๖ และย่อม

ให้ผลเป็นจุติในเวลาตาย มหาวิบากย่อมให้ผลในที่ ๔ ด้วยประการฉะนี้.

ในกาลให้ผลของมหาวิบากจิต ๘ เหล่านั้น พระสัพพัญญูโพธิสัตว์

แม้ทุกพระองค์ย่อมถือปฏิสนธิด้วยมหาวิบากจิตที่เป็นอสังขาริก สหรคตด้วย

โสมนัส เป็นติเหตุกะดวงที่หนึ่ง ในการถือปฏิสนธิภพสุดท้าย ก็มหาวิบากจิต

ดวงนั้นเป็นวิบากของจิตมีเมตตาเป็นส่วนเบื้องต้น ก็ปฏิสนธิจิตอันมหาวิบากมี

เมตตาเป็นส่วนเบื้องต้นนั้นให้มีอายุหนึ่งอสงไขย แต่ย่อมเปลี่ยนไปด้วยอำนาจ

แห่งกาล.

ส่วนพระมหาสิวเถระกล่าวว่า มหาวิบากจิตที่สหรคตด้วยอุเบกขามี

กำลังกว่ามหาวิบากที่สหรคตด้วยโสมนัส พระสัพพัญญูโพธิสัตว์ย่อมถือปฏิสนธิ

ด้วยมหาวิบากที่สหรคตด้วยอุเบกขานั้น เพราะผู้ถือปฏิสนธิด้วยมหาวิบากที่

สหรคตด้วยอุเบกขานั้น ย่อมเป็นผู้มีอัธยาศัยใหญ่ เพราะความเป็นผู้ไม่หวั่นไหว

ในอารมณ์ทั้งหลายอันเป็นทิพย์ เหมือนพระจูฬนาคเถระผู้ทรงพระไตรปิฎก

เป็นต้น. แต่คำนี้ในอรรถกถาท่านปฏิเสธว่า นี้เป็นความชอบใจของพระเถระ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 74

ข้อนี้หาเป็นเช่นนั้นไม่ แล้วกล่าวว่า การบำเพ็ญประโยชน์เกื้อกูลของพระ-

สัพพัญญูโพธิสัตว์ทั้งหลายเป็นสภาพมีกำลังมาก เพราะฉะนั้น พระสัพพัญญู-

โพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมถือปฏิสนธิด้วยอสังขาริกจิต อันเป็นติเหตุกะ สหรคต

ด้วยกามาวจรกุศลวิบากมีเมตตาเป็นส่วนเบื้องต้น.

อธิบายทวารวิบากมาติกากถา

บัดนี้ ควรจะตั้งมาติกาในกถาทวารวิบาก ต่อไป.

พระจูฬนาคเถระผู้ทรงพระไตรปิฎกกล่าวไว้ก่อนว่า กุศลเจตนา

ดวงเดียวย่อมเกิดวิบากจิต ๑๖ ดวง ในกุศลเจตนาดวงนี้แหละเป็นเหตุให้เกิด

วิบากจิต ๑๒ ดวงบ้าง เป็นอเหตุกจิต ๘ บ้าง ดังนี้.

ก็พระมหาทัตตเถระผู้อยู่ในวิหารโมรวาปีกล่าวว่า กุศลเจตนาหนึ่ง

ดวงย่อมเกิดวิบากจิต ๑๒ ดวง ในกุศลเจตนาดวงนี้แหละเป็นเหตุให้เกิดวิบาก-

จิต ๑๐ ดวงบ้าง อเหตุกจิต ๘ บ้าง ดังนี้.

แต่พระมหาธัมมรักขิตเถระผู้ทรงพระไตรปิฎกกล่าวว่า กุศล-

เจตนาดวงเดียวย่อมเกิดวิบากจิต ๑๐ ดวง ในกุศลเจตนาดวงนี้แหละ เป็น

อเหตุกจิต ๘ ดังนี้.

ในฐานะนี้ พระเถระเหล่านั้นถือเอาเรื่องชื่อว่า สาเกตกปัญหา.

ได้ยินว่า พวกอุบาสกผู้อยู่ในเมืองสาเกต นั่งในศาลาสนทนากันถึง

ปัญหาว่า ในเจตนากรรมดวงเดียวที่ประกอบแล้ว จะมีปฏิสนธิอย่างเดียว

หรือหลายอย่าง ดังนี้ ไม่อาจวินิจฉัยได้ จึงพากันไปถามพระเถระผู้ทรงพระ-

อภิธรรม. พระเถระทั้งหลายให้พวกอุบาสกเหล่านั้นยอมรับด้วยคำว่า หน่อ

อันเดียวเท่านั้นย่อมออกจากเมล็ดมะม่วงอันเดียวฉันใด เจตนาเดียวก็มีปฏิสนธิ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 75

หนึ่งเท่านั้น ฉันนั้นดังนี้. ในวันต่อมาก็สนทนากันถึงปัญหาว่า ก็เจตนา

ต่าง ๆ ที่กระทำกรรมแล้วย่อมมีปฏิสนธิต่าง ๆ หรือมีปฏิสนธิเดียว ดังนี้ เมื่อ

ไม่อาจวินิจฉัยได้จึงพากันไปถามพระเถระทั้งหลาย พระเถระทั้งหลายยังอุบาสก

เหล่านั้นให้ยอมรับด้วยคำว่า เมื่อเมล็ดมะม่วงมากที่เขาเพาะไว้ หน่อเป็นอันมาก

ก็ย่อมงอกขึ้น ฉันใด เจตนามากก็มีปฏิสนธิมากฉันนั้นเหมือนกัน ดังนี้.

อีกอย่างหนึ่ง ในฐานะนี้ ท่านถือเอาเรื่องชื่อว่าการแสดงถึงสิ่งที่มีมาก

เป็นประมาณ เพราะสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้มีโลภะมากก็ดี มีโทสะมากก็ดี มีโมหะ

มากก็ดี มีอโลภะอโทสะอโมหะมากก็ดี ถามว่า ธรรมอะไรย่อมกำหนดสภาวะ

นั้นของสัตว์เหล่านั้นที่มีมากได้. ตอบว่า บุรพเหตุย่อมกำหนด ความต่างกัน

ย่อมมีในขณะแห่งการประกอบกรรมนั่นแหละ ข้อนี้เป็นอย่างไร ? คือ ในขณะ

การประกอบกรรมของบุคคลใด โลภะมีกำลังแรง อโลภะมีกำลังอ่อน อโทสะ

และอโมหะมีกำลังแรง โทสะและโมหะมีกำลังอ่อน อโลภะอ่อนของบุคคลนั้น

ไม่อาจเพื่อครอบงำโลภะได้ แต่ว่าอโทสะและอโมหะมีกำลังแรง ย่อมอาจเพื่อ

ครอบงำโทสะและโมหะได้ เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นเกิดด้วยอำนาจปฏิสนธิ

อันกรรมนั้นให้แล้วย่อมเป็นคนมักได้ มีความสุขเป็นปกติ มักไม่โกรธ แต่มี

ปัญญา มีญาณเปรียบด้วยเพชร ดังนี้.

อนึ่ง ในขณะที่ประกอบกรรมของบุคคลใด โลภะและโทสะมีกำลัง

แรง อโลภและอโทสะมีกำลังอ่อน และมีอโมหะแรงมีโมหะอ่อน บุคคลนั้น

เป็นผู้มักได้โดยนัยก่อนนั่นแหละด้วย เป็นผู้มักประทุษร้ายด้วย แต่เป็นคนมี

ปัญญา มีญาณเปรียบด้วยเพชร ดุจพระทัตตาภยเถระ.

อนึ่ง ในขณะประกอบกรรมของบุคคล โลภะอโทสะโมหะมีกำลัง

แรง นอกนี้ (อโลภะโทสะและอโมหะ) มีกำลังอ่อนบุคคลนั้นเป็นผู้มักโลภโดยนัย

ก่อนนั่นแหละด้วย เป็นคนเขลาด้วย แต่เป็นคนมีความสุขเป็นปกติ มักไม่โกรธ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 76

อนึ่ง ในขณะประกอบกรรมของบุคคลใด โลภะ โทสะ และโมหะ

แม้ทั้ง ๓ มีกำลังแรง อโลภะเป็นต้นมีกำลังอ่อน บุคคลนั้นเป็นผู้มักได้ตามนัย

ก่อนนั่นแหละด้วย เป็นผู้มักประทุษร้ายด้วย ผู้ลุ่มหลงด้วย.

อนึ่ง ในขณะประกอบกรรมของบุคคลใด อโลภะ โทสะ โมหะ

มีกำลังแรง นอกนี้ (คือโลภะ อโทสะ และอโมหะ) มีกำลังอ่อน บุคคลนั้น

มีกิเลสน้อยโดยนัยก่อนนั่นแหละ เขาเห็นแม้อารมณ์อันเป็นทิพย์ก็ไม่หวั่นไหว

แต่เป็นผู้มักประทุษร้ายและมีปัญญาทราม ดังนี้.

อนึ่ง ในขณะประกอบกรรมของบุคคลใด อโลภะ อโทสะ และโมหะ

มีกำลังแรง นอกนี้ (คือ โลภะ โทสะ และอโมหะ) มีกำลังอ่อน บุคคล

นั้นเป็นคนไม่มักได้ เป็นคนมีความสุขเป็นปกติ แต่เป็นคนโง่เขลา.

อนึ่ง ในขณะที่ประกอบกรรมของบุคคลใด อโลภะ โทสะ และ

อโมหะ มีกำลังแรง นอกนี้ (คือ โลภะ อโทสะ และโมหะ ) มีกำลังอ่อน

บุคคลนั้นเป็นผู้ไม่มักได้โดยนัยก่อนนั่นแหละด้วย มีปัญญาด้วย แต่เป็นคนมัก

ประทุษร้าย มักโกรธ.

อนึ่ง ในขณะที่ประกอบกรรมของบุคคลใดมีอโลภะเป็นต้น แม้ทั้ง ๓

มีกำลังแรง มีโลภะเป็นต้นอ่อน บุคคลนั้นเป็นผู้ไม่มักโลภ ไม่มักประทุษร้าย

และมีปัญญา เหมือนพระมหาสังฆรักขิตเถระ ดังนี้แล.

อีกอย่างหนึ่ง ในฐานะนี้ ท่านถือเอาเรื่องการยกย่องเหตุ. จริงอยู่

กรรมที่ประกอบด้วยเหตุ ๓ ย่อมให้วิบากเป็นติเหตุกะบ้าง ทุเหตุกะบ้าง

อเหตุกะบ้าง. กรรมอันประกอบด้วยเหตุ ๒ ย่อมไม่ให้วิบากเป็นติเหตุกะ ให้

แต่วิบากนอกนี้ ด้วยกรรมที่ประกอบด้วยเหตุ ๓ ปฏิสนธิย่อมเป็นติเหตุกะบ้าง

ทุเหตุกะบ้าง ไม่มีอเหตุกะ ด้วยกรรมที่ประกอบด้วยเหตุ ๒ ปฏิสนธิย่อมเป็น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 77

ทุเหตุกะบ้าง ย่อมเป็นอเหตุกะบ้าง ไม่เป็นติเหตุกะ กุศลกรรมที่เป็นอสังขาริก

ย่อมให้วิบากเป็นอสังขาริกบ้าง เป็นสสังขาริกบ้าง. กุศลที่เป็นสสังขาริกย่อม

ให้วิบากเป็นสสังขาริกบ้าง อสังขาริกบ้าง. เวทนาพึงเปลี่ยนไปตามอารมณ์

ตทารัมมณะพึงกำหนดด้วยชวนะ.

ว่าด้วยวิบากจิต ๑๖ ดวง นัยของพระจูฬนาคเถระ

บัดนี้ พึงทราบเห็นเกิดวิบาก ๑๖ ดวงเป็นต้นในวาทะของพระเถระนั้น ๆ

ก็สัตว์ผู้ถือปฏิสนธิด้วยมหาวิบากจิตดวงที่หนึ่งเช่นเดียวกับกามาวจรกุศลดวงที่

หนึ่ง ออกจากการอยู่ในครรภ์แล้ว เข้าถึงความเป็นผู้สามารถเพื่อเริ่มตั้งอยู่ใน

สังวรและอสังวร เมื่ออิฏฐารมณ์มาสู่คลองจักษุทวารแล้ว มโนธาตุที่เป็นกิริยา

ไม่ยังภวังค์ให้เปลี่ยนไป ขอบเขตอารมณ์ที่ก้าวล่วงก็ไม่มี เพราะเหตุไร จึง

เป็นเช่นนั้น เพราะอารมณ์มีกำลังอ่อน นี้เป็นโมฆวาระหนึ่งก่อน.

ก็ถ้าว่า จิตนั้นหมุนไปสู่ภวังค์ เมื่อมโนธาตุที่เป็นกิริยายังภวังค์ให้

เปลี่ยนไป จิตนั้นไม่ทันถึงโวฏฐัพพนะเลย จิตนั้นจักกลับมาตั้งอยู่ในจักขุวิญญาณ

หรือสัมปฏิจฉันนะ หรือสันติรณะดังนี้ ข้อนี้ไม่ใช่ฐานะที่มีได้. แต่ว่าจิตหนึ่ง

ดวงบ้าง สองดวงบ้าง ตั้งอยู่ในโวฏฐัพพนะเป็นไป จากนั้นก็ดำรงอยู่ในที่ชวนะ

ได้อาเสวนะแล้วก็หยั่งลงสู่ภวังค์อีก แม้จิตนี้ก็ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ เพราะ

ความที่อารมณ์ทุรพล แต่วาระนี้ย่อมได้ในเวลาที่กล่าวถ้อยคำมีอาทิว่า รูปนี้

เหมือนข้าพเจ้าเห็นแล้ว เสียงนี้เหมือนข้าพเจ้าฟังแล้ว ดังนี้ โมฆวาระแม้นี้

เป็นที่สอง.

เมื่อมโนธาตุที่เป็นกิริยาของบุคคลอื่นอีก ยังภวังค์ให้เปลี่ยนไปแล้ว

วิถีจิตทั้งหลายย่อมเกิด ชวนะย่อมแล่นไป ในเวลาสุดแห่งชวนะก็เป็นวาระของ

ตทารัมมณะ แต่ตทารัมมณะนั้นยังไม่เกิดเลย ก็หยั่งลงสู่ภวังค์ไป ในข้อนั้นมี

อุปมาดังนี้

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 78

เหมือนเมื่อเขาสร้างทำนบกั้นแม่น้ำทำให้น้ำไหลบ่าไปสู่เหมืองใหญ่ น้ำ

ย่อมไหลบ่าไปเต็มขอบคันในฝั่งทั้งสอง แล้วก็ลันไปตามทางทั้งหลาย มีทางปู

เป็นต้นแล้วก็หยั่งลงสู่แม่น้ำนั่นแหละอีก ฉันใด ข้ออุปไมยนี้พึงทราบฉันนั้น

เถิด. ก็ในความข้อนี้เวลาที่ภวังควิถีเป็นไป เหมือนเวลาเป็นไปของน้ำในแม่น้ำ.

เวลามโนธาตุที่เป็นกิริยายังภวังค์ให้เปลี่ยนไป เหมือนเวลาที่เขาสร้างทำนบกั้น

แม่น้ำ. การที่วิถีจิตเป็นไป เหมือนเวลาที่น้ำกำลังไหลไปในเหมืองใหญ่. ชวนะ

เหมือนการเต็มขอบคันทั้งสองฝั่ง. การแล่นไปของชวนะแล้ว แต่ตทารมณ์ยัง

ไม่ทันเกิดเลย จิตชวนะนั้นก็หยั่งลงสู่ภวังค์อีก เหมือนน้ำไหลจากทางทั้งหลาย

มีทางปูเป็นต้น แล้วไปสู่แม่น้ำอีก คลองการนับจิตที่หยั่งลงสู่ภวังค์ด้วยอาการ

อย่างนี้หามีไม่ แม้จิตนี้ ย่อมเป็นอย่างนี้ก็เพราะความที่อารมณ์ทุรพล นี้เป็น

โมฆวาระที่สาม.

ก็ถ้าอารมณ์ที่มีกำลังแรงมาสู่คลองไซร้ มโนธาตุที่เป็นกิริยายังภวังค์ให้

เปลี่ยนไปแล้ว จิตทั้งหลายมีจักขุวิญญาณเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้น ก็ในฐานแห่งชวนะ

กามาวจรกุศลจิตดวงที่หนึ่งเป็นชวนะแล้ว ก็แล่นไป ๖-๗ วาระ แล้วจึงให้

โอกาสแก่ตทารัมมณะ ตทารัมมณะเมื่อตั้งอยู่ ก็ย่อมตั้งอยู่เป็นมหาวิบากจิตเช่น

เดียวกับกามาวจรกุศลจิตดวงที่หนึ่งนั่นแหละ มหาวิบากจิตดวงนี้ได้มี ๒ ชื่อ

คือมูลภวังค์ เพราะเป็นเหมือนจิตปฏิสนธิ และชื่อว่า ตทารัมมณะ เพราะ

ความที่จิตนั้นรับอารมณ์ที่ชวนจิตรับมาแล้ว. ในฐานนี้วิบากจิตย่อมถึงการนับ

ได้ ๔ อย่าง คือ จักขุวิญญาณ ๑ สัมปฏิจฉันนะ ๑ สันติรณะ ๑ ตทารัมมณะ ๑.

อนึ่ง เมื่อใดกุศลจิตดวงที่ ๒ เป็นชวนะ เมื่อนั้นกุศลวิบากจิตดวงที่ ๒

เช่นกับกุศลจิตดวงที่สองนั้นก็ตั้งอยู่ในฐานเป็นตทารัมมณะ แม้วิปากจิตดวง

ที่ ๒ นี้ย่อมได้ชื่อ ๒ อย่าง คือ ชื่อว่า อาคันตุกภวังค์เพราะเป็นเช่นเดียวกับ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 79

ปฏิสนธิจิต และชื่อว่า ตทารัมมณะโดยนัยก่อนนั่นแหละ วิบากจิตดวงก่อน ๆ

๔ ดวง กับจิตดวงนี้รวมเป็นจิต ๕ ดวง.

ก็เมื่อใด กุศลจิตดวงที่ ๓ เป็นชวนะ เมื่อนั้นวิบากจิตดวงที่ ๓ เช่น

กับกุศลจิตนั้นก็ตั้งอยู่ในฐานเป็นตทารัมมณะ วิปากจิตดวงที่ ๓ นี้ ได้ชื่อ ๒ อย่าง

คือ อาคันตุกภวังค์ และตทารัมมณะโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ วิบากจิต

ดวงก่อน ๆ ๕ ดวง กับจิตนี้ก็รวมเป็นจิต ๖ ดวง.

อนึ่ง เมื่อใดกุศลจิตดวงที่ ๔ เป็นชวนะ เมื่อนั้นวิบากจิตดวงที่ ๔

เช่นกับกุศลจิตนั้น ก็ตั้งอยู่ในฐานเป็นตทารัมมณะ วิปากจิตแม้นี้ย่อมได้ ๒ ชื่อ

คืออาคันตุกภวังค์ และตทารัมมณะ โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ วิบากจิต

ดวงก่อน ๆ ๖ ดวงกับจิตดวงนี้ก็รวมเป็นจิต ๗ ดวง.

ก็เมื่อใด อิฏฐมัชฌัตตารมณ์มาสู่คลองทวารนั้น เมื่อนั้นย่อมได้

โมฆวาระ ๓ โดยนัยที่กล่าวไว้อิฏฐมัชฌัตตารมณ์แม้นั้น แต่เพราะเวทนาย่อม

เปลี่ยนไปตามอารมณ์ ฉะนั้น ในเวทนานั้น สันติรณะจึงสหรคตด้วยอุเบกขา.

ในที่สุดแห่งมหากุศลชวนะที่สหรคตด้วยอุเบกขา ๔ ดวง มหาวิบากจิตที่

สหรคตด้วยอุเบกขา ๔ ดวง ย่อมตั้งอยู่โดยความเป็นตทารัมมณะ แม้มหาวิบาก-

จิตที่สหรคตด้วยอุเบกขา ๔ เหล่านั้น ก็ได้ชื่อ ๒ อย่าง คือ อาคันตุกภวังค์

และตทารัมมณะ โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ ท่านเรียกว่า ปิฏฐิภวังค์ (ภวังค์

ดวงหลัง) ดังนี้ก็มี วิบากจิต ๕ ดวงกับดวงนี้ และวิบากจิต ๗ ดวงก่อน

รวมเป็น ๑๒ ดวง ด้วยประการฉะนี้. วิบากจิตในจักขุทวารมี ๑๒ ดวง ใน

โสตทวารเป็นต้นก็มีทวารละ ๑๒ ดวง จึงรวมเป็นวิบากจิต ๖๐ ดวงถ้วน

ด้วยประการฉะนี้.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 80

เมื่อกุศลเจตนาดวงหนึ่งประกอบกรรมแล้ว ย่อมยังวิบากจิต ๖๐ ถ้วน

ให้เกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้ แต่ว่าเมื่อถือเอาวิบากที่ยังมิได้ถือเอา ก็ได้วิบากจิต

๑๖ ดวง คือ วิบากจิต ๑๒ ดวง เกิดในจักขุทวาร และวิบากจิต ๔ ดวง

ได้แก่ โสตวิญญาณ ๑ ฆานวิญญาณ ๑ ชิวหาวิญญาณ ๑ และกายวิญญาณ ๑.

ในฐานะนี้ ท่านถือเอาเรื่องชื่อว่าอัมโพปมา คือเปรียบด้วยผล

มะม่วง

สมมติว่า บุรุษคนหนึ่งนอนคลุมศีรษะที่โคนต้นมะม่วงที่มี

ผลสุกแล้วหลับไป ขณะนั้นผลมะม่วงสุกผลหนึ่งหลุดจากขั้วหล่นลง

พื้นดินเสียงดังเหมือนเสียดสีอยู่ซึ่งช่องหูของเขา เขาตื่นขึ้นด้วยเสียง

ของมะม่วงนั้นแล้วลืมตาแลดู ในทันทีนั้นจึงเหยียดมือไปหยิบผล

มะม่วงบีบ สูดดมกลิ่น แล้วบริโภค.

ในคำอุปมาเหล่านั้น เวลาที่ภวังค์พร้อมเพียงกัน พึงทราบว่าเหมือน

เวลาที่บุรุษคนนั้นนอนหลับที่โคนต้นมะม่วง เวลาที่อารมณ์กระทบประสาท

เหมือนเวลาที่ผลมะม่วงสุกหลุดจากขั้วตกลงเสียดสีอยู่ซึ่งช่องหู เวลาที่มโนธาตุ

คือกิริยายังภวังค์ให้เปลี่ยนไป เหมือนเวลาที่บุรุษนั้นตื่นขึ้นด้วยเสียงมะม่วงตก

เวลาที่จักขุวิญญาณยังทัศนกิจให้สำเร็จ เหมือนเวลาบุรุษนั้นลืมตาขึ้นแลดู

เวลาที่มโนธาตุซึ่งเป็นวิบากรับอารมณ์ เหมือนเวลาที่บุรุษเหยียดมือไปหยิบ

ผลมะม่วงนั้น เวลาที่มโนวิญญาณธาตุซึ่งเป็นวิบากพิจารณาอารมณ์ เหมือน

เวลาที่บุรุษหยิบมะม่วงมาบีบ เวลาที่มโนวิญญาณธาตุซึ่งเป็นกิริยากำหนด

อารมณ์ เหมือนเวลาสูดดมกลิ่นมะม่วง เวลาที่ชวนจิตเสวยรสอารมณ์ เหมือน

เวลาบุรุษนั้น บริโภคมะม่วง ฉะนั้น.

ถามว่า อุปมานี้แสดงเนื้อความอะไร ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 81

ตอบว่า แสดงถึงการกระทบประสาทเป็นกิจ* (หน้าที่) ของอารมณ์

เท่านั้น.

คือเมื่ออารมณ์นั้นมากระทบประสาทแล้ว การเปลี่ยนไปแห่งภวังค์นั้น

เป็นกิจของกิริยามโนธาตุ กิจของจักขุวิญญาณมีเพียงการเห็นเท่านั้น กิจของ

วิบากมโนธาตุมีเพียงการรับอารมณ์เท่านั้น กิจของวิบากมโนวิญญาณธาตุมี

เพียงการพิจารณาอารมณ์เท่านั้น กิจของกิริยามโนธาตุมีเพียงกำหนดอารมณ์

เท่านั้น ชวนะเท่านั้นย่อมเสวยรสอารมณ์อย่างเดียว ดังนี้.

ก็ในความเป็นไปแห่งจิตนี้ ใคร ๆ เป็นผู้กระทำหรือผู้สั่งให้กระทำว่า

ท่านจงชื่อว่าภวังค์ ท่านจงชื่อว่าอาวัชชนะ ท่านจงชื่อว่าทัสสนะ (จักขุวิญญาณ)

ท่านจงชื่อว่าสัมปฏิจฉันนะ ท่านจงชื่อว่าสันติรณะ ท่านจงชื่อว่าโวฏฐัพพนะ

ท่านจงชื่อว่าชวนะ. ท่านจงชื่อว่าตทาลัมพนะ ดังนี้ มิได้มี. (เพื่อความแจ่ม

แจ้งจึงแสดงถึงนิยาม ๕)

ว่าด้วยนิยาม ๕ อย่าง

ก็ในฐานะนี้ท่านถือเอาเรื่องชื่อนิยาม ๕ อย่าง คือ

พีชนิยาม (ความแน่นอนของพืช)

*ท่านแสดงกิจทั้งหมดมี ๑๔ ที่นี่แสดงไว้ ๘ คือ

๑. การกระทบประสาทเป็นกิจของอารมณ์

๒. การรำพึงถึงอารมณ์เป็นกิจของอาวัชชนะ

๓. การเห็นเป็นกิจของจักขุวิญญาณ

๔. การรับอารมณ์เป็นกิจของสัมปฏิจฉันนะ

๕. การพิจารณาเป็นกิจของสันติรณะ

๖. การตัดสินอารมณ์เป็นกิจของโวฏฐัพพนะ

๗. การเสวยรสอารมณ์เป็นกิจของชวนะ

๘. การเสวยรสอารมณ์ที่เหลือจากชวนะเป็นกิจของตทารัมมณะ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 82

อุตุนิยาม (ความแน่นอนของฤดูกาล)

กรรมนิยาม (ความแน่นอนของกรรม)

ธรรมนิยาม (ความแน่นอนของธรรม)

จิตนิยาม (ความแน่นอนของจิต).

บรรดานิยาม ๕ เหล่านั้น ความที่พืชนั้น ๆ ให้ผลเหมือนกันกับพืช

นั้น คือ ความที่กอถั่วพูชนิดหนึ่งทอดยอดไปทางซ้าย เถาวัลย์ไปทางขวา

พันล้อมต้นไม้ไปทางขวา ดอกทานตะวันหันหน้าไปทางพระอาทิตย์ เถาย่าง-

ทรายมุ่งหน้าไปเฉพาะต้นไม้อย่างเดียว ผลมะพร้าวมีรูข้างบท ชื่อว่า พีชนิยาม

(โยชนาว่า เป็นธรรมดาของพืช) ความที่ต้นไม้นั้น ๆ ผลิดอกออกผลและมี

ใบอ่อนพร้อม ๆ กันในสมัยนั้น ๆ ชื่อว่า อุตุนิยาม ความที่กรรมนั้น ๆ

ให้ผลเช่นเดียวกันกับกรรมนั้น ๆ อย่างนี้คือ กรรมที่ประกอบด้วยกุศลเหตุ ๓

ย่อมให้วิบากเป็นติเหตุกะ ทุเหตุกะ และอเหตุกะ กรรมที่ประกอบด้วยกุศล

เหตุ ๒ ย่อมให้วิบากเป็นทุเหตุกะ และอเหตุกะ ไม่ให้วิบากเป็นติเหตุกะ

ชื่อว่า กรรมนิยาม.

อีกอย่างหนึ่ง เป็นกรรมนิยามด้วยอำนาจแห่งวิบากเหมือนกับกรรม

นั่นแหละ เพื่อแสดงกรรมนิยามนั้น ท่านอาจารย์ทั้งหลายกล่าวเรื่องไว้ดังนี้

ในสมัยแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บ้านใกล้ประตูพระนครสาวัตถีถูก

ไฟไหม้ กระจุกหญ้า ติดไฟโพลงแต่บ้านไฟไหม้นั้น ขึ้นไปสวมคอกาตัวบิน

ทางอากาศ กานั้นร้องตกตายในแผ่นดิน.

เรือลำหนึ่งได้หยุดนิ่งลอยอยู่แม้ในมหาสมุทร เมื่อพวกเขาไม่เห็นทาง

ที่ใคร ๆ จะปลอดภัยจากอันตรายในภายใต้ จึงใคร่ครวญจับสลากคนกาลกรรณี

๑. หันหน้าไปทางทิศตะวันออกก็เป็นซ้ายมือ หรือเรียกว่า ทิศอุดร.

๒. กระจุกหญ้าที่เขามัดทำวงกลมรองหม้อ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 83

สลากนั้นได้ตกไปในมือหญิงภรรยาใกล้ชิดของนายเรือนั้นเท่านั้น ทีนั้น ชน

ทั้งหลายจึงพูดว่า ขอคนทั้งหมดอย่าพากันฉิบหายเพราะเหตุแห่งหญิงคนเดียว

พวกเราจักโยนเขาไปในน้ำ นายเรือพูดว่า เราไม่อาจเห็นหญิงนี้ลอยอยู่ในน้ำ

ได้ จึงให้เอาหม้อบรรจุทรายผูกติดคอโยนลงไป ในขณะนั้นนั่นเอง เรือก็แล่น

ไปดุจลูกศรที่ยิงไป ฉะนั้น.

ภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในถ้ำ ยอดภูเขาใหญ่ตกมาปิดประตูถ้ำ ในวันที่ ๗

ยอดเขานั้นก็เปิดเองทีเดียว.

พวกภิกษุกราบทูลเรื่องทั้ง ๓ นี้ แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประทับ

นั่งแสดงธรรมในพระเชตวัน คราวเดียวกันทั้งหมด พระศาสดาตรัสว่า นั่นมิใช่

ผู้อื่นกระทำ นั่นเป็นกรรมอันเขานั่นแหละทำแล้ว ดังนี้ เมื่อจะทรงนำเรื่อง

อดีตมาแสดงธรรม จึงตรัสว่า กาเป็นมนุษย์ในอัตภาพก่อน ไม่อาจเพื่อฝึก

โคโกงตัวหนึ่ง จึงได้ผูกเขน็ดฟางสวมคอโคจุดไฟ โคนั้นตายด้วยเหตุนั้นแหละ

บัดนี้ กรรมนั้นจึงไม่ปล่อยกานั้นแม้บินอยู่ทางอากาศ. แม้หญิงนี้ก็เป็นหญิง

คนหนึ่งนั่นแหละในอัตภาพก่อน สุนัขตัวหนึ่งคุ้นเคยกัน เมื่อเธอไปป่าก็ไปด้วย

เมื่อมาก็มาด้วย พวกมนุษย์ทั้งหลายผู้ออกไปย่อมเยาะเย้ยเธอว่า บัดนี้ พราน

สุนัขออกแล้ว ดังนี้ นางอึดอัดอยู่ด้วยสุนัขนั้น เมื่อไม่อาจห้ามสุนัขได้ จึง

เอาหม้อใส่ทรายผูกคอแล้วเหวี่ยงไปในน้ำ กรรมนั้นจึงไม่ปล่อยเธอในท่ามกลาง

สมุทร. แม้ภิกษุนั้นก็เป็นนายโคบาลในอัตภาพก่อน เมื่อเหี้ยเข้าไปในรูก็หัก

กิ่งไม้กำมือหนึ่งปิดรูเสีย หลังจากนั้นมา ๗ วัน เขาจึงมาเปิดรูเองทีเดียว

เหี้ยตัวสั่นออกมา ด้วยกรุณาเขาจังไม่ฆ่ามัน กรรมนั้นไม่ให้เพื่อจะปล่อยภิกษุ

นั้นผู้เข้าไปยังซอกเขานั่งอยู่.

เมื่อทรงประชุมเรื่องทั้ง ๓ เหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้แล้ว จึงตรัส

พระคาถานี้ว่า

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 84

น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ

น ปพฺพตาน วิวร ปวิสฺส

น วิชฺชเต โส ชคติปฺปเทโส

ยตฺรฏฺิโต มุจฺเจยฺย ปาปกมฺมา

ไม่ว่าในที่ใด ๆ ในอากาศ ในกลาง

ทะเลหรือในซอกเขา ส่วนภูมิประเทศที่สัตว์

สถิตอยู่แล้ว จะพึงพ้นไปจากบาปกรรมได้

ไม่มี ดังนี้.

นี้ ก็ชื่อว่า กรรมนิยาม เหมือนกัน. เรื่องอื่น ๆ แม้เช่นนี้ก็ควรแสดง.

อนึ่ง ในเวลาที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายทรงถือปฏิสนธิ ในเวลาทรง

ออกจากครรภ์พระมารดา ในเวลาที่ตรัสรู้อภิสัมโพธิญาณ ในเวลาที่พระตถาคต

ทรงประกาศพระธรรมจักร ในเวลาที่ทรงปลงอายุสังขาร ในเวลาที่เสด็จดับ

ขันธ์ปรินิพพาน หมื่นจักรวาลหวั่นไหว นี้ชื่อว่า ธรรมนิยาม.

อนึ่ง เมื่ออารมณ์กระทบประสาท ใคร ๆ เป็นผู้กระทำ หรือสั่งให้

กระทำว่า เจ้าจงชื่อว่า อาวัชชนะ ฯลฯ เจ้าจงชื่อว่า ชวนะ ดังนี้ มิได้มี

ก็ว่าโดยธรรมดาของตนตั้งแต่เวลาที่อารมณ์กระทบประสาทแล้ว จิตที่เป็น

กิริยามโนธาตุก็ยังภวังค์ให้เปลี่ยนไป จักขุวิญญาณก็ทำทัสสนกิจ (หน้าที่เห็น)

วิบากมโนธาตุก็ทำสัมปฏิจฉันนกิจ (หน้าที่รับอารมณ์) วิบากมโนวิญญาณธาตุ

ก็ทำสันติรณกิจ (หน้าที่พิจารณาอารมณ์) กิริยามโนวิญญาณธาตุก็ทำโวฏฐัพ-

พนกิจ (หน้าที่ตัดสินอารมณ์) ชวนะเสวยรสแห่งอารมณ์ ดังนี้ นี้ชื่อว่า

จิตนิยาม ในอธิการนี้ ทรงประสงค์เอาจิตนิยามนี้.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 85

กุศลจิตประกอบด้วยเหตุกะเป็นสสังขาริกก็ดี กุศลจิตที่ประกอบด้วย

อสังขาริกและสสังขาริกสหรคตด้วยอุเบกขาก็ดี ประกอบ (ทำ) กรรมแล้ว

ปฏิสนธิอันวิบากจิตเช่นเดียวกับจิตที่ทำกรรมแล้วนั้นให้ผลแล้ว ก็มีนัยนี้

เหมือนกัน. ก็จิตสหรคตด้วยอุเบกขา ๒ ดวง บัณฑิตพึงแสดงความเป็นไป

ครั้งแรกด้วยอำนาจอิฏฐมัชฌัตตารมณ์ ภายหลังจึงควรแสดงด้วยอำนาจอิฏฐา-

รมณ์. ในทวารแต่ละทวารเป็นวิบากจิตทวารละ ๑๒ ดวง รวมเป็นจิต ๖๐ ดวง

ถ้วนแม้ด้วยประการฉะนี้. เมื่อว่าโดยการถือเอาวิบากจิตที่ยังมิได้ถือเอาก็ได้

วิบากจิต ๑๖ ดวง.

อุปมาวิบาตจิตเปรียบด้วยคนหีบอ้อย

ในฐานะนี้ท่านถือเอาเรื่อง ชื่อว่า นาฬิยันโตปมะ เปรียบด้วยนัยว่า

ในเวลาที่คั้นอ้อยมีคนหีบอ้อย ๑๑ คน ถือเครื่องคั้นอ้อยออกจากบ้านหนึ่งพบ

แหล่ง (ศูนย์รวม) อ้อยแห่งหนึ่ง ทราบว่าอ้อยนั้นแก่แล้ว จึงเข้าไปหาเจ้าของ

อ้อยแล้วพูดว่า พวกเรารับจ้างหีบอ้อย เจ้าของอ้อยตอบว่า เรากำลังหาพวก

ท่านเหมือนกัน แล้วพาชนเหล่านั้นไปโรงหีบอ้อย พวกคนรับจ้างเหล่านั้น

ตระเตรียมเครื่องหีบอ้อยแล้วพูดว่า พวกเรามี ๑๑ คน ได้อีกหนึ่งคนกะจะได้

รับค่าจ้างพอดี เจ้าของอ้อยพูดว่า เรานี้แหละเป็นสหายช่วยท่าน แล้วขน

อ้อยไปเต็มโรงจึงได้เป็นสหายช่วยเหลือชนเหล่านั้น ชนเหล่านั้นทำกิจของตนๆ

เคี้ยวน้ำอ้อยข้นทำเป็นงบน้ำอ้อยแล้ว เมื่อเจ้าของพิจารณาให้ส่วนแบ่งแล้วก็ถือ

เอาส่วนของตน ๆ มอบโรงอ้อยให้แก่เจ้าของโดยอุบายนี้แหละ ทำการงาน

โรงอ้อย ๔ หลัง อื่นอีกแล้วหลีกไป.

ในข้อนั้น ประสาททั้ง ๕ พึงเห็นเหมือนโรงเครื่องยนต์ ๕ แห่ง

อารมณ์ ๕ พึงเห็นเหมือนแหล่งอ้อย ๕ แห่ง วิบากจิต ๑๑ ดวง พึงเห็นเหมือน

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 86

คนรับจ้างหีบอ้อย ๑๑ คน เที่ยวไป วิญญาณ ๕ พึงเห็นเหมือนเจ้าของโรง

หีบอ้อย ๕ คน. เวลาที่วิบากจิต ๑๑ ดวง ร่วมกับจักขุวิญญาณทำกิจของตน ๆ

ในรูปารมณ์ทางจักขุทวาร พึงเห็นเหมือนเวลาคนรับจ้างหีบอ้อย ๑๑ คน

ร่วมกับเจ้าของโรงหีบอ้อยในโรงแรก แล้วถือเอาส่วนงานที่กระทำ เวลาที่

จักขุวิญญาณไม่ล่วงทวารไป พึงเห็นเหมือนเวลาที่เจ้าของโรงอ้อยรับอ้อยไว้ใน

โรง. เวลาที่วิบากจิต ๑๑ ดวง ร่วมกับกายวิญญาณ ทำกิจของตน ๆ ใน

โผฏฐัพพารมณ์ทางกายทวาร การไม่ก้าวก่ายทวารของกายวิญญาณ พึงทราบ

เหมือนเวลาที่เจ้าของโรงอ้อยรับอ้อยไว้ในโรง. วาระที่ท่านกล่าวไว้ว่า ติเหุตก-

ปฏิสนธิ (ปฏิสนธิประกอบด้วยเหตุ ๓) ย่อมมีด้วยกรรมอันประกอบด้วยเหตุ ๓

มีเพียงเท่านี้ ส่วนทุเหตุกปฏิสนธิ มีด้วยกรรมอันเป็นติเหตุกะนั้น ยังลี้ลับนัก*

ว่าด้วยทุเหตุกปฏิสนธิมีกรรมเป็นทุเหตุกะ

บัดนี้ ควรกล่าววาระที่ว่า ทุเหตุกปฏิสนธิ ย่อมมีด้วยกรรมอันเป็น

ทุเหตุกะ จริงอยู่ เมื่ออสังขาริกจิตสหรคตด้วยโสมนัสทำกรรมแล้ว สัตว์ผู้ถือ

ปฏิสนธิด้วยวิบากจิตที่เป็นทุเหตุกะเช่นเดียวกับจิตที่เป็นอลังขาริกสหรคตด้วย

โสมนัสทำกรรมนั้นนั่นแหละมี ๓ โมฆวาระในอิฏรารมณ์ที่มาสู่คลองจักขุวาร

โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นเอง ในที่สุดลงแห่งอสังขาริกชวนจิตที่สหรคตด้วย

โสมนัสที่เป็นทุเหตุกะ ตทารัมมณะ กล่าวคือมูลภวังค์เช่นเดียวกับจิตที่ทำกรรม

นั่นแหละก็เกิดขึ้น. ในที่สุดลงแห่งสังขาริกชวนจิต ตทารมณ์กล่าวคืออาคัน-

ตุกภวังค์เช่นเดียวกับจิตที่ทำกรรมนั่นแหละก็เกิดขึ้น. ในที่สุดลงแห่งชวนจิต

ที่สหรคตด้วยอุเบกขา ๒ ดวง ในอิฏฐมัชฌัตตารมณ์เท่านั้น ตทารมณ์ ๒

ดวง เช่นเดียวกับจิตที่ทำกรรมนั้นแหละเกิดขึ้น. ในอธิการนี้เท่านั้น ทวาร

* ไม่ปรากฏเลย.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 87

แต่ละทวาร แบ่งจิตทวารละ ๘ ดวง จึงรวมเป็นจิต ๔๐ ดวงถ้วน. แต่เมื่อ

ถือเอาจิตที่ยังมิได้ถือเอาก็ได้จิตในจักขุทวาร ๘ ดวง อีก ๔ ดวง คือ โสต-

วิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ สละกายวิญญาณ จึงรวมเป็นจิต ๑๒

ดวง เมื่อเจตนาดวงเดียวประกอบกรรมแล้วย่อมให้วิบากจิต ๑๒ ดวง เกิดขึ้น

ได้ด้วยประการฉะนี้ กถาว่าด้วยการเปรียบด้วยผลมะม่วง และนิยาม ๕ เป็นไป

ตามปกตินั่นแล. แม้ในปฏิสนธิที่สัตว์ถือเอาด้วยวิบากเช่นเดียวกับทุเหตุกจิต

ที่เหลือ ก็นัยนี้เหมือนกัน อนึ่ง ในทุเหตุกปฏิสนธินี้ ว่าโดยการเปรียบกับคน

หีบอ้อย ก็ได้คนหีบอ้อย ๗ คน ในการอุปมานั้น พึงทราบการประกอบโดย

ทำนองแห่งนัยที่กล่าวกระทำคนรับจ้างหีบอ้อย ๗ คนนั้น ตระเตรียมเครื่อง

หีบอ้อยแล้วทำเจ้าของอ้อยให้เป็นคนที่ ๘ นั่นแหละ ข้าพเจ้ากล่าววาระที่ว่า

ทุเหตุกปฏิสนธิ ย่อมมีด้วยกรรมอันเป็นทุเหตุกะไว้ด้วยคำเพียงเท่านี้

ว่าด้วยอเหตุกปฏิสนธิ

บัดนี้ เป็นกถาว่าด้วยอเหตุกปฏิสนธิ อธิบายว่า เมื่อกรรมอันกุศลจิต

ที่เป็นทุเหตุกะ ๔ ดวงทำแล้ว ปฏิสนธิของสัตว์ผู้ถือเอาด้วยจิตที่เป็นอเหตุก-

มโนวิญญาณธาตุสหรคตด้วยอุเบกขาเป็นกุศลวิบาก ไม่ควรกล่าวว่าเป็นเช่น

เดียวกับกรรมที่ให้ปฏิสนธิ เพราะกรรมเป็นทุเหตุกะ (ประกอบด้วยเหตุ ๒)

ปฏิสนธิเป็นอเหตุกะ (จิตที่ไม่ประกอบด้วยเหตุ). เมื่อบุคคลผู้ปฏิสนธิด้วย

อเหตุกจิตนั้นถึงความเจริญขึ้นแล้ว เมื่ออิฏฐมัชฌัตตารมณ์มาสู่คลองประสาท

ในจักขุทวารแล้ว ก็พึงทราบโมฆวาระ ๓ วาระ โดยนัยก่อนนั่นแหละ แต่เมื่อ

กุศลจิตที่เป็นทุเหตุกะดวงใดดวงหนึ่งเป็นชวนะสิ้นสุดลง อเหตุกะจิตก็ตั้งอยู่ใน

ความเป็นตทารัมมณะ อเหตุกจิตนั้นได้ชื่อ ๒ อย่างคือ มูลภวังค์ และตทา-

รัมมณะ ในอเหตุกจิตนี้ จิต ๔ ดวง คือ จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันติรณะ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 88

ที่สหรคตด้วยอุเบกขา แม้ตทารัมมณะก็สหรคตด้วยอุเบกขาเหมือนกัน ย่อมมี

ด้วยประการฉะนี้ ในจิต ๔ เหล่านั้น ถือเอาดวงหนึ่ง ก็เหลือ ๓ ดวงเท่านั้น

ที่เข้าถึงการนับเอา. แต่ในอิฏฐารมณ์ สันติรณะก็ดี ตทารัมมณะก็ดี ย่อม

สหรคตด้วยโสมนัสได้เหมือนกัน บรรดาจิตเหล่านั้น วิบากจิต ๓ ดวงก่อน

รวมกับดวงหนึ่งก็เป็นวิบากจิต ๔ ดวง เมื่อเจตนาดวงหนึ่งทำกรรมในทวาร

๕ ทวารละ ๔ ดวง พึงทราบว่า ย่อมยังวิบากจิต ๒๐ ดวงให้เกิดขึ้น แต่เมื่อ

ถือเอาธรรมที่ยังมิได้ถือเอาก็ได้วิบากจิต ๔ ดวงในจักขุทวาร โสตวิญญาณ

ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณและกายวิญญาณรวมเป็นวิบากจิต ๘ ดวง นี้ชื่อว่า

อเหตุกจิต ๘ ดวง. อเหตุกจิต ๘ ดวงนี้ ไม่ทรงถือเอามนุษยโลก.

ส่วนในอบาย ๔ ย่อมได้จิต ๘ ดวงนี้ในปวัตติกาล

จริงอยู่ เมื่อใด พระมหาโมคคัลลานเถระเนรมิตดอกปทุมในนรก

นั่งอยู่ที่กลีบดอกปทุมแสดงธรรมกถาแก่พวกสัตว์นรก เมื่อนั้นจักขุวิญญาณซึ่ง

เป็นกุศลวิบากก็เกิดขึ้นแก่พวกเขาผู้เห็นพระเถระ เมื่อฟังเสียงโสตวิญญาณกุศล

วิบากก็เกิด เมื่อพระเถระไปนั่งพักผ่อนกลางวันที่ป่าไม้จันทน์ ฆานวิญญาณก็

เกิดในเวลาสูดกลิ่นจีวร ในเวลาบันดาลฝนให้ตกดับไฟนรกแล้วได้ดื่มน้ำที่

ควรดื่ม ชิวหาวิญญาณกุศลวิบากก็เกิด ในเวลาที่บันดาลให้ลมพัดมาอ่อน ๆ

กายวิญญาณกุศลวิบากก็เกิดขึ้น วิญญาณมีจักขุวิญญาณเป็นต้นอย่างนี้ ๕ ดวง

สัมปฏิจฉันนะ ๑ ดวง สันติรณะ ๒ ดวง เพราะฉะนั้นจึงได้อเหตุกจิต ๘ ดวง.

ปฏิสนธิแม้ของพวกนาค ครุฑและเวนานิกเปรตย่อมมีด้วยอกุศล แต่

กุศลย่อมให้ผลในปวัตติกาล ปฏิสนธิของช้างม้ามงคลเป็นต้นของพระเจ้าจักร-

พรรดิก็เหมือนกัน นี้เป็นการประพันธ์ถ้อยคำด้วยอำนาจแห่งกุศลชวนะใน

อิฏฐมัชฌัตตารมณ์ทั้งหลายก่อน. แต่ในอิฏฐารมณ์เมื่ออกุศลจิตที่สหรคตด้วย

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 89

โสมนัส ๔ ดวง เสพชวนะแล้ว อเหตุกจิตสหรคตด้วยโสมนัสที่เป็นกุศลวิบาก

ย่อมเป็นตทารัมมณะ ในอิฏฐมัชฌัตตารมณ์ จิต ๔ ดวงที่สัมปยุตด้วยโลภะ

สหรคตด้วยอุเบกขาเสพชวนะแล้ว อเหตุกจิตสหรคตด้วยอุเบกขากุศลวิบาก

เป็นตทารัมมณะ ก็คำใดที่ท่านกล่าวว่า ตทารัมมณะ อันชวนะพึงกำหนด

ดังนี้ คำนั้นพึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายถึงกุศล.

ถามว่า ตทารัมมณะเมื่อเกิดขึ้นในลำดับแห่งชวนะสหรคตด้วยโทมนัส

ย่อมเกิดจิตอะไร.

ตอบว่า จิตที่เป็นอเหตุกมโนวิญญาณธาตุฝ่ายอกุศลวิบากย่อมเกิดขึ้น.

ถามว่า ก็ชวนะนี้ สภาวะอะไร ย่อมกำหนดไว้โดยความเป็นกุศล

หรืออกุศล.

ตอบว่า อาวัชชนะ และโวฏฐัพพนะย่อมกำหนด.

จริงอยู่ เมื่ออาวัชชนะเปลี่ยนมาโดยแยบคายแล้ว โวฏฐัพพนะกำหนด

โดยไม่แยบคาย ชวนะจักเป็นอกุศล ดังนี้ ข้อนี้เป็นไปไม่ได้ เมื่ออาวัชชนะ

เปลี่ยนมาโดยไม่แยบคายแล้ว โวฏฐัพพนะกำหนดโดยแยบคาย ชวนะจักเป็น

กุศล ดังนี้ ข้อนี้ก็เป็นไปไม่ได้. แต่เมื่ออาวัชชนะและโวฏฐัพพนะทั้ง ๒

เปลี่ยนมากำหนดโดยแยบคาย พึงทราบว่า ชวนะเป็นกุศล ถ้าไม่แยบคายก็เป็น

อกุศล.

ถามว่า ในอิฏฐารมณ์ เมื่อความสงสัย และอุทธัจจะเกิดขึ้น ตทารัมมณะ

ย่อมเป็นจิตอะไร ?

ตอบว่า ในอิฏฐารมณ์ ความสงสัยจะมีก็ตามไม่มีก็ตาม หรืออุท-

ธัจจะจะมีก็ตามไม่มีก็ตาม โสมนัสจิตอเหตุกะฝ่ายกุศลวิบากเท่านั้นย่อมเป็น

ตทารมณ์ ในอิฏฐมัชฌัตตารมณ์ จิตสหรคตด้วยอุเบกขาอเหตุกะฝ่ายกุศลวิบาก

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 90

เป็นตทารมณ์ ก็ในการกำหนดตทารมณ์นี้ การแสดงเนื้อความโดยสังเขปนี้

ชื่อว่าเป็นวาทะของพระมหาธรรมรักขิตเถระ. ก็เมื่อชวนะอันสหรคตด้วย

โสมนัสเสพอารมณ์แล่นไปแล้ว พึงแสวงหาตทารัมมณจิตที่สหรคตด้วยโสมนัส

๕ ดวง เมื่อชวนะที่สหรคตด้วยอุเบกขาเสพอารมณ์แล่นไปแล้ว พึงแสวงหา

จิต ๖ ดวง ที่สหรคตด้วยอุเบกขาแล.

ถามว่า ก็ในกาลใด เมื่อบุคคลผู้ถือปฏิสนธิสหรคตด้วยโสมนัสยังฌาน

ให้เกิดในปวัตติกาลแล้ว มีฌานอันเสื่อมแล้วด้วยความประมาท พิจารณาอยู่ว่า

ธรรมอันประณีตของเราฉิบหายแล้ว ดังนี้ โทมนัสย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจ

วิปฏิสาร ในกาลนั้น จิตอะไรย่อมเกิดขึ้น เพราะในคัมภีร์ปัฏฐานท่านปฏิเสธ

ว่า โทมนัสย่อมไม่เกิดในลำดับแห่งโสมนัส และโสมนัสย่อมไม่เกิดในลำดับ

แห่งโทมนัส เมื่อชวนจิตเสพอารมณ์แล้ว แม้ตทารมณ์ก็ปฏิเสธไว้ในคัมภีร์

ปัฏฐานนั้น เหมือนกัน.

ตอบว่า อเหตุกมโนวิญญาณธาตุเป็นกุศลวิบาก หรืออกุศลวิบาก ที่

สหรคตด้วยอุเบกขา ย่อมเกิดขึ้น.

ถามว่า จิตอะไร เป็นอาวัชชนะของอเหตุกมโนวิญญาณธาตุนั้น.

ตอบว่า อาวัชชนกิจของอเหตุกมโนวิญญาณธาตุนั้นไม่มีเหมือนความ

ไม่มีแห่งอาวัชชนะของภวังค์ อเหตุกมโนวิญญาณธาตุเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้นเพราะ

ความที่ตนน้อมไปในอารมณ์ เพราะความที่อารมณ์ตนเคยเสพ และเพราะความ

ที่ตนเองเสพอารมณ์อยู่เสมอ.

ถามว่า อเหตุกมโนวิญญาณธาตุนี้ ย่อมเกิดอย่างไร ?

ตอบว่า เนวสัญญานาสัญญายตนะที่เป็นอนันตรปัจจัยแก่นิโรธ

(คือดับจิตและเจตสิก) ๑ จิตที่ประกอบด้วยผลสมาบัติ ของบุคคลผู้ออก

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 91

จากนิโรธ ๑ อริยมรรคจิต ๑ ผลจิตที่เป็นลำดับแห่งมรรค ๑ ไม่มี

อาวัชชนะย่อมเกิดได้ ฉันใด แม้เมื่ออาวัชชนะ (คือการพิจารณาอารมณ์)

ไม่มีอยู่ อเหตุกมโนวิญญาณธาตุทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นด้วยการน้อมไปด้วยความ

เคยเสพและด้วยความที่เสพอยู่เสมอ ฉันนั้น.

จริงอยู่ จิตเว้นจากอาวัชชนะ (คือการพิจารณาอารมณ์) ย่อมเกิดขึ้น

ได้ แต่จิตนั้นเว้นจากอารมณ์ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้.

ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น อะไรเล่า เป็นอารมณ์ของจิตนี้.

ตอบว่า ได้แก่ ธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในปริตธรรมมีรูปเป็นต้น

จริงอยู่ ในปริตธรรมมีรูปเป็นต้นนั้น อารมณ์ใดมาสู่คลองในสมัยนั้นนั่นแหละ

พึงทราบว่า จิตนี้เกิดขึ้นปรารภอารมณ์นั้น.

บัดนี้ เพื่อความแจ่มแจ้งแห่งจิตเหล่านี้แม้ทั้งหมด ท่านจึงกล่าวนัย

ปกิณกะไว้ว่า

สุตฺต โทวาริโก จ คามิลโก อมฺโพ โกลิยเกน จ

ชจฺจนฺโธ ปีสปฺปี จ วิสยคาโห จ อุปนิสฺสยมตฺถโส

เรื่องใยแมลงมุม ๑ เรื่องนายทวาร ๑

เรื่องเด็กชาวบ้าน ๑ เรื่องมะม่วงกับเจ้าของ

โรงหีบอ้อย ๑ เรื่องชายบอดกับคนเปลี้ย ๑

เรื่องการรับอารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัยเป็น

ประโยชน์ ๑.

จิตเปรียบด้วยแมลงมุมชักใยเป็นต้น

บรรดาปกิณกนัยมีเรื่องแมลงมุมเป็นต้นเหล่านั้น พึงทราบวินิจฉัย

ในคำว่า สุตฺต (ใยแมลงมุม) ต่อไป.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 92

ก็แมลงมุมริมทางตัวหนึ่งขึงใยไป ๕ ทิศ ทำข่ายแล้วนอนอยู่ตรงกลาง

เมื่อใยที่ขึงไปในทิศแรกถูกกระทบด้วยสัตว์เล็ก ๆ หรือตั๊กกระแตนหรือแมลงวัน

มันก็จะเคลื่อนออกจากที่เป็นที่นอนไปตามสายใยเจาะศีรษะดูดเลือดของสัตว์นั้น

แล้วกลับมานอน ณ ท่ามกลางใยนั้นนั่นแหละอีก แม้ในเวลาที่ทิศที่ ๒ เป็นต้น

ถูกกระทบแล้วก็กระทำเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ

ในข้อนั้น ประสาททั้ง ๕ พึงทราบว่า เหมือนใยแมลงมุมที่ขึงไป

๕ ทิศ. จิตเหมือนแมลงมุมนอนในท่ามกลาง. เวลาที่อารมณ์มากระทบประสาท

เหมือนเวลาที่สัตว์เล็ก ๆ เป็นต้นมากระทบใยแมลงมุม. เวลาที่กิริยามโนธาตุ

รับอารมณ์ที่กระทบประสาทแล้วยังภวังค์ให้เปลี่ยนไป เหมือนการไหวของแมลง

มุมซึ่งนอนท่ามกลาง. ความเป็นไปของวิถีจิต เหมือนเวลาการไปตามสายใย

ของแมลงมุม. เวลาที่ชวนจิตเสพอารมณ์ เหมือนการเจาะศีรษะดูดเลือด.

การที่จิตอาศัยหทัยวัตถุเป็นไป เหมือนแมลงมุมกลับมานอนในท่ามกลางใยอีก.

ถามว่า ความอุปมานี้ ย่อมแสดงให้ทราบอะไร ?

ตอบว่า ย่อมแสดงให้ทราบว่า เมื่ออารมณ์กระทบประสาทแล้ว จิต

ที่อาศัยหทัยรูปเกิด ย่อมเกิดขึ้นก่อนกว่าจิตที่อาศัยประสาทรูปเกิด คือ ย่อม

อธิบายให้ทราบว่า อารมณ์แต่ละอารมณ์ย่อมมาสู่คลองในทวารทั้งสอง ดังนี้.

จิตเปรียบด้วยนายทวารเป็นต้น

พระราชาพระองค์หนึ่งบรรทมหลับอยู่บนแท่นบรรทม มหาดเล็กของ

พระองค์ นั่งถวายงานนวดพระยุคลบาทอยู่ มีนายทวารหูหนวกยืนอยู่ที่พระทวาร

มีทหารยามเฝ้าอยู่ ๓ คน ยืนเรียงตามลำดับ ครั้งนั้น มีชาวชนบทคนหนึ่งถือ

เครื่องบรรณาการมาเคาะประตูเรียก นายทวารหูหนวกไม่ได้ยินเสียงมหาดเล็ก

ผู้ถวายงานนวดพระยุคลบาทจึงให้สัญญาณ เขาจึงเปิดประตูด้วยสัญญาณนั้น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 93

มองดู ทหารยามคนที่หนึ่งจึงรับเครื่องบรรณาการแล้วส่งให้คนที่ ๒ คนที่ ๒

ส่งให้คนที่ ๓ คนที่ ๓ ทูลเกล้าถวายพระราชา พระราชาจึงเสวย.

ในข้อนั้น ชวนจิต พึงเห็นเหมือนพระราชาพระองค์นั้น อาวัชชนจิต

เหมือนมหาดเล็กผู้นวดพระบาท. จักขุวิญญาณ เหมือนนายประตูหูหนวก.

วิถีจิต ๓ ดวงมีสัมปฏิจฉันนะเป็นต้น เหมือนนายทหารยาม ๓ คน. การที่อารมณ์

มากระทบประสาท เหมือนชาวชนบทถือเครื่องราชบรรณาการมาเคาะประตูเรียก

เวลาที่กิริยามโนธาตุเปลี่ยนมาแต่ภวังค์ เหมือนเวลาที่มหาดเล็กผู้นวดพระยุคล-

บาทให้สัญญาณ. เวลาที่จักขุวิญญาณทำกิจเห็นอารมณ์ เหมือนเวลาที่นาย

ประตูหูหนวกเปิดประตูด้วยสัญญาณที่มหาดเล็กให้สัญญานั้น. เวลาที่วิบาก-

มโนธาตุทำสัมปฏิจฉันนกิจ คือรับอารมณ์ เหมือนเวลาทหารยามคนที่หนึ่ง

รับบรรณาการ. เวลาที่วิบากมโนวิญญาณธาตุทำสันติรณกิจ คือการพิจารณา

อารมณ์ เหมือนเวลาที่ทหารยามคนที่หนึ่งส่งบรรณาการให้ทหารยามคนที่สอง

แล้ว. เวลาที่กิริยามโนวิญญาณธาตุทำโวฏฐัพพนกิจ คือ การกำหนดอารมณ์

เหมือนเวลาที่ทหารยามคนที่สามทูลถวายบรรณาการแด่พระราชา. เวลาที่ชวนะ

ทำชวนกิจ คือ เสวยรสอารมณ์ เหมือนเวลาที่พระราชาเสวยเครื่องบรรณาการ

ฉะนั้น.

ถามว่า อุปมานี้ ย่อมแสดงให้ทราบอะไร ?

ตอบว่า ย่อมแสดงให้ทราบถึงคำนี้ว่า กิจของอารมณ์มีเพียงกระทบ

ประสาทเท่านั้น. กิจทั้งหลายของจักขุวิญญาณเป็นต้น เป็นเพียงการเห็น

อารมณ์ การรับอารมณ์ การพิจารณาอารมณ์ และการกำหนดอารมณ์เท่านั้น

ชวนจิตเท่านั้นย่อมเสวยรสอารมณ์โดยส่วนเดียว ดังนี้.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 94

จิตเปรียบด้วยเด็กชาวบ้าน

คำว่า เด็กชาวบ้าน คือ พวกเด็กชาวบ้านเป็นอันมากย่อมเล่นฝุ่น

ที่ระหว่างทาง บรรดาพวกเด็กเหล่านั้น กหาปณะกระทบมือของเด็กคนหนึ่ง

เด็กคนนั้นพูดว่า นั่นอะไร กระทบมือของเรา ดังนี้. ลำดับนั้น เด็กคนหนึ่ง

จึงพูดว่า นั่นสีขาว ดังนี้. อีกคนหนึ่งก็ถือไว้มั่นคงพร้อมกับฝุ่น คนอื่นพูดว่า

นั่นสี่เหลี่ยมหนา คนอื่นอีกพูดว่า นั่นกหาปณะ ลำดับนั้น พวกเขาจึงนำ

เหรียญกหาปณะนั้นมาให้มารดา มารดาก็นำไปใช้ในการงาน.

ในข้อนั้น ความเป็นไปของภวังคจิต พึงเห็นเหมือนเวลาที่พวกเด็ก

มากด้วยกันนั่งเล่นในระหว่างทาง. เวลาที่ประสาทถูกอารมณ์กระทบแล้วเหมือน

เวลาที่กหาปณะกระทบมือ. เวลาที่กิริยามโนธาตุยังภวังค์ให้เปลี่ยนไปรับอารมณ์

นั้นเหมือนเวลาที่เด็กคนหนึ่งพูดว่า นั่นอะไร. เวลาที่จักขุวิญญาณทำทัสสนกิจ

เหมือนเวลาที่เด็กคนหนึ่งพูดว่า นั่นสีขาว. เวลาที่วิบากมโนธาตุทำหน้าที่รับ

อารมณ์ เหมือนเวลาที่เด็กคนหนึ่งถือกหาปณะพร้อมกับฝุ่นไว้มั่น. เวลาที่วิบาก-

มโนวิญญาณธาตุทำกิจพิจารณาอารมณ์ เหมือนเวลาที่เด็กคนหนึ่งพูดว่า นั่น

สี่เหลี่ยมหนา. เวลาที่กิริยามโนวิญญาณธาตุทำหน้าที่กำหนดอารมณ์ เหมือน

เวลาที่เด็กคนหนึ่งพูดว่า นั่นกหาปณะ การที่ชวนจิตเสวยรสอารมณ์ พึงทราบ

เหมือนเวลาที่มารดานำกหาปณะไปใช้ในการงานฉะนั้น.

ถามว่า ความอุปมานี้ ย่อมแสดงให้รู้ถึงอะไร ?

ตอบว่า ย่อมแสดงให้รู้ว่า กิริยามโนธาตุยังมิได้เห็นเลย ยังภวังค์ให้

เปลี่ยนไป วิบากมโนธาตุก็ไม่เห็น ย่อมทำหน้าที่รับอารมณ์ วิบากมโนวิญญาณ

ธาตุก็ไม่เห็น ย่อมทำหน้าที่พิจารณาอารมณ์ กิริยามโนวิญญาณธาตุก็ไม่เห็น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 95

ย่อมทำหน้าที่กำหนดอารมณ์ ชวนจิตก็ไม่เห็น ย่อมทำหน้าที่เสวยรสอารมณ์

ส่วนจักขุวิญญาณเท่านั้น ย่อมทำกิจก็เห็น (ทัสสนกิจ) โดยส่วนเดียว ดังนี้.

คำว่า มะม่วงกับเจ้าของโรงหีบอ้อย นี้ ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในภาย

หลังแล้ว คำนี้ กล่าวหมายเอาอุปมาด้วยผลมะม่วง และอุปมาด้วยเจ้าของโรง-

หีบอ้อย.

นามรูปเปรียบด้วยชายบอดและคนเปลี้ย

คำว่า ชายบอดและคนเปลี้ย ความว่า ได้ยินว่า ในศาลาใกล้

ประตูพระนคร มีชายตาบอดแต่กำเนิดและคนเปลี้ยสนทนากันอยู่ ในบรรดา

คนทั้งสองนั้น คนเปลี้ยพูดว่า เจ้าบอด เพราะเหตุไร เจ้าจึงซูบซีดอยู่ในที่นี้

เจ้าเที่ยวไปประเทศโน้นซึ่งมีภิกษาหาได้ง่าย มีข้าวน้ำมาก เจ้าไปในที่นั้นก็เป็น

อยู่สบายไม่สมควรหรือ ชายตาบอดพูดว่า เจ้าบอกเราก่อนแล้ว แต่เจ้าเล่า

ไปในที่นั้นก็อยู่สบายไม่สมควรหรือ.

คนเปลี้ย : เท้าที่จะเดินของเราไม่มี

ชายบอด : ตาของเราจะดูไม่มี.

คนเปลี้ย : ถ้าอย่างนั้น เจ้าเป็นเท้า เราเป็นตา.

คนทั้ง ๒ ต่างก็รับคำกันแล้ว ชายบอดให้คนเปลี้ยขี่คอไป คนเปลี้ย

นั้นนั่งขี่คอของชายบอดเอามือซ้ายโอบศีรษะชายตาบอด เอามือขวากำหนดทาง

บอกว่า ในที่นี้มีรากไม้ขวางอยู่ ในที่นี้มีหิน ท่านจงละทางซ้ายถือเอาทางขวา

จงละทางขวาถือเอาทางซ้าย ดังนี้ เท้าเป็นของคนตาบอดแต่กำเนิด ตาเป็น

ของคนเปลี้ย คนแม้ทั้งสองไปแล้วสู่ที่ตนปรารถนาด้วยความพยายามร่วมกัน

เป็นอยู่แล้วเป็นสุข ด้วยประการฉะนี้.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 96

ในความอุปมานั้น รูปกาย พึงเห็นเหมือนชายตาบอดแต่กำเนิด อรูป-

กาย (นามกาย) เหมือนคนเปลี้ย. รูปกายเว้นนามกายก็ไม่สามารถให้ถึงการ

ยึดถือ การจับ และการเคลื่อนไหวได้ เหมือนเวลาที่ชายตาบอดแต่เว้นคนเปลี้ย

ก็ไม่เกิดความตั้งใจที่จะเดินทางไปยังถิ่นต่าง ๆ ได้. อรูป (นามกาย) เว้นรูป

เสียก็เป็นไปไม่ได้ในปัญจโวการภพ เหมือนคนเปลี้ยเว้นชายตาบอดแต่กำเนิด

ก็ไม่เกิดความตั้งใจที่จะเดินทางไปสู่ถิ่นต่าง ๆ ได้. รูปธรรมและอรูปธรรม

มีสภาพเป็นไปในกิจทั้งปวงได้ด้วยการประกอบซึ่งกันและกัน เหมือนเวลาที่ชาย

ตาบอดและคนเปลี้ยแม้ทั้งสองไปสู่ที่ตนปรารถนาด้วยความพยายามร่วมกันแล้ว

เป็นอยู่สบาย ฉะนั้น. ปัญหานี้ท่านอาจารย์กล่าวได้ด้วยอำนาจปัญจโวการภพ.

ว่าด้วยการรับอารมณ์โดยมีอุปนิสสยปัจจัย

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า การรับอารมณ์ ต่อไป

จักษุย่อมรับอารมณ์เฉพาะรูป โสตเป็นต้นก็รับอารมณ์เฉพาะเสียง

เป็นต้น. คำว่า โดยมีอุปนิสสยปัจจัยเป็นประโยชน์ คือ โดยอุปนิสสย-

ปัจจัย (ต้องอาศัยแน่นอนขาดไม่ได้) และโดยความเป็นประโยชน์.

จักขุวิญญาณอาศัยปัจจัย ๔ เกิดขึ้น

ในข้อว่า โดยมีอุปนิสสยปัจจัยและโดยเป็นประโยชน์นั้น จักขุวิญญาณ

ย่อมเกิดขึ้นพร้อมกับสัมปยุตธรรมทั้งหลายได้เพราะอาศัยปัจจัย ๔ คือ

อสมฺภินฺนตฺตา จกฺขุสฺส เพราะจักขุประสาทยังไม่แตกดับ

อาปาถคตฺตา รูปาน เพราะรูปมาสู่คลอง

อาโลกสนฺนิสฺสิต อาศัยแสงสว่าง

มนสิการเหตุก อาศัยมนสิการเป็นเหตุ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 97

บรรดาปัจจัย ๔ เหล่านั้น จักษุแม้ของคนตายย่อมเป็นของแตกดับ

ไปสิ้น จักษุของคนมีชีวิตดับไปก็ดี หรือถูกน้ำดีหรือเสมหะหรือโลหิตขัดขวาง

แล้วก็ดี ไม่อาจเป็นปัจจัยแก่จักขุวิญญาณ ชื่อว่าแตกดับไปแล้ว เมื่อสามารถ

เป็นปัจจัยได้ ชื่อว่า ไม่แตกดับ.

แม้ในโสตวิญญาณเป็นต้น ก็นัยนี้แหละ.

ก็เมื่อจักขุประสาทแม้ยังไม้แตกดับ แต่รูปารมณ์ภายนอกยังไม่มาสู่คลอง

จักษุประสาท จักขุวิญญาณก็เกิดไม่ได้ เมื่อรูปนั้นมาสู่คลองแล้ว แต่ปัจจัย

ที่อาศัย คือ แสงสว่างไม่มี จักขุวิญญาณก็เกิดไม่ได้ เมื่อแสงสว่างซึ่งเป็น

ปัจจัยนั้นมีอยู่ แต่กิริยามโนธาตุไม่ยังภวังค์ให้เปลี่ยนไป จักขุวิญญาณก็เกิด

ไม่ได้ เมื่อกิริยามโนธาตุทำภวังค์ให้เปลี่ยนไปได้ จักขุวิญญาณจึงเกิดขึ้น

(จึงเกิดการเห็นได้). จักขุวิญญาณเมื่อเกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมเกิดขึ้น

พร้อมกับสัมปยุตธรรมทั้งหลายโดยแท้ เพราะฉะนั้น จึงกล่าวว่า จักขุวิญญาณ

ย่อมเกิดขึ้น เพราะได้ปัจจัย ๔ เหล่านี้ทีเดียว.

โสตวิญญาณย่อมเกิดขึ้นกับสัมปยุตธรรมทั้งหลาย เพราะปัจจัย ๔

เหล่านี้ คือ

อสมฺภินฺนตฺตา โสตสฺส เพราะโสตประสาทยังไม่แตกดับ

อาปาถคตตฺตา สทฺทาน เพราะเสียงทั้งหลายมาสู่คลอง

อาสาสสนฺนิสฺสิต อาศัยอากาศ

มนสิการเหตุก มีมนสิการเป็นเหตุ.

บรรดาปัจจัย ๔ เหล่านั้น คำว่า อาศัยอากาศ คือ โสตวิญญาณนั้น

ได้อาศัยอากาศจึงเกิดขึ้น เว้นอากาศก็ไม่เกิด เพราะเมื่อบุคคลปิดช่องหูเสีย

โสตวิญญาณก็ไม่เป็นไป. คำที่เหลือพึงทราบโดยนัยก่อนนั่นแหละ คือ แม้

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 98

ฆานวิญญาณเป็นต้นนอกจากนี้ ก็พึงทราบความเหมือนในโสตวิญญาณนี้

ข้าพเจ้าจักกล่าวแต่เนื้อความที่ต่างกันเท่านั้น.

ฆานวิญญาณย่อมเกิดพร้อมกับสัมปยุตธรรมทั้งหลาย เพราะปัจจัย ๔

เหล่านี้ คือ

อสมฺภินฺนตฺตา ฆานสฺส เพราะฆานประสาทยังไม่แตกดับ

อาปาถคตตฺตา คนฺธาน เพราะกลิ่นทั้งหลายมาสู่คลอง

วาโยสนฺนิสฺสิต อาศัยวาโย

มนสิการเหตุก มีมนสิการเป็นเหตุ.

บรรดาเหตุ ๔ เหล่านั้น คำว่า อาศัยวาโย อธิบายว่า เมื่อวาโย

พากลิ่นทั้งหลายเข้าไปสู่ช่องจมูกนั่นแหละ ฆานวิญญาณจึงเกิด เมื่อลมไม่มี

ฆานวิญญาณก็ไม่เกิด.

ชิวหาวิญญาณย่อมเกิดพร้อมกับสัมปยุตธรรมทั้งหลายเพราะปัจจัย ๔

เหล่านี้ คือ

อสมฺภินฺนตฺตตา ชิวฺหาย เพราะชิวหาประสาทยังไม่แตกดับ

อาปาถคตตฺตา รสาน เพราะรสทั้งหลายมาสู่คลอง

อาโปสนฺนิสฺสิต อาศัยอาโป

มนสิการเหตุก มีมนสิการเป็นเหตุ.

บรรดาปัจจัย ๔ เหล่านั้น คำว่า อาศัยอาโป ความว่า ได้อาโป

ทำให้เปียก ฆานวิญญาณจึงเกิด เว้นอาโปก็ไม่เกิด เพราะเมื่อบุคคลลิ้นแห้ง

แม้วางขาทนียะที่แห้งไว้ที่ลิ้น ชิวหาวิญญาณย่อมไม่เกิดขึ้น.

กายวิญญาณย่อมเกิดพร้อมกับสัมปยุตธรรมทั้งหลาย เพราะปัจจัย ๔

เหล่านี้ คือ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 99

อสมฺภินฺนตฺต กายสฺส เพราะประสาทกายยังไม่แตกดับ

อาปาถคตตฺตา โผฏฺพฺพาน เพราะโผฏฐัพพะไม่มาสู่คลอง

ปฐวีสนฺนิสฺสิต อาศัยปฐวี

มนสิการเหตุก มีมนสิการเป็นเหตุ.

บรรดาปัจจัย เหล่านั้น คำว่า อาศัยปฐวี ได้แก่ อาศัยปฐวี

ที่ควบคุมกัน คือกายประสาทเป็นปัจจัยนั่นแหละ กายวิญญาณจึงเกิดขึ้น เว้น

กายประสาทแล้ว กายวิญญาณก็ไม่เกิด เพราะมหาภูตรูปเป็นอารมณ์ภายนอก

กระทบกายประสาทในภายในที่กายทวาร ย่อมกระทบที่มหาภูตรูปทั้งหลายที่มี

ประสาทเป็นปัจจัย.

มโนวิญญาณย่อมเกิดขึ้นพร้อมกับสัมปยุตธรรมทั้งหลาย เพราะปัจจัย

๔ เหล่านี้ คือ

อสมฺภินฺนตฺตา มนสฺส เพราะมโนยังไม่แตกดับ

อาปาถคตตฺตา ธมฺมาน เพราะธรรมทั้งหลายมาสู่คลอง

วตฺถุสนฺนิสฺสิต อาศัยวัตถุ

มนสิการเหตุก มีมนสิการเป็นเหตุ.

บรรดาปัจจัย ๔ เหล่านั้น คำว่า มโน ได้แก่ ภวังคจิต อธิบายว่า

ภวังคจิตนั้นแตกดับแล้วก็ดี มีกำลังอ่อนไม่สามารถเป็นปัจจัยแก่อาวัชชนจิต

ให้เป็นไปก็ดี ชื่อว่า แตกดับ แต่ที่สามารถเป็นปัจจัยแก่อาวัชชนะได้ ชื่อว่า

ยังไม่แตกดับ. คำว่าเพราะธรรมทั้งหลายมาสู่คลอง ได้แก่เมื่อธรรมารมณ์

มาสู่คลอง. คำว่า อาศัยวัตถุ คือได้อาศัยหทยวัตถุเท่านั้นจึงเกิดขึ้น เว้น

หทยวัตถุก็ไม่เกิดขึ้น. ปัญหาแม้นี้พระเถระกล่าวหมายถึงปัญจโวการภพ. คำว่า

มีมนสิการเป็นเหตุ อธิบายว่า กิริยามโนวิญญาณธาตุยังภวังค์ให้เปลี่ยนไป

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 100

ก่อน มโนวิญญาณจึงเกิดขึ้น. พรรณนาอุปนิสสยปัจจัยในข้อว่า การรับ

อารมณ์โดยอุปนิสสยปัจจัยเป็นประโยชน์ นี้เพียงเท่านี้.

ก็จักขุเป็นอรรถชื่อว่า ทัสสนัตถะ (มีการเห็นเป็นอรรถ) โสต

เป็นอรรถชื่อว่า สวนัตถะ (มีการฟังเป็นอรรถ) ฆานะเป็นอรรถชื่อว่า

ฆานัตถะ (มีการสูดกลิ่นเป็นอรรถ) ชิวหาเป็นอรรถ ชื่อว่า สายนัตถะ

(มีการลิ้มรสเป็นอรรถ) กายเป็นอรรถชื่อว่า ผุสนัตถะ (มีการถูกกระทบ

เป็นอรรถ) มโนเป็นอรรถชื่อว่า วิชานนัตถะ (มีการรู้เป็นอรรถ).

พึงทราบวินิจฉัยคำว่า มีการเห็นเป็นอรรถเป็นต้นต่อไป

การเห็นเป็นอรรถของจักขุวิญญาณนั้น เพราะเหตุนั้น จักขุวิญญาณ

นั้นจึงชื่อว่า ทัสสันตถะ จริงอยู่ การเห็นนั้นอันจักขุพึงให้สำเร็จ เพราะฉะนั้น

จึงชื่อว่า ทัสสันตถะ (มีการเห็นเป็นอรรถ) แม้ในโสตวิญญาณเป็นต้น

ก็นัยนี้แหละ.

ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ เป็นอันจบวิบากจิต ๑๖ ดวง ในวาทะของ

พระจูฬนาคเถระผู้ทรงพระไตรปิฎกพร้อมกับวิบากจิต ๑๒ ดวง และอเหตุกจิต

๘ ดวง เพียงเท่านี้.

วิบากจิต ๒ ดวงในวาทะพระมหาทัตตเถระ

บัดนี้ เป็นกถามรรควิบากจิต ๑๒ ดวง ในวาทะของพระมหาทัตตเถระ

ผู้อยู่ในโมรวาปี. ในวาทะนั้น ปัญหาในเมืองสาเกต การถือส่วนข้างมากและ

การแสดงเหตุเป็นไปตามปกติทั้งนั้น แต่พระเถระนี้เห็นข้อบกพร่องในจิตที่

เป็นอสังขาริกและสังขาริก จึงกล่าวว่า กรรมที่เป็นอสังขาริกย่อมให้วิบากที่

เป็นอสังขาริกไม่ให้วิบากที่เป็นสสังขาริก แม้กรรมที่เป็นสสังขาริกก็ย่อมให้

วิบากเป็นสสังขาริกเท่านั้นไม่ให้วิบากเป็นอสังขาริก และพระเถระนี้ไม่กล่าว

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 101

จิตนิยามโดยชวนะ แต่ย่อมกล่าวนิยามแห่งเวทนาโดยอารมณ์ เพราะเหตุนั้น

ในวาทะของท่านนี้นั่นแหละ แม้วิบากจิต ๑๒ ดวงก็ดี อเหตุกจิต ๘ ดวงก็ดี

ชื่อว่า แนวทางแห่งวิบากจิต ๑๒ ดวง.

ในแนวทางวิบากจิตนั้น มีนัยต่อไปนี้

ก็เมื่ออสังขาริกจิตเป็นติเหตุกะสหรคตด้วยโสมนัสทำกรรมแล้ว บุคคล

ผู้ถือปฏิสนธิด้วยวิบากจิตเช่นนั้นนั่นแหละ ถึงการเจริญวัยแล้ว เมื่ออิฏฐารมณ์

มาสู่คลองจักขุทวารแล้ว โมฆวาระ ๓ ย่อมมีโดยนัยที่กล่าวไว้ในหนหลัง

เหมือนกัน ในกถาว่าด้วยจิตเหล่านั้น จิต ๑๓ ดวง เหล่านี้ คือ กุศลวิบาก

๔ ดวง อกุศลวิบากที่สหรคตด้วยโสมนัส ๔ ดวง และกิริยาจิต ๕ ดวง

ดวงใดดวงหนึ่ง เมื่อชวนจิตเสพอารมณ์สุดแล้ว ก็ตั้งอยู่เป็นตทารมณ์ ติเหตุก-

จิตที่เป็นอสังขาริกซึ่งสหรคตด้วยโสมนัสก็ดี อเหตุกจิตที่เป็นทุเหตุกเป็นอสัง-

ขาริกก็ดี ก็ย่อมตั้งอยู่เป็นตทารมณ์นั่นแหละ ด้วยอาการอย่างนี้ ในจักขุทวาร

ของบุคคลนั้นจึงเป็นวิบากจิต ๔ ดวง เข้าถึงการนับเป็น ๕ ดวง คือ วิบากจิต

๓ ดวง มีจักขุวิญญาณเป็นต้น และตทารัมมณจิต ๒ ดวง

อนึ่ง ครั้นเปลี่ยนเวทนาไปโดยอารมณ์แล้ว อุเบกขาสหคตจิต ๑๒ ดวง

คือ กุศลวิบาก ๔ ดวง อกุศลวิบาก ๔ ดวง กิริยาจิต ๔ ดวง ดวงใดดวงหนึ่ง

เมื่อชวนะเสพอารมณ์เสร็จแล้ว จิตที่เป็นติเหตุกอสังขาริกสหรคตด้วยอุเบกขา

ก็ดี วิบากจิต อสังขาริก ทุเหตุกะก็ดี ก็เกิดขึ้นเป็นตทารัมมณะ ด้วยประการ

ฉะนี้ ในจักขุทวารของบุคคลนั้นก็เข้าถึงการนับได้ ๓ ดวงเหล่านี้ คือ สันติ-

รณจิตสหรคตด้วยอุเบกขา และตทารัมมณจิต ๒ ดวงเหล่านี้ จิต ๓ ดวง

เหล่านั้น กับจิต ๕ ดวงก่อนรวมเป็น ๘ ดวง แม้ในโสตทวารเป็นต้นก็ได้

ทวารละ ๘ ดวง เมื่อกรรมอันเจตนาดวงหนึ่งทำแล้ว จิต ๔๐ ดวงถ้วนย่อม

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 102

เกิดขึ้น. แต่เมื่อถือเอาจิตที่ยังมิได้ถือเอาก็ได้จิต ๑๒ ดวง คือ ในจักขุทวาร ๘

ดวง ในโสตวิญญาณเป็นต้นอีก ๔ ดวง. ในข้อนั้นพึงทราบมูลภวังค์ ภวังค์ที่

เป็นไปและกถาอันเปรียบด้วยมะม่วงและนิยามโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ เมื่อ

กรรมอันกุศลจิตที่เป็นสสังขาริก ติเหตุกะสหรคตด้วยโสมนัสกระทำแล้วก็ดี

เมื่อกรรมอันอสังขาริกและสสังขาริกะเป็นติเหตุกะสหรคตด้วยอุเบกขาทำแล้วก็ดี

ก็นัยนี้แหละ.

ความอุปมาเรื่องเครื่องหีบอ้อยท่านกล่าวว่า ไม่ได้ใน ๒ ข้อนี้ เมื่อ

กรรมอันกุศลจิตที่เป็นสสังขาริกทุเหตุกสหรคตด้วยโสมนัสทำแล้วก็ดี เมื่อกรรม

อันอสังขาริกและสสังขาริก ที่เป็นทุเหตุกะสหรคตด้วยอุเบกขาทำแล้วก็ดี ก็มี

นัยนี้เหมือนกัน ด้วยคำมีประมาณเพียงเท่านี้ ท่านกล่าววาระว่า ทุเหตุกปฏิสนธิ

ย่อมมีด้วยกรรมอันเป็นทุเหตุกะ ดังนี้.

ส่วนวาระ อเหตุกปฏิสนธิ ย่อมมี ดังนี้ พึงทราบอย่างนี้ เมื่อ

กรรมอันกุศลญาณวิปปยุต ๔ ดวงกระทำแล้ว บัณฑิตไม่ควรกล่าวว่า เป็น

ปฏิสนธิเช่นกับกรรมที่อเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่เป็นกุศลวิบากที่สหรคตด้วย

อุเบกขาถือปฏิสนธิ ตั้งแต่ต้นไปพึงทราบว่า ความเกิดขึ้นแห่งจิตที่มีอิฏฐารมณ์

บ้าง อิฏฐมัชฌัตตารมณ์บ้าง ตามที่กล่าวโดยนัยที่กล่าวไว้ในหนหลังนั่นแหละ

จริงอยู่ ในวาทะของพระเถระนี้ ชวนะประมวลมาเป็นพวกเดียวกันย่อมเสพ

อารมณ์ ถ้อยคำที่เหลือทั้งหมดมีอาทิว่า ชวนะนี้จิตตุปบาทอะไร ย่อมกำหนด

ไว้โดยความเป็นกุศล หรืออกุศล โดยนัยที่กล่าวไว้ในที่นั้น ๆ นั่นแหละ

แนวทางกถาว่าด้วยวิบาก ๑๒ ดวง กับวิบากจิต ๑๐ ดวง อเหตุกะ ๘ ดวง

ในวาทะของพระมหาทัตตเถระผู้อยู่ในโมรวาปี จบแล้วด้วยคำมีประมาณเท่านี้.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 103

วิบากจิต ๑๐ ดวงในวาทะพระมหาธรรมรักขิตเถระ

บัดนี้ เป็นเรื่องว่าด้วยวิบากจิต ๑๐ ดวง ในวาทะของพระธรรมรัก-

ขิตเถระต่อไป. ในวาทะนั้น ปัญหาในเมืองสาเกต และการแสดงส่วนข้างมาก

เป็นไปตามปกตินั่นแหละ ส่วนการแสดงนี้แตกต่างกันคือ

กรรมที่เป็นติเหตุกะ ย่อมให้วิบากเป็นติเหตุกะจิตบ้าง ให้วิบากเป็น

ทุเหตุกจิตบ้าง ให้วิบากเป็นอเหตุกจิตบ้าง. กรรมที่เป็นทุเหตุกะ ย่อมไม่ให้

วิบากเป็นติเหตุกจิตเท่านั้น แต่ให้วิบากจิตนอกนี้. ด้วยกรรมที่เป็นติเหตุกะ

ปฏิสนธิย่อมเป็นติเหตุกจิตเท่านั้น ไม่เป็นทุเหตุกะหรืออเหตุกจิต. ด้วยกรรม

ที่เป็นทุเหตุกะ ปฏิสนธิย่อมเป็นทุเหตุกะและอเหตุกจิต ไม่เป็นติเหตุกจิต.

กรรมที่เป็นอสังขาริก ย่อมให้วิบากที่เป็นอสังขาริกเท่านั้น ไม่ให้วิบากเป็น

สสังขาริก. แม้กรรมที่เป็นสสังขาริก ก็ให้วิบากที่เป็นสสังขาริกเท่านั้น ไม่ให้

วิบากเป็นอสังขาริก. เวทนาพึงเปลี่ยนไปด้วยอารมณ์ ชวนจิตก็ย่อมเสพอารมณ์

แล่นไปในกลุ่มเดียวกันนั่นแหละ บัณฑิตพึงกล่าวอธิบายจิตทั้งหลายตั้งแต่ต้น

ต่อไป.

ในข้อนั้น พึงทราบกถาดังต่อไปนี้

บุคคลหนึ่ง ทำกรรมด้วยกุศลจิตดวงที่หนึ่ง เขาย่อมถือปฏิสนธิด้วย

วิบากจิตดวงที่หนึ่งเท่านั้น. ปฏิสนธิจิตนี้เป็นเช่นกับกรรมที่กระทำ. เมื่อบุคคล

นั้นเจริญวัยแล้ว เมื่ออิฏฐารมณ์มาสู่คลองในจักขุทวาร โมฆวาระ ๓ ย่อมมี

โดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ ลำดับนั้น เมื่อเวลาสิ้นสุดลงแห่งชวนจิตที่สหรคต

ด้วยโสมนัส ๑๓ ตามที่กล่าวในหนหลังนั่นแหละ ดวงใดดวงหนึ่งของบุคคลนั้น

เสพแล้ว วิบากจิตดวงที่หนึ่งเท่านั้นย่อมเป็นตทารมณ์. วิบากจิตนั้นได้ชื่อ ๒

อย่าง คือ มูลภวังค์ และตทารัมมณะ ด้วยอาการอย่างนี้ จิตทั้งหลายของเขา

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 104

ย่อมเข้าถึงการนับได้ ๔ ดวง คือ วิบากจิต ๓ ดวง (ตามลำดับ ) มีจักขุวิญญาณ

เป็นต้น และตทารัมมณะในเวลาสิ้นสุดลงแห่งจิตชวนะที่สหรคตด้วยอุเบกขา

๑๒ ดวง โดยนัยที่กล่าวในอิฏฐมัชฌัตตารมณ์ ในหนหลังนั่นเอง ดวงใด

ดวงหนึ่งเสพแล้ว จิตที่เป็นติเหตุกะอสังขริกที่สหรคตด้วยอุเบกขาก็ตั้งอยู่ใน

ความเป็นตทารัมมณ์. วิบากจิตนั้นได้ชื่อ ๒ อย่าง คือ อาคันตุกภวังค์ และ

ตทารัมมณะ จิตของเขาจึงนับได้ ๒ อย่าง คือ อุเบกขาสหรคตสันติรณจิต และ

ตทารัมมณะดวงนี้. วิบากจิต ๒ ดวงนี้กับวิบากจิต ๔ ดวงก่อน จึงรวมเป็น

วิบากจิต ๖ ดวง ด้วยประการฉะนี้ แม้ในโสตทวารเป็นต้นก็ได้วิบากจิตทวาร ๖

เพราะฉะนั้น เมื่อกรรมอันเจตนาดวงเดียวทำกุศลแล้ว วิบากจิต ๓๐ ดวงถ้วน

ย่อมเกิดขึ้นในทวาร ๕ ว่าด้วยการนับจิต (ถือเอา) ที่ยังมิได้นับ ย่อมได้วิบาก

จิต ๑๐ ดวง คือ ในจักขุทวาร ๖ ดวง ในโสตวิญญาณเป็นต้น ๔ ดวง.

ข้อเปรียบเทียบด้วยผลมะม่วงและนิยามกถาคงเป็นไปตามเดิมนั่นแหละ.

เมื่อกรรมอันกุศลจิตดวงที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ แม้กระทำแล้ว วิบากจิตก็มี

ประมาณเท่านี้ และย่อมมี ด้วยประการฉะนี้. แม้ในกรรมที่อุเบกขาสหคตจิต

๔ ดวง กระทำแล้ว ก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็ในวาทะนี้ พึงแสดงอิฏฐมัชฌัตตา-

รมณ์ก่อน ภายหลังจึงเปลี่ยนเวทนาด้วยอิฏฐารมณ์. ในข้อนั้น ข้อเปรียบเทียบ

ด้วยผลมะม่วงและนิยามกถาเป็นไปตามเดิมเหมือนกัน แต่ไม่ได้ข้อเปรียบเทียบ

ว่าด้วยข้อหีบอ้อย บัณฑิตพึงกล่าวอเหตุกจิต ๘ ดวงทั้งหมดให้พิสดารตั้งแต่

นี้ว่า ก็เมื่อว่าโดยกุศล เมื่อกรรมอันญาณวิปปยุตจิต ๔ ดวงทำแล้ว ดังนี้

เป็นต้น.

ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ วิบากจิต ๑๐ ดวง กับอเหตุกจิต ๘ ดวง

ในวาทะของพระมหาธรรมรักขิตเถระ จบแล้วด้วยประการฉะนี้.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 105

ถามว่า วาทะของพระเถระทั้ง ๓ เหล่านี้ ของรูปไหนควรถือเอา.

ตอบว่า ไม่ควรถือเอาของท่านรูปไหนโดยส่วนเดียว แต่ควรถือเอา

วาทะของท่านทั้งหมดที่ถูกต้อง.

ด้วยว่า ในวาทะของพระเถระรูปแรกท่านประสงค์จัดประเภทจิตที่เป็น

สังขาร (มีการชักจูง) และอสังขาร (ไม่มีการชักจูง) โดยความต่างกันแห่ง

ปัจจัย ด้วยเหตุนั้น ในวาทะพระเถระรูปที่หนึ่งนี้ ท่านจึงกล่าวถึงทางแห่ง

วิบาก ๑๖ ดวง ด้วยสามารถแห่งพระเสกขะและปุถุชน ถือเอาวิบากที่เป็น

สสังขารของกุศลที่เป็นอสังขารซึ่งเกิดขึ้นด้วยปัจจัยที่ทุรพล และวิบากที่เป็น

อสังขารของกุศลที่เป็นสสังขาร ซึ่งเกิดขึ้นด้วยปัจจัยที่มีกำลังละกิริยาชวนะ

ทั้งหลายแม้ได้อยู่แล้วกำหนดตทารัมมณะด้วยกุศลชวนะทั้งหลาย กำหนดเวทนา

ด้วยอารมณ์ ก็ในวาทะของพระเถระที่หนึ่งนี้ ท่านแสดงตทารัมมณะอันใด

อันเป็นอเหตุกวิบากเท่านั้น ในที่สุดแห่งอกุศลชวนจิต ตทารัมมณะนั้นท่าน

ไม่แสดงไว้ในวาทะนอกนี้เลย เพราะฉะนั้น ในวาทะของท่านนั้น ตทารัมมณะ

ที่เป็นอเหตุกวิบากนั้น ในวาทของพระเถระที่หนึ่งนั้น และตทารัมมณะที่เป็น

สเหตุกวิบากที่กล่าวไว้ในวาทะนอกนี้นั้น วาทะทั้งหมดนี้ย่อมได้ในอธิการแม้นี้

เหมือนกัน.

ข้อนั้น มีนัยดังต่อไปนี้

ก็ในกาลใด อกุศลจิตเสพอารมณ์ในระหว่าง ๆ (สลับวิถีกัน) แห่ง

กุศลชวนจิตทั้งหลายในกาลนั้น ตทารัมมณะเป็นสเหตุกะก็พึงรับอารมณ์ ใน

ที่สุดแห่งอกุศลชวนจิต เหมือนกับรับอารมณ์เนือง ๆ ในที่สุดแห่งกุศลชวนจิต

นั่นแหละ ในกาลใดอกุศลจิตเกิดติดต่อกันไปไม่ขาดสาย ในกาลนั้น อเหตุก-

วิบากจึงควรเป็นตทารัมมณะ พึงถือเอาข้อที่ถูกในวาทะของพระเถระรูปที่หนึ่ง

อย่างนี้ก่อน.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 106

ก็ในวาทะของพระเถระรูปที่ ๒ ท่านประสงค์จัดประเภทจิตที่เป็น

อสังขารและสสังขารของกุศล ด้วยเหตุนั้น ในวาทะที่ ๒ นี้ จึงกล่าวถึงวิบาก

จิต ๑๒ ดวง ด้วยอำนาจชวนะที่รวมกันเท่านั้น ซึ่งสมควรแก่การเกิดขึ้นแก่

พระเสกขะพระอเสกขะและปุถุชนแม้ทั้งหมด โดยถือเอาวิบากจิตที่เป็นอสังขาริก

ของกุศลจิตที่เป็นอสังขาริกอย่างเดียว และวิบากจิตที่เป็นสสังขาริกของกุศลที่

เป็นสสังขาริกอย่างเดียว ไม่กระทำการกำหนดตทารัมมณะโดยชวนจิต. แต่ใน

วาทะที่ ๒ นี้ เมื่อชวนจิตเป็นติเหตุกะสิ้นสุดลง ตทารัมมณะก็สมควรเป็นเหตุ-

กะ เมื่อชวนจิตเป็นทุเหตุกะสิ้นสุดลง ทารัมมณะสมควรเป็นทุเหตุกวิบากจิต

เมื่อชวนจิตอันเป็นอเหตุกะสิ้นสุดลง ตทารัมมณะจิตสมควรเป็นอเหตุกวิบาก

จิต แต่ข้อนี้ท่านมิได้จำแนกไว้. ก็คำที่ควรถือเอาถูกต้องในวาทะที่ ๒ มีด้วย

ประการฉะนี้.

แม้ในวาทะของพระเถระรูปที่ ๓ ท่านก็ประสงค์จัดสสังขาริกจิตและ

อสังขาริกจิตของกุศลนั่นแหละ เพราะคำที่กล่าวว่า กรรมที่เป็นติเหตุกะย่อม

ให้วิบากเป็นติเหตุกะบ้าง ให้วิบากเป็นทุเหตุกะบ้าง ให้วิบากเป็นอเหตุกะบ้าง

ดังนี้ ควรเป็นแม้ตทารัมมณะที่เป็นอสังขาริกติเหตุกะบ้าง เป็นอสังขาริกทุเหตุกะ

บ้าง ของปฏิสนธิจิตที่เป็นอสังขาริกติเหตุกะ แต่ท่านไม่แสดงตทารัมมณะนั้น

แสดงแต่ตทารัมมณะที่เป็นเช่นเดียวกับติเหตุกจิตเท่านั้น ตทารัมมณะนั้นไม่สม

กับลัทธิที่แสดงเหตุข้างมากในเบื้องต้น การที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ เพื่ออธิบาย

ถึงแนวทางแห่งวิบากจิต ๑๐ ดวงเท่านั้น แต่ตทารัมมณะแม้นอกนี้ก็ยังได้นั่น

แหละ ควรถือเอาข้อที่ถูกต้องแม้ในวาทะที่ ๓ อย่างนี้.

อนึ่ง วาทะนี้แม้ทั้งหมดเป็นถ้อยคำว่าด้วยตทารัมมณะหมายเอาวิบาก

ของกรรมอันให้เกิดปฏิสนธิเท่านั้น แต่เพราะพระบาลีว่า สเหตุกภวงฺคสฺส

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 107

อนนฺตรปจฺจโย (ภวังค์ที่เป็นสเหตุกจิตเป็นอนันตรปัจจัย) ดังนี้ ตทา-

รัมมณจิตที่เป็นสเหตุกวิบากย่อมเกิดขึ้น แม้แก่ปฏิสนธิที่เป็นอเหตุกจิตด้วย

กรรมต่าง ๆ กัน วิธีแห่งการเกิดขึ้นของตทารัมมณะนั้น จักแจ่มแจ้งในมหา-

ปกรณ์แล.

กถาว่าด้วยกามาวจรกุศลวิบากจิต จบ

รูปาวจรวิบาก

[๔๑๗] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ สงัดจากกาม สงัด

จากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ฯลฯ

อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้

ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ฯสฯ อันเป็นวิบาก เพราะรูปาวจรกุศล

กรรมอันได้ทำไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้ว นั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ

อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต

ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ บรรลุทุติยฌาน

ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 108

บรรลุปัญจมฌาน ที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิก-

เขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลบรรลุปัญจมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ไม่มีทุกข์

ไม่สุข เพราะละสุขและทุกข์ได้ ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะรูปาวจรกุศลกรรม

อันได้ทำไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้ว นั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิก-

เขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

รูปาวจรวิบาก จบ

อรูปาวจรวิบาก

[๔๑๘] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงรูปภูมิ เพราะก้าวล่วงรูป

สัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะไม่มนสิ-

การซึ่งนานัตตสัญญา จึงบรรลุจตุตถฌาน อันสหรคตด้วยอากาสานัญจายตน-

สัญญา ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ

ฯลฯ อวิกเขปะ. มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลเพราะก้าวล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะ

ความดับไปแห่งปฏิฆสัญญา เพราะไม่มนสิการซึ่งนานัตตสัญญา จึงบรรลุ

จตุตถฌานอันสหรคตด้วยอากาสานัญจายตนสัญญา ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะ

ละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะรูปาวจรกุศลกรรมอันได้ทำไว้แล้ว

นั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 109

[๔๑๙] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงอรูปภูมิ เพราะก้าวล่วง

อากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงบรรลุจตุตถฌานอันสหรคตด้วยวิญ-

ญาณัญจายตนสัญญา ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ อยู่ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า

ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลเพราะก้าวล่วงอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง

จึงบรรลุจตุตถฌาน อันสหรคตด้วยวิญญาณัญจายตนสัญญา ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข

เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะอรูปาวจรกุศลกรรมอันได้

ทำไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้ว นั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๒๐] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงอรูปภูมิ เพราะก้าวล่วง

วิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง จึงบรรลุจตุตถฌาน อันสหรคตด้วย

อากิญจัญญายตนสัญญา ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ อยู่ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า

ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลเพราะก้าวล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง

จึงบรรลุจตุตถฌาน อันสหรคตด้วยอากิญจัญญายตนสัญญา ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข

เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะอรูปาวจรกุศลกรรมอันได้

ทำไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้ว นั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 110

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๒๑] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคปฏิปทาเพื่อเข้าถึงอรูปภูมิ เพราะก้าวล่วง

อากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง จึงบรรลุจตุตถฌาน อันสหรคตด้วย

เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลเพราะก้าวล่วงอากิญจัญญายตนะโดยประการทั้งปวง

จึงบรรลุจตุตถฌาน อันสหรคตด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ไม่มีทุกข์

ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะอรูปาวจรกุศลกรรม

อันได้ทำไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้ว นั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

อรูปาวจรวิบาก จบ

อรรถกถาแสดงรูปาวจรวิบากเป็นต้น

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์จะแสดงวิบากจิตที่เป็นรูปาวจร

เป็นต้น จึงเริ่มตรัสว่า กตเม ธมฺเม อพฺยากตา (ธรรมอันเป็นอัพยากฤต

เป็นไฉน) เป็นต้นอีก.

พึงทราบวินิจฉัยในธรรมอันเป็นอัพยากฤตต่อไป

กามาวจรวิบากย่อมเป็นเหมือนกันบ้าง ไม่เหมือนกันบ้างกับกุศลจิต

ของตน เพราะฉะนั้น วิบากจิตของกุศลนั้น ท่านจึงมิได้จำแนกให้เป็นวิบาก

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 111

คล้อยตามกุศล. ส่วนรูปาวจรวิบาก และอรูปาวจรวิบาก ย่อมเป็นเช่นเดียวกับ

กุศลของตน เหมือนเงาทั้งหลายมีเงาช้าง ม้า และต้นไม้เป็นต้น ย่อมเป็นเช่น

ช้างม้าและต้นไม้เป็นต้นนั่นแหละ ดังนั้น ท่านจึงจำแนกทำให้คล้อยตามกุศล.

อนึ่ง กามาวจรกุศล ย่อมให้วิบากในกาลบางครั้งบางคราวก็ได้ ส่วน

รูปาวจรกุศล และอรูปาวจรกุศลย่อมให้วิบากเฉพาะอัตภาพในภพที่สองทีเดียว

โดยไม่มีอันตราย แม้เพราะเหตุนี้ ท่านจึงจำแนกให้เป็นเช่นกับกุศลนั่นแหละ

คำที่เหลือพึงทราบโดยนัยที่กล่าวในกุศลนั่นแล.

ส่วนความแตกต่างกันมีดังนี้.

พึงทราบประเภทมีปฏิปทาเป็นต้น และความเป็นหีนจิต ปณีตจิต

และมัชฌิมจิต เพราะการมาแห่งฌานในรูปาวจรวิบาก และอรูปาวจรวิบาก

เหล่านี้. แต่วิบากเหล่านี้ไม่มีอธิบดีเลย เพราะไม่ทำธรรมมีฉันทะเป็นต้น

ดวงใดดวงหนึ่งให้เป็นธุระเกิดขึ้นแล.

รูปาวจรวิบากและอรูปาวจรวิบาก จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 112

โลกุตตวิบาก

วิบากแห่งมรรคจิต ดวงที่ ๑

มหานัย ๒๐

สุทธิกปฏิปทา

[๔๒๒] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ

อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้

ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก

เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อัญญินทรีย์ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๒๓] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจาก

โลก นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม

สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาทันธา-

ภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรม

เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 113

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอนิมิตตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก

เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ในสมัย

ใด ผัสสะ ฯลฯ อัญญินทรีย์ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๒๔] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

กุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ

อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ ภาวธรรมเหล่านี้

ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก

เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อัญญินทรีย์ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๒๕] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ

บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุ

ปัญจมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ดังนี้ กุศล

ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ วิบาก ฯลฯ เป็น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 114

ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ เป็นทุกขา-

ปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ วิบาก ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้

กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ วิบาก

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๒๖] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ

เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ บรรลุ

ทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน

ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด

ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ วิบาก

ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ เป็น

สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ วิบาก ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้

กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ วิบาก ผัสสะ

ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

สุทธิกปฏิปทา จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 115

สุทธิกสุญญตะ

[๔๒๗] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบทลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรม

เป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระอัน

อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มี

ในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๒๘] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรม

เป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอนิมิตตะ ฯลฯ อันเป็นวิบ เพราะกุศลฌานโลกุตระอัน

ได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มี

ในสมัยนั้น ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 116

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๒๙] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรม

เป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระ

อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๓๐] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ

บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุ

ปัญจมฌาน ชนิดสุญญตะ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะ

ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดสุญญตะ ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ ดังนี้

วิบาก ฯลฯ ชนิดสุญญตะ ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ ดังนี้ วิบาก

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

สุทธิกสุญญตะ จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 117

สุญญตปฏิปทา

[๔๓๑] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทา

ทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก

เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๓๒] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทา

ทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอนิมิตตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก

เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 118

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๓๓] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทา

ทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น

ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก

เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๓๔] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ

บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุ

ปัญจมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด

ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ วิบาก

ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิด

อนิมิตตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดสุญญตะ

เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขา

ปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ วิบาก ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 119

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๓๕] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทา

ขิปปาภิญญา ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ ชนิด

สุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุ

ตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน

ชนิดสุญญตะ เป็นสุขปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ดังนี้ กุศล

ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิด

สุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ

เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทา

ขิปปาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

ดังนี้ วิบาก ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

สุญญตปฏิปทา จบ

สุทธิกอัปปณิหิตะ

[๔๓๖] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ ฯลฯ อยู่ใน

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 120

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า

ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานอันเป็น

โลกุตระอันทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ

อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต

[๔๓๗] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรม

เป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอนิมิตตะ ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระ

อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๓๘] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานชนิดอัปปณิหิตะ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 121

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรม

เป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระ

กุศลได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๓๙] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ

บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุ

ปัญจมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิด

อัปปณิหิตะ ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิด

อนิมิตตะ ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะ

ดังนี้ วิบาก ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

สุทธิกอัปปณิหิตะ จบ

อัปปณิหิตปฏิปทา

[๔๔๐] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 122

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-

ทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่าธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก

เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๔๑] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-

ทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอนิมิตตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก

เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๔๒] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 123

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-

ทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก

เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๔๓] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ

บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุ

ปัญจมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ใน

สมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา

ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้

กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ วิบาก ฯลฯ

ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะ

เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ดังนี้ วิบาก ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น

ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๔๔] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้นสงัดจากกาม สงัดจาก

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 124

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทา

ขิปปาภิญญา ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ ชนิด

อัปปณิหิตะ เป็นสุขาปฏิปทาขปปาภิญญา ฯลฯ บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุ

ตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน

ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ดังนี้ กุศล

ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ฯลฯ ดังนี้ วิบาก ฯลฯ

ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ

เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นสุขา-

ปฏิปทาขิปปาภิญญา ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปา-

ภิญญา ดังนี้ วิบาก ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

อัปปณิหิตปฏิปทา จบ

[๔๔๕] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญสติปัฏฐานเป็น

โลกุตระ ฯลฯ เจริญสัมมัปปธานเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญอิทธิบาทเป็น

โลกุตระ ฯลฯ เจริญโพชฌงค์เป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญสัจจะเป็นโลกุตระ

ฯลฯ เจริญสมถะเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญธรรมเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญขันธ์

เป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญอายตนะเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญธาตุเป็นโลกุตระ

ฯลฯ เจริญอาหารเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญผัสสะเป็นโลกุตระ ฯลฯ

เจริญเวทนาเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญสัญญาเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญเจตนา

เป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญจิตเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 125

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ

อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้

ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็น

ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระ

อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

มหานัย ๒๐ จบ

[๔๔๖] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา

เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น

ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ

อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้ว

นั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 126

[๔๔๗] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา

เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอนิมิตตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ

อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้ว

นั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๔๘] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็น

ฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี

ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระอันได้ทำไว้ แล้วได้เจริญไว้

แล้วนั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 127

[๔๔๙] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ

บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุ

ปัญจมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ใน

สมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา

เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็น

ฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา

เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็น

ฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา

เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๕๐] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็น

ฉันทาธิบดี ฯลฯ เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ เป็นสุขา-

ปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน

ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน เป็น

สุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ

ชนิดสุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ

เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 128

เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ เป็นสุขา-

ปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ

เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ผัสสะ ฯลฯ

อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๕๑] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลาย บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ

อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้

ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะกุศล

ฌานเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ในสมัยใด

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๕๒] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ

อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้

ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 129

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอนิมิตตะ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะกุศล-

ฌานเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั่นแล อยู่ในสมัยใด

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๕๓] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ

อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้

ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะกุศล-

ฌานเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้ว นั้นแล อยู่ในสมัยใด

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ.

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๕๔] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ

บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุ

ปัญจมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ดังนี้ กุศล

ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 130

ฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก

ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ

เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๕๕] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-

ทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ

อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานอันเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้

แล้วนั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยใด ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต

[๔๕๖] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-

ทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 131

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอนิมิตตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ

อันเป็นวิบาก เพราะฌานอันเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้ว

นั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๕๗] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-

ทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี

อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานอันเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญ

ไว้แล้วนั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๕๘] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ

บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุ

ปัญจมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ

อยู่ในสมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 132

เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธา-

ภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-

ทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขา

ปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ

เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ผัสสะ ฯลฯ

อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๕๙] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-

ขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทาทันธาภิญญา

เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ ชนิดสุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทา-

ธิบดี ฯลฯ บรรลุททุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน

ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นสุขา-

ปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ

ชนิดสุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ

ชนิดสุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ

ชนิดอนิมิตตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ

ชนิดสุญญตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ

ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 133

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๖๐] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นฉันทาธิบดี

ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรม

เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะ

กุศลฌานอันเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้ว นั้นแล อยู่ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๖๑] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นฉันทาธิบดี

ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรม

เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอนิมิตตะ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะกุศล-

ฌานเป็นโลกุตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้ว นั้นแล อยู่ในสมัยใด

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 134

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๖๒] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นฉันทาธิบดี

ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรม

เหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะกุศล-

ฌานเป็นโลกุตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้ว นั้นแล อยู่ในสมัยใด

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๖๓] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ

บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุ

ปัญจมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ดังนี้ กุศล

ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ

เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯสฯ ชนิดอนิมิตตะ เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก

ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะ

เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 135

[๔๖๔] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-

ทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี

ฯลฯ อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญ

ไว้แล้ว นั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๖๕] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-

ทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดอนิมิตตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ

อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้ว

นั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 136

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๖๖] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-

ทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ

อันเป็นวิบาก เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระอันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้ว

นั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต .

[๔๖๗] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ

บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุ

ปัญจมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี

ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-

ทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็น

ทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ

เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิด

อัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 137

ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๖๘ ] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นทุกขาปฏิปทา-

ขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นสุขาปฏิปทาทันธา-

ภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา

เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ บรรลุ

จตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน ชนิดอัปปณิหิตะ

เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ

เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ

เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ

เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ

เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ กุศล ฯลฯ ชนิดสุญญตะ

เป็นสุขาปฏิปทาขิปปาภิญญา เป็นฉันทาธิบดี ดังนี้ วิบาก ผัสสะ ฯลฯ

อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๖๙] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญมรรคเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญสติปัฏฐานเป็น

โลกุตระ ฯลฯ เจริญสัมมัปปธานเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญอิทธิบาทเป็น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 138

โลกุตระ ฯลฯ เจริญอินทรีย์เป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญพละเป็นโลกุตระ

ฯลฯ เจริญโพชฌงค์เป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญสัจจะเป็นโลกุตระ ฯลฯ

เจริญสมถะเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญธรรมเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญขันธ์

เป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญอายตนะเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญธาตุเป็นโลกุตระ

ฯลฯ เจริญอาหารเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญผัสสะเป็นโลกุตระ ฯลฯ

เจริญเวทนาเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญสัญญาเป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญเจตนา

เป็นโลกุตระ ฯลฯ เจริญจิตเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อละทิฏฐิ เพื่อบรรลุภูมิเบื้องต้น สงัดจากกาม สงัดจาก

อกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา

เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น

ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ ชนิดอนิมิตตะ

ฯลฯ ชนิดอัปปณิหิตะ เป็นฉันทาธิบดี ฯลฯ เป็นวิริยาธิบดี ฯลฯ เป็น

จิตตาธิบดี ฯลฯ เป็นวิมังสาธิบดี อันเป็นวิบาก เพราะกุศลจิตเป็นโลกุตระ

อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

วิบากแห่งมรรคจิตดวงที่ ๑ จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 139

วิบากแห่งมรรคจิตดวงที่ ๒ ดวงที่ ๓ และดวงที่ ๔

[๔๗๐] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

โยคาวจรบุคคลเจริญฌานเป็นโลกุตระ อันเป็นเครื่องออกไปจากโลก

นำไปสู่นิพพาน เพื่อบรรลุภูมิที่ ๒ เพื่อความเบาบางแห่งกามราคะและพยาบาท

ฯลฯ เพื่อบรรลุภูมิที่ ๓ เพื่อละกามราคะและพยาบาทไม่ให้มีเหลือ ฯลฯ เพื่อ

บรรลุภูมิที่ ๔ เพื่อละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา

ไม่ให้มีเหลือ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌาน

เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อัญญินทรีย์

ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นกุศล

โยคาวจรบุคคลสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุ

ปฐมฌาน ชนิดสุญญตะ เป็นทุกขาปฏิปทาทันธาภิญญา ฯลฯ อันเป็นวิบาก

เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระ อันได้ทำไว้แล้ว ได้เจริญไว้แล้วนั้นแล อยู่ใน

สมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อัญญาตาวินทรีย์ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๗๑] ผัสสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาที่ถูกต้อง ความถูกต้อง ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ผัสสะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

อัญญาตาวินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความรู้ทั่ว ความรู้ชัด กิริยาที่รู้ชัด ซึ่งธรรมทั้งหลายที่รู้ทั่วถึงแล้ว

นั้น ๆ ความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม ความกำหนดหมาย

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 140

ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะที่รู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะ

ที่รู้ละเอียด ความรู้แจ่มแจ้ง ความค้นคิด ความใคร่ครวญ ปัญญาเหมือน

แผ่นดิน ปัญญาเครื่องทำลายกิเลส ปัญญาเครื่องนำทาง ความเห็นแจ้ง ความ

รู้ชัด ปัญญาเหมือนปฏัก ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ปัญญาเหมือน

ศัสตรา ปัญญาเหมือนปราสาท ความสว่างคือปัญญา แสงสว่างคือปัญญา

ปัญญาเหมือนประทีป ปัญญาเหมือนดวงแก้ว ความไม่หลง ความวิจัยธรรม

สัมมาทิฏฐิ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค

ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า อัญญาตาวินทรีย์มีในสมัยนั้น ฯลฯ หรือนามธรรม

ที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

โลกุตตรวิบาก จบ

อรรถกถาแสดงโลกุตตรวิบาก

แม้โลกุตรวิบาก พระองค์ก็ทรงจำแนกกระทำให้คล้อยตามกุศล

นั่นแหละ เพราะเป็นเช่นเดียวกับโลกุตรกุศล. แต่เพราะเตภูมิกกุศลย่อมสั่งสม

ย่อมยังวัฏฏะให้เจริญด้วยอำนาจแห่งจุติและปฏิสนธิ ฉะนั้น ในวิบากแห่ง

โลกุตรกุศลนั้น จึงตรัสไว้ว่า เพราะกุศลฌานเป็นโลกุตระอันได้ทำไว้แล้ว

ได้สั่งสมไว้แล้ว ดังนี้ ส่วนโลกุตระแม้ถูกวิบากนั้นสั่งสมไว้ ก็ย่อมคลายความ

สั่งสม แม้ตนเองก็ไม่สั่งสมไว้ด้วยอำนาจจุติและปฏิสนธิ เพราะเหตุนั้น ใน

วิบากโลกุตรกุศลนั้น จึงไม่ตรัสไว้ (ในข้อที่ ๔๒๒) ว่า เพราะได้กระทำ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 141

ไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้ว แต่ตรัสว่า เพราะได้กระทำไว้แล้ว เพราะได้เจริญ

ไว้แล้ว ดังนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในพระบาลี (ที่ตรัสไว้ในข้อ ๔๒๗) มีคำว่า สุญญตะ

เป็นต้น ว่ามรรคย่อมได้ชื่อเพราะเหตุ ๓ คือ เพราะการบรรลุ ๑ เพราะคุณ

ของตน ๑ เพราะอารมณ์ ๑ ก่อน. สุญญตะนี้ข้าพเจ้าให้พิสดารไว้ในอธิการ

แห่งกุศลในหนหลังแล้ว. ในอธิการนั้น มรรคย่อมได้ชื่อโดยคุณของตนบ้าง

โดยอารมณ์บ้าง โดยปริยายแห่งพระสูตร ก็ปริยายนี้เป็นปริยายเทศนา ส่วน

อภิธรรมกถาเป็นนิปปริยายเทศนา เพราะฉะนั้น ในนิปปริยายเทศนานี้ จึงไม่

ได้ชื่อโดยคุณของตน หรือโดยอารมณ์ แต่ย่อมได้ชื่อโดยการบรรลุอย่างเดียว

เพราะการบรรลุเท่านั้นเป็นธุระ การบรรลุนั้นมี ๒ อย่าง คือ บรรลุวิปัสสนา

และบรรลุมรรค.

ในการบรรลุสองอย่างนั้น การบรรลุวิปัสสนาเป็นธุระในฐานะที่มรรค

ปรากฏแล้ว การบรรลุมรรคเป็นธุระในฐานะที่ผลปรากฏแล้ว แม้คำทั้งสองนี้

ข้าพเจ้าก็กล่าวไว้ในหนหลังเหมือนกัน. ในบรรดาฐานะทั้งสองนั้น นี้เป็น

ฐานะที่ผลปรากฏแล้ว เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า การบรรลุเป็นธุระในฐานะนี้.

ก็มรรคนี้นั้นชื่อว่า สุญญตะ เพราะการบรรลุแล้วยังเรียกได้แม้ว่า

อนิมิตตะ อัปปณิหิตะ เพราะคุณของตน และเพราะอารมณ์ เพราะฉะนั้น

ตนเองตั้งอยู่ในฐานะที่บรรลุได้แล้ว จึงให้ชื่อ ๓ อย่างแก่ผลของตน. ให้ชื่อ

อย่างไร ? คือว่า มรรคนี้เป็นสุญญตมรรค มีชื่ออันได้มาด้วยอำนาจแห่งการ

บรรลุอย่างเดียวเท่านั้น เพราะตั้งอยู่ในฐานะที่บรรลุได้เอง เมื่อจะให้ชื่อแก่ผล

ของตน จึงได้ทำชื่อว่า สุญญตะ ก็มรรคสุญญตะและอนิมิตตะ* เพราะ

ตั้งอยู่ในฐานะที่บรรลุได้เองเมื่อจะให้ชื่อ จึงได้ทำชื่อว่า อนิมิตตะ. มรรค-

* น่าจะเป็นอนิมิตตมรรคอย่างเดียว

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 142

สุญญตะและอัปปณิหิตะ* เพราะตั้งอยู่ในฐานะพึงบรรลุได้เอง เมื่อจะให้ชื่อผล

ของตน จึงได้ทำชื่อว่า อัปปณิหิตะ ก็ชื่อ ๓ อย่าง เหล่านั้นย่อมได้โดยนัย

นี้ ในผลจิตในลำดับแห่งมรรคเท่านั้น หาใช่ได้ในเวลาใช้ผลสมาบัติในเวลา

อื่นไม่. แต่ว่าในเวลาภายหลัง ย่อมอาจเพื่อเห็นได้ด้วยวิปัสสนา ๓ มีอนิจจา-

นุปัสสนาเป็นต้น. อนึ่ง ผลทั้ง ๓ กล่าวคืออนิมิตตะ อัปปณิหิตะ สุญญตะ

ย่อมเกิดขึ้นด้วยอำนาจวิปัสสนาของพระโยคาวจรที่ออกแล้ว ๆ ญาณเหล่านั้น

นั่นแหละของผลทั้ง ๓ นั้น มีอนิจจานุปัสสนาเป็นต้น มีสังขารเป็นอารมณ์

ชื่อว่า อนุโลมญาณ.

ก็แม้ในอัปปณิหิตมรรค ที่ท่านกล่าวไว้ในสุญญตมรรค ก็มีนัยนี้

เหมือนกัน จริงอยู่ อัปปณิหิตมรรคนั้นมีชื่ออันได้แล้วด้วยอำนาจแห่งการบรรลุ

อย่างเคียวเท่านั้น เพราะตั้งอยู่ในฐานะที่พึงบรรลุได้เอง เมื่อจะให้ชื่อผลของตน

จึงได้ทำชื่อว่า อัปปณิหิตะ มรรคที่เป็นอัปปณิหิตะและอนิมิตตะ เพราะตั้งอยู่

ในฐานะที่พึงบรรลุได้เอง เมื่อจะให้ผลของตนจึงได้ทำชื่อว่า อนิมิตตะ

มรรคที่เป็นอัปปณิหิตะและสุญญตะ เพราะตั้งอยู่ในฐานะที่พึงบรรลุได้เอง เมื่อ

จะให้ชื่อผลของตน จึงได้กระทำชื่อว่า สุญญตะ ชื่อทั้ง ๓ แม้เหล่านี้ย่อมได้โดย

นัยนี้ในผลจิตในลำดับเท่านั้น ไม่ใช่ได้ในกาลอื่นอีก คือในเวลาใช้ผลสมาบัติ.

ในนิทเทสแห่งวิบากจิตนี้ พึงทราบวิบากจิตทั้งหลายมีคุณ ๓ อย่าง

ด้วยกุศลจิต อย่างนี้. เหมือนอย่างว่า กุศลจิตอันเป็นไปในภูมิ ๓ ย่อมไม่อาจ

ยังวิบากของตนให้ได้อธิบดี ฉันใด โลกุตรกุศลทั้งหลายย่อมเป็นฉันนั้นหามิได้

เพราะเหตุไร ? เพราะเวลาที่ประกอบกรรมของกุศลเป็นไปในภูมิ ๓ เป็น

อย่างหนึ่ง เวลาให้วิบากก็เป็นอย่างหนึ่ง เพราะเหตุนั้น กุศลอันเป็นไปใน

* น่าจะเป็นอัปปณิหิตมรรคอย่างเดียว

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 143

ภูมิ ๓ นั้น จึงไม่ยังวิบากของตนให้ได้ซึ่งอธิบดี. ส่วนโลกุตระทั้งหลาย เมื่อ

ศรัทธานั้น เมื่อวิริยะนั้น เมื่อสตินั้น เมื่อสมาธินั้น เมื่อปัญญานั้น ยังไม่

เข้าไปสงบ (คือยังเป็นไป) ก็ย่อมได้วิบากในลำดับแห่งมรรคนั้นนั่นแหละ

ไม่ผิดพลาด ด้วยเหตุนั้น โลกุตรกุศลนั้นจึงอาจยังวิบากของตนให้ได้อธิบดี.

เหมือนอย่างว่า ในที่ที่เขาก่อไฟไว้กองน้อย เมื่อไฟดับแล้วเท่านั้น

อาการร้อนก็ดับไม่มีอะไร ๆ แต่เมื่อเอาโคมัยโปรยไปรอบ ๆ ดับกองไฟใหญ่ที่

โพลงขึ้นแล้ว อาการคือความร้อน ย่อมไม่สงบลงทันที ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้น

เหมือนกัน คือ ขณะแห่งกรรม (การทำ) ในกุศลเป็นไปในภูมิ ๓ เป็น

อย่างหนึ่ง ขณะแห่งวิบากเป็นอย่างหนึ่ง เหมือนเวลาที่อาการคือความร้อน

ดับไปแห่งไฟกองน้อย เพราะฉะนั้น กุศลอันเป็นไปในภูมิ ๓ นั้นจึงไม่อาจ

เพื่อยังวิบากของจนให้ได้อธิบดี ส่วนโลกุตรกุศล เมื่อศรัทธานั้น ฯลฯ เมื่อ

ปัญญานั้นยังไม่เข้าไปสงบ ผลก็เกิดขึ้นในลำดับแห่งมรรคทันที เพราะฉะนั้น

โลกุตรกุศลนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมยังวิบากของตนให้ได้ซึ่งอธิบดี ดังนี้

ด้วยเหตุนั้น ท่านโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า อธิบดีไม่มีในวิบากจิต

เว้นแต่โลกุตระ ดังนี้.

ว่าด้วยอัญญาตาวินทรีย์ในโลกุตรวิบากดวงที่ ๔

พึงทราบวินิจฉัยนิทเทสแห่งผลซึ่งเกิดแต่มรรคที่ ๔ ต่อไป

คำว่า อัญญาตาวินทรีย์ ได้แก่ อินทรีย์ของท่านผู้รู้ทั่วถึง คือ

ผู้มีญาณกิจสำเร็จในสัจจะ ๔ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อินทรีย์ เพราะให้สำเร็จ

อรรถแห่งความเป็นใหญ่ในภายในธรรมทั้งหลายที่รู้ทั่วถึง คือมีกิจอันสำเร็จใน

สัจจะ ๔ อันรู้แล้ว แทงตลอดสัจจะ ๔ แล้วดำรงอยู่.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 144

แม้ในนิทเทสวารแห่งอัญญาตาวินทรีย์นั้น คำว่า รู้ทั่วถึงแล้ว ได้แก่

รู้แล้วดำรงอยู่. คำว่า ธรรมทั้งหลาย ได้แก่ ในภายในแห่งสัมปยุตธรรม

ทั้งหลาย. บทว่า อญฺา (ความรู้ทั่ว) ได้แก่ ความรู้ทั่วถึง. คำว่า ความรู้ชัด

กิริยาที่รู้ชัด เป็นต้น มีเนื้อความตามที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. บทว่า มคฺคงฺค

มคฺคปริยาปนฺน (องค์แห่งมรรค นับเนื่องในมรรค) อธิบายว่า เป็นองค์-

มรรคในผล และนับเนื่องในองค์มรรคในผล.

อีกอย่างหนึ่ง ในโลกุตรวิบากนี้ มีปกิณกะดังนี้

อินทรีย์ถึงฐานะเดียวมีอย่างหนึ่ง อินทรีย์ถึงฐานะหกมีอย่างหนึ่งและ

อินทรีย์ถึงฐานะเดียวมีอีกอย่างหนึ่งมีอธิบายว่า ก็อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์

อย่างเดียวถึงฐานะหนึ่ง คือ โสดาปัตติมรรค. อัญญินทรีย์หนึ่งถึงฐานะ

๖ คือ ผลเบื้องต่ำ ๓ มรรคเบื้องบน ๓. อัญญาตาวินทรีย์หนึ่ง ถึงฐานะหนึ่ง

คือ อรหัตผล.

ว่าโดยอรรถในมรรคและผลทั้งหมด ได้ตรัสอินทรีย์อันเป็นโลกุตระ

ไว้ ๖๔ คือ มรรคและผลอย่างละ ๘ อินทรีย์ แต่ในพระบาลีเป็นอินทรีย์ ๗๒

เพราะทำมรรคและผลอย่างละ ๙ อินทรีย์. ในมรรคก็ตรัสว่า มัคคังคะ

(องค์แห่งมรรค) แม้ในผลก็ตรัสว่า มัคคังคะ (องค์แห่งมรรค). ในมรรค

ตรัสว่า โพชฌงค์ (องค์แห่งการตรัสรู้) แม้ในผลก็ตรัสว่า โพชฌงค์.

แม้ในขณะแห่งมรรคก็ตรัสว่า อารติ วิรตี (ความงดเว้น ). แม้ในขณะแห่ง

ผลก็ตรัสว่า อารติ วิรตี.

บรรดามรรคและผลเหล่านั้น มรรค ชื่อว่า มรรค โดยความเป็น

มรรคนั่นเอง. ส่วนผล ชื่อว่า มรรค เพราะอาศัยมรรค. แม้จะกล่าวว่า องค์

แห่งผลนับเนื่องในผล ดังนี้ก็ควร.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 145

ในมรรค ตรัสเรียกว่า สัมโพชฌงค์ เพราะอรรถว่า เป็นองค์

แห่งบุคคลผู้ตรัสรู้. ในผล ตรัสเรียกว่า สัมโพชฌงค์ เพราะอรรถว่า

เป็นองค์แห่งผู้ตรัสรู้แล้ว. ในมรรค ตรัสว่า อารติ วิรตี ด้วยอำนาจ

ความงดเว้นอารมณ์นั่นเอง. ในผล ตรัสว่า อารติ วิรตี ด้วยอำนาจความ

งดเว้นนั่นแหละ.

กถาว่าด้วยโลกุตรวิบาก จบ

อกุศลวิบากอัพยากฤต

[๔๗๒] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

จักขุวิญญาณเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา มีรูปเป็นอารมณ์เกิดขึ้น

ฯลฯ

โสตวิญญาณเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา มีเสียงเป็นอารมณ์

เกิดขึ้น ฯลฯ

ฆานวิญญาณเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา มีกลิ่นเป็นอารมณ์

เกิดขึ้น ฯลฯ

ชิวหาวิญญาณเป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา ที่รสเป็นอารมณ์

เกิดขึ้น ฯลฯ

กายวิญญาณเป็นวิบาก สหรคตด้วยทุกข์ มีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์

เกิดขึ้น เพราะอกุศลกรรมอันได้ทำไว้แล้วได้สั่งสมไว้แล้ว ในสมัยใด ผัสสะ

เวทนา สัญญา เจตนา จิต ทุกข์ เอกัคคตา มนินทรีย์ ทุกขินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 146

สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต

[๔๗๓] ผัสสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาที่ถูกต้อง ความถูกต้องในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ผัสสะมีในสมัยนั้น

เวทนา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความไม่สบายทางกาย ความทุกข์ทางกาย อันเกิดแต่สัมผัสแห่งกาย-

วิญญาณธาตุที่สมกัน ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อันเกิดแต่กายสัมผัส

กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อันเกิดแต่กายสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด

นี้ชื่อว่า เวทนามีในสมัยนั้น ฯลฯ

ทุกข์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความไม่สบายทางกาย ความทุกข์ทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบาย

เป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อันเกิดแต่

กายสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า ทุกข์มีในสมัยนั้น ฯลฯ

ทุกขินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความไม่สบายทางกาย ความทุกข์ทางกาย ความเสวยอารมณ์ที่ไม่สบาย

เป็นทุกข์ อันเกิดแต่กายสัมผัส กิริยาเสวยอารมณ์ที่ไม่สบายเป็นทุกข์อันเกิดแต่

กายสัมผัส ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า ทุกขินทรีย์มีในสมัยนั้น ฯลฯ หรือ

นามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๗๔] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๓ ผัสสะ ๑

ฯลฯ กายวิญญาณธาตุ ๑ ธรรมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น หรือ

นามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 147

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

[๔๗๕] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ หรือนามธรรมที่อิงอาศัย

เกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ในสมัยนั้น

นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๗๖] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

มโนธาตุ เป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา มีรูปเป็นอารมณ์ ฯลฯ

มีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น เพราะอกุศลกรรม

อันได้ทำไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้ว ในสมัยใด ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา

จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา มนินทรีย์ อุเปกขินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๗๗] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๓

ผัสสะ ๑ ฯลฯ มโนธาตุ ๑ ธรรมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น

หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

[๔๗๘] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ หรือนามธรรม

ที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ใน

สมัยนั้น นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์มีในสมัยนั้น ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 148

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๗๙] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

มโนวิญญาณธาตุ เป็นวิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา มีรูปเป็นอารมณ์

ฯลฯ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น เพราะอกุศลกรรม

อันได้ทำไว้แล้ว ได้สั่งสมไว้แล้ว ในสมัยใด ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา

จิต วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา มนินทรีย์ อุเปกขินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

[๔๘๐] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๓

ผัสสะ ๑ ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุ ๑ ธรรมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น

หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๘๑] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ หรือนามธรรม

ที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ใน

สมัยนั้น นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

อกุศลวิบากอัพยากฤต จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 149

อรรถกถาแสดงอกุศลวิบาก

เบื้องหน้าแต่โลกุตรวิบากนี้ต่อไป เป็นอกุศลวิบากจิต ๗ ดวง เหล่านี้

คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ

รวม ๕ ดวง มโนธาตุ ๑ ดวง และมโนวิญญาณธาตุ ๑ ดวง โดยพระบาลี

และอรรถกถาเหมือนกับกุศลวิบากจิตตามที่กล่าวไว้ในหนหลังนั่นแหละ.

จริงอยู่ กุศลวิบากเหล่านั้นมีกรรมเป็นปัจจัยอย่างเดียว อกุศลวิบาก

เหล่านี้ ก็มีกรรมเป็นปัจจัย.

อนึ่ง กุศลวิบากเหล่านั้น ย่อมเป็นไปในอารมณ์ที่เป็นอิฏฐารมณ์

และอิฏฐมัชฌัตตารมณ์. อกุศลวิบากเหล่านี้ ย่อมเป็นไปในอนิฏฐารมณ์และ

อนิฏฐมัชฌัตตารมณ์.

อนึ่ง ในกุศลวิบากเหล่านั้น กายวิญญาณจิตสหรคตด้วยสุข. แต่ใน

อกุศลวิบากเหล่านี้ กายวิญญาณจิตสหรคตด้วยทุกข์.

อนึ่ง ในกุศลวิบากเหล่านั้น มโนวิญญาณธาตุสหรคตด้วยอุเบกขา

ย่อมให้ผลในฐานทั้ง ๕ เริ่มต้นแต่ปฏิสนธิของคนตาบอดแต่กำเนิดเป็นต้นใน

พวกมนุษย์. แต่ในอกุศลวิบากเท่านี้ เมื่ออกุศลจิต ๑๑ อย่าง ประกอบ

กรรมไว้แล้ว ก็ทำกรรมนิมิต และคตินิมิตทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้เป็น

อารมณ์แล้ว ย่อมให้ผลในฐานะทั้ง ๕ อย่างนี้ คือ

๑. ให้ผลปฏิสนธิในอบาย ๔

๒. ให้ผลเป็นภวังคตลอดอายุตั้งแต่วาระที่สอง

๑. เว้นโมหมูลจิตสัมปยุตด้วยอุทธัจจะ

๒. วาระแรก ได้แก่ ปฏิสนธิกาล

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 150

๓. ให้ผลเป็นสันติรณะในปัญจวิญญาณวิถีในอนิฏฐารมณ์ และ

อนิฏฐมัชฌัตตารมณ์

๔. ให้ผลเป็นตทารัมมณะในทวาร ๖ ในอารมณ์มีกำลัง

๕. ให้ผลเป็นจุติจิตในมรณกาล.

จบกถาว่าด้วยอกุศลวิบาก

กามาวจรกิริยา

[๔๘๒] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

มโนธาตุ เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่กรรมวิบาก

สหรคตด้วยอุเบกขา มีรูปเป็นอารมณ์ ฯลฯ มีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ หรือ

ปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น ในสมัยใด ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต

วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา มนินทรีย์ อุเปกขินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๘๓] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๓

ผัสสะ ๑ ฯลฯ มโนธาตุ ๑ ธรรมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น

หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 151

[๔๘๔] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกัคคตา ชีวิตินทรีย์ หรือนามธรรม

ที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ใน

สมัยนั้น นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๘๕] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

มโนวิญญาณธาตุ เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่

กรรมวิบาก สหรคตด้วยโสมนัส มีรูปเป็นอารมณ์ ฯลฯ มีธรรมเป็นอารมณ์

หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น ในสมัยใด ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา

จิต วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา วิริยินทรีย์ สมาธินทรีย์ มนินทรีย์

โสมนัสสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้

อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๘๖] ผัสสะ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การกระทบ กิริยาที่กระทบ กิริยาที่ถูกต้อง ความถูกต้อง ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า ผัสสะมีในสมัยนั้น ฯลฯ

เอกัคคตา มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความ

ไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ

สมาธินทรีย์ สมาธิพละ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า เอกัคคตามีในสมัยนั้น ฯลฯ

วิริยินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

การปรารภความเพียรทางใจ ความขะมักเขม้น ความบากบั่น ความ

ตั้งหน้า ความพยายาม ความอุตสาหะ ความทนทาน ความเข้มแข็ง ความหมั่น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 152

ความก้าวไปอย่างไม่ท้อถอย ความไม่ทอดทิ้งฉันทะ ความไม่ทอดทิ้งธุระ

ความประคับประคองธุระ วิริยะ อินทรีย์คือวิริยะ วิริยพละ ในสมัยนั้น

อันใด นี้ชื่อว่า วิริยินทรีย์มีในสมัยนั้น

สมาธินทรีย์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ความตั้งอยู่แห่งจิต ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต ความ

ไม่ส่ายไปแห่งจิต ความไม่ฟุ้งซ่านแห่งจิต ภาวะที่จิตไม่ส่ายไป ความสงบ

อินทรีย์คือสมาธิ สมาธิพละ ในสมัยนั้น อันใด นี้ชื่อว่า สมาธินทรีย์มีใน

สมัยนั้น ฯลฯ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๘๗] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๕

ผัสสะ ๑ ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุ ๑ ธรรมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ มีในสมัยนั้น

หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

[๔๘๘] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร ปีติ เอกัคคตา วิริยินทรีย์ สมาธินทรีย์

ชีวิตินทรีย์ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญา-

ขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

[๔๘๙] สังขารเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

มโนวิญญาณธาตุ เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่กรรม-

วิบาก สหรคตด้วยอุเบกขา มีรูปเป็นอารมณ์ ฯลฯ มีธรรมเป็นอารมณ์ หรือ

ปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น ในสมัยใด ผัสสะ เวทนา สัญญา เจตนา จิต

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 153

วิตก วิจาร อุเบกขา เอกัคคตา วิริยินทรีย์ สมาธินทรีย์ มนินทรีย์ อุเปก-

ขินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ มีในสมัยนั้น หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด

มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๙๐] ก็ขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๓ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๕

ผัสสะ ๑ ฯลฯ มโนวิญญาณธาตุ ๑ ธรรมายตนะ ๑ ธรรมธาตุ ๑ หรือนามธรรม

ที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด มีอยู่ในสมัยนั้น

สภาวธรรมเหล่านั้นชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

[๔๙๑] สังขารขันธ์ มีในสมัยนั้น เป็นไฉน ?

ผัสสะ เจตนา วิตก วิจาร เอกัคคตา วิริยินทรีย์ สมาธินทรีย์

ชีวิตินทรีย์ หรือนามธรรมที่อิงอาศัยเกิดขึ้นแม้อื่นใด เว้นเวทนาขันธ์ สัญญา-

ขันธ์ วิญญาณขันธ์ มีอยู่ในสมัยนั้น นี้ชื่อว่า สังขารขันธ์มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๙๒] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

มโนวิญญาณธาตุ เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และไม่ใช่กรรม-

วิบาก สหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุตด้วยญาณ มีรูปเป็นอารมณ์ ฯลฯ มีธรรม

เป็นอารมณ์ หรือปรารภอารมณ์ใด ๆ เกิดขึ้น ฯลฯ สหรคตด้วยโสมนัส

สัมปยุตด้วยญาณ... เกิดขึ้น โดยมีการชักจูง ฯลฯ สหรคตด้วยโสมนัส

วิปปยุตจากญาณ... เกิดขึ้น ฯลฯ สหรคตด้วยโสมนัส วิปปยุตจากญาณ...

เกิดขึ้น โดยมีการชักจูง ฯลฯ สหรคตด้วยอุเบกขา สัมปยุตด้วยญาณ...

เกิดขึ้น ฯลฯ สหรคตด้วยอุเบกขา สัมปยุตด้วยญาณ ... เกิดขึ้น โดยมีการชักจูง

ฯลฯ สหรคตด้วยอุเบกขา วิปปยุตจากญาณ... เกิดขึ้น ฯลฯ สหรคตด้วย

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 154

อุเบกขา วิปปยุตจากญาณ... เกิดขึ้น โดยมีการชักจูง ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ

อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๙๓] อัพยากฤตมูล คือ อโลภะ ฯลฯ อัพยากฤตมูล คือ อโทสะ

ฯลฯ อัพยากฤตมูล คือ อโมหะ ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

กามาวจรกิริยา จบ

อรรถกถาแสดงกิริยาอัพยากฤต

ว่าด้วยมโนธาตุที่เป็นกิริยาจิต

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประสงค์จะทรงจำแนกกิริยาอัพยากฤต

(มโนธาตุที่เป็นกิริยาจิต) จึงเริ่มตรัสพระบาลีมีอาทิว่า กตเม ธมฺมา

อพฺยากตา (ธรรมเป็นอัพยากฤตเป็นไฉน) ต่อไป.

บรรดาบทอัพยากฤตเหล่านั้น บทว่า กิริยา ได้แก่ สักว่ากระทำ.

จริงอยู่ ในกิริยาจิตทุกดวงทีเดียว กิริยาจิตใดไม่ถึงความเป็นชวนะ กิริยาจิต

นั้นย่อมไม่มีผล เหมือนดอกไม้ลม* กิริยาจิตใดถึงความเป็นชวนะ กิริยาจิตนั้น

ก็ไม่มีผล เหมือนดอกไม้ที่ต้นมีรากขาดแล้ว ย่อมเป็นเพียงการกระทำเท่านั้น

เพราะเป็นไปด้วยอำนาจยังกิจนั้น ๆ ให้สำเร็จ เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า กิริยา

(การกระทำ).

* บาลีว่า วาตปุปฺผ วิย คงหมายถึงดอกไม้ไร้ประโยชน์

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 155

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เนว กุสลานากุสลา (ไม่ใช่กุศลไม่ใช่

อกุศล) เป็นต้นต่อไป.

สภาวธรรมที่ชื่อว่า ไม่ใช่กุศล เพราะความไม่มีกุศลเหตุกล่าวคือ

กุศลมูล. ที่ชื่อว่า ไม่ได้อกุศล เพราะความไม่มีอกุศลเหตุ กล่าวคืออกุศลมูล

ที่ชื่อว่า ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล (เนว กุสลานากุสลา) เพราะความไม่มี

กุศลและอกุศลเป็นปัจจัย ไม่มีแม้โยนิโสมนสิการ และอโยนิโสมนสิการ.

ที่ชื่อว่า ไม่ใช่ธรรมวิบาก เพราะไม่มีเหตุให้เกิดขึ้นกล่าวคือกุศลและอกุศล.

ในนิทเทสแห่งเอกัคคตาแห่งจิตที่เป็นกิริยามโนธาตุแม้นี้ ย่อมได้เพียง

การตั้งอยู่ในปวัตติกาลเท่านั้น จริงอยู่จิต ๑๗ ดวงเหล่านี้ คือ

ทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวง

มโนธาตุ ๓ ดวง

มโนวิญญาณธาตุ ๓ ดวง

วิจิกิจฉาสหคตจิต ๑ ดวง

เพราะความที่จิตเหล่านี้เป็นสภาพทุรพล จึงไม่ได้ในพระบาลีว่า สณฺิติ

อวฏฺิติ (ความดำรงอยู่แห่งจิต ความมั่นอยู่แห่งจิต) เป็นต้น. คำที่เหลือ

ทั้งหมด พึงทราบโดยนัยที่กล่าวในนิทเทสแห่งวิบากมโนธาตุ เว้นแต่ฐานแห่ง

การเกิดขึ้น. เพราะจิตนั้น (มโนธาตุที่เป็นวิบาก) ย่อมเกิดขึ้นในลำดับ

ปัญจวิญญาณ. แต่มโนธาตุที่เป็นกิริยาจิตนี้ ย่อมเกิดก่อนทุกดวงในปวัตติกาล

ในวิถีแห่งปัญจทวาร.

ข้อนี้เป็นอย่างไร ? คือว่า ในจักขุทวารก่อน เมื่อรูปารมณ์ทั้งหลาย

อันเป็นอิฏฐารมณ์ อิฏฐมัชฌัตตารมณ์ อนิฏฐารมณ์ และอนิฏฐมัชฌัตตารมณ์

อารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งกระทบประสาท มโนธาตุที่เป็นกิริยาจิตก็รับอารมณ์นั้น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 156

ยังภวังค์ให้เปลี่ยนไปเกิดขึ้น เป็นไปก่อนด้วยอำนาจแห่งอาวัชชนะ แม้ใน

โสตทวารเป็นต้น ก็นัยนี้แล.

มโนธาตุที่เป็นกิริยาจิต จบ

ว่าด้วยมโนวิญญาณธาตุเป็นกิริยาจิตสหรคตด้วยโสมนัส

จิตนี้ในพระบาลีว่า มโนวิญฺาณธาตุ อุปฺปนฺนา โหติ ฯเปฯ

โสมนสฺสสหคตา (มโนวิญญาณเป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และ

ไม่ใช่กรรมวิบาก สหรคตด้วยโสมนัส) ดังนี้ เป็นจิตเฉพาะบุคคลไม่ทั่วไป

แก่สัตว์เหล่าอื่นนอกจากพระขีณาสพเท่านั้น ย่อมได้ในทวาร ๖.

จริงอยู่ ในจักขุทวาร พระขีณาสพเห็นที่อันสมควรแก่การทำความ

เพียรย่อมถึงโสมนัสด้วยจิตนี้. ในโสตทวาร ท่านถึงที่ซึ่งควรแก่การจำแนก

แจกภัณฑะ เมื่อบุคคลผู้ละโมบทำเสียงดังถือเอาอยู่ ท่านก็ถึงโสมนัสด้วยจิตนี้

ว่า ตัณหาเป็นเหตุให้หวั่นไหวชื่อเห็นปานนี้เราละได้แล้วดังนี้. ในฆานทวาร

เมื่อพระขีณาสพบูชาพระเจดีย์ด้วยของหอม หรือดอกไม้ก็ถึงโสมนัสด้วยจิตนี้.

ในชิวหาทวาร พระขีณาสพแบ่งบิณฑบาตที่ถึงพร้อมด้วยรสที่ได้มาฉันอยู่

ก็ถึงโสมนัสด้วยจิตนี้ว่า สาราณิยธรรม (ธรรมที่ควรระลึกถึง) เราบำเพ็ญ

แล้วหนอ ดังนี้. ในกายทวาร พระขีณาสพบำเพ็ญอภิสมาจาริกวัตรอยู่ ก็ถึง

โสมนัสด้วยนี้ว่า ก็วัตรของเราเต็มรอบแล้ว ดังนี้ พระขีณาสพย่อมได้ใน

ปัญจทวารอย่างนี้ก่อน.

แต่ในมโนทวารจิตของพระขีณาสพย่อมเกิดขึ้นปรารภอดีตและอนาคต

จริงอยู่ พระตถาคตทรงระลึกถึงเหตุที่ทรงกระทำแล้วในครั้งที่พระองค์เสวย

พระชาติเป็นโชติปาละ เป็นท้าวมฆเทวราช และเป็นกัณหดาบสเป็นต้น จึงทรง

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 157

กระทำการแย้มให้ปรากฏ ก็การระลึกนั้นเป็นกิจ (หน้าที่) ของบุพเพนิวาสญาณ

และสัพพัญญุตญาณ ก็ในเวลาสิ้นสุดแห่งความเป็นไปของญาณทั้งสองเหล่านั้น

จิตดวงนี้ย่อมเกิดร่าเริง. ในอนาคต พระองค์ก็ได้ทรงทำการแย้มให้ปรากฏว่า

จักมีพระปัจเจกพุทธะ มีเสียงดังเสียงพิณ มีเสียงดังตะโพน ดังนี้ ก็การระลึก

นั้นเป็นกิจของอนาคตังสญาณ และสัพพัญญุตญาณ ก็ในเวลาสิ้นสุดแห่งความ

เป็นไปของญาณทั้งสองเหล่านั้น จิตนี้ย่อมเกิดร่าเริง.

ก็ในนิทเทสวารแห่งหสิตุปบาทจิตนี้ ทรงตั้งเอกัคคตาแห่งจิตไว้ถึง

สมาธิพละ เพราะมีกำลังกว่าอเหตุกจิตที่เหลือ ถึงวิริยะก็ทรงตั้งไว้ถึงวิริยพละ

แต่เพราะในอุทเทสมิได้ตรัสไว้ว่า สมาธิพละย่อมมี วิริยพละย่อมมี ดังนี้

ชื่อว่า พละ (สติพละ วิริยพละ) ทั้งสองนี้จึงไม่มีด้วยอรรถว่าเป็นกำลัง

ก็เพราะจิตดวงนี้ไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต ฉะนั้นจึงไม่ตรัสตั้งไว้ว่าเป็น

พละ ดังนี้ และเพราะจิตดวงนี้ไม่ใช่พละโดยนิปปริยาย (โดยตรง) ฉะนั้น

แม้ในสังคหวารก็มิได้ตรัสว่า ทั้ง ๒ (สติพละ วิริยพละ) เป็นพละดังนี้ คำที่

เหลือทั้งหมดพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในนิทเทสอเหตุกมโนวิญญาณธาตุที่

สหรคตด้วยโสมนัสนั่นแหละ.

ว่าด้วยมโนวิญญาณธาตุเป็นกิริยาจิตสตรีคตด้วยอุเบกขา

บทว่า อุเปกฺขาสหคต (มโนวิญญาณธาตุสหรคตด้วยอุเบกขา)

อธิบายว่า จิตดวงนี้ทั่วไปแก่สัตว์ผู้มีจิตทุกจำพวกในภพทั้ง ๓ ชื่อว่า ย่อมไม่

เกิดขึ้นแก่สัตว์ผู้มีจิตบางพวกหามีไม่ แต่ว่า เมื่อเกิดในปัญจทวารย่อมทำโวฏ-

ฐัพพนกิจ เกิดในมโนทวารย่อมทำอาวัชชนกิจ แม้อสาธารณญาณ (ญาณที่

ไม่ทั่วไปแก่สัตว์อื่น) ๖ ย่อมรับอารมณ์อันจิตนี้รับแล้วเหมือนกัน.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 158

จิตนี้ ชื่อว่า มหาคช* (ช้างใหญ่) ขึ้นชื่อว่า สิ่งที่ไม่เป็นอารมณ์

ของจิตนี้มิได้มี เมื่อคำถามว่า จิตที่มิใช่สัพพัญญุตญาณ แต่ชื่อว่ามีคติอย่าง

สัพพัญญุตญาณเป็นจิตดวงไหน ? พึงตอบว่า จิตดวงนี้ (มโนวิญญาณธาตุ

เป็นกิริยาจิตสหรคตด้วยอุเบกขา) คำที่เหลือในจิตนี้ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้

ในจิตดวงก่อน (มโนวิญญาณธาตุเป็นกิริยาจิตสหรคตด้วยโสมนัส) นั่นแหละ

ก็ในหสนจิต (มโนวิญญาณธาตุเป็นกิริยาจิตสหรคตด้วยโสมนัส) นั้น ทรง

จำแนกสังขารขันธ์มีองค์ ๙ เพราะมีปีติ แต่ในจิตดวงนี้ ทรงจำแนกสังขารขันธ์

มีองค์ ๘ เพราะไม่มีปีติ.

ว่าด้วยมหากิริยาจิต ๘ ดวง

บัดนี้ มหากิริยาจิต ๘ ดวง นั่นแหละของกุศลเหล่าใด กิริยาจิต

เหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว เพราะความเกิดขึ้นแห่งพระขีณาสพ เพราะฉะนั้น มหา-

กิริยาจิตเหล่านั้น พึงทราบโดยนัยตามที่กล่าวในกุศลนิทเทสนั่นแหละ

ว่าด้วยหสนจิต ๑๓ ดวง

บัณฑิต พึงยังหสนจิตให้ตั้งประชุมลงในที่นี้.

ถามว่า ก็หสนจิตเหล่านี้ มีเท่าไร ?

ตอบว่า มี ๑๓ ดวง.

จริงอยู่ ปุถุชน ย่อมหัวเราะด้วยจิต ๘ ดวง คือ

กุศลจิตสหรคตด้วยโสมนัส ๔ ดวง

อกุศลสหรคตด้วยโสมนัส ๔ ดวง

พระเสกขะ ย่อมหัวเราะด้วยจิต ๖ ดวง คือ

กุศลจิตที่สหรคตด้วยโสมนัส ๔ ดวง

อกุศลจิตที่สหรคตด้วยโสมนัสไม่ประกอบด้วยทิฏฐิ ๒ ดวง

* ฉบับนี้ว่า มหาราช นาเมต จิตฺต แต่ของพม่าเป็น มหาคช นาเมต จิตฺต แปลตามฉบับไทย

จิตนี้ชื่อว่า มหาราช ฉบับพม่าแปลว่า จิตนี้ ชื่อว่า ช้างใหญ่

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 159

พระขีณาสพ ย่อมหัวเราะด้วยจิต ๕ ดวง คือ

หสิตุปบาทจิตสหรคตด้วยโสมนัส ๑ ดวง

มหากิริยาจิตที่สหรคตด้วยโสมนัส ๔ ดวง

รูปาวจรกิริยา

[๔๙๔] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

พระขีณาสพเจริญรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล

และไม่ใช่กรรมวิบาก แต่เป็นทิฏฐิธรรมสุขวิหาร สงัดจากกาม สงัดจากอกุศล

ธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ อยู่ในสมัยใด

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

[๔๙๕] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

พระขีณาสพเจริญรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล

และไม่ใช่กรรมวิบาก แต่เป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ บรรลุ

ตติยฌาน ฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน ฯลฯ บรรลุปัญจมฌาน

ที่มีปฐวีกสิณเป็นอารมณ์ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีใน

สมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต ฯลฯ

รูปาวจรกิริยา จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 160

อรูปาวจรกิริยา

[๔๙๖] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

พระขีณาสพเจริญอรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล

และไม่ใช่กรรมวิบาก แต่เป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร เพราะก้าวล่วงรูปสัญญาโดย

ประการทั้งปวง เพราะความอัสดงแห่งปฏิฆสัญญา เพราะไม่มนสิการซึ่งนานัตต-

สัญญา จึงบรรลุจตุตถฌาน อันสหรคตด้วยอากาสานัญจายตนสัญญา ไม่มีทุกข์

ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ

มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๙๗] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

พระขีณาสพเจริญอรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล

และไม่ใช่กรรมวิบาก แต่เป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร เพราะก้าวล่วงอากาสานัญ-

จายตนะได้โดยประการทั้งปวง จึงบรรลุจตุตถฌาน อันสหรคตด้วยวิญญาณัญ-

จายตนสัญญา ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๙๘] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

พระขีณาสพเจริญอรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล

และไม่ใช่กรรมวิบาก แต่เป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร เพราะก้าวล่วงวิญญาณัญ-

จายตนะได้โดยประการทั้งปวง จึงบรรลุจตุตถฌาน อันสหรคตด้วยอากิญ-

จัญญายตนสัญญา ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 161

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๔๙๙] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

พระขีณาสพเจริญอรูปาวจรฌาน เป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล

และไม่ใช่กรรมวิบาก แต่เป็นทิฏฐธรรมสุขวิหาร เพราะก้าวล่วงอากิญจัญญาย-

ตนสัญญา ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ได้ ฯลฯ อยู่ในสมัยใด

ผัสสะ ฯลฯ อวิกเขปะ มีในสมัยนั้น ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๕๐๐] อัพยากฤตมูล คือ อโลภะ ฯลฯ อัพยากฤตมูล คือ อโทสะ

ฯลฯ อัพยากฤตมูล คือ อโมหะ ฯลฯ

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

อรูปาวจรกิริยา จบ

จิตตุปปาทกัณฑ์ จบ

อรรถกถาแสดงรูปาวจรอรูปาวจรกิริยา

พึงทราบวินิจฉัยนิทเทสแห่งรูปาวจรและอรูปาวจรกิริยาต่อไป

บทว่า ทิฏฺิธมฺมสุขวิหาร (เป็นแต่ทิฏฐธรรมสุขวิหาร) ได้แก่

เพียงอยู่เป็นสุขในทิฏฐธรรม คือ ในอัตภาพนี้เท่านั้น. ในสมาบัติเหล่านั้น

สมาบัติที่พระขีณาสพให้เกิดขึ้นในเวลายังเป็นปุถุชนมีอยู่ ตราบใดที่พระขีณาสพ

ยังไม่เข้าสมาบัติอันนั้น สมาบัตินั้นก็เป็นกุศลนั้นแหละ เมื่อท่านเข้าสมาบัติ

นั้นแล้ว สมาบัตินั้นก็เป็นกิริยา แต่สมาบัติที่พระขีณาสพนั้นให้บังเกิดขึ้นใน

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 162

เวลาที่ท่านเป็นพระขีณาสพแล้ว สมาบัตินั้นย่อมเป็นกิริยาเท่านั้น. คำที่เหลือ

ทั้งหมด พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้ในกุศลนิทเทส เพราะเป็นเหมือนกับกุศล

นั้น ฉะนี้แล.

กถาว่าด้วยจิตตุปปาทกัณฑ์

ในอัฏฐสาลินี ธัมมสังคหกถา จบ

แต่บทอัพยากฤต (รูปและนิพพาน) ยังไม่จบก่อน

อรรถกถาจิตตุปปาทกัณฑ์ จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 163

รูปกัณฑ์

[๕๐๑] ธรรมเป็นอัพยากฤต เป็นไฉน ?

วิบากแห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรม เป็นกามาวจร เป็นรูปาวจร

เป็นอรูปาวจร เป็นโลกุตระ ได้แก่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์

วิญญาณขันธ์ อนึ่ง ธรรมเหล่าใดเป็นกิริยา ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล และ

ไม่ใช่กรรมวิบาก รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ.

สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นอัพยากฤต.

[๕๐๒] บรรดาธรรมเป็นอัพยากฤต รูปทั้งหมด เป็นไฉน มหาภูต-

รูป ๔ และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ นั้น นี้เรียกว่า รูปทั้งหมด.

มาติกา

เอกกมาติกา

[๕๐๓] รูปทั้งหมด ไม่ใช่เหตุ ไม่มีเหตุ วิปปยุตจากเหตุ เป็นไป

กับด้วยปัจจัย เป็นสังขตธรรม เป็นรูปธรรม เป็นโลกิยธรรม เป็นอารมณ์

ของอาสวะ เป็นอารมณ์ของสังโยชน์ เป็นอารมณ์ของคันถะ เป็นอารมณ์

ของโอฆะ เป็นอารมณ์ของโยคะ เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ เป็นอารมณ์ของ

ปรามาส เป็นอารมณ์ของอุปาทาน เป็นอารมณ์ของสังกิเลส เป็นอัพยากตธรรม

ไม่มีอารมณ์ ไม่ใช่เจตสิก วิปปยุตจากจิต ไม่ใช่วิบากและไม่ใช่ธรรมเป็นเหตุ

แห่งวิบาก ไม่เศร้าหมอง แต่เป็นอารมณ์ของสังกิเลส ไม่ใช่ธรรมมีทั้งวิตก

ทั้งวิจาร ไม่ใช่ธรรมไม่มีวิตกแต่มีวิจาร ไม่มีทั้งวิตกวิจาร ไม่ใช่ธรรมที่

สหรคตด้วยปีติ ไม่ใช่ธรรมที่สหรคตด้วยสุข ไม่ใช่ธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 164

อันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ไม่ประหาณ ไม่มีสัมปยุตตเหตุ

อันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ประหาณ ไม่เป็นเหตุให้จุติปฏิสนธิ

และไม่เป็นเหตุให้ถึงนิพพาน ไม่เป็นของเสกขบุคคลและไม่เป็นของอเสกข-

บุคคล เป็นปริตตธรรม เป็นกามาวจรธรรม ไม่ใช่รูปาวจรธรรม ไม่ใช่

อรูปาวจรธรรม เป็นปริยาปันนธรรม ไม่ใช่อปริยาปันนธรรม เป็นอนิยตธรรม

เป็นอนิยยานิกธรรม เป็นปัจจุบันนธรรมอันวิญญาณ ๖ พึงรู้ ไปเที่ยง

อันชราครอบงำแล้ว

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๑ อย่างนี้.

เอกกมาติกา จบ

ทุกมาติกา

[๕๐๔] สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๒

รูปเป็นอุปาทา [อุปาทายรูป] ก็มี รูปเป็นอนุปาทาก็มี

รูปเป็นอนุปาทินนะ ก็มี รูปเป็นอนุปาทินนะก็มี

รูปเป็นอุปาทินนุปาทานิยะ ก็มี รูปเป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี

รูปเป็นสนิทัสสนะ ก็มี รูปเป็นอนิทัสสนะก็มี

รูปเป็นสัปปฏิฆะ ก็มี รูปเป็นอัปปฏิฆะก็มี

รูปเป็นอินทรีย์ก็มี รูปไม่เป็นอินทรีย์ก็มี

รูปเป็นมหาภูตก็มี รูปไม่เป็นมหาภูตก็มี

รูปเป็นวิญญัติก็มี รูปไม่เป็นวิญญัติก็มี

๑. ดูคำแปล เล่มที่ ๑ ข้อ ๑๒ ๒. ดูคำแปล. . .ข้อ ๑

๓. ดูคำแปล. . .ข้อ ๓ ๔. ดูคำแปล. . .ข้อ ๓

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 165

รูปเป็นจิตตสมุฏฐานก็มี รูปไม่เป็นจิตตสมุฏฐานก็มี

รูปเป็นจิตตสหภู* ก็มี รูปไม่เป็นจิตตสหภูก็มี

รูปเป็นจิตตานุปริวัติ ก็มี รูปไม่เป็นจิตตานุปริวัติก็มี

รูปเป็นภายในก็มี รูปเป็นภายนอกก็มี

รูปหยาบก็มี รูปละเอียดก็มี

รูปไกลก็มี รูปใกล้ก็มี

รูปที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัสก็มี รูปไม่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัส

ก็มี

รูปเป็นที่อาศัยเกิดของเวทนา อันเกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ ของสัญญา

ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักขุวิญญาณก็มี รูปไม่เป็นที่อาศัยเกิดของ

จักขุวิญญาณก็มี

รูปเป็นที่อาศัยเกิดของโสตสัมผัส ฯลฯ ของฆานสัมผัส ฯลฯ ของ

ชิวหาสัมผัส ฯลฯ ของกายสัมผัสก็มี รูปไม่เป็นที่อาศัยเกิดของกายสัมผัสก็มี

รูปเป็นที่อาศัยเกิดของเวทนา อันเกิดแต่กายสัมผัส ฯลฯ ของสัญญา

ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวิญญาณก็มี รูปไม่เป็นที่อาศัยเกิดของกาย

วิญญาณก็มี

รูปเป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัสก็มี รูปไม่เป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัสก็มี

รูปเป็นอารมณ์ของเวทนา อันเกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ ของสัญญา

ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักขุวิญญาณก็มี รูปไม่เป็นอารมณ์ของจักขุ-

วิญญาณก็มี

รูปเป็นอารมณ์ของโสตสัมผัส ฯลฯ ของฆานสัมผัส ฯลฯ ของ

ชิวหาสัมผัส ฯลฯ ของกายสัมผัสก็มี รูปไม่เป็นอารมณ์ของกายสัมผัสก็มี

* คำแปล เล่มที่ ๑ ข้อ ๑๑

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 166

รูปเป็นอารมณ์ของเวทนา อันเกิดแต่กายสัมผัส ฯลฯ ของสัญญา

ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวิญญาณก็มี รูปไม่เป็นอารมณ์ของกายวิญญาณ

ก็มี

รูปเป็นจักขายตนะก็มี รูปไม่เป็นจักขายตนะก็มี

รูปเป็นโสตายตนะก็มี รูปไม่เป็นโสตายตนะก็มี

รูปเป็นฆานายตนะ ฯลฯ เป็นชิวหายตนะ ฯลฯ เป็นกายายตนะก็มี

รูปไม่เป็นกายายตนะก็มี

รูปเป็นรูปายตนะก็มี รูปไม่เป็นรูปายตนะก็มี

รูปเป็นสัททายตนะ ฯลฯ เป็นคันธายตนะ ฯลฯ เป็นรสายตนะ

ฯลฯ เป็นโผฏฐัพพายตนะก็มี รูปไม่เป็นโผฏฐัพพายตนะก็มี

รูปเป็นจักขุธาตุก็มี รูปไม่เป็นจักขุธาตุก็มี

รูปเป็นโสตธาตุ ฯลฯ เป็นฆานธาตุ ฯลฯ เป็นชิวหาธาตุ ฯลฯ

เป็นกายธาตุก็มี รูปไม่เป็นกายธาตุก็มี

รูปเป็นรูปธาตุก็มี รูปไม่เป็นรูปธาตุก็มี

รูปเป็นสัททาธาตุ ฯลฯ เป็นต้นธาตุ ฯลฯ เป็นรสธาตุ ฯลฯ

เป็นโผฏฐัพพธาตุก็มี รูปไม่เป็นโผฏฐัพพธาตุก็มี

รูปเป็นจักขุนทรีย์ก็มี รูปไม่เป็นจักขุนทรีย์ก็มี

รูปเป็นโสตินทรีย์ ฯลฯ เป็นฆานินทรีย์ ฯลฯ เป็นชิวหินทรีย์ ฯลฯ

เป็นกายินทรีย์ก็มี รูปไม่เป็นกายินทรีย์ก็มี

รูปเป็นอิตถินทรีย์ก็มี รูปไม่เป็นอิตถินทรีย์ก็มี

รูปเป็นปุริสินทรีย์ก็มี รูปไม่เป็นปุริสินทรีย์ก็มี

รูปเป็นชีวิตินทรีย์ก็มี รูปไม่เป็นชีวิตินทรีย์ก็มี

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 167

รูปเป็นกายวิญญัติก็มี รูปไม่เป็นกายวิญญัติก็มี

รูปเป็นวจีวิญญัติก็มี รูปไม่เป็นวจีวิญญัติก็มี

รูปเป็นอากาสธาตุก็มี รูปไม่เป็นอากาสธาตุก็มี

รูปเป็นอาโปธาตุก็มี รูปไม่เป็นอาโปธาตุก็มี

รูปเป็นรูปลหุตาก็มี รูปไม่เป็นรูปลหุตาก็มี

รูปเป็นรูปมุทุตาก็มี รูปไม่เป็นรูปมุทุตาก็มี

รูปเป็นรูปกัมมัญญตาก็มี รูปไม่เป็นรูปกัมมัญญตาก็มี

รูปเป็นรูปอุปจยะก็มี รูปไม่เป็นรูปอุปจยะก็มี

รูปเป็นรูปสันตติก็มี รูปไม่เป็นรูปสันตติก็มี

รูปเป็นรูปชรตาก็มี รูปไม่เป็นรูปชรตาก็มี

รูปเป็นรูปอนิจจตาก็มี รูปไม่เป็นรูปอนิจจตาก็มี

รูปเป็นกพฬิงการาหารก็มี รูปไม่เป็นกพฬิงการาหารก็มี

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๒ อย่างนี้.

ทุกมาติกา จบ

ติกมาติกา

[๕๐๕] สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๓

รูปภายในเป็นอุปาทา, รูปภายนอกที่เป็นอุปาทาก็มี, ที่เป็นอนุปาทา

ก็มี

รูปภายในเป็นอุปาทินนะ, รูปภายนอกที่เป็นอุปาทินนะก็มี, ที่เป็น

อนุปาทินนะก็มี

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 168

รูปภายในเป็นอุปาทินนุปาทานิยะ, รูปภายนอกที่เป็นอุปาทินนุปาทา-

นิยะก็มี ที่เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะก็มี

รูปภายในเป็นอนิทัสสนะ, รูปภายนอกที่เป็นสนิทัสสหะก็มี, ที่เป็น

อนิทัสสนะก็มี

รูปภายในเป็นสัปปฏิฆะ, รูปภายนอกที่เป็นสัปปฏิฆะก็มี, ที่เป็น

อัปปฏิฆะก็มี

รูปภายในเป็นอินทรีย์, รูปภายนอกที่เป็นอินทรีย์ก็มี, ที่ไม่เป็น

อินทรีย์ก็มี

รูปภายในไม่เป็นมหาภูต, รูปภายนอกที่เป็นมหาภูตก็มี, ที่ไม่เป็น

มหาภูตก็มี

รูปภายในไม่เป็นวิญญัติ, รูปภายนอกที่เป็นวิญญัติก็มี, ที่ไม่เป็น

วิญญัติก็มี

รูปภายในไม่เป็นจิตตสมุฏฐาน, รูปภายนอกที่เป็นจิตตสมุฏฐานก็มี,

ที่ไม่เป็นจิตตสมุฏฐานก็มี

รูปภายในไม่เป็นจิตตสหภู, รูปภายนอกที่เป็นจิตตสหภูก็มี, ที่ไม่เป็น

จิตตสหภูก็มี

รูปภายในไม่เป็นจิตตานุปริวัติ, รูปภายนอกที่เป็นจิตตานุปริวัติก็มี,

ที่ไม่เป็นจิตตานุปริวัติก็มี

รูปภายในหยาบ, รูปภายนอกที่หยาบก็มี, ที่ละเอียดก็มี

รูปภายในอยู่ใกล้, รูปภายนอกที่อยู่ไกลก็มี ที่อยู่ใกล้ก็มี

รูปภายนอกไม่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัส, รูปภายในเป็นที่อาศัย

เกิดของจักขุสัมผัสก็มี ไม่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัสก็มี

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 169

รูปภายนอกไม่เป็นที่อาศัยเกิดของเวทนา อันเกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ

ของสัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักขุวิญญาณ, รูปภายในเป็นที่

อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณก็มี, ไม่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณก็มี

รูปภายนอกไม่เป็นที่อาศัยเกิดของโสตสัมผัส ฯลฯ ของฆานสัมผัส

ฯลฯ ของชิวหาสัมผัส ฯลฯ ของกายสัมผัส รูปภายในเป็นที่อาศัยเกิดของ

กายสัมผัสก็มี ไม่เป็นที่อาศัยเกิดของกายสัมผัสก็มี

รูปภายนอกไม่เป็นที่อาศัยเกิดของเวทนา อันเกิดแต่กายสัมผัส ฯลฯ

ของสัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวิญญาณ, รูปภายในเป็นที่อาศัย

เกิดของกายวิญญาณก็มี ไม่เป็นที่อาศัยเกิดของกายวิญญาณก็มี

รูปภายในไม่เป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัส, รูปภายนอกที่เป็นอารมณ์ของ

จักขุสัมผัสก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัสก็มี

รูปภายในไม่เป็นอารมณ์ของเวทนา อันเกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ

ของสัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักขุวิญญาณ, รูปภายนอกที่เป็น

อารมณ์ของจักขุวิญญาณก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณก็มี

รูปภายในไม่เป็นอารมณ์ของโสตสัมผัส ฯลฯ ของฆานสัมผัส ฯลฯ

ของชิวหาสัมผัส ฯลฯ ของกายสัมผัส, รูปภายนอกที่เป็นอารมณ์ของกายสัมผัส

ก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของกายสัมผัสก็มี

รูปภายในไม่เป็นอารมณ์ของเวทนา อันเกิดแต่กายสัมผัส ฯลฯ ของ

สัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวิญญาณ, รูปภายนอกที่เป็นอารมณ์

ของกายวิญญาณก็มี, ที่ไม่เป็นอารมณ์ของกายวิญญาณก็มี

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 170

รูปภายนอกไม่เป็นจักขายตะ, รูปภายในที่เป็นจักขายตนะก็มี, ที่ไม่

เป็นจักขายตนะก็มี

รูปภายนอกไม่เป็นโสตายตนะ ฯลฯ ไม่เป็นฆานายตนะ ฯลฯ ไม่

เป็นชิวหายตนะ ฯลฯ ไม่เป็นกายายตนะ, รูปภายในที่เป็นกายายตนะก็มี, ที่

ไม่เป็นกายายตนะก็มี

รูปภายในไม่เป็นรูปายตนะ, รูปภายนอกที่เป็นรูปายตนะก็มี, ที่ไม่เป็น

รูปายตนะก็มี

รูปภายในไม่เป็นสัททายตนะ ฯลฯ ไม่เป็นคันธายตนะ ฯลฯ ไม่เป็น

รสายตนะ ฯลฯ ไม่เป็นโผฏฐัพพายตนะ ฯลฯ รูปภายนอกที่เป็นโผฏฐัพพายตนะ

ก็มี, ที่ไม่เป็นโผฏฐัพพายตนะก็มี

รูปภายนอกไม่เป็นจักขุธาตุ, รูปภายในที่เป็นจักขุธาตุก็มี, ที่ไม่เป็น

จักขุธาตุก็มี

รูปภายนอกไม่เป็นโสตธาตุ ฯลฯ ไม่เป็นฆานธาตุ ฯลฯ ไม่เป็น

ชิวหาธาตุ ฯลฯ ไม่เป็นกายธาตุ. รูปภายในที่เป็นกายธาตุก็มี, ที่ไม่เป็นกาย-

ธาตุก็มี

รูปภายในไม่เป็นรูปธาตุ, รูปภายนอกที่เป็นรูปธาตุก็มี, ที่ไม่เป็นรูป

ธาตุก็มี

รูปภายในไม่เป็นสัททธาตุ ฯลฯ ไม่เป็นคันธธาตุ ฯลฯ ไม่เป็นรส-

ธาตุ ฯลฯ ไม่เป็นโผฏฐัพพธาตุ, รูปภายนอกที่เป็นโผฏฐัพพธาตุก็มี, ที่ไม่

เป็นโผฏฐัพพธาตุก็มี

รูปภายนอกไม่เป็นจักขุนทรีย์, รูปภายในที่เป็นจักขุนทรีย์ก็มี, ที่ไม่

เป็นจักขุนทรีย์ก็มี

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 171

รูปภายนอกไม่เป็นโสตินทรีย์ ฯลฯ ไม่เป็นฆานินทรีย์ ฯลฯ ไม่เป็น

ชิวหินทรีย์ ฯลฯ ไม่เป็นกายินทรีย์, รูปภายในที่เป็นกายินทรีย์ก็มี, ที่ไม่เป็น

กายินทรีย์ก็มี

รูปภายในไม่เป็นอิตถินทรีย์, รูปภายนอกที่เป็นอิตถินทรีย์ก็มี, ที่ไม่

เป็นอิตถินทรีย์ก็มี

รูปภายในไม่เป็นปุริสินทริย์, รูปภายนอกที่เป็นปุริสินทรีย์ก็มี, ที่ไม่

เป็นปุริสินทรีย์ก็มี

รูปภายในไม่เป็นชีวิตินทรีย์, รูปภายนอกที่เป็นชีวิตินทรีย์ก็มี, ที่ไม่

เป็นชีวิตินทรีย์ก็มี

รูปภายในไม่เป็นกายวิญญัติ, รูปภายนอกที่เป็นกายวิญญัติก็มี, ที่ไม่

เป็นกายวิญญัติก็มี

รูปภายในไม่เป็นวจีวิญญัติ, รูปภายนอกที่เป็นวจีวิญญัติก็มี, ที่ไม่

เป็นวจีวิญญัติก็มี

รูปภายในไม่เป็นอากาสธาตุ รูปภายนอกที่เป็นอากาสธาตุก็มี, ที่ไม่

เป็นอากาสธาตุก็มี

รูปภายในไม่เป็นอาโปธาตุ, รูปภายนอกที่เป็นอาโปธาตุก็มี, ที่ไม่เป็น

อาโปธาตุก็มี

รูปภายในไม่เป็นรูปลหุตา, รูปภายนอกที่เป็นรูปลหุตาก็มี, ที่ไม่เป็น

รูปลหุตาก็มี

รูปภายในไม่เป็นรูปมุทุตา, รูปภายนอกที่เป็นมุทุตาก็มี, ที่ไม่เป็น

รูปมุทุตาก็มี

รูปภายในไม่เป็นรูปกัมมัญญตา, รูปภายนอกที่เป็นรูปกัมมัญญตาก็มี,

ที่ไม่เป็นรูปกัมมัญญตาก็มี

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 172

รูปภายในไม่เป็นรูปอุปจยะ, รูปภายนอกที่เป็นรูปอุปจยะก็มี, ที่ไม่

เป็นรูปอุปจยะก็มี

รูปภายในไม่เป็นรูปสันตติ, รูปภายนอกที่เป็นรูปสันตติก็มี, ที่ไม่เป็น

รูปสันตติก็มี

รูปภายในไม่เป็นรูปชรตา, รูปภายนอกที่เป็นรูปชรตาก็มี, ที่ไม่เป็น

รูปชรตาก็มี

รูปภายในไม่เป็นรูปอนิจจตา รูปภายนอกที่เป็นรูปอนิจจตาก็มี, ที่ไม่

เป็นรูปอนิจจตาก็มี

รูปภายในไม่เป็นกพฬิงการาหาร, รูปภายนอกที่เป็นกพฬิงการาหารก็มี

ที่ไม่เป็นกพฬิงการาหารก็มี

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๓ อย่างนี้.

ติกมาติกา จบ

จตุกกมาติกา

[๕๐๖] สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๔

รูปเป็นอุปาทา ที่เป็นอุปาทินนะก็มี, ที่เป็นอนุปาทินนะก็มี, รูปเป็น

อนุปาทา ที่เป็นอุปาทินนะก็มี, ที่เป็นอนุปาทินนะก็มี

รูปเป็นอุปาทา ที่เป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี, ที่เป็นอนุปาทินนุปาทา-

นิยะก็มี, รูปเป็นอนุปาทา ที่เป็นอุปาทินนุปาทานิยะก็มี, ที่เป็นอนุปาทินนุ-

ปาทานิยะก็มี

รูปเป็นอุปาทา ที่เป็นสัปปฏิฆะก็มี, ที่เป็นอัปปฏิฆะก็มี, รูปเป็น

อนุปาทาที่เป็นสัปปฏิฆะก็มี, ที่เป็นอัปปฏิฆะก็มี

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 173

รูปเป็นอุปาทา ที่หยาบก็มี, ที่ละเอียดก็มี, รูปเป็นอนุปาทาที่หยาบ

ก็มี, ที่ละเอียดก็มี

รูปเป็นอุปาทา ที่อยู่ไกลก็มี, ที่อยู่ใกล้ก็มี, รูปเป็นอนุปาทาที่อยู่ไกล

ก็มี ที่อยู่ใกล้ก็มี

รูปเป็นอุปาทินนะ ที่เป็นสนิทัสสนะก็มี, ที่เป็นอนิทัสสนะก็มี, รูป

เป็นอนุปาทินนะ ที่เป็นสนิทัสสนะก็มี, ที่เป็นอนิทัสสนะก็มี

รูปเป็นอุปาทินนะ ที่เป็นสัปปฏิฆะก็มี, ที่เป็นอัปปฏิฆะก็มี, รูปเป็น

อนุปาทินนะ ที่เป็นสัปปฏิฆะก็มี, ที่เป็นอัปปฏิฆะก็มี

รูปเป็นอุปาทินนะ ที่เป็นมหาภูตก็มี, ที่ไม่เป็นมหาภูตก็มี, รูปเป็น

อนุปาทินนะ ที่เป็นมหาภูตก็มี, ที่ไม่เป็นมหาภูตก็มี

รูปเป็นอุปาทินนะ ที่หยาบก็มี, ที่ละเอียดก็มี, รูปเป็นอนุปาทินนะ

ที่หยาบก็มี, ที่ละเอียดก็มี

รูปเป็นอุปาทินนะ ที่อยู่ไกลก็มี, ที่อยู่ใกล้ก็มี, รูปเป็นอนุปาทินนะ

ที่อยู่ไกลก็มี, ที่อยู่ใกล้ก็มี

รูปเป็นอุปาทินนุปาทานิยะ ที่เป็นสนิทัสสนะก็มี, ที่เป็นอนิทัสสนะก็มี,

รูปเป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ ที่เป็นสนิทัสสนะก็มี, ที่เป็นอนิทัสสนะก็มี

รูปเป็นอุปาทินนุปาทานิยะ ที่เป็นสัปปฏิฆะก็มี, ที่เป็นอัปปฏิฆะก็มี,

รูปเป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ ที่เป็นสัปปฏิฆะก็มี, ที่เป็นอัปปฏิฆะก็มี

รูปเป็นอุปาทินนุปาทานิยะ ที่เป็นมหาภูตก็มี, ที่ไม่เป็นมหาภูตก็มี,

รูปเป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ ที่เป็นมหาภูตก็มี, ที่ไม่เป็นมหาภูตก็มี

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 174

รูปเป็นอุปาทินนุปาทานิยะ ที่หยาบก็มี, ที่ละเอียดก็มี, รูปเป็น

อนุปาทินนุปาทานิยะ ที่หยาบก็มี, ที่ละเอียดก็มี

รูปเป็นอุปาทินนุปาทานิยะ ที่อยู่ไกลก็มี ที่อยู่ใกล้ก็มี, รูปเป็น

อนุปาทินนุปาทานิยะ ที่อยู่ไกลก็มี ที่อยู่ใกล้ก็มี

รูปกระทบได้ ที่เป็นอินทรีย์ก็มี, ที่ไม่เป็นอินทรีย์ก็มี, รูปกระทบ

ไม่ได้ ที่เป็นอินทรีย์ก็มี, ที่ไม่เป็นอินทรีย์ก็มี

รูปกระทบได้ ที่เป็นมหาภูตก็มี, ที่ไม่เป็นมหาภูตก็มี, รูปกระทบ

ไม่ได้ ที่เป็นมหาภูตก็มี, ที่ไม่เป็นมหาภูตก็มี

รูปเป็นอินทรีย์ ที่หยาบก็มี, ที่ละเอียดก็มี, รูปไม่เป็นอินทรีย์ที่หยาบ

ก็มี, ที่ละเอียดก็มี

รูปเป็นอินทรีย์ ที่อยู่ไกลก็มี, ที่อยู่ใกล้ก็มี, รูปไม่เป็นอินทรีย์ที่อยู่

ไกลก็มี, ที่อยู่ใกล้ก็มี

รูปเป็นมหาภูต ที่หยาบก็มี, ที่ละเอียดก็มี, รูปไม่เป็นมหาภูตที่หยาบ

ก็มี, ที่ละเอียดก็มี

รูปเป็นมหาภูต ที่อยู่ไกลก็มี, ที่อยู่ใกล้ก็มี, รูปไม่เป็นมหาภูตที่อยู่

ไกลก็มี, ที่อยู่ใกล้ก็มี

รูปที่เห็นได้, รูปที่ฟังได้, รูปที่รู้ได้, รูปที่รู้แจ้งได้

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๔ อย่างนี้

จตุกกมาติกา จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 175

ปัญจกมาติกา

[๕๐๗] สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๕

ปฐวีธาตุ, อาโปธาตุ, เตโชธาตุ, วาโยธาตุ และรูปที่เป็นอุปาทา

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๕ อย่างนี้.

ปัญจกมาติการ จบ

ฉักกมาติกา

[๕๐๘] สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๖

รูปอันจักขุวิญญาณพึงรู้. รูปอันโสตวิญญาณพึงรู้, รูปอันฆานวิญญาณ

พึงรู้, รูปอันชิวหาวิญญาณพึงรู้ รูปอันกายวิญญาณพึงรู้ รูปอันมโนวิญญาณ

พึงรู้

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๖ อย่างนี้.

ฉักกมาติกา จบ

สัตตกมาติกา

[๕๐๙] สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๗

รูปอันจักขุวิญญาณพึงรู้ รูปอันโสตวิญญาณพึงรู้, รูปอันฆานวิญญาณ

พึงรู้, รูปอันชิวหาวิญญาณพึงรู้, รูปอันกายวิญญาณพึงรู้, รูปอันมโนธาตุพึงรู้,

รูปอันมโนวิญญาณธาตุพึงรู้

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๗ อย่างนี้.

สัตตกมาติกา จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 176

อัฏฐกมาติกา

[๕๑๐] สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๘

รูปอันจักขุวิญญาณพึงรู้, รูปอันโสตวิญญาณพึงรู้, รูปอันฆานวิญญาณ

พึงรู้, รูปอันชิวหาวิญญาณพึงรู้. รูปอันกายวิญญาณพึงรู้ ที่มีสัมผัสเป็นสุข

ก็มี, ที่มีสัมผัสเป็นทุกข์ก็มี. รูปอันมโนธาตุพึงรู้ รูปอันมโนวิญญาณธาตุพึงรู้

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๘ อย่างนี้.

อัฏฐกมาติกา จบ

นวกมาติกา

[๕๑๑] สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๙

จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์,

อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์, ชีวิตินทรีย์, และรูปที่ไม่เป็นอินทรีย์

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๙ อย่างนี้.

นวกมาติการ จบ

ทสกมาติกา

[๕๑๒] สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๑๐

จักขุนทรีย์, โสตินทรีย์, ฆานินทรีย์, ชิวหินทรีย์, กายินทรีย์,

อิตถินทรีย์, ปุริสินทรีย์, ชีวิตินทรีย์, รูปไม่เป็นอินทรีย์ที่กระทบได้ก็มี,

ที่กระทบไม่ได้ก็มี

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๑๐ อย่างนี้.

ทสกมาติกา จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 177

เอกาทสกมาติกา

[๕๑๓] สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๑๑

จักขายตนะ, โสตายตนะ, ฆานายตนะ, ชิวิหายตนะ, กายายตนะ,

รูปายตนะ, สัททายตนะ, คันธายตนะ, รสายตนะ, โผฏฐัพพายตนะ, และ

รูปที่เป็นอนิทัสสนะ เป็นอัปปฏิฆะ แต่นับเนื่องในธรรมายตนะ

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๑๑ อย่างนี้.

เอกาทสกมาติกา จบ

มาติกา จบ

อรรถกถารูปกัณฑ์

ว่าด้วยเอกกอุทเทส

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์จะจำแนกรูปกัณฑ์ (หมวดรูป)

จึงเริ่มตรัสพระบาลีมีอาทิว่า กตเม ธมฺมา อพฺยากตา (ธรรมเป็นอัพยากฤต

เป็นไฉน) ดังนี้อีก.

พึงทราบวินิจฉัยคำว่า อัพยากฤต เป็นต้นนั้นต่อไป

พระบาลีในจิตตุปปาทกัณฑ์ พระองค์ทรงจำแนกวิปากอัพยากตะ

(อัพยากฤตคือวิบากจิต) และกิริยาอัพยากตะ (อัพยากฤตคือกิริยา) ไว้หมดสิ้น

แล้วแม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ยังมิได้ตรัสอัพยากฤต คือ รูป และอัพยากฤต คือ

นิพพาน เมื่อจะทรงประมวลอัพยากฤตแม้ทั้ง ๔ มาแสดง เพื่อตรัสอัพยากฤต

ทั้งสองที่ยังเหลือนั้น จึงตรัสว่า กุสลากุสลาน ธมฺมาน วิปากา (วิบาก

แห่งกุศลธรรมและอกุศลธรรม) ดังนี้.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 178

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุสลากุสลาน ได้แก่ กุศลอันเป็นไป

ในภูมิ ๔ และอกุศลทั้งหลาย. พระองค์ทรงถือเอาบททั้งสอง คือ กุศลวิบาก

และอกุศลวิบากแสดงอัพยากฤตวิบากจิตไว้ด้วยคำมีประมาณเท่านี้. แต่เพราะ

อัพยากฤตทั้งหมดนั้นเป็นกามาวจรก็มี เป็นธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง มีรูปาวจร

เป็นต้นก็มี ฉะนั้นจึงทรงแสดงอัพยากฤตคือวิบากนั่นนั่นเองถือเอาความแตก

ต่างกันแห่งภูมิโดยนัยมีคำว่า กามาวจรา (เป็นกามาวจร) เป็นต้น อนึ่ง

เพราะอัพยากฤตนั้นเป็นเวทนาขันธก็มี ฯลฯ เป็นวิญญาณขันธ์ก็มี ฉะนั้น

จึงทรงถือเอาอัพยากฤตนั้นแสดงด้วยอำนาจขันธ์ ๔ ที่สัมปยุตกัน ครั้นทรงแสดง

อัพยากฤตคือวิบากจิตอย่างนี้ โดยถือเอานัยทั้ง ๓ คือ ด้วยอำนาจกุศลและ

อกุศล ด้วยอำนาจความแตกต่างกันแห่งภูมิ และด้วยอำนาจขันธ์ที่สัมปุยตกัน

เมื่อจะทรงแสดงอัพยากฤต คือ กิริยาจิตอีก จึงตรัสคำมีอาทิว่า เย จ ธมฺมา

กิริยา (อนึ่ง ธรรมเหล่าใดเป็นกิริยา) ดังนี้.

ในพระบาลีนั้น กิริยาจิตนั้นบุคคลพึงกล่าวว่า เป็นกามาวจร รูปาวจร

อรูปาวจร คือ เวทนาขันธ์ ฯลฯ วิญญาณขันธ์. ก็พระองค์ครั้นทรงแสดง

นัยที่บุคคลถือเอาแล้วในหนหลังนั่นแหละแล้วทรงสละเสีย.

บัดนี้ เมื่อจะแสดงธรรมที่ยังมิได้จำแนกไว้ จึงตรัสว่า สพฺพญฺจ

รูป อสขตา จ ธาตุ (รูปทั้งหมด และอสังขตธาตุ).

ในพระบาลีนั้น พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอารูป ๒๕

โกฏฐาสแห่งรูป ๙๖ แสดงไว้โดยสิ้นเชิง ด้วยบทว่า สพฺพญฺจ รูป ดังนี้.

ด้วยบทว่า อสขตา จ ธาตุ นี้ทรงยกนิพพานขึ้นแสดงโดยสิ้นเชิง. บทว่า

อพฺยากตา ธมฺมา (ธรรมเป็นอัพยากฤต) พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกขึ้นไว้

ด้วยคำมีประมาณเท่านี้.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 179

ว่าด้วยอัพยากฤต คือ รูป

บรรดาธรรมเป็นอัพยากฤตนั้น คำว่า รูปทั้งหมด เป็นไฉน ? นี้

พระองค์ทรงถือเอาแล้ว เพราะเหตุไร ภายหลังจึงตรัสอัพยากฤตคือรูปไว้โดย

ย่อ บัดนี้ ทรงประสงค์จะจำแนกรูปนั้นโดยพิสดาร ด้วยสามารถแห่งรูปหมวด

๑ หมวด ๒ หมวด ๓ หมวด ๔ ฯลฯ หมวด ๑๑ จึงทรงถือเอารูป

นี้เล่า.

เนื้อความนั้นมีอธิบายว่า รูปใดที่ตรัสไว้ใน ๒ บทนั้นว่า สพฺพญฺจ

รูป อสขตา จ ธาตุ นั้น ที่ชื่อว่า รูปทั้งหมด เป็นไฉน ? บัดนี้

เมื่อจะแสดงรูปนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า จตฺตาโร จ มหาภูตา (มหาภูตรูป ๔)

ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตฺตาโร (๔) เป็นคำกำหนดจำนวน.

ด้วยบทว่า ๔ นั้น ทรงปฏิเสธความหย่อนและยิ่งของรูปเหล่านั้น จ ศัพท์เป็น

สัมปิณฑนัตถะ (คือใช้ในอรรถว่าประมวลมา) ด้วย จ ศัพท์นั้น จึงประมวล

มาซึ่งอุปาทายรูป (รูปอาศัย) ว่า ใช่แต่มหาภูตรูป ๔ เท่านั้นก็หาไม่ รูป

แม้อย่างอื่นก็มีอยู่ ดังนี้.

ว่าด้วยมหาภูตรูป

ในคำว่า มหาภูตะ นี้ พึงทราบว่า สภาวะที่ชื่อว่า มหาภูตะ

เพราะเหตุทั้งหลายโดยความปรากฏว่าเป็นของใหญ่เป็นต้น เพราะรูปเหล่านั้น

ตรัสเรียกว่า มหาภูตะ ด้วยเหตุเหล่านี้ คือ

ปรากฏเป็นของใหญ่ ๑

เหมือนมหาภูต คือ นักเล่นกลเป็นต้น ๑

เพราะต้องบำรุงรักษามาก ๑

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 180

เพราะวิการ (เปลี่ยนแปลง) ใหญ่ ๑

เพราะเป็นกองใหญ่ที่มีอยู่ ๑.

บรรดาเหตุเหล่านั้น ข้อว่า มหาภูตรูปปรากฏเป็นของใหญ่ มีอธิบายว่า

รูปเหล่านั้น ปรากฏเป็นของใหญ่ในอนุปาทินนกสันดานบ้าง ในอุปาทินนก-

สันดานบ้าง บรรดาสันดานทั้ง ๒ นั้น พึงทราบในอนุปาทินนกสันดานโดย

ความเป็นของใหญ่อย่างนี้

จริงอยู่ จักรวาลหนึ่งยาวและกว้างถึง ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (หนึ่งล้าน

สองแสนสามพันสี่ร้อยห้าสิบโยชน์) วัดโดยรอบ ตามคาถาที่ท่านประพันธ์ไว้ว่า

สพฺพ สตสหสฺสานิ ฉตฺตึส ปริมณฺฑล

ทสญฺเจว สหสฺสานิ อฑฺฒุฑฺฒานิ สตานิ จ

จักรวาลทั้งหมดมีสัณฐานกลม วัด

โดยรอบได้ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์ (สามล้าน

หกแสนหนึ่งหมื่นสามร้อยห้าสิบโยชน์).

ในจักรวาลนั้น มีคาถาว่า

ทุเว สตสหสฺสานิ จตฺตาริ นหุตานิ จ

เอตฺตก พหลตฺเตน สขาตาย พสุนฺธรา

แผ่นดินนี้ วัดโดยส่วนหนาได้เท่านี้

คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์ (สองแสนสี่หมื่นโยชน์).

แผ่นดินนั้นนั่นแหละมีน้ำรองแผ่นดิน (ดังคาถาว่า)

จตฺตาริ สตสหสฺสานิ อฏฺเว นหุตานิ จ

เอตฺตก พหลตฺเตน ชล วาเต ปติฏฺิต

๑. หมายถึงรูปที่สืบต่อกันที่ไม่มีใจครอง

๒. หมายถึงรูปที่สืบต่อกันที่มีใจครอง

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 181

น้ำรองแผ่นดินหนาถึง ๔๘๐,๐๐๐

โยชน์ (สี่แสนแปดหมื่นโยชน์) ตั้งอยู่บนลม.

แม้น้ำนั้นแหละก็มีลมรองอยู่ (ดังคาถาว่า)

นว สตสหสฺสานิ มาลุโต นภมุคฺคโต

สฏฺิญฺเจว สหสฺสานิ เอสา โลกสฺส สณฺิติ

ลมสูงขึ้นสู่ท้องนภาถึง ๙๖๐,๐๐๐

โยชน์ (เก้าแสนหกหมื่นโยชน์) นี้เป็นการตั้ง

อยู่ของโลก.

ก็เมื่อโลกตั้งอยู่อย่างนี้

มีขุนเขาสิเนรุราช หยั่งลึกลงไปใน

มหาสมุทรถึง ๘๔๐,๐๐๐ โยชน์ (แปดหมื่น

สี่พันโยชน์) สูงขึ้นจากมหาสมุทรได้

๘๔๐,๐๐๐ โยชน์ เหมือนกัน.

มีภูเขาใหญ่ล้วนด้วยศีลาเป็นแท่งทึบ

๗ เทือก เหล่านี้ คือ ภูเขาชื่อวายุคันธร

ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวิก ภูเขาสุทัสสนะ

ภูเขาเนมินธร ภูเขาวินตกะ ภูเขาอสัสกรรณ

ล้วนวิจิตรด้วยรัตนะต่าง ๆ อันเป็นทิพย์

หยั่งลงในมหาสมุทร และสูงขึ้นจากมหา-

สมุทรประมาณกึ่งหนึ่ง ๆ โดยประมาณที่

กล่าวไว้ทั้งข้างบนข้างล่าง โดยรอบขุนเขา

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 182

สิเนรุราชนั้น ตามลำดับ* เป็นที่สิ่งสถิตของ

มหาราชทั้งหลาย เป็นถิ่นประจำของหมู่เทพ

และพวกยักษ์.

ยังมีภูเขาชื่อหิมพานต์สูง ๕๐๐ โยชน์

ยาวและกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ งดงามด้วยยอด

๘๔,๐๐๐ ยอด ชมพูทวีปรุ่งเรืองแล้วด้วย

อานุภาพแห่งต้นชมพูใด ต้นชมพู (ต้นหว้า)

นั้นวัดรอบลำต้นได้ ๑๕ โยชน์ มีกิ่งลำต้น

ยาว ๕๐ โยชน์รอบด้าน ว่างได้ร้อยโยชน์

สูงขึ้นร้อยโยชน์เหมือนกัน.

อนึ่ง ประมาณแห่งต้นชมพูนี้อันใด ต้นจิตตปาฏลี (แคฝอย) ของ

พวกอสูรก็ดี ต้นสิมพลี (ไม้งิ้ว) ของพวกครุฑก็ดี ต้นกทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)

ในทวีปอมรโคยานก็ดี ต้นกัลปพฤษ์ ในทวีปอุตตรกุรุก็ดี ต้นสิรีสะ ในทวีป

ปุพพวิเทหะก็ดี ต้นปาริฉัตตกะในดาวดึงส์ทั้งหลายก็ดี ก็มีประมาณนั้นเหมือน

กัน ด้วยเหตุนั้น พระโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า

ต้นปาฏลี (แคฝอย) ๑ ต้นสิมพลี

(ไม้งิ้ว) ๑ ต้นชมพู (ไม้หว้า) ๑ ต้นปาริฉัตตกะ

(ต้นทองหลาง) ของพวกเทพ ๑ ต้นกทัมพะ

(ไม้กระทุ่ม) ๑ ต้นกัลปพฤกษ์ ๑ ต้นสิรีสะ

(ไม้ซึก) เป็นที่ ๗

* โยชนา เอเต สตต ปพพตา อนุปฏิปาฏิยา สมุคคตา โสปานสทิสา หุตฺวา ฐิตา ภูเขา

๗ เทือกเหล่านี้สูงขึ้นโดยลำดับเป็นเหมือนกับบันไดตั้งอยู่.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 183

ภูเขาจักรวาลหยั่งลึกลงในมหาสมุทร

๘๒,๐๐๐ โยชน์ สูงพ้นมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐

โยชน์เหมือนกัน ทั้งหมดได้ตั้งแวดล้อมโลกธาตุ

ไว้แล. (นี้ชื่อว่าสันดานของรูปที่ไม่มีใจครอง).

แม้ในสันดานของรูปที่มีใจครอง (อุปาทินนกสันดาน) ก็ปรากฏ

เป็นของใหญ่นั่นแหละด้วยอำนาจแห่งสรีระมีปลา เต่า เทพ และทานพเป็นต้น

ข้อนี้สมดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใน

มหาสมุทร สัตว์ใหญ่ แม้ยาวตั้งร้อยโยชน์ก็มีเป็นต้น.

ว่าด้วยมหาภูต คือ นักเล่นกลเป็นต้น

ข้อว่า มหาภูตคือนักเล่นกลเป็นต้น มีอธิบายว่า มหาภูตรูปเหล่านี้

เปรียบด้วยนักเล่นกล ย่อมทำน้ำอันมิใช่แก้วมณีเลยให้เป็นแก้วมณี ย่อมแสดง

ก้อนดินอันมิใช่ทองคำเลยให้เป็นทองคำได้ ฉันใด อนึ่ง ตัวเอง (มหาภูตรูป)

มิใช่เป็นยักษ์ มิใช่เป็นปักษี (นก) ย่อมแสดงความเป็นยักษ์บ้าง เป็นปักษีบ้าง

ฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน คือตัวเอง (มหาภูตรูป) มิใช่เป็นสีเขียว

ก็แสดงอุปาทารูป (รูปอาศัย) ให้เป็นสีเขียว ตัวเองมิใช่เป็นสีเหลืองก็แสดง

อุปาทารูปให้เป็นสีเหลือง มิใช่เป็นสีแดง. . . มิใช่สีขาวก็แสดงอุปาทารูปให้

เป็นสีขาวได้ เพราะฉะนั้น รูปเหล่านั้น จึงชื่อว่า มหาภูตะ เพราะเป็น

เหมือนมหาภูต คือนักเล่นกล.

อนึ่ง มหาภูตคือยักษ์ผู้ชายเป็นต้นย่อมสิงวัตถุใด หรือสัตว์ใด ที่อัน

เป็นภายใน หรือภายนอกของวัตถุนั้น หรือของสัตว์นั้น ก็หามัน (คือมหาภูต

ตัวยักษ์ผู้ชายเป็นต้นนั้น) ไม่ได้ และมิใช่มันจะไม่แอบอิงวัตถุนั้นหรือสัตว์นั้น

อยู่ก็หาไม่ ข้อนี้ ฉันใด มหาภูตรูปแม้เหล่านี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน จะค้นหา

๑. อ. อฏฺกนิปาต เล่ม ๒๓. ๑๐๙/๒๐๒

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 184

ภายในหรือภายนอกของกันและกันก็หาไม่ได้ และมิใช่มหาภูตรูปเหล่านั้นจะไม่

อาศัยซึ่งกันและกันอยู่ก็หาไม่ เพราะฉะนั้น รูปเหล่านั้น จึงชื่อมหาภูตะเพราะ

เป็นเช่นกับมหาภูต* มียักษ์ผู้ชายเป็นต้น เพราะความเป็นฐานะที่ใคร ๆ ไม่พึงคิด.

อนึ่งมหาภูตคือนางยักษิณีปกปิดความที่มันเป็นปีศาจน่ากลัวจึงล่อลวง

สัตว์ทั้งหลายโดยให้สีสรรค์ทรวดทรงและการเยื้องกรายอันน่าชื่นใจ ฉันใด

มหาภูตะแม้เหล่านั้นก็ฉันนั้นเหมือนกัน ปกปิดลักษณะอันเป็นสภาวะของตนอัน

ต่างโดยความเป็นของแข็งเป็นต้น ของตนไว้โดยผิวพรรณอันน่าชื่นใจ ด้วย

ทรวดทรงแห่งอวัยวะน้อยใหญ่อันน่าชื่นใจ ด้วยการกรีดกรายมือ เท้า นิ้วมือ

และยักคิ้วอันน่าชื่นใจในร่างกายหญิงชายเป็นต้น ย่อมล่อลวงคนเขลา ย่อม

ไม่ให้เห็นสภาวะของตน เพราะฉะนั้น รูปจึงชื่อว่า มหาภูตะ เพราะมันเหมือน

มหาภูต (มหาปีศาจ) คือ นางยักษิณี เพราะทำความล่อลวง ด้วยประการฉะนี้.

คำว่า เพราะต้องบำรุงรักษามาก คือ เพราะต้องบริหารด้วย

ปัจจัยเป็นอันมาก จริงอยู่ รูปเหล่านี้ ชื่อว่า มหาภูตะ ด้วยอรรถว่าต้อง

ให้เป็นไปโดยการกินการอยู่และเครื่องนุ่งห่มเป็นอันมาก เพราะต้องน้อมเข้าไป

ทุก ๆ วัน อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า มหาภูตะ เพราะอรรถว่า เป็นสิ่งต้อง

บำรุงรักษามาก ดังนี้ก็มี.

คำว่า เพราะวิการใหญ่ ได้แก่ เพราะมหาภูตะทั้งหลายเปลี่ยนแปลง

ใหญ่ จริงอยู่ รูปเหล่านี้ เป็นรูปที่มีใจครองก็ดี เป็นรูปที่ไม่มีใจครองก็ดี

ย่อมเป็นของเปลี่ยนแปลงใหญ่ บรรดารูปทั้ง ๒ นั้น รูปที่ไม่มีใจครองย่อม

ปรากฏเป็นการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในคราวกัปพินาศ ส่วนรูปที่มีใจครองย่อม

ปรากฏเป็นการเปลี่ยนแปลงมากในเวลาธาตุกำเริบ.

จริงอย่างนั้น ตามที่ท่านกล่าวว่า

* มหาภูต หมายถึงภูตผีปีศาจที่ตัวใหญ่

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 185

ในคราวใด โลกจะพินาศด้วยไฟเผา-

ผลาญ ในคราวนั้น ไฟย่อมโพลงขึ้นตั้งแต่พื้น

ดินไปถึงพรหมโลก.

ในคราวใด โลกจะฉิบหายด้วยน้ำ

กำเริบในคราวนั้น แสนโกฏิจักรวาลย่อมละลาย

ไปเป็นอันเดียวกันด้วยน้ำกรด.

ในคราวใด โลกจะฉิบหายด้วยลม

กำเริบ ในคราวนั้น ลมย่อมยังแสนโกฏิจักรวาล

ให้กระจัดกระจายไปเป็นอันเดียวกัน.

กายใด ที่ถูกงูชื่อกัฏฐมุขะ (งูปากไม้)

ขบเอาแล้วย่อมแข็งกระด้าง ฉันใด กายนั้น

ย่อมเป็นดุจอยู่ในปากงูกัฏฐมุขะขบเอา เพราะ

ความที่ปฐวีธาตุเสียไปฉันนั้น กายใด ที่ถูกงู

ชื่อปูติมุขะ (งูปากเน่า) ขบเอาแล้ว ย่อมเน่า

ฉันใด กายนั้น ย่อมดุจอยู่ในปากงูปูติมุขะ

ขบเอา เพราะความที่อาโปธาตุเสียไปฉันนั้น

กายใด ที่ถูกงู ชื่ออัคคิมุขะ (งูปากไฟ)

ขบเอาแล้วย่อมเร่าร้อน ฉันใด กายนั้น ย่อม

เป็นดุจอยู่ในปากงูอัคคิมุขะขบเอา เพราะ

ความที่เตโชธาตุเสียไปฉันนั้น กายใด ที่ถูกงู

ชื่อสัตถมุขะ (งูปากศาสตรา) ขบเอาแล้ว

ย่อมขาดเป็นชิ้น ฉันใด กายนั้นย่อม

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 186

เป็นดุจอยู่ในปากงูสัตถมุขะขบเอา เพราะ

ความที่วาโยธาตุเสียไป ฉันนั้น.

รูปที่ชื่อว่า มหาภูตะ เพราะเป็นของวิการคือเปลี่ยนแปลงใหญ่ด้วย

ประการฉะนี้.

ข้อว่า เพราะเป็นของใหญ่ที่มีอยู่ จริงอยู่ รูปเหล่านั้น ชื่อว่า

เป็นของใหญ่ เพราะเป็นของที่ต้องประดับประคองด้วยความเพียรใหญ่ และที่

ชื่อว่า มีอยู่ เพราะเป็นของที่ปรากฏมีอยู่ เพราะฉะนั้น รูปจึงชื่อว่า มหาภูตะ

เพราะเป็นของใหญ่ที่มีอยู่. มหาภูตรูปเป็นรูปใหญ่ ด้วยเหตุเป็นของใหญ่เป็นต้น

ด้วยประการฉะนี้.

คำว่า จตุนฺน จ มหาภูตาน อุปาทาย รูป (และรูปที่อาศัย

มหาภูตรูป ๔) นี้เป็นสามีวิภัตติ ใช้ในอรรถทุติยาวิภัตติ (ให้แปลว่าอาศัยซึ่ง

มหาภูตรูป ๔) อธิบายว่า รูปอาศัยอิงอาศัยไม่ปล่อยมหาภูตทั้ง ๔ เป็นไป.

บทว่า อิท วุจฺจติ สพฺพ รูป (นี้เรียกว่ารูปทั้งหมด) ความว่า

รูปนี้มีประเภท ๒๗ คือ มหาภูตรูป ๔ อุปาทายรูป ๒๓ ตามที่ยกขึ้นแสดง

โดยลำดับแห่งบทนี้ ชื่อว่า รูปทั้งหมด.

อรรถกถาแสดงมาติการูปกัณฑ์

ว่าด้วยเอกมาติกา

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์จะแสดงรูปนั้นโดยพิสดาร เมื่อ

จะทรงตั้งมาติกาด้วยการสงเคราะห์รูป ๑๑ หมวด มีรูปหมวดหนึ่งเป็นต้น

จึงตรัสว่า สพฺพ รูป น เหตุ (รูปทั้งหมดมิใช่เหตุ) เป็นต้น.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 187

ในพระบาลีเหล่านั้น ก็บทว่า สพฺพ รูป นี้ บัณฑิตพึงประกอบ

กับบททั้งปวงอย่างนี้ว่า สพฺพ รูป น เหตุ สพฺพ รูป อเหตุก (รูป

ทั้งหมดไม่ใช่เหตุ รูปทั้งหมดไม่มีเหตุ) ดังนี้. บททั้งหมดที่ทรงตั้งไว้ ๔๓ บท

มีคำว่า น เหตุ (มิใช่เหตุ) เป็นต้น ทรงยกขึ้นแสดงแล้ว.

บรรดาบท ๔๓ เหล่านั้น บท ๔๐ โดยลำดับ ทรงถือเอาแต่มาติกา

ตั้งไว้ ๓ บทสุดท้ายนอกจากมาติกา เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบพระบาลี

ในสังคหะ (สงเคราะห์) ที่หนึ่งอย่างนี้ก่อน ในสังคหะที่ ๒ เป็นต้นก็เหมือน

อย่างนั้น.

ว่าด้วยทุกรูป คือ รูปหมวด ๒

บรรดาสังคหะเหล่านั้น มีนัยดังต่อไปนี้.

สังคหะที่ ๒ ก่อน รูปหมวด ๒ มี ๑๐๔ ทุกะ ในทุกะ ๑๐๔ เหล่านั้น

ทุกะ ๑๔ จนเบื้องต้น มีอาทิว่า อตฺถิ รูป อุปาทา อตฺถิ รูป โน อุปาทา

(รูปเป็นอุปาทาก็มี รูปเป็นอนุปาทาก็มีอยู่) ชื่อว่า ปกิณกทุกะ เพราะไม่มี

ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน.

ทุกะต่อจากนั้น ๒๕ ทุกะ มีคำอาทิว่า อตฺถิ รูป จกฺขุสมฺผสฺสสฺส

วตฺถุ (รูปเป็นที่อาศัยของจักขุสัมผัสก็มี) ชื่อว่า วัตถุทุกะ เพราะความ

เป็นไปด้วยอำนาจแห่งการพิจารณาวัตถุและอวัตถุ. ต่อจากนั้น ทุกะ ๒๕ มี

อาทิว่า อตฺถิ รูป จกฺขุสมฺผสฺสสฺส อารมฺมณ (รูปเป็นอารมณ์ของ

จักขุสัมผัสก็มี) ชื่อว่า อารัมมณทุกะ เพราะความเป็นไปด้วยอำนาจแห่งการ

พิจารณาถึงอารมณ์และอนารมณ์. ต่อจากนั้นทุกะ ๑๐ มีอาทิว่า อตฺถิ รูป

จกฺขายตน (รูปเป็นจักขายตนะก็มี) ชื่อว่า อายตนทุกะ เพราะความเป็นไป

ด้วยอำนาจแห่งความพิจารณาอายตนะและอนายตนะ ต่อจากนั้น ทุกะ ๑๐

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 188

มีอาทิว่า อตฺถิ รูป จกฺขุธาตุ (รูปเป็นจักขุธาตุมีอยู่) ชื่อว่า ธาตุทุกะ

เพราะความเป็นไปด้วยอำนาจความพิจารณาธาตุ และอธาตุ. ต่อจากนั้น ทุกะ

๘ มีคำอาทิว่า อตฺถิ รูป จกฺขุนฺทฺริย (รูปเป็นจักขุนทรีย์ก็มี) ชื่อว่า

อินทริยทุกะ เพราะความเป็นไปด้วยอำนาจความพิจารณาอินทรีย์และอนิน-

ทรีย์. ต่อจากนั้น ทุกะ ๑๒ มีอาทิว่า อตฺถิ รูป กายวิญฺตฺติ (รูปเป็น

กายวิญญัติมีอยู่) ชื่อว่า สุขุมรูปทุกะ เพราะความเป็นไปด้วยอำนาจการ

พิจารณาสุขุมรูป และอรูป ดังนี้

นี้เป็นการกำหนดพระบาลีในทุติยสังคหะ.

ว่าด้วยติกรูป คือ รูปหมวด ๓

ในสังคหะที่ ๓ มีจำนวน ๑๐๓ ติกะ ในบรรดาติกะเหล่านั้น ติกะ ๑๓

ที่ประกอบอัชฌัตติกทุกะ ๑ ในปกิณกทุกะ ๑๔ ตามที่กล่าวในทุติยสังคหะด้วย

ติกะ ๑๓ ที่เหลือแล้วตั้งไว้โดยนัยมีอาทิว่า ยนฺต รุป อชฺฌตฺติก ต อุปาทา

ยนฺต รูป พาหิร ต อตฺถิ อุปาทา อตฺถิ โน อุปาทา รูปภายในเป็นอุปาทา

รูปภายนอกที่เป็นอุปาทาก็มี ที่เป็นอนุปาทาก็มี ดังนี้ ชื่อว่า ปกิณกติกะ

จากนั้นก็ทรงประกอบทุกะนั้นนั่นแหละกับทุกะที่เหลือ แล้วทรงตั้งติกะที่เหลือ

โดยนัยมีอาทิว่า ยนฺต รูป พาหิร ต จกฺขุสมฺผสฺส น วตฺถุ ยนฺต รูป

อชฺฌตฺสติก ต อตฺถิ จกฺขุสมฺผสฺส วตฺถุ อตฺถิ จกฺขุสมฺผสฺสสฺส น

วตฺถุ (รูปภายนอกไม่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัส รูปภายในเป็นที่อาศัยเกิด

ของจักขุสัมผัสก็มี ไม่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัสก็มี) ดังนี้. พึงทราบชื่อ

และการนับแห่งติกะเหล่านั้นด้วยสามารถแห่งวัตถุทุกะเป็นต้นเหล่านั้นนั่นแหละ

นี้เป็นการกำหนดพระบาลีในสังคหะที่ ๓.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 189

ว่าด้วยรูปหมวด ๔ เป็นต้น

ในสังคหะที่ ๔ มี ๒๒ จตุกะ บรรดาจตุกะ ๒๒ เหล่านั้น จตุกะสุด

ท้ายมิได้ทรงถือเอามาติกาตามที่กล่าวไว้ในทุกะนี้ อย่างนี้ว่า " รูปเป็นอุปาทาก็มี

รูปไม่เป็นอุปาทาก็มี" ดังนี้ แล้วทรงตั้งไว้ แต่ทรงถือจตุกะนอกนี้ทรงตั้งไว้

เป็นอย่างไร ?

คือ ทุกะ ๓ ข้างต้นในปกิณกะทั้งหลายที่สงเคราะห์รูป ๒ อย่าง

เหล่าใด ในทุกะ ๓ เหล่านั้น ทรงถือเอาทีละทุกะประกอบกับทุกะละ ๕ ทุกะ

โดยนัยมีอาทิว่า ยนฺต รูป อุปาทา ต อตฺถิ อุปาทินฺน อตฺถิ อนุปาทินฺน

(รูปเป็นอุปาทา ที่เป็นอุปาทินนะก็มี ที่เป็นอนุปาทินนะก็มี) ดังนี้แล้วทรงตั้ง

จตุกะ ๑๕ ข้างต้นซึ่งมี ๓ ทุกะเป็นมูล.

บัดนี้ พึงทราบสนิทัสสนทุกะที่ ๔ นี้ใด เพราะสนิทัสสนทุกะนั้นไม่ถึง

การประกอบกับทุกะอื่น ๆ โดยนัยมีอาทิว่า " รูปเป็นสนิทัสสนะ (เห็นได้)

กระทบได้ก็มี กระทบไม่ได้ก็มี" ดังนี้ หรือว่ากับทุกะข้างต้นโดยนัยว่า " รูป

เป็นอุปาทาก็มี ไม่เป็นอุปาทาก็มี " เป็นต้น เพราะไม่มีอรรถะ เพราะไม่มี

ลำดับเป็นไป และเพราะไม่มีความแตกต่างกัน จริงอยู่ รูปที่ชื่อว่า สนิทัสสนะ

(เห็นได้) กระทบไม่ได้ หรือว่า เป็นอนุปาทา ย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น

รูปนั้นจึงไม่ถึงการประกอบ เพราะไม่มีอรรถะ แต่รูปที่เป็นอุปาทินนะ และ

อนุปาทินนะมีอยู่ เพราะฉะนั้น จึงไม่ถึงการประกอบ เพราะไม่มีลำดับเป็นไป

ด้วยว่า ทุกะทั้งหมดพระองค์ทรงประกอบกับทุกะหลัง ๆ เท่านั้น นี้เป็นลำดับ

ที่เป็นไปในอธิการนี้ แต่กับบทต้น ๆ ไม่มีลำดับเป็นไปดังนี้ หากมีผู้ท้วงว่า

เมื่อเป็นเช่นนั้น ความไม่มีลำดับเป็นไป ก็ไม่ใช่เหตุสำคัญ ฉะนั้น ควรประกอบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 190

กับบทที่เป็นอุปาทินนะเป็นต้น. ตอบว่า จะประกอบกับรูปนี้ไม่ได้ เพราะ

ไม่มีความต่างกันกับรูปที่เป็นบทอุปาทินนรูปเป็นต้น ในอธิการแห่งบทมีอุปา-

ทินนะเป็นต้น ประกอบเข้ากับบทสนิทัสสนทุกะนั้นแล้ว เมื่อกล่าวว่ารูปเป็น

อุปาทินนะ เป็นสนิทัสสนะ หรือรูปที่เป็นสนิทัสสนะเป็นอุปาทินนะ ดังนี้

ความแตกต่างกันก็ไม่มี จึงไม่ถึงการประกอบกัน เพราะไม่มีความแตกต่างกัน

ฉะนี้.

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตั้งจตุกะไว้ ๖ จตุกะประกอบ

ครั้งละ ๒ ทุกะซึ่งประกอบโดยนัยมีอาทิว่า ยนฺต รูป สปฺปฏิฆ ต อตฺถิ

อินฺทฺริย อตฺถิ น อินฺทฺริย ยนฺต รูป อปฺปฏิฆ ต อตฺถิ อินฺทริย

อตฺถิ น อินฺทฺริย (รูปกระทบได้ คือ สัปปฏิฆรูป) ที่เป็นอินทรีย์ก็มี ที่ไม่

เป็นอินทรีย์ก็มี รูปที่กระทบไม่ได้ (คืออัปปฏิฆรูป) ที่เป็นอินทรีย์ก็มี

ที่ไม่เป็นอินทรีย์ก็มี ดังนี้ กับ ๓ ทุกะมีอาทิว่า อตฺถิ รูป สปฺปฏิฆ

ดังนี้ อื่นจากนั้นไม่ถือเอาทุกะที่ ๔ นั้น.

ก็ทุกะที่ ๔ นี้ ไม่ถึงการประกอบ ฉันใด แม้ทุกะต้นก็ไม่ถึงการ

ประกอบกับทุกะที่ ๔ นั้น ฉันนั้น. เพราะเหตุไร ? เพราะความที่อนุปาทารูป

(คือรูปที่ไม่มีใจครอง) เป็นอนิทัสสนรูป (เห็นไม่ได้). จริงอยู่ ทุกะข้างต้น

เมื่อประกอบกับทุกะที่ ๔ อย่างนี้ว่า " รูปเป็นอนุปาทา เป็นสนิทัสสนะก็มี

เป็นอนิทัสสนะก็มี" ดังนี้ ย่อมไม่ถึงการประกอบได้. เพราะฉะนั้น จึงต้อง

เลยทุกะนั้นไปประกอบกับทุกะที่ ๕. ทุกะใดถึงการประกอบได้ ประกอบไม่ได้

กับด้วยการประกอบอย่างนี้ พึงทราบทุกะนั้น ดังนี้. นี้เป็นการกำหนดตาม

พระบาลีในสังคหะที่ ๔.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 191

ว่าด้วยสงเคราะห์รูปหมวด ๕

ก็เบื้องหน้าแต่นี้ สังคหะ (คือสงเคราะห์) ๗ อย่างมีการสงเคราะห์รูป

๕ อย่างเป็นต้น เป็นการสงเคราะห์ปะปนกันทั้งนั้น. พึงทราบการกำหนด

พระบาลีในมาติกาแม้ทั้งสิ้น ด้วยประการฉะนี้.

อุทเทสแห่งรูป จบ

รูปวิภัตติ

เอกกนิเทศ

[๕๑๔] รูปทั้งหมด ไม่ใช่เหตุทั้งนั้น ไม่มีเหตุทั้งนั้น วิปปยุตจาก

เหตุทั้งนั้น เป็นไปกับด้วยปัจจัยทั้งนั้น เป็นสังขตธรรมทั้งนั้น เป็นรูปธรรม

ทั้งนั้น เป็นโลกิยธรรมทั้งนั้น เป็นอารมณ์ของอาสวะทั้งนั้น เป็นอารมณ์ของ

สัญโญชน์ทั้งนั้น เป็นอารมณ์ของคันถะทั้งนั้น เป็นอารมณ์ของโอฆะทั้งนั้น

เป็นอารมณ์ของโยคะทั้งนั้น เป็นอารมณ์ของนิวรณ์ทั้งนั้น เป็นอารมณ์ของ

ปรามาสทั้งนั้น เป็นอารมณ์ของอุปาทานทั้งนั้น เป็นอารมณ์ของสังกิเลสทั้งนั้น

เป็นอัพยากตธรรมทั้งนั้น ไม่มีอารมณ์ทั้งนั้น ไม่ใช่เจตสิกทั้งนั้น วิปปยุต

จากจิตทั้งนั้น ไม่ใช่วิบาก และไม่ใช่เหตุแห่งวิบากทั้งนั้น ไม่เศร้าหมองแต่

เป็นอารมณ์ของสังกิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่ธรรมมีทั้งวิตกทั้งวิจารทั้งนั้น ไม่ใช่ธรรม

ไม่มีวิตกแต่มีวิจารทั้งนั้น ไม่มีทั้งวิตกทั้งวิจารทั้งนั้น ไม่ใช่ธรรมที่สหรคตด้วย

ปีติทั้งนั้น ไม่ใช่ธรรมที่สหรคตด้วยสุขทั้งนั้น ไม่ใช่ธรรมที่สหรคตด้วยอุเบกขา

ทั้งนั้น อันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ไม่ประหาณทั้งนั้น ไม่มี

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 192

สัมปยุตตเหตุ อันโสดาปัตติมรรคและมรรคเบื้องบน ๓ ประหาณทั้งนั้น ไม่

เป็นเหตุ ให้จุติปฏิสนธิและไม่เป็นเหตุ ให้ถึงนิพพานทั้งนั้น เป็นของเสกขบุคคล

และไม่เป็นของอเสกขบุคคลทั้งนั้น เป็นปริตตธรรมทั้งนั้น เป็นกามาวจร

ธรรมทั้งนั้น ไม่ใช่รูปาวจรธรรมทั้งนั้น ไม่ใช่อรูปาวจรธรรมทั้งนั้น เป็น

ปริยาปันนธรรมทั้งนั้น ไม่ใช่อปริยาปันนธรรมทั้งนั้น เป็นอนิยตธรรมทั้งนั้น

เป็นนิยยานิกธรรมทั้งนั้น เป็นปัจจุบันธรรมอันวิญญาณ ๖ พึงรู้ทั้งนั้น

ไม่เที่ยงทั้งนั้น อันชราครอบงำแล้วทั้งนั้น

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๑ อย่างนี้.

เอกกนิเทศ จบ

ทุกนิเทศ

อุปาทาภาชนีย์

[๕๑๕] รูปเป็นอุปาทา นั้นไฉน ?

จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ

รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์

ชีวิตินทรีย์ กายวิญญัติ วจีวิญญัติ อากาสธาตุ รูปลหุตา รูปมุทุตา รูปกัม-

มัญญตา รูปอุปจยะ รูปสันตติ รูปชรตา รูปอนิจจตา กพฬิงการาหาร.

[๕๑๖] รูปที่เรียกว่า จักขายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขุใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพเป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, สัตว์นี้เห็นแล้ว หรือเห็นอยู่ หรือจักเห็น หรือ

พึงเห็น ซึ่งรูปอันเป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้ ด้วยจักขุใดอันเป็นสิ่งที่เห็น

ไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า จักขุบ้าง จักขายตนะบ้าง จักขุธาตุบ้าง

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 193

จักขุนทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง

เนตรบ้าง นัยนะบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า จักขายตนะ.

รูปที่เรียกว่า จักขายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขุใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพเป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้. รูปอันเป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้ กระทบแล้ว

หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบ ที่จักขุใดอันเป็นสิ่งที่เห็น

ไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า จักขุบ้าง จักขายตนะบ้าง จักขุธาตุบ้าง

จักขุนทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง

วัตถุบ้าง เนตรบ้าง นัยนะบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า

จักขายตนะ

รูปที่เรียกว่า จักขายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขุใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพเป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, จักขุใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้

กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบที่รูปอันเป็นสิ่ง

ที่เห็นได้และกระทบได้, นี้เรียกว่า จักขุบ้าง จักขายตนะบ้าง จักขุธาตุบ้าง

จักขุนทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง

วัตถุบ้าง เนตรบ้าง นัยนะบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า

จักขายตนะ.

รูปที่เรียกว่า จักขายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขุใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพเป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, เพราะอาศัยจักขุใด จักขุสัมผัสปรารภรูปเกิดขึ้น

แล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะอาศัยจักขุใด

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 194

เวทนาอันเกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ จักขุวิญญาณ

ปรารภรูปเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ

เพราะอาศัยจักขุใด จักขุสัมผัส มีรูปเป็นอารมณ์เกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่

หรือจะเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะอาศัยจักขุใด เวทนาอันเกิดแต่

จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ จักขุวิญญาณมีรูปเป็นอา-

รมณ์เกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น, นี้เรียกว่า

จักขุบ้าง จักขายตนะบ้าง จักขุธาตุบ้าง จักขุนทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง

สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง เนตรบ้าง นัยนะบ้าง ฝั่งนี้บ้าง

บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า จักขายตนะ.

[๕๑๗] รูปที่เรียกว่า โสตายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

โสตใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพเป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, สัตว์นี้ฟังแล้ว หรือฟังอยู่ หรือจักฟัง หรือพึง

ฟัง ซึ่งเสียงอันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยโสตใด อันเป็นสิ่งที่เห็น

ไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า โสตบ้าง โสตายตนะบ้าง โสตธาตุบ้าง โส-

ตินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง

ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า โสตายตนะ.

รูปที่เรียกว่า โสตายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

โสตใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, เสียงอันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ กระทบ

แล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบ ที่โสตใด อันเป็นสิ่ง

ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า โสตบ้าง โสตายตนะบ้าง โสตธาตุบ้าง

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 195

โสตินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุ

บ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า โสตายตนะ.

รูปที่เรียกว่า โสตายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

โสตใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, โสตใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้

กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบที่เสียง อันเป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้. นี้เรียกว่า โสตบ้าง โสตายตนะบ้าง โสตธาตุ

บ้าง โสตินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง

วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า โสตายตนะ.

รูปที่เรียกว่า โสตายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

โสตใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, เพราะอาศัยโสตใด โสตสัมผัสปรารภเสียงเกิดขึ้น

แล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะอาศัยโสต-

ใด เวทนาอันเกิดแต่โสตสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ โสต-

วิญญาณปรารภเสียงเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิด

ขึ้น ฯลฯ เพราะอาศัยโสตใด โสตสัมผัส มีเสียงเป็นอารมณ์เกิดขึ้นแล้ว

หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะอาศัยโสตใด

เวทนาอันเกิดแต่โสตสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ โสตวิญญาณ

มีเสียงเป็นอารมณ์เกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น

นี้เรียกว่า โสตบ้าง โสตายตนะบ้าง โสตธาตุบ้าง โสตินทรีย์บ้าง โลกบ้าง

ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่าง

บ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า โสตายตนะ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 196

[๕๑๘] รูปที่เรียกว่า ฆานายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

ฆานะใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ

เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบใด, สัตว์นี้ ดมแล้ว หรือดมอยู่ หรือจักดม

หรือพึงดมซึ่งกลิ่น อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยฆานะใด อัน

เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า ฆานะบ้าง ฆานายตนะบ้าง ฆาน-

ธาตุบ้าง ฆานินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขต

บ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า ฆานายตนะ.

รูปที่เรียกว่า ฆานายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

ฆานะใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ

เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระกระทบได้, กลิ่นอันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้

กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบ ที่ฆานะใด

อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า ฆานะบ้าง ฆานายตนะบ้าง

ฆานธาตุบ้าง ฆานินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง

เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า ฆานายตนะ.

รูปที่เรียกว่า ฆานายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

ฆานะใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ

เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ฆานะใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบ

ได้ กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบ ที่กลิ่น

อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า ฆานะบ้าง ฆานายตนะบ้าง

ฆานธาตุบ้าง ฆานินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง

เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า ฆานายตนะ.

รูปที่เรียกว่า ฆานายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 197

ฆานะใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ

เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, เพราะอาศัยฆานะใด ฆานะสัมผัสปรารภ

กลิ่นเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะอาศัยฆานะใด

เวทนาอันเกิดแต่ฆานสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ ฆานวิญญาณ

ปรารภกลิ่นเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ

เพราะอาศัยฆานะใด ฆานสัมผัสมีกลิ่นเป็นอารมณ์เกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่

หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะอาศัยฆานะใด เวทนาอันเกิดแต่

ฆานสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ ฆานวิญญาณ มีกลิ่นเป็น

อารมณ์เกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น, นี้เรียก

ว่า ฆานะบ้าง ฆานายตนะบ้าง ฆานธาตุบ้าง ฆานินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวาร

บ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง

รูปทั้งนี้เรียกว่า ฆานายตนะ.

[๕๑๙] รูปที่เรียกว่า ชิวหายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

ชิวหาใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูบ ๔ นับเนื่องในอัตภาพ

เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ สัตว์นี้ ลิ้มแล้ว หรือลิ้มอยู่ หรือจักลิ้ม

หรือพึงลิ้มซึ่งรสอันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ด้วยชิวหาใด อันเป็นสิ่ง

ที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า ชิวหาบ้าง ชิวหายตนะบ้าง ชิวหาธาตุ

บ้าง ชิวหินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง

วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า ชิวหายตนะ.

รูปที่เรียกว่า ชิวหายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

ชิวหาใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ

เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, รสอันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ กระ-

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 198

ทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบ ที่ชิวหาใด อัน

เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า ชิวหาบ้าง ชิวหายตนะบ้าง ชิว-

หาธาตุบ้าง ชิวหินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง

เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า ชิวหายตนะ.

รูปที่เรียกว่า ชิวหายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

ชิวหาใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, ชิวหาใด เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้

กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบ ที่รสอันเป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า ชิวหาบ้าง ชิวหายตนะบ้าง ชิวหาธาตุ

บ้าง ชิวหินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง

วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า ชิวหายตนะ.

รูปที่เรียกว่า ชิวหายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

ชิวหาใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, เพราะอาศัยชิวหาใด ชิวหาสัมผัสปรารภรสเกิด

ขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะอาศัย

ชิวหาใด เวทนาอันเกิดแต่ชิวหาสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ

ชิวหาวิญญาณ ปรารภรสเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือ

พึงเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะอาศัยชิวหาใด ชิวหาสัมผัส มีรสเป็นอารมณ์เกิดขึ้น

แล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะอาศัยชิวหา

ใด เวทนาอันเกิดแต่ชิวหาสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ ชิวหา-

วิญญาณ มีรสเป็นอารมณ์ เกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น

หรือพึงเกิดขึ้น, นี้เรียกว่า ชิวหาบ้าง ชิวหายตนะบ้าง ชิวหาธาตุบ้าง

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 199

ชิวหินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง

วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า ชิวหายตนะ.

[๕๒๐] รูปที่เรียกว่า กายายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

กายใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ อัน

เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, สัตว์นี้ ถูกต้องแล้ว หรือถูกต้องอยู่ หรือ

จักถูกต้อง หรือพึงถูกต้องซึ่งโผฏฐัพพะ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้

ด้วยกายใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า กายบ้าง กายายตนะ.

บ้าง กายธาตุบ้าง กายินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระ

บ้าง เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า กายายตนะ.

รูปที่เรียกว่า กายายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

กายใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, โผฏฐัพพะ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้

กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบ ที่กายใด

อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า กายบ้าง กายายตนะบ้าง

กายธาตุบ้าง กายินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง

เขตบ้าง วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า กายายตนะ

รูปที่เรียกว่า กายายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

กายใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ เป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, กายใด เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ กระทบ

แล้ว. หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบ ที่โผฏฐัพพะ อันเป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า กายบ้าง กายายตนะบ้าง กายธาตุบ้าง

กายินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง

วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า กายายตนะ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 200

รูปที่เรียกว่า กายายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

กายใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ นับเนื่องในอัตภาพ อัน

เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, เพราะอาศัยกายใด กายสัมผัส ปรารภ

โผฏฐัพพะ เกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ

เพราะอาศัยกายใด เวทนาอันเกิดแต่กายสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา

ฯลฯ กายวิญญาณ ปรารภโผฏฐัพพะ เกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจัก

เกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะอาศัยกายใด กายสัมผัส มีโผฏฐัพพะ

เป็นอารมณ์ เกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ

เพราะอาศัยกายใด เวทนาอันเกิดแต่กายสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ

กายวิญญาณ มีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ เกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจัก

เกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น, นี้เรียกว่า กายบ้าง กายายตนะบ้าง กายธาตุบ้าง

กายินทรีย์บ้าง โลกบ้าง ทวารบ้าง สมุทรบ้าง ปัณฑระบ้าง เขตบ้าง

วัตถุบ้าง ฝั่งนี้บ้าง บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า กายายตนะ.

[๕๒๑] รูปที่เรียกว่า รูปายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้

ได้แก่ สีเขียวคราม สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำ สีหงสบาท สีคล้ำ สีเขียว

ใบไม้ สีม่วง ยาว สั้น ละเอียด หยาบ กลม รี สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม

แปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม ลุ่ม ดอน เงา แดด แสงสว่าง มืด เมฆ

หมอก ควัน ละออง แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงดาว แสงกระจก แสง

แก้วมณี แสงสังข์ แสงมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์ แสงทอง แสงเงิน หรือรูป

แม้อื่นใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้ มีอยู่,

สัตว์นี้ เห็นแล้ว หรือเห็นอยู่ หรือจักเห็น หรือพึงเห็น ซึ่งรูปใด อันเป็น

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 201

สิ่งที่เห็นได้แล้วกระทบได้ด้วยจักขุ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้

เรียกว่า รูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปายตนะ.

รูปที่เรียก รูปายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้

ได้แก่ สีเขียวคราม สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำ สีหงสบาท สีคล้ำ สีเขียว

ใบไม้ สีม่วง ยาว สั้น ละเอียด หยาบ กลม รี สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม

แปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม ลุ่ม ดอน เงา แดด แสงสว่าง มืด เมฆ

หมอก ควัน ละออง แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงดาว แสงกระจก แสง

แก้วมณี แสงสังข์ แสงมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์ แสงทอง แสงเงิน หรือ

รูปแม้อื่นใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้ มีอยู่,

จักขุอันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือ

จักกระทบ หรือพึงกระทบ ที่รูปใด อันเป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้,

นี้เรียกว่า รูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปายตนะ.

รูปที่เรียกว่า รูปายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้

ได้แก่ สีเขียวคราม สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำ สีหงสบาท สีคล้ำ สีเขียว

ใบไม้ สีม่วง ยาว สั้น ละเอียด หยาบ กลม รี สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม

แปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม ลุ่ม ดอน เงา แดด แสงสว่าง มืด เมฆ

หมอก ควัน ละออง แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงดาว แสงกระจก แสง

แก้วมณี แสงสังข์ แสงมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์ แสงทอง แสงเงิน หรือ

รูปแม้อื่นใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้ มีอยู่,

รูปใด อันเป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้ กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 202

จักกระทบ หรือพึงกระทบ ที่จักขุ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้

นี้เรียกว่า รูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปายตนะ.

รูปที่เรียกว่า รูปายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้

ได้แก่ สีเขียวคราม สีเหลือง สีแดง สีขาว สีดำ สีหงสบาท สีคล้ำ สีเขียว

ใบไม้ สีม่วง ยาว สั้น ละเอียด หยาบ กลม รี สี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม

แปดเหลี่ยม สิบหกเหลี่ยม ลุ่ม ดอน เงา แดด แลงสว่าง มืด เมฆ

หมอก ควัน ละออง แสงจันทร์ แสงอาทิตย์ แสงดาว แสงกระจก

แสงแก้วมณี แสงสังข์ แสงมุกดา แสงแก้วไพฑูรย์ แสงทอง แสงเงิน

หรือรูปแม้อื่นใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นได้และกระทบได้

มีอยู่, เพราะปรารภรูปใด จักขุสัมผัสอาศัยจักขุ เกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่

หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะปรารภรูปใด เวทนาอันเกิดแก่

จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ จักขุวิญญาณอาศัยจักขุเกิดขึ้นแล้ว

หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ จักขุสัมผัส มีรูปใด

เป็นอารมณ์ อาศัยจักขุเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึง

เกิดขึ้น ฯลฯ เวทนาอันเกิดแต่จักขุสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ

จักขุวิญญาณ มีรูปใดเป็นอารมณ์ อาศัยจักขุเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่

หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น, รูปนี้เรียกว่า รูปบ้าง รูปายตนะบ้าง รูปธาตุ

บ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปายตนะ.

[๕๒๒] รูปที่เรียกว่า สัททายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

เสียงใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ได้แก่

เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงสังข์ เสียงบัณเฑาะว์ เสียงขับร้อง เสียง

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 203

ประโคม เสียงกรับ เสียงปรบมือ เสียงร้องของสัตว์ เพียงกระทบกันของธาตุ

เสียงลม เสียงน้ำ เสียงมนุษย์ เสียงอมนุษย์ หรือเสียงแม้อื่นใดที่อาศัย

มหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ มีอยู่, สัตว์นี้ ฟังแล้ว หรือ

ฟังอยู่ หรือจักฟัง หรือพึงฟัง ซึ่งเสียงใดอันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้

ด้วยโสตอันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า สัททะบ้าง สัททายตนะ

บ้าง สัททธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า สัททายตนะ.

รูปที่เรียกว่า สัททายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

เสียงใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ได้แก่

เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงสังข์ เสียงบัณเฑาะว์ เสียงขับร้อง เสียง

ประโคม เสียงกรับ เสียงปรบมือ เสียงร้องของสัตว์ เสียงกระทบกันของธาตุ

เสียงลม เสียงน้ำ เสียงมนุษย์ เสียงอมนุษย์ หรือเสียงแม้อื่นใด ซึ่งอาศัย

มหาภูตรูป ๔ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ มีอยู่, โสตอันเป็นสิ่งที่เห็น

ไม่ได้แต่กระทบได้ กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึง

กระทบที่เสียงใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า สัททะบ้าง

สัททายตนะบ้าง สัททธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า สัททายตนะ.

รูปที่เรียกว่า สัททายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

เสียงใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ได้แก่

เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงสังข์ เสียงบัณเฑาะว์ เสียงขับร้อง เสียง

ประโคม เสียงกรับ เสียงปรบมือ เสียงร้องของสัตว์ เสียงกระทบกันของธาตุ

เสียงลม เสียงน้ำ เสียงมนุษย์ เสียงอมนุษย์ หรือเสียงแม้อื่นใด ซึ่งอาศัย

มหาภูตรูป ๔ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ มีอยู่, เสียงใด อันเป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 204

หรือพึงกระทบ ที่โสตอันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า สัททะ-

บ้าง สัททายตนะบ้าง สัททธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า สัททายตนะ.

รูปที่เรียกว่า สัททายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

เสียงใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ได้แก่

เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงสังข์ เสียงบัณเฑาะว์ เสียงขับร้อง เสียง

ประโคม เสียงกรับ เสียงปรบมือ เสียงร้องของสัตว์ เสียงกระทบกันของธาตุ

เสียงลม เสียงน้ำ เสียงมนุษย์ เสียงอมนุษย์ หรือเสียงแม้อื่นใด ซึ่งอาศัย

มหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ มีอยู่, เพราะปรารภเสียงใด

โสตสัมผัส อาศัยโสตเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึง

เกิดขึ้น ฯลฯ เพราะปรารภเสียงใด เวทนาอันเกิดแต่โสตสัมผัส ฯลฯ สัญญา

ฯลฯ เจตนา ฯลฯ โสตวิญญาณ อาศัยโสตเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่

หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ โสตสัมผัส มีเสียงใดเป็นอารมณ์ อาศัย

โสตเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ เวทนา

อันเกิดแต่โสตสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ โสตวิญญาณ มีเสียง

ใดเป็นอารมณ์ อาศัยโสตเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึง

เกิดขึ้น, นี้เรียกว่า สัททะบ้าง สัททายตนะบ้าง สัททธาตุบ้าง รูปทั้งนี้

เรียกว่า สัททายตนะ.

[๕๒๓] รูปที่เรียกว่า คันธายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

กลิ่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ได้แก่

กลิ่นรากไม้ กลิ่นแก่นไม้ กลิ่นเปลือกไม้ กลิ่นใบไม้ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้

กลิ่นบูด กลิ่นเน่า กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น หรือกลิ่นแม้อื่นใด ซึ่งอาศัย

มหาภูตรูป ๔ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ มีอยู่, สัตว์นี้ ดมแล้ว

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 205

หรือดมอยู่ หรือจักดม หรือพึงดม ซึ่งกลิ่นใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่

กระทบได้ ด้วยฆานะ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า คันธะ

บ้าง คันธายตนะบ้าง คันธธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า คันธายตนะ.

รูปที่เรียกว่า คันธายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

กลิ่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ได้แก่

กลิ่นรากไม้ กลิ่นแก่นไม้ กลิ่นเปลือกไม้ กลิ่นใบไม้ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้

กลิ่นบูด กลิ่นเน่า กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น หรือกลิ่นแม้อื่นใด ซึ่งอาศัย

มหาภูตรูป ๔ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, มีอยู่, ฆานะอันเป็นสิ่งที่

เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือ

พึงกระทบที่กลิ่นใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า คันธะบ้าง

คันธายตนะบ้าง คันธธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า คันธายตนะ.

รูปที่เรียกว่า คันธายตนะ นั้นเป็นไฉน ?

กลิ่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ได้แก่

กลิ่นรากไม้ กลิ่นแก่นไม้ กลิ่นเปลือกไม้ กลิ่นใบไม้ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้

กลิ่นบูด กลิ่นเน่า กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น หรือกลิ่นแม้อื่นใด ซึ่งอาศัยมหา-

ภูตรูป ๔ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ กระทบได้ มีอยู่, กลิ่นใดอันเป็นสิ่งที่เห็น

ไม่ได้แต่กระทบได้ กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึง

กระทบทีฆานะ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า คันธะบ้าง

คันธายตนะบ้าง คันธธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า คันธายตนะ.

รูปที่เรียกว่า คันธายตนะ นั้นเป็นไฉน ?

กลิ่นใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ได้แก่

กลิ่นรากไม้ กลิ่นแก่นไม้ กลิ่นเปลือกไม้ กลิ่นใบไม้ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นผลไม้

กลิ่นบูด กลิ่นเน่า กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น หรือกลิ่นแม้อื่นใด ซึ่งอาศัยมหา-

ภูตรูป ๔ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ มีอยู่ เพราะปรารภกลิ่นใด

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 206

ฆานสัมผัส อาศัยฆานะเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึง

เกิดขึ้น ฯลฯ เพราะปรารภกลิ่นใด เวทนาอันเกิดแต่ฆานสัมผัส ฯลฯ สัญญา

ฯลฯ เจตนา ฯลฯ ฆานวิญญาณ อาศัยฆานะเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่

หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ ฆานสัมผัส มีกลิ่นใดเป็นอารมณ์ อาศัย

ฆานะเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ

เวทนาอันเกิดแต่ฆานสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ ฆานวิญญาณ

มีกลิ่นใดเป็นอารมณ์ อาศัยฆานะเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น

หรือพึงเกิดขึ้น นี้เรียกว่า คันธะบ้าง คันธายตนะบ้าง คันธธาตุบ้าง รูป

ทั้งนี้เรียกว่า คันธายตนะ.

[๕๒๔] รูปนี้เรียกว่า รสายตนะ นั้นเป็นไฉน ?

รสใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ได้แก่

รสรากไม้ รสลำต้น รสเปลือกไม้ รสใบไม้ รสดอกไม้ รสผลไม้ เปรี้ยว

หวาน ขม เผ็ด เค็ม ขื่น เฝื่อน ฝาด อร่อย ไม่อร่อย หรือรสแม้อื่นใด

ซึ่งอาศัยมหาภูตรูป ๔ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ มีอยู่ สัตว์นี้ ลิ้ม

แล้วหรือลิ้มอยู่ หรือจักลิ้ม หรือพึงลิ้มซึ่งรสใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่

กระทบได้ ด้วยชิวหาอันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า รสบ้าง

รสายตนะบ้าง รสธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รสายตนะ.

รูปที่เรียกว่า รสายตนะ นั้นเป็นไฉน ?

รสใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้ ได้แก่

รสรากไม้ รสลำต้น รสเปลือกไม้ รสใบไม้ รสดอกไม้ รสผลไม้ เปรี้ยว

หวาน ขม เผ็ด เค็ม ขื่น เฝื่อน ฝาด อร่อย ไม่อร่อย หรือรสแม้อื่นใด

ซึ่งอาศัยมหาภูตรูป ๔ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ มีอยู่ ชิวหาอันเป็น

สิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 207

หรือพึงกระทบ ที่รสใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า รสบ้าง

รสายตนะบ้าง รสธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รสายตนะ.

เรียกว่า รสายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

รสใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ได้แก่

รสรากไม้ รสลำต้น รสเปลือกไม้ รสใบไม้ รสดอกไม้ รสผลไม้ เปรี้ยว

หวาน ขม เผ็ด เค็ม ขื่น เฝื่อน ฝาด อร่อย ไม่อร่อย หรือรสแม้อื่นใด

ซึ่งอาศัยมหาภูตรูป ๔ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ มีอยู่, รสใด อัน

เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ

หรือพึงกระทบ ที่ชิวหาอันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า รสบ้าง

รสายตนะบ้าง รสธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รสายตนะ.

รูปที่เรียกว่า รสายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

รสใด อาศัยมหาภูตรูป เป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้ ได้แก่

รสรากไม้ รสลำต้น รสเปลือกไม้ รสใบไม้ รสดอกไม้ รสผลไม้ เปรี้ยว

หวาน ขม เผ็ด เค็ม ขื่น เฝื่อน ฝาด อร่อย ไม่อร่อย หรือรสแม้อื่นใด

ซึ่งอาศัยมหาภูตรูป ๔ อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ มีอยู่, เพราะ

ปรารภรสใด ชิวหาสัมผัส อาศัยชิวหาเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจัก

เกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ เพราะปรารภรสใด เวทนาอันเกิดแต่ชิวหา

สัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ ชิวหาวิญญาณ อาศัยชิวหาเกิดขึ้นแล้ว

หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ ชิวหาสัมผัส มีรสใด

เป็นอารมณ์ อาศัยชิวหาใดเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือ

พึงเกิดขึ้น ฯลฯ เวทนา อันเกิดแต่ชิวหาสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ

ชิวหาวิญญาณ มีรสใดเป็นอารมณ์ อาศัยชิวหาเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่

หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น, นี้เรียกว่า รสบ้าง รสายตนะบ้าง รสธาตุ

บ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รสายตนะ.

[๕๒๕] รูปที่เรียกว่า อิตถินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 208

ทรวดทรงหญิง เครื่องหมายรู้ว่าหญิง กิริยาหญิง อาการหญิง สภาพ

หญิง ภาวะหญิง ของหญิง ปรากฏได้ด้วยเหตุใด รูปทั้งนี้เรียกว่า อิตถินทรีย์.

[๕๒๖] รูปที่เรียกว่า ปุริสินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

ทรวดทรงชาย เครื่องหมายรู้ว่าชาย กิริยาชาย อาการชาย สภาพชาย

ภาวะชาย ของชาย ปรากฏได้ด้วยเหตุใด รูปทั้งนี้เรียกว่า ปุริสินทรีย์.

[๕๒๗] รูปที่เรียกว่า ชีวิตินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

อายุ ความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ กิริยาที่เป็นไปอยู่ อาการที่

สืบเนื่องกันอยู่ ความประพฤติเป็นไปอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่ ชีวิต อินทรีย์

คือชีวิต ของรูปธรรมนั้น ๆ อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า ชีวิตินทรีย์.

[๕๒๘] รูปที่เรียกว่า กายวิญญัติ นั้น เป็นไฉน ?

ความเคร่งตึง กิริยาที่เคร่งตึงด้วยดี ความเคร่งตึงด้วยดี การแสดง

ให้รู้ความหมาย กิริยาที่แสดงให้รู้ความหมาย ความแสดงให้รู้ความหมาย

แห่งกายของบุคคลผู้มีจิตเป็นกุศล หรือมีจิตเป็นอกุศล หรือมีจิตเป็นอัพยากฤต

ก้าวไปอยู่ ถอยกลับอยู่ แลดูอยู่ เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ คู้เข้าอยู่ หรือเหยียด

ออกอยู่ อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า กายวิญญัติ.

[๕๒๙] รูปที่เรียกว่า วจีวิญญัติ นั้น เป็นไฉน ?

การพูด การเปล่งวาจา การเจรจา การกล่าว การป่าวร้อง การ

โฆษณา วาจา วจีเภท แห่งบุคคลผู้มีจิตเป็นกุศล หรือมีจิตเป็นอกุศล หรือมี

จิตเป็นอัพยากฤต อันใด นี้เรียกว่า วาจา. การแสดงให้รู้ความหมาย กิริยา

ที่แสดงให้รู้ความหมาย ความแสดงให้รู้ความหมาย ด้วยวาจานั้น อันใด รูป

ทั้งนี้เรียกว่า วจีวิญญัติ.

[๕๓๐] รูปที่เรียกว่า อากาสธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับว่า

ความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง อันมหาภูตรูป ๔ ไม่ถูก

ต้องแล้ว อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า อากาสาธาตุ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 209

[๕๓๑] รูปที่เรียกว่า รูปลหุตา นั้น เป็นไฉน ?

ความเบา ความรวดเร็ว ความไม่เชื่องช้า ความไม่หนัก แห่งรูป

อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปลหุตา.

[๕๓๒] รูปที่เรียกว่า รูปมุทุตา นั้น เป็นไฉน ?

ความอ่อน ภาวะที่อ่อน ความไม่แข็ง ความไม่กระด้าง แห่งรูป

อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปมุทุตา.

[๕๓๓] รูปที่เรียกว่า รูปกัมมัญญตา นั้น เป็นไฉน ?

กิริยาที่ควรแก่การงาน ความควรแก่การงาน ภาวะที่ควรแก่การงาน

แห่งรูปอันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปกัมมัญญตา.

[๕๓๔] รูปที่เรียกว่า รูปอุปจยะ นั้น เป็นไฉน ?

ความสั่งสมแห่งอายตนะทั้งหลาย อันใด อันนั้นเป็นความเกิดแห่งรูป

รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปอุปจยะ.

[๕๓๕] รูปที่เรียกว่า รูปสันตติ นั้น เป็นไฉน ?

ความเกิดแห่งรูป อันใด อันนั้น เป็นความสืบต่อแห่งรูป รูปทั้งนี้

เรียกว่า รูปสันตติ.

[๕๓๖] รูปที่เรียกว่า รูปชรตา นั้น เป็นไฉน ?

ความชรา ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความ

มีหนังเหี่ยว ควานเสื่อมอายุ ความหง่อมแห่งอินทรีย์ แห่งรูป อันใด รูป

ทั้งนี้เรียกว่า รูปชรตา.

[๕๓๗] รูปที่เรียกว่า รูปอนิจจตา นั้น เป็นไฉน ?

ความสิ้นไป ความเสื่อมไป ความแตก ความทำลาย ความไม่เที่ยง

ความอันตรธาน แห่งรูป อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปอนิจจตา.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 210

[๕๓๘] รูปที่เรียกว่า กพฬิงการาหาร นั้น เป็นไฉน ?

ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม เนยใส

เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ อันเป็นของใส่ปาก

ขบเคี้ยว กลืนกิน อิ่มท้อง ของสัตว์นั้น ๆ ในชนบทใด ๆ สัตว์ทั้งหลายเลี้ยง

ชีวิตด้วยโอชาอันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า กพฬิงการาหาร.

รูปทั้งนี้ เรียกว่า รูปเป็นอุปาทา.

อุปาทาชนีย์ จบ

ปฐมภาณวาร ในรูปกัณฑ์ จบ

อรรถกถาแสดงรูปวิภัตติ

ว่าด้วยเอกกนิทเทส

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์จะจำแนกเนื้อความแห่งรูป-

วิภัตติ (มาติกา) นั้น จึงเริ่มตรัสคำมีอาทิว่า สพฺพ รูป น เหตุเมว (รูป

ทั้งหมดไม่ใช่เหตุทั้งนั้น) ดังนี้.

ถามว่า ก็ในเอกกนิทเทสนี้ เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมิได้

กระทำคำถามว่า รูปทั้งหมดนั้นมิใช่เหตุเป็นไฉน ดังนี้เล่า.

ตอบว่า เพราะไม่มีความแตกต่างกัน.

จริงอยู่ ในเอกกนิทเทสนี้ ในข้อที่แตกต่างกันอย่างนี้ว่า รูปทั้งหมด

มิใช่เหตุบ้าง มิใช่เป็นเหตุบ้าง เหมือนในรูปทุกะเป็นต้น ซึ่งเป็นอุปาทารูป

บ้าง เป็นอนุปาทารูปบ้าง เพราะฉะนั้น พระองค์จึงมิได้ทรงจำแนกคำถามไว้

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 211

บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า สพฺพ (ทั้งหมด) ได้แก่ทั้งสิ้น คือไม่มีเหลือ.

คำว่า รูป (รูป) ทรงขยายความถึงสามัญลักษณะอันแสดงถึงความ

ที่รูปต้องแปรผันไปด้วยวิโรธิปัจจัย (ปัจจัยที่เป็นข้าศึกกัน) มีความเย็นเป็นต้น.

คำว่า น เหตุเมว (ไม่ใช่เหตุทั้งนั้น) นี้ ทรงขยายความถึงการ

ปฏิเสธเหตุทั่วไป. ในข้อว่ารูปไม่ใช่เหตุนั้น เหตุมี ๔ อย่าง คือ

เหตุเหตุ คือเหตุที่เป็นมูล

ปัจจยเหตุ คือเหตุที่เป็นปัจจัย

อุตตมเหตุ คือเหตุที่เป็นประธาน

สาธารณเหตุ คือเหตุทั่วไปแก่สรรพสัตว์.

บรรดาเหตุทั้ง ๔ เหล่านั้น เหตุนี้คือ กุศลเหตุ ๓ (อโลภะ อโทสะ

อโมหะ) อกุศลเหตุ ๓ และอัพยากฤตเหตุ ๓ ชื่อว่า เหตุเหตุ. เหตุที่

ตรัสไว้ในบาลีว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาภูตรูป เหล่านี้เป็นเหตุ มหาภูต

รูป เหล่านั้นเป็นปัจจัยเพื่อการบัญญัติรูปขันธ์นี้ ชื่อว่า ปัจจยเหตุ. เหตุที่

ตรัสไว้ว่า กุศลธรรมและอกุศลธรรมเป็นเหตุสูงสุด ในฐานะแห่งการให้ผล

ของตน อิฏฐารมณ์เป็นเหตุสูงสุดในฐานะแห่งกุศลวิบาก อนิฏฐารมณ์เป็น

เหตุสูงสุดในฐานะแห่งอกุศลวิบาก ดังนี้ เหมือนที่ตรัสว่า ตถาคตย่อมรู้ชัด

ตามความเป็นจริงซึ่งผลแห่งกรรมสมาทาน อันเป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน

โดยฐานะ โดยเหตุ ดังนี้ ชื่อว่า อุตตมเหตุ. เหตุที่ตรัสไว้ว่า ข้อที่อวิชชานี้

เท่านั้นเป็นเหตุ อวิชชานี้เป็นปัจจัยแก่สังขารทั้งหลาย อวิชชาเป็นเหตุทั่วไป

แม้แก่สังขารทั้งหลาย ย่อมแผ่ไปสู่ความเป็นปัจจัย ดังนี้ เหมือนที่ตรัสว่า

ปฐวีรส อาโปรส เป็นปัจจัยแก่มธุรสบ้าง แก่อมธุรสบ้าง ฉันใด อวิชชาก็

เป็นสาธารณปัจจัยแก่สังขารที่เป็นกุศลบ้าง ที่เป็นอกุศลบ้าง ฉันนั้น ชื่อว่า

สาธารณเหตุ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 212

ก็ ในที่นี้ทรงประสงค์เอาเหตุเหตุ (คือเหตุที่เป็นมูล) พระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าเมื่อทรงกำหนดปฏิเสธถึงความที่รูปเป็นเหตุอันมาแล้วในมาติกาว่า เหตู

ธมฺมา น เหตู ธมฺมา ด้วยประการฉะนี้ จึงตรัสว่า รูปทั้งหมดมิใช่เหตุ

ดังนี้ บัณฑิตพึงทราบการขยายความถึงการปฏิเสธ และการไม่ปฏิเสธในบท

ทั้งหมดโดยนัยนี้ ส่วนวจนัตถะคือคำจำกัดความแห่งบททั้งปวง ข้าพเจ้ากล่าว

ไว้ในการพรรณนาบทมาติกาแล้วนั่นแหละ.

ก็ในคำว่า สปฺปจฺจยเมว (เป็นไปกับด้วยปัจจัยทั้งนั้น) นี้ ได้แก่

มีกรรมเป็นสมุฏฐาน มีกรรมเป็นปัจจัยเหมือนกัน พึงทราบเนื้อความแห่งรูป

นั่นแหละ ด้วยอำนาจปัจจัย ๔ ตามที่กล่าวไว้อย่างนี้ว่า รูปที่มีอาหารเป็น

สมุฏฐานเป็นต้น มีอาหารเป็นต้น เป็นปัจจัยทั้งนั้น.

คำว่า รูปเมว (เป็นรูปธรรมทั้งนั้น) ได้แก่ ทรงปฏิเสธรูปธรรม

ว่าเป็นอรูปตามที่ตรัสไว้ในมาติกาว่า รูปิโน ธมฺมา อรูปิโน ธมฺมา (ธรรม

ที่เป็นรูป ธรรมที่ไม่ใช่รูป) ดังนี้.

ในคำว่า อุปฺปนฺน ฉหิ วิญฺาเณหิ (เป็นปัจจุบันธรรมอัน

วิญญาณ ๖ พึงรู้) คือ รูปนั้นแหละเกิดขึ้นเฉพาะหน้าอันวิญญาณ ๖ มีจักขุวิญ-

ญาณเป็นต้น พึงรู้ได้ แต่การกำหนดท่านสงเคราะห์หมายเอาจักขุวิญญาณเป็นต้น

จริงอยู่ จักขุวิญญาณเป็นต้นนั้น ย่อมไม่รู้อดีตและอนาคต ส่วนมโนวิญญาณ

ย่อมรู้อดีตบ้าง อนาคตบ้าง. มโนวิญญาณนั้นเป็นไปแล้ว ก็ชื่อว่าตกไปแล้ว

ในกระแสเหมือนกัน เพราะตกไปในกระแสแห่งวิญญาณ ๕.

อนึ่ง รูปธรรมทั้งหมดนั้น ชื่อว่า ไม่เที่ยง ทั้งนั้น ด้วยอรรถว่า

มีแล้วกลับไม่มี ชื่อว่า อันชราครอบงำแล้วทั้งนั้น เพราะเป็นธรรมอันชรา

พึงครอบงำได้. อีกอย่างหนึ่ง เพราะชราย่อมปรากฏในรูปกาย ฉะนั้นจึงตรัส

ว่า เป็นธรรมชาติอันชราต้องครอบงำโดยแท้ ดังนี้บ้าง.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 213

ว่าด้วยวิธศัพท์

วิธศัพท์ในพระบาลีว่า เอว เอกวิเธน รูปสงฺคโห (สงเคราะห์

รูปเป็นหมวดหนึ่งอย่างนี้) นี้ใช้ในความหมายถึง มานะ สัณฐาน และ

โกฏฐาส.

จริงอยู่ มานะ ชื่อว่า วิธา ดังในประโยคมีอาทิว่า เสยฺโยหมสฺมีติ

วิธา สทิโสหมสฺมีติ วิธา มานะว่า เราดีกว่าเขา มานะว่า เราเสมอ

เขา ดังนี้. สัณฐาน ชื่อว่า วิธา ดังในประโยคมีอาทิว่า กถ วิธ สีลวนฺต

วทนฺติ กถ วิธ ปญฺวนฺต วทนฺติ (บัณฑิตทั้งหลายเรียกคนมีสัณฐาน

อย่างไรว่า มีศีล เรียกคนมีสัณฐานอย่างไรว่า มีปัญญา) เพราะบทว่า กถ

วิธ มีเนื้อความเหมือนบทว่า กถ สณฺิต. โกฏาส ชื่อว่า วิธา ดุจ

ในประโยคมีอาทิว่า เอกวิเธน าณวตฺถุ ทุวิเธน าณวตฺถุ ญาณวัตถุ

หมวด ๑ ญาณวัตถุหมวด ๒. แม้ในอธิการนี้ก็ทรงประสงค์เอาโกฏฐาส.

ว่าด้วยสังคหศัพท์

แม้ใน สังคหสงเคราะห์ศัพท์ ก็มี ๔ อย่าง ด้วยสามารถแห่ง ชาติ

สงเคราะห์ สัญชาติสงเคราะห์ กิริยาสงเคราะห์ และคณนสงเคราะห์.

ในสังคหะทั้ง ๔ เหล่านั้น สังคหะ คือการสงเคราะห์ นี้ว่า ขอกษัตริย์

ทั้งปวงจงมา ขอพราหมณ์ทั้งปวงจงมา ขอแพทย์ทั้งปวงจงมา ขอศูทรทั้งปวง

จงมา และคำว่า ดูก่อนท่านวิสาขะ ธรรมเหล่านี้คือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ

สัมมาอาชีวะ สงเคราะห์ลงในศีลขันธ์ ดังนี้ ชื่อว่า ชาติสงเคราะห์.

สังคหะ คือการสงเคราะห์นี้ว่า จริงอยู่ ในการสงเคราะห์นี้ ทั้งหมด

ถึงการสงเคราะห์เป็นพวกเดียวกัน ดุจในคำที่กล่าวว่า ผู้มีชาติเดียวกันจงมา

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 214

พวกชาวโกศลทั้งหมดจงมา พวกชาวมคธทั้งหมดจงมา พวกช่างไม้ทั้งหมด

จงมา และคำว่า ดูก่อนท่านวิสาขะ ธรรมเหล่านี้คือ สัมมาวายามะ สัมมาสติ

สัมมาสมาธิ สงเคราะห์ลงในสมาธิขันธ์ ดังนี้ ชื่อว่า สัญชาติสงเคราะห์.

สังคหะ คือการสงเคราะห์ว่า จริงอยู่ ในการสงเคราะห์นี้ สิ่งทั้งหมด

ถึงการสงเคราะห์เป็นอันเดียวกัน โดยฐานะแห่งสัญชาติ โดยที่อยู่อาศัย

เหมือนในที่กล่าวว่าผู้เกิดในที่เดียวกัน เกี่ยวข้องกันโดยชาติในที่ทั้งปวงจงมา

นายหัตถาจารย์ทั้งปวงจงมา นายอัสสาจารย์ทั้งปวงจงมา นายรถทั้งปวงจงมา

และคำว่า ดูก่อนท่านวิสาขะ ธรรมเหล่านี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ

สงเคราะห์ลงในปัญญาขันธ์ ดังนี้ ชื่อว่า กิริยาสงเคราะห์. เพราะสิ่งทั้งปวง

เหล่านี้ถึงการสงเคราะห์เป็นพวกเดียวกันด้วยเหตุ คือการกระทำของตน.

สังคหะคือการนับสงเคราะห์ที่กล่าวไว้ว่า จักขายตนะถึงการนับสงเคราะห์

เข้าในขันธ์ไหน ? จักขายตนะถึงการนับสงเคราะห์เข้าในรูปขันธ์ ถ้าว่า

จักขายตนะถึงการนับสงเคราะห์ในรูปขันธ์ไซร้ ด้วยเหตุนั้นนะท่านก็ต้องกล่าว

ว่า จักขายตนะนับสงเคราะห์ด้วยรูปขันธ์ ดังนี้ ชื่อว่า คณนสงเคราะห์.

ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาคณนสงเคราะห์ เพราะการนับสงเคราะห์นี้ ท่าน

อธิบายว่า ได้แก่ การนับรูปโดยส่วนเดียว. ในบททั้งปวงก็นัยนี้.

อรรถกถาแสดงทุกนิทเทส

ว่าด้วยจำแนกบทอุปาทา

บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงจำแนกบทคำถามที่วางไว้เป็นประธานบทแรก

เพราะสภาพแตกต่างกันในการสงเคราะห์รูปหมวดละ ๒ เป็นต้น อย่างนี้ว่า

อตฺถิ รูป อุปาทา อตฺถิ รูป โน อุปาทา (รูปเป็นอุปาทาก็มี รูปที่

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 215

เป็นอนุปาทาก็มี) ดังนี้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า กตมนฺต รูป อุปาทา (รูป

เป็นอุปาทานั้น เป็นไฉน) ดังนี้. ในพระบาลีนั้น รูปที่ชื่อว่า อุปาทา เพราะ

อรรถว่า อาศัย อธิบายว่า อุปาทารูปนั้นถือเอามหาภูตรูปมั่นไม่ปล่อยวาง

คือย่อมอาศัยมหาภูตรูปนั้นเป็นไป.

ว่าด้วยจักขายตนะ

บัดนี้ เมื่อจะแสดงรูปนั้นโดยประเภทต่าง ๆ จึงตรัสคำมีอาทิว่า

จกฺขายตน (จักขายตนะ) ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นยกอุปาทารูป ๒๓

อย่างขึ้นแสดงโดยสังเขปแล้วเมื่อจะแสดงอุปาทารูปนั่นนั่นแหละโดยพิสดารอีก

จึงตรัสว่า กตมนฺต รูป จกฺขายตน (รูปที่เรียกว่า จักขายตนะนั้นเป็นไฉน)

เป็นต้น.

ในคำว่า จักขายตนะ นั้น จักษุมี ๒ อย่าง คือ มังสจักษุ และ

ปัญญาจักษุ ในมังสจักษุและปัญญาจักษุนั้น ปัญญาจักษุมี ๕ อย่าง คือ

พุทธจักษุ จักษุของพระพุทธเจ้า

สมันตจักษุ ได้แก่สัพพัญญุตญาณ

ทิพยจักษุ ดวงตาเห็นธรรม

ทิพยจักษุ ตาทิพย์

ธรรมจักษุ มรรคเบื้องต่ำ ๓.

บรรดาปัญญาจักษุ ๕ เหล่านั้น จักษุที่ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

เราได้ตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็ได้เห็นเหล่าสัตว์ผู้มีกิเลสดุจธุลีในดวงตาน้อย

ฯลฯ ผู้จะพึงสอนให้รู้ได้ยากก็มี นี้ชื่อว่า พุทธจักษุ. จักษุที่ตรัสไว้ว่า สัพ-

พัญญุตญาณ เรียกว่า สมันตจักษุ นี้ชื่อว่า สมันตจักษุ. จักษุที่ตรัสไว้ว่า

๑. ม. มู. เล่ม ๑๒. ๓๒๓/๓๒๕. ๒. ขุ. จฬนิทฺเทส. เล่ม ๓๐. ๔๙๒/๒๔๒

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 216

จักษุเกิดขึ้นแล้ว ญาณเกิดขึ้นแล้ว นี้ชื่อว่า ญาณจักษุ. จักษุ ที่ตรัสไว้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้เห็นด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ นี้ชื่อว่า ทิพยจักษุ.

ญาณคือ มรรค ๓ เบื้องต่ำที่ตรัสไว้ว่า ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน

ย่อมเกิดขึ้น ณ อาสนะที่นั่งนั้นนั่นแหละ นี้ชื่อว่า ธรรมจักษุ.

แม้มังสจักษุก็มี ๒ อย่าง คือ

สสัมภารจักษุ (ลูกตาที่มีส่วนประกอบ)

ปสาทจักษุ (ประสาทตา).

บรรดามังสจักษุทั้ง ๒ นั้น ก้อนเนื้อนี้ตั้งอยู่เฉพาะในเบ้าตาข้างล่าง

กำหนดด้วยกระดูกเบ้าตา ข้างบนกำหนดด้วยกระดูกคิ้ว ที่ข้างทั้งสองกำหนด

ด้วยเบ้าตา ในภายในกำหนดด้วยมันสมอง ภายนอกกำหนดด้วยขนตา. ว่า

โดยสังเขป จักษุนี้มีส่วนประกอบ (สสัมภาร) ๑๔ คือ ธาตุ ๔ วรรณะ คันธะ

รสะ โอชะ สัมภวะ (ความเกิด) สัณฐาน ชีวิตะ ภาวะ กายประสาท จักษุ

ประสาท. ว่าโดยพิสดารมีสสัมภาระคือส่วนประกอบถึง ๔๔ อย่าง ด้วยสามารถ

แห่งรูป ๔๔ เหล่านี้คือ รูป ๑๐ เหล่านี้คือ ธาตุ ๔ วรรณะ คันธะ รสะ

โอชา สัณฐาน และสัมภวะ ซึ่งอาศัยธาตุ ๔ เกิดขึ้น เกิดแต่สมุฏฐาน ๔

จึงรวมเป็น ๔๐ รูป รูปเกิดโดยมีกรรมเป็นสมุฏฐานอย่างเดียว คือ ชีวตะ

ภาวะ กายปสาทะ จักขุปสาทะ.

ชาวโลก (พาลปุถุชน) จำก้อนเนื้อได้ว่าเป็นตาสีขาว ตาใหญ่ ตา

บริสุทธิ์ ตากว้าง ย่อมไม่จำว่าเป็นจักขุ ย่อมจำซึ่งวัตถุโดยความเป็นจักษุ

ตานั้นเป็นก้อนเนื้อตั้งอยู่เฉพาะในเบ้าตา อันสายเอ็นรัดไว้กับมันสมองใน

ภายใน เป็นสีขาวก็มี เป็นสีดำก็มี เป็นสีแดงก็มี เป็นปฐวีก็มี เป็นอาโปก็มี

๑. ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺต. ๒. ม. มู. เล่ม ๑๒. ๓๒๔/๓๒๘.

๓. ม.ม. เล่ม ๑๓. ๕๙๙/๕๔๕.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 217

เป็นเตโชก็มี เป็นวาโยก็มี. ตาใดมีสีขาว เพราะมากด้วยเสมหะ มีสีดำ

เพราะมากด้วยน้ำดี มีสีแดง เพราะมากด้วยโลหิต มีความกระด้างเพราะ

มากด้วยปฐวี มีน้ำตาไหลออก เพราะมากด้วยอาโป มีความแห้งเกรียม เพราะ

มากด้วยเตโช มีความเคลื่อนไหวได้เพราะมากด้วยวาโย นี้ชื่อว่า สสัมภาร-

จักษุ.

ส่วนปสาทรูปใด อาศัยมหาภูตรูป ๔ เหล่านี้ อยู่ในสสัมภารจักษุนี้

เนื่องเฉพาะในสสัมภารจักษุนี้ รูปนี้ชื่อว่า ปสาทจักขุ จักขุประสาทนี้ตั้งอยู่

ซึมซาบตลอดเยื้อตา ๗ ชั้น เหมือนน้ำมันที่ลาดลงที่ปุยนุ่น ๗ ชั้น ในแววตา

(มณฑล) ที่เห็นรูปเป็นเช่นกับถีนที่เกิดขึ้นแห่งสรีรสัณฐานของบุคคลทั้งหลาย

ผู้ยืนอยู่ตรงหน้าในท่ามกลางแห่งแววตาสีดำ แวดล้อมด้วยแววตา (มณฑล)

สีขาวแห่งสสัมภารจักษุนั้น มีอุปการะอันธาตุทั้ง ๔ อุปการะด้วยกิจมีการให้

ทรงไว้ ให้ชุ่มอยู่ ให้อบอุ่น ให้เคลื่อนไหวไปมาได้ เปรียบเหมือนแม่นม

๔ คน ทำหน้าที่เลี้ยงดูอุ้มชู ให้ทรงสนาน ให้การประดับตกแต่งพระองค์

และให้อยู่งานคอยพัดวีฉะนั้น อันอุตุ จิต และอาหารอุปถัมภ์อยู่ อันอายุคือ

ชีวิตินทรีย์คอยเฝ้าอนุบาล แวดล้อมด้วยโคจรรูปมี วรรณะ คันธะ และรสะ

เป็นต้น เมื่อว่าโดยประมาณ จักขุประสาทนี้มีประมาณเท่าหัวเล็น ให้สำเร็จ

ความเป็นไปแห่งวัตถุและทวาร ของจิตทั้งหลายมีจักขุวิญญาณเป็นต้น ตั้ง

อยู่ตามควร สมดังคำที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร กล่าวไว้ว่า

เยน จกฺขุปฺปสาเทน รูปานิ สมนุปสฺสติ

ปริตฺต สุขุม เอต โอกาสิรสมูปม

๑. วัตถุ หมายถึงที่เป็นที่อาศัยของจักขุวิญญาณ.

๒. คือมีจักขุวิญญาณและขัมปฏิจฉันนจิต เป็นต้น มีตทารัมมณะเป็นที่สุด.

๓. โยชนาว่า ตามควรแก่วัตถุและทวาร.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 218

สัตว์ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย ด้วยจักขุ

ประสาทรูปใด จักขุประสาทรูปนี้ เล็ก

ละเอียด มีประมาณเท่าศีรษะเล็น ดังนี้.

จักษุนั้นด้วย เป็นอายตนะด้วย เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า จักขายตนะ

แม้ในข้อว่า ย จกฺขุ จตุนฺน มหาภูตาน อุปาทาย ปสาโท (จักษุใด

เป็นประสาทรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔) นี้เป็นฉัฏฐีวิภัตติใช้ในอรรถการประกอบ

(ทุติยาวิภัตติ) อธิบายว่า ประสาทรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔ เป็นไป. ด้วยบทนี้

ท่านถือเอาจักขุประสาทเท่านั้น ปฏิเสธจักษุที่เหลือ.

ส่วนคำใดที่ตรัสไว้ในอินทริยโคจรสูตรว่า ประสาทรูปอาศัยมหาภูตรูป

หนึ่งคือปฐวีธาตุ สงเคราะห์ไม่ได้ด้วยภูตรูป ๓ คือ อาโปธาตุ เตโชธาตุ

วาโยธาตุ เป็นต้น ในจตุปริวัตตสูตร กล่าวไว้ว่า ประสาทรูปอาศัยมหาภูต

รูป ๒ คือ ปฐวีธาตุ และอาโปธาตุ ไม่สงเคราะห์ด้วยมหาภูตรูป ๒ คือ เตโช-

ธาตุ และวาโยธาตุ คำนั้นตรัสไว้โดยปริยาย จริงอยู่ สุตตันติกกถานี้เป็น

ปริยายเทศนา ก็เทศนาในสุตตันติกกถานี้ ตรัสไว้โดยปริยายนี้ว่า ประสาท

รูปใดอาศัยมหาภูตรูปทั้ง ๔ ประสาทรูปนั้นก็เป็นประสาทรูปในมหาภูตรูป

เหล่านั้นแต่ละอย่าง ๆ บ้าง แต่ละ ๒ อย่างบ้างนั่นแหละ ดังนี้.

แต่พระอภิธรรม ชื่อว่า นิปปริยายเทศนา เพราะฉะนั้น ใน

อภิธรรมนี้ จึงตรัสว่า ประสาทรูปอาศัยมหาภูตรูป ๔ ดังนี้.

สรีระก็ดี ขันธปัญจกะก็ดี ตรัสเรียกว่า อัตภาพ เพราะความที่สภาวะ

นี้คนพาลกำหนดยึดถือว่า นี้เป็นอัตภาพของเรา ธรรมที่นับเนื่องในอัตภาพ

ธรรมที่อาศัยอัตภาพ เรียกว่า นับเนื่องในอัตภาพ ที่ชื่อว่า เป็นสภาพที่

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 219

เห็นไม่ได้ (อนิทสฺสโน) เพราะอรรถว่า ไม่อาจเพื่อจะเห็นได้ด้วยจักขุ-

วิญญาณ. ที่ชื่อว่า กระทบได้ เพราะอรรถว่า การกระทบ การเสียดสี

ย่อมเกิดในประสาทนี้.

ในคำทั้งหลายมีคำว่า ด้วยจักษุใด เป็นต้น มีเนื้อความโดยย่อดังต่อ

ไปนี้ สัตว์นี้เห็นรูปมีประการดังกล่าวแล้วนี้ในอดีต หรือว่ากำลังเห็นในปัจจุบัน

หรือว่าจักเห็นในอนาคต ด้วยจักษุใดอันเป็นเหตุ ถ้าจักษุของสัตว์นั้นยังไม่พึง

แตกทำลายไป ทีนั้นเขาก็พึงเห็นรูปที่มาสู่คลองได้ด้วยจักษุนั้น หรือเห็นแล้ว

ซึ่งรูปอดีตด้วยจักษุอดีต ย่อมเห็นรูปปัจจุบันด้วยจักษุปัจจุบัน หรือจักเห็นรูป

อนาคตด้วยจักษุที่เป็นอนาคต. ในอธิการนี้มีพระบาลีกำหนดไว้ว่า ถ้ารูปนั้น

พึงมาสู่คลองแห่งจักษุไซร้ สัตว์นั้นก็พึงเห็นรูปนั้นได้ด้วยจักษุ ดังนี้.

รูปนี้เรียกว่า จักษุบ้าง ด้วยอรรถว่าเป็นผู้นำในการเห็น. นี้เรียกว่า

จักขายตนะบ้าง ด้วยอรรถว่าเป็นถีนเกิดและเป็นที่ประชุมแห่งธรรมมีผัสสะ

เป็นต้น. นี้เรียกว่า จักขุธาตุบ้าง ด้วยอรรถว่าความเป็นของว่างเปล่า และ

มิใช่สัตว์. นี้เรียกว่า จักขุนทรีย์บ้าง เพราะอรรถว่า ย่อมครองความเป็น

ใหญ่ในลักษณะแห่งการเห็น. นี้เรียกว่า โลกบ้าง ด้วยอรรถว่า ต้องชำรุด

ทรุดโทรม. นี้เรียกว่า ทวารบ้าง ด้วยอรรถว่า เป็นทางเข้าไป. นี้เรียกว่า

สมุทรบ้าง ด้วยอรรถว่า ให้เต็มได้ยาก. นี้เรียกว่า ปัณฑระบ้าง ด้วยอรรถ

ว่า บริสุทธิ์. นี้เรียกว่า เขตบ้าง (เกษตร) ด้วยอรรถว่า เป็นที่เกิดเฉพาะ

แห่งธรรมมีผัสสะเป็นต้น. นี้เรียกว่า วัตถุบ้าง ด้วยอรรถว่า เป็นที่อาศัย

แห่งธรรมมีผัสสะเป็นต้นเหล่านั้นนั่นแหละ. นี้เรียกว่า เนตรบ้าง เพราะ

อรรถว่า ย่อมแสดงทางที่เสมอไม่เสมอนำอัตภาพไป. นี้เรียกว่า นัยนาบ้าง

ด้วยอรรถแสดงทางที่เสมอไม่เสมอนำอัตภาพไปนั้นเหมือนกัน. นี้เรียกว่า ฝั่งนี้

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 220

บ้าง ด้วยอรรถว่า นับเนื่องด้วยกานของตน. และรูป นี้เรียกว่า สุญญ คาม

บ้าง (บ้านว่าง) ด้วยอรรถว่า เป็นที่สาธารณะแก่สัตว์เป็นอันมาก และด้วย

อรรถว่า หาเจ้าของมิได้ ดังนี้.

ด้วยคำมีประมาณเท่านี้ บัณฑิตพึงประกอบชื่อ ๑๔ อย่าง มีคำว่า

จกฺขุเปต (นี้เรียกว่า จักษุบ้าง) เป็นต้น ด้วยบท ๔* บท มีคำว่า ปสฺสิ วา

(เห็นแล้ว) เป็นต้น แล้วพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสนัยเป็นเครื่อง

กำหนดจักขายตนะไว้ ๔ บท ดังนี้. พึงทราบอย่างไร ? พึงทราบว่า ก็ใน

พระบาลีนี้ มีนัยหนึ่งนี้ว่า

สัตว์นี้เห็นแล้ว หรือเห็นอยู่ หรือจักเห็น หรือพึงเห็นซึ่งรูปอันเป็น

สิ่งที่เห็นได้ และกระทบได้ ด้วยจักษุใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ แต่กระทบได้

รูปนี้เรียกว่า จักษุบ้าง ฯลฯ นี้เรียกว่า สุญญคามบ้าง (บ้านว่าง) รูปนี้

นั้นเรียกว่า จักขายตนะ ดังนี้. นัยแม้ที่เหลือก็พึงทราบอย่างนี้.

ว่าด้วยนิทเทสแห่งจักขายตนะ

บัดนี้ เพราะในเวลาที่ฟ้าแลบเป็นต้นแม้บุคคลผู้ไม่ต้องการดู รูปก็

ย่อมกระทบจักษุประสาทได้ ฉะนั้น พระองค์ทรงประสงค์จะทรงประกาศ

อาการนั้น จึงเริ่มนิทเทสวาร (วาระว่าด้วยการขยายความ) ที่สองต่อไป.

ในพระบาลีนั้น บทว่า ยมฺหิ ได้แก่ ที่จักษุใดอันเป็นเหตุ. คำว่า

รูป นั่นเป็นปฐมาวิภัตติ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปฏิหญฺิ วา (กระทบ

แล้ว) เป็นเนื้อความอดีต. บทว่า ปฏิหญฺติ วา (ย่อมกระทบ) เป็นเนื้อ

ความปัจจุบัน. บทว่า ปฏิหญฺิสฺสติ วา (จักกระทบ) เป็นเนื้อความ

อนาคต. บทว่า ปฏิหญฺเ วา (พึงกระทบ) เป็นเนื้อความกำหนด.

* ๔ บทคือ ปสฺสิ วา ปสฺสติ วา ปสฺสิสติ วา ปสฺเส วา แปลว่า เห็นแล้ว หรือกำลังเห็น

หรือจักเห็น หรือพึงเห็น.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 221

จริงอยู่ รูปอดีต ชื่อว่า กระทบแล้ว แม้ในจักษุที่เป็นอดีต. รูป

ที่เป็นปัจจุบันก็ชื่อว่า ย่อมกระทบในจักษุที่เป็นปัจจุบัน. รูปที่เป็นอนาคต ก็

ชื่อว่า จักกระทบในจักษุที่เป็นอนาคต. ในพระบาลีนี้มีเนื้อความกำหนดไว้ว่า

ถ้ารูปนั้นพึงมาสู่คลองจักษุไซร้ รูปนั้นก็พึงกระทบในจักษุ ดังนี้. แต่เมื่อว่า

โดยใจความแล้ว รูปเมื่อกำลังกระทบซึ่งประสาทเท่านั้น จึงชื่อว่า ย่อมกระทบ.

แม้ในอธิการนี้ พึงทราบนัยทั้ง ๔ โดยนัยที่กล่าวไว้ก่อนนั่นแล.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อจะทรงประกาศอาการที่บุคคลประสงค์

จะแลดูด้วยความปรารถนาของตน จึงหันจักษุไปทางรูป จักษุจึงกระทบรูปนั้น

จึงเริ่มตรัสนิทเทสวารที่ ๓ ต่อไป. ว่าโดยใจความนิเทสวารที่ ๓ นั้น แจ่มแจ้ง

แล้วโดยแท้ แต่ในอธิการนี้ จักษุรับอารมณ์แล้วเท่านั้น จึงชื่อว่า ย่อม

กระทบในรูป. บัณฑิตพึงทราบนัยแห่งการกำหนด ๔ อย่าง แม้ในนิทเทส

ที่ ๓ นี้ โดยนัยก่อนนั่นแหละ.

เบื้องหน้าแต่นี้ไป ทรงแสดงวาระ ๑๐ คือ ธรรม ๕ ด้วยสามารถแห่ง

การแสดงความเกิดผัสสปัญจกะ และธรรม ๕ ด้วยสามารถแห่งการแสดงการเกิด

ขึ้นโดยมีอารมณ์เกี่ยวเนื่องกันแห่งธรรมหมวด ๕ มีผัสสะเป็นต้นเหล่านั้นแหละ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จกฺขุ นิสฺสาย (อาศัยจักษุ) ได้แก่

อาศัยจักษุ คือกระทำจักษุให้เป็นปัจจัย. บทว่า รูป อารพฺภ (ปรารภรูป)

ได้แก่ มาถึง คือมุ่งหมายอาศัยรูปารมณ์. ด้วยพระบาลีนี้ทรงแสดงความที่รูป

เป็นปัจจัย โดยความเป็นปุเรชาตปัจจัยแห่งธรรมมีผัสสะเป็นต้น ที่อาศัยจักขุ

ประสาท และโดยเป็นอารัมมณาธิปติปัจจัย อารัมมณูปนิสสยปัจจัยซึ่งนับเนื่อง

ในชวนวิถีทางจักขุทวาร. ใน ๕ วาระนอกนี้ ทรงแสดงความที่รูปเป็นปัจจัย

โดยเป็นเพียงอารัมมณปัจจัยอย่างนี้ว่า รูปเป็นอารมณ์ของธรรมนี้มีอยู่ เพราะ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 222

เหตุนั้น ธรรม (จักขุวิญญาณ) นี้ จึงชื่อว่า มีรูปเป็นอารมณ์. พึงทราบ

นัยที่ทรงกำหนดนัยละ ๔ วาระ ในวาระทั้ง ๑๐ แม้เหล่านั้น เหมือนใน ๓ วาระ

แรก.

จักษุที่ทรงยกขึ้นแสดงเพื่อถามว่า รูปที่ชื่อว่า จักขายตนะ เป็นไฉน ?

ดังนี้ เพื่อแสดงคำว่า อิทนฺต (รูปนี้นั้น) โดยประการต่าง ๆ จึงแสดงนิทเทส-

วาร ๑๓ คือ นัยก่อน ๓ วาระ นัยนี้ ๑๐ วาระ. ก็ในวาระ ๑๓ เหล่านี้ แต่

ละวาระพึงทราบว่า ทรงแสดงประดับนัยไว้ ๕๒ นัย เพราะการกำหนดวาระ

ละ ๔ นัย ดังนี้. แม้ในนิทเทสแห่งโสตายตนะเป็นต้น ข้างหน้าแต่จักขุนิทเทส

นี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน. แต่ในโสตายตนนิทเทสเป็นต้นนี้ พึงทราบคำที่ต่างกัน

อย่างนี้.

ว่าด้วยคำว่าโสตเป็นต้น

ธรรมที่ชื่อว่า โสต เพราะอรรถว่า ได้ยิน. โสตนั้นตั้งอยู่ในประเทศ

มีสัณฐานดังวงแหวน มีขนแดงละเอียดงอกขึ้นภายในช่องแห่งสสัมภารโสต

(หูพร้อมด้วยเครื่องประกอบ) อันธาตุทั้งหลาย มีประการดังกล่าวแล้วอุปกา-

ระ อันอุตุจิตและอาหารคอยอุปถัมภ์ อันอายุคือ ชีวิตรูป คอยอนุบาล อัน

โคจรรูปมีวรรณะเป็นต้น แวดล้อมแล้ว ให้สำเร็จความเป็นวัตถุ และทวาร

แก่โสตวิญญาณเป็นต้นตามสมควร.

ธรรมที่ชื่อว่า ฆานะ เพราะอรรถว่า ย่อมสูดกลิ่น. ฆานะที่เป็น

ประสาทรูปนั้น ตั้งอยู่ในประเทศมีสัณฐานดังกีบเท้าแพะภายในช่องสสัมภาร-

ฆานะ (ช่องจมูกพร้อมด้วยส่วนประกอบ) ได้รับอุปการะอุปถัมภ์อนุบาล

และการแวดล้อมตามที่กล่าวแล้ว ให้สำเร็จความเป็นวัตถุและทวาร แก่ฆาน-

วิญญาณเป็นต้น ตามสมควร.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 223

ธรรมที่ชื่อว่า ชิวหา ด้วยอรรถว่า ลิ้มรส. ชิวหาที่เป็นปสาทรูปนั้น

ตั้งอยู่ในประเทศมีสัณฐานดังปลายกลีบอุบล เบื้องบนท่ามกลางสสัมภารชิวหา

(ลิ้นพร้อมด้วยส่วนประกอบ) ได้อุปการะ อุปถัมภ์ อนุบาล และการแวดล้อม

ตามที่กล่าวแล้ว ให้สำเร็จเป็นวัตถุและทวารแห่งชิวหาวิญญาณเป็นต้น ตามควร.

แต่ในกายนี้ ชื่อว่า อุปาทินนกรูป มีประการเพียงใด กายายตนะก็

ตั้งอยู่ในกายทั้งสิ้น เหมือนยางใยในฝ้ายได้อุปการะ อุปถัมภ์ อนุบาล และ

การแวดล้อมตามประการที่กล่าวแล้ว ก็ให้สำเร็จความเป็นวัตถุและทวารแก่

กายวิญญาณเป็นต้น ตามควร. นี้เป็นความต่างกันในอุปาทารูปเหล่านี้. ความ

แตกต่างกันแห่งพระบาลีและอรรถกถาที่เหลือ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวในจักขุ

นิทเทสนั่นแหละ. ก็ในที่นี้ บทว่า โสตเป็นต้นมาในที่แห่งบทจักษุ บทว่า

เสียงเป็นต้นมาในที่บทแห่งรูป บทได้ยินเป็นต้นมาในที่แห่งบททั้งหลายมีเห็น

แล้วอย่างเดียว อนึ่ง ๒ บทนี้คือ รูปนี้ชื่อว่า เนตรบ้าง นี้ชื่อว่า นัยนา

บ้างไม่มี เพราะฉะนั้น จึงมีวัตถุและทวารอย่างละ ๑๒ ชื่อ. คำที่เหลือเป็น

เช่นกับคำที่กล่าวไว้ในบททั้งปวงนั้นแหละ.

ในอธิการแห่งกายายตนะนั้น ผิว่ามีผู้ท้วงว่า ชื่อว่า อุปาทินนก-

รูปนี้ มีอยู่ในกายนี้เพียงใด กายายตนะก็มีอยู่ในกายทั้งสิ้น ดุจยางใยในปุยฝ้าย

ผิว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมถึงการปะปนกันด้วยลักษณะ (ในกลาปอื่น). ตอบว่า

ไม่ปรากฏปะปนกัน (ในกลาปอื่น). เพราะเหตุไร ? เพราะความไม่มีในกลาป

อื่นของกันและกัน. ถามว่า ถ้าอย่างนั้นกายายตนะก็ไม่มีในกายทั้งปวง. ตอบว่า

โดยปรมัตถ์ในอุปาทินนกรูปทั้งหมดท่านไม่ได้แยกกายไว้ต่างหาก แต่เหตุแห่ง

การต่างกันของอุปาทินนกรูปนั้นใคร ๆ ไม่อาจเพื่อบัญญัติได้ เพราะฉะนั้น

จึงได้กล่าวไว้อย่างนี้.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 224

เหมือนอย่างว่า รูปและรสเป็นต้น ที่กล่าวว่าเป็นของซึมซาบอยู่

ในกันและกัน เพราะความที่รูปและรสนั้นใคร ๆ ไม่อาจแยกจากกันได้ดุจ

ผงทรายละเอียด แต่โดยปรมัตถ์ รสก็หามีในรูปไม่ ถ้าจะพึงมีไซร้ รสก็พึง

ปรากฏด้วยศัพท์ว่ารูปเหมือนกัน ฉันใด แม้กายายตนะก็ฉันนั้นเหมือนกัน

ว่าโดยปรมัตถ์ไม่มีอยู่ในกาย (อุปาทินนกรูป) ทั้งหมด และไม่มีในกายทั้งหมด

ก็ไม่ใช่ เพราะไม่มีใครอาจเพื่อจะแบ่งออกได้ ฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า

ความปะปนกันด้วยลักษณะในที่นี้ จึงไม่ปรากฏด้วยประการฉะนี้.

อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบความไม่ปะปนกันของประสาทรูปเหล่านี้ โดย

กำหนดด้วยลักษณะเป็นต้น. จริงอยู่ บรรดาประสาทรูปเหล่านี้ รูปาภิฆา-

ตารหภูตปฺปสาทลกฺขณ ทฏฺฐุกามตานิทานกมฺมสมุฏฺานภูตปฺปสา-

ทลกฺขณ วา จกฺขุ จักษุมีความใสของภูตรูปอันควรแก่การกระทบรูปเป็น

ลักษณะ หรือมีความใสของภูตรูปมีกรรมเป็นสมุฏฐาน อันเป็นเหตุของบุคคล

ผู้ต้องการจะดูเป็นลักษณะ รูเปสุ อาวิญฺจนรส มีการคร่ารูปทั้งหลายมา

เป็นกิจ จกฺขุวิญฺาณสฺส อาธารภาวปจฺจุปฺาน มีการทรงอยู่ของ

จักขุวิญญาณเป็นปัจจุปัฏฐาน ทฏฺฐุกามตานิทานกมฺมชภูตปทฏฺาน

มีภูตรูปอันเกิดแต่กรรมเป็นเหตุของบุคคลผู้ใคร่เพื่อจะดูเป็นปทัฏฐาน.

สทฺทาภิฆาตารหภูตปฺปสาทลกฺขณ โสตุกามตานิทานกมฺม-

สมุฏฺานภูตปฺปสาทลกฺขณ วา โสต โสตมีความใสแห่งภูตรูปอันควรแก่

การกระทบเสียงเป็นลักษณะ หรือมีความใสของภูตรูปอันมีกรรมเป็นสมุฏฐาน

อันเป็นเหตุของบุคคลผู้ใคร่เพื่อจะฟังเป็นลักษณะ สทฺเทสุ อาวิญฺจนรส

มีการคร่าเสียงทั้งหลายมาเป็นกิจ โสตวิญฺาณสฺศ อาธารภาวปจฺจุ-

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 225

ปฏฺาน มีการทรงอยู่ของโสตวิญญาณเป็นปัจจุปัฏฐาน โสตุกามตานิทาน

กมฺมชภูตปทฏาน มีภูตรูปอันเกิดแต่กรรมเป็นเหตุของบุคคลผู้ใคร่เพื่อจะ

ฟังเป็นปทัฏฐาน.

คนฺธาภิฆาตารหภูตปฺปสาทลกฺขณ ฆายิตุกามตานิทานกมฺมช

สมุฏฺานภูตปฺปสาทลกฺขณ วา ฆาน ฆานะมีความใสของภูตรูปอันควรแก่

การกระทบของกลิ่นเป็นลักษณะ หรือมีความใสของภูตรูปเกิดแต่กรรมเป็นสมุฏ-

ฐานเป็นเหตุของบุคคลผู้ใคร่เพื่อจะดมเป็นลักษณะ คนฺเธสุ อาวิญฺจนรส มี

การคร่ากลิ่นทั้งหลายมาเป็นกิจ ฆานวิญฺาณสฺส อาธารภาวปจฺจุปฏฺาน

มีการทรงอยู่ของฆานวิญญาณเป็นปัจจุปัฏฐาน ฆายิตุกามตานิทานกมฺมช

ภูตปทฏฺาน มีภูตรูปอันเกิดแต่กรรมเป็นเหตุของบุคคลผู้ใคร่เพื่อจะดมเป็น

ปทัฏฐาน.

รสาภิฆาตารหภูตปฺปสาทลกฺขณา สายิตุกามตานิทานกมฺมช

สมุฏฺานภูตปฺปสาทลกฺขณา ชิวฺหา ลิ้นมีความใสของภูตรูปอันควรแก่

การกระทบรสเป็นลักษณะ หรือมีความใสของภูตรูปเกิดแต่กรรมเป็นสมุฏฐาน

เป็นเหตุของบุคคลผู้ใคร่เพื่อจะลิ้มรสเป็นลักษณะ รเสสุ อาวิญฺจนรสา มีการ

คร่ารสทั้งหลายมาเป็นกิจ ชิวฺหาวิญฺญาณสฺส อาธารภาวปจฺจุปฏฺานา

มีการทรงอยู่ของชิวหาวิญญาณเป็นปัจจุปัฏฐาน สายิตุกามตานิทานกมฺมช

ภูตปทฏฺานา มีภูตรูปเกิดแต่กรรมเป็นเหตุของบุคคลผู้ใคร่เพื่อจะลิ้มรสเป็น

ปทัฏฐาน.

โผฏฺพฺพาภิฆาตารหภูตปฺปสาทลกฺขโณ ผุสิตุกามตานิทาน

กมฺมชสมุฏฺานภูตปฺปสาทลกฺขโน วา กาโย กายมีความใสของภูตรูป

อันควรแก่การกระทบโผฏฐัพพะเป็นลักษณะ หรือมีความใสของภูตรูปอัน

เกิดแต่กรรมเป็นสมุฏฐานเป็นเหตุของบุคคลผู้ใคร่เพื่อจะถูกต้องเป็นลักษณะ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 226

โผฏฺพฺเพสุ อาวิญฺจนรโส มีการคร่าโผฏฐัพพะทั้งหลายมาเป็นกิจ กาย-

วิญฺาณสฺส อาธารภาวปจฺจุปฏฺาโน มีการทรงอยู่ของกายวิญญาณเป็น

ปัจจุปัฏฐาน ผุสิตุกามตานิทานกมฺมชภูตปทฏฺาโน มีภูตรูปเกิดแต่กรรม

เป็นเหตุของบุคคลผู้ใคร่เพื่อจะกระทบเป็นปทัฏฐาน.

ว่าด้วยวาทะของอาจารย์บางพวก

ก็อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ประสาทของภูตรูปทั้งหลายที่มีเตโชธาตุมาก

เป็นจักษุ ประสาททั้งหลายของภูตรูปทั้งหลายที่มีวาโยมาก ปฐวีมาก และ

อาโปมาก เป็นโสต เป็นฆานะ และเป็นชิวหา ประสาทของภูตรูปทั้งหมด

(ทั้ง ๔) เป็นกาย.

ปรวาทีอาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า ประสาทของภูตรูปยิ่งด้วยเตโชธาตุ

เป็นจักษุ ประสาททั้งหลายของภูตรูปยิ่งด้วยวาโยธาตุในช่องหู ยิ่งด้วยอาโปธาตุ

ยิ่งด้วยปฐวีธาตุ ก็เป็นโสต เป็นฆานะ เป็นชิวหา เป็นกาย. อาจารย์ทั้งหลาย

พึงกล่าวท้วงอาจารย์ปรวาทีเหล่านั้นว่า ขอจงนำพระสูตรมาอ้าง. เป็นการ

แน่นอน ท่านปรวาทีอาจารย์เหล่านั้นจักไม่เห็นพระสูตรเลย. แต่อาจารย์

บางพวกก็ยังกล่าวถึงเหตุในประสาทรูปเหล่านี้ว่า เพราะความที่ภูตรูปมีเตโชธาตุ

เป็นต้น พึงอุปการะด้วยรูปทั้งหลายที่มีคุณ. พึงท้วงเกจิอาจารย์เหล่านั้นว่า

ก็ใครเล่ากล่าวอย่างนี้ว่า รูปเป็นต้นเป็นคุณของภูตรูปมีเตโชธาตุเป็นต้น เพราะ

ในอวินิพโภครูป (รูปที่แยกจากกันไม่ได้ ๘ อย่าง) ทั้งหลาย ใคร ๆ ย่อมไม่

ได้เพื่อจะกล่าวว่า ในภูตรูปเหล่านั้น รูปนี้เป็นคุณของรูปนี้ รูปนี้เป็นคุณของ

รูปนี้ ดังนี้.

ถ้าปรวาทีนั้นจะพึงโต้กะสกวาทีว่า พวกท่านย่อมปรารถนากิจทั้งหลาย

มีการทรงไว้เป็นต้น แห่งปฐวีธาตุเป็นต้น เพราะความที่ภูตรูปนั้น ๆ ในสัมภาระ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 227

นั้น ๆ เป็นของยิ่ง ฉันใด ข้อที่พวกที่พึงปรารถนาว่า รูปทั้งหลายเป็นคุณ

ของภูตรูปเหล่านั้น เพราะแสดงความที่รูปเป็นต้นในสัมภาระอันยิ่งด้วยเตโชธาตุ

เป็นต้นเป็นของมีมาก ก็ฉันนั้น.

สกวาทีพึงท้วงปรวาทีนั้นว่า พวกเราปรารถนา ถ้าว่า กลิ่นในฝ้ายใน

ปฐวีธาตุพึงมีมากกว่ากลิ่นของน้ำผักดองอันมีอาโปธาตุมาก และสีของน้ำเย็น

ก็พึงมีสีมากกว่าแม้ของน้ำร้อนอันมีเตโชธาตุมาก แต่คำที่กล่าวแล้วทั้ง ๒ นี้หา

มีไม่ เพราะฉะนั้น ขอพวกท่านพึงละการกำหนดความต่างกันแห่งจักษุเป็นต้น

อันเป็นที่อาศัยนั้นเถิด รูปและรสเป็นต้นแม้ไม่แปลกกันของภูตรูปทั้งหลาย แต่

ก็มิใช่เป็นอย่างเดียวกัน ฉันใด ข้อที่ท่านจะพึงถือเอาว่าเมื่อเหตุแปลกกันอื่น ๆ

มีอยู่ ก็ไม่พึงถือเอาประสาทมีจักษุเป็นต้น ฉันนั้น.

ถามว่า ก็เหตุที่ไม่ทั่วไปแก่กันและกันนั้นได้แก่อะไร.

ตอบว่า ได้แก่ กรรมเท่านั้นเป็นเหตุต่างกันของประสาทรูปเหล่านั้น

เพราะฉะนั้น ความต่างกันแห่งประสาทรูปเหล่านี้ เพราะความต่างกันแห่งกรรม

หาใช่ความต่างกันของภูตรูปไม่. เพราะว่า เมื่อความต่างกันแห่งภูตรูปมีอยู่

ประสาทรูปนั่นแหละจะไม่เกิดขึ้น โบราณาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า ก็ประสาท

รูปของมหาภูตรูปทั้งหลายที่เหมือนกันหาใช่ของมหาภูตรูปที่ไม่เหมือนกันไม่.

ก็บรรดาประสาทรูปเหล่านี้ ที่มีความต่างกันเพราะความต่างกันแห่ง

กรรม จักษุและโสตเป็นอสัมปัตตวิสยคาหกะ (คือรับอารมณ์ที่มาไม่ถึง)

เพราะอุปปัตติเหตุของวิญญาณในอารมณ์ อันมีที่อาศัยไม่ติดกับมหาภูตรูปอัน

เป็นที่อาศัยของตน ฆานะ ชิวหา และกายเป็นสัมปัตตวิสยคาหกะ (รับ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 228

อารมณ์ที่มาถึงตน) เพราะความที่อุปปัตติเหตุของวิญญาณในอารมณ์ ซึ่งติดกับ

มหาภูตรูปอันเป็นที่อาศัยของตน โดยอำนาจแห่งวัตถุที่อาศัย และโดยตนเอง

นั่นแหละ.

แต่ในอรรถกถากล่าวว่า อารมณ์ ชื่อว่า สัมปัตตะ ที่มาถึงตน

เพราะความที่อารมณ์มาสู่คลองแห่งจักษุและโสตทีเดียว. จริงอยู่ สี (วรรณะ)

ของมณฑลแห่งพระจันทร์และอาทิตย์ตั้งอยู่ไกลถึง ๔๒,๐๐๐ โยชน์ ก็ยังกระทบ

จักขุประสาท สีนั้นแม้ปรากฏตั้งอยู่ในที่ไกลก็ชื่อว่า สัมปัตตะ เหมือนกัน.

จักษุชื่อว่ามีอารมณ์ที่มาถึง (สัมปัตตะ) เพราะความที่สีนั้นเป็นอารมณ์ทีเดียว.

กายวิการของบุคคลทั้งหลายที่ติดต้นไม้อยู่ในที่ไกลก็ดี ของช่างย้อมผู้ซักผ้าอยู่

ก็ดี ย่อมปรากฏแม้แต่ที่ไกล. แต่เสียงมาโดยการสืบต่อ ๆ กันมาแห่งธาตุ

กระทบโสตแล้วก็ค่อย ๆ สลายไป ดังนี้.

ในอรรถกถานั้น อารมณ์ ชื่อว่า สัมปัตตะ (ที่มาถึงตน) เพราะความ

ที่อารมณ์นั้นมาสู่คลองก็จริง ถึงอย่างนั้น สีของมณฑลพระจันทร์เป็นต้นก็ไม่มา

ถึงจักษุ ย่อมปรากฏตั้งอยู่ในที่ไกลนั่นแหละ แม้เสียงพึงค่อย ๆ มาไซร้ เกิด

ในที่ไกลก็พึงได้ยินช้า เพราะมาโดยกระทบต่อ ๆ กันมา เมื่อกระทบโสต ก็ไม่

ปรากฏว่าชื่อว่าเสียงนั้นอยู่ในทิศชื่อโน้น เพราะฉะนั้น จักษุและโสตจึงมีอารมณ์

เป็นอสัมปัตตะ (มาไม่ถึง) นั้นแหละ.

ตาเปรียบด้วยงู

ประสาทรูปเหล่านี้ เปรียบเหมือนสัตว์มีงูเป็นต้น เหมือนอย่างว่า

ขึ้นชื่อว่างู ย่อมไม่ชอบใจในที่ชื้นแฉะและราบเรียบในภายนอก จึงเข้าไปที่ต้นไม้

ใบหญ้าชัฏและจอมปลวกนั่นแหละย่อมชอบใจในเวลานอน ย่อมถึงความเป็น

สัตว์มีจิตสงบ ฉันใด แม้จักษุนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีความพอใจในสิ่งไม่

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 229

ราบเรียบ ย่อมไม่พอใจไม่ปรารถนาแม้จะแลดูในที่มีฝาทองคำเป็นต้นที่

เรียบร้อย แต่ย่อมชอบในที่มีลวดลายหลากสีด้วยรูป ดอกไม้ และเครือเถา

เป็นต้นทีเดียว เพราะในที่เช่นนั้น เมื่อตายังไม่เพียงพอ คนทั้งหลายก็ยังอ้า

ปากอยากมอง.

หูเปรียบด้วยจระเข้

แม้จระเข้เล่า เมื่อออกไปภายนอกไม่เห็นสิ่งที่ตนจะพึงงับเอาก็หลับตา

ไป แต่ในกาลใด หยั่งลงสู่น้ำประมาณร้อยวาเข้าไปยังโพรงนอนแล้ว ในกาล

นั้น จิตของมันก็ถึงความสงบ หลับสบาย ฉันใด แม้โสตนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน

ชอบในที่มีโพรง อาศัยอากาศ ชอบใจในโพรงช่องหูเท่านั้น อากาศช่องหู

เท่านั้นเป็นปัจจัยในการได้ยินเสียงนั้น แม้อัชฎากาศก็สมควรเหมือนกัน ด้วยว่า

เมื่อทำการสาธยายภายในถ้ำ เสียงหาเจาะถ้ำออกไปภายนอกไม่ แต่ก็ออกไป

ตามช่องประตู หน้าต่าง กระทบสืบต่อ ๆ กันไปแห่งธาตุแล้ว กระทบโสต

ประสาท. ในลำดับแห่งการกระทบ ชนผู้นั่งอยู่บทหลังถ้ำย่อมรู้ว่า บุคคลชื่อ

โน้นย่อมสาธยาย ดังนี้. ครั้นเมื่อคำที่กล่าวอย่างนี้มีอยู่ ชื่อว่า อารมณ์ของโสต

ก็เป็นสัมปัตตะ (คือมาถึงตนได้).

ถามว่า ก็โสตนี้มีอารมณ์เป็นสัมปัตตะหรือ ?

ตอบว่า ใช่แล้ว มีอารมณ์เป็นสัมปัตตะ.

ถามว่า ถ้าเช่นนั้น กลองเป็นต้นดังในที่ไกล ก็จะไม่รู้เสียงในที่ไกล

ใช่ไหม.

ตอบว่า ไม่พึงรู้ก็ไม่ใช่ เพราะเมื่อเสียงกระทบโสตประสาท ย่อมมี

การรู้โดยประการนั้น ๆ ว่า เสียงไกล เสียงใกล้ เสียงฝั่งโน้น เสียงฝั่งนี้ ดังนี้

ข้อนี้เป็นธรรมดา.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 230

ก็ธรรมดานี้เป็นเช่นไร ก็ธรรมดาช่องหูมีอยู่ในที่ใด ๆ การฟังก็มีแต่

ที่นั้น ๆ เหมือนการเห็นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เป็นต้น เพราะฉะนั้น โสต-

ประสาทนี้ จึงมีอารมณ์เป็นอสัมปัตตะโดยแท้.

จมูกเปรียบด้วยนก

แม้นกก็ไม่ยินดีบนต้นไม้หรือพื้นดิน แต่ในเวลาใดมันโผบินเลยล่วง

การขว้างก้อนดินหนึ่งระยะหรือสองระยะบินขึ้นไปสู่อากาศว่างเปล่า ในเวลานั้น

มันก็จะมีจิตสงบ ฉันใด แม้ฆานะก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีความพอใจในอากาศ มี

กลิ่นโดยอาศัยลมเป็นอารมณ์ เหมือนอย่างโค เมื่อฝนตกใหม่ๆ ก็สูดดมแผ่นดิน

แล้วก็เบิ่งหน้าหาอากาศสูดลม และเวลาที่บุคคลแม้เอานิ้วมือจับก้อนที่มีกลิ่น

แล้วสูดดมไม่หันหน้ามาทางลมก็ไม่รู้กลิ่นนั้น.

ลิ้นเปรียบด้วยสุนัขบ้าน

แม้สุนัขบ้านเมื่อเที่ยวไปภายนอก ย่อมไม่เห็นที่ปลอดภัย ย่อมถูก

ประทุษร้ายโดยการถูกขว้างด้วยก้อนดินเป็นต้น เข้าไปสู่ภายในบ้านแล้วก็คุ้ย

ขี้เถ้าที่เตาไฟก็นอนเป็นสุข ฉันใด แม้ชิวหาก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีอัชฌาสัย

ในบ้าน มีรสอาศัยอาโปธาตุเป็นอารมณ์ จริงอย่างนั้น ภิกษุแม้กระทำสมณ-

ธรรมตลอดสามยามแห่งราตรีแล้ว ถือบาตรและจีวรแต่เช้าตรู่เข้าไปสู่บ้าน

เพราะว่าเมื่อของเคี้ยวแห้งไม่เปียกด้วยน้ำลาย ใคร ๆ ก็ไม่อาจเพื่อรู้รสได้.

กายเปรียบด้วยสุนัขจิ้งจอก

แม้สุนัขจิ้งจอกเมื่อเที่ยวไปภายนอกก็ไม่ประสบความยินดี แต่เมื่อมัน

เคี้ยวกินเนื้อมนุษย์ในป่าช้าผีดิบแล้วนอนนั่นแหละ มันจึงมีความสุขฉันใด

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 231

แม้กายก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีอัชฌาสัยในอุปาทินนกรูป (มีใจครอง) มีโผฏ-

ฐัพพะอาศัยปฐวีธาตุเป็นอารมณ์. จริงอย่างนั้น ชนทั้งหลายเมื่อไม่ได้

อุปาทินนกรูปอื่น ก็เอาฝ่ามือของตนนั่นแหละรองศีรษะนอน ปฐวีธาตุของกาย

บุคคลนั้น แม้อยู่ภายในและภายนอกก็เป็นปัจจัยในการรับอารมณ์. จริงอยู่

ที่นอนแม้ปูไว้อย่างดียังไม่ทันนั่งหรือนอนก็ไม่รู้ความแข็งและอ่อนได้ หรือ

ผลไม้ที่เขาวางไว้บนฝ่ามือยังไม่ทันบีบดูก็ไม่อาจรู้ถึงความแข็งและอ่อนได้.

ปฐวีธาตุที่อยู่ภายในหรือภายนอกจึงเป็นปัจจัยโดยการรู้การกระทบของประสาท

นี้. พึงทราบความไม่ปะปนกันแห่งประสาทรูปเหล่านั้น โดยการกำหนดธรรม

มีลักษณะเป็นอย่างนี้.

จริงอยู่ ลักษณะ รส ปัจจุปัฏฐาน ปทัฏฐาน อารมณ์ อัชฌาสัย

และวัตถุที่อาศัยของจักษุประสาทเป็นอย่างหนึ่ง ของโสตประสาทเป็นต้นก็อย่าง

หนึ่ง เพราะฉะนั้น จักขายตนะเป็นต้น จึงไม่ปะปนกันโดยแท้.

อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบแม้อุปมาในความที่ประสาทรูปเหล่านั้นไม่

ปะปนกัน ดังต่อไปนี้.

เหมือนอย่างว่า เงาแห่งธงทั้งหลาย ๕ สี ที่เขายกขึ้นแล้ว เนื่องเป็น

อันเดียวกันก็จริง ถึงอย่างนั้น เงาของธงก็ไม่ปะปนกันและกันฉันใด อนึ่ง

เมื่อเขาเอาฝ้าย ๕ สี ควั่นทำเป็นไส้ประทีป (ตะเกียง) จุดให้ลุกโพลงแล้ว

เปลวไฟดูเหมือนเป็นอันเดียวกันก็จริง ถึงอย่างนั้นเปลวไฟแห่งรัศมีของฝ้าย

นั้น ๆ ก็เป็นคนละอย่าง ไม่ปะปนกันและกันฉันใด อายตนะ ๕ เหล่านี้แม้

รวมกันอยู่ในอัตภาพเดียวกัน แต่ก็ไม่ปะปนกันและกันฉันนั้นเหมือนกัน ใช่

แต่อายตนะ ๕ เหล่านี้เท่านั้นก็หาไม่ แม้รูปที่เหลือก็ไม่ปะปนกัน.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 232

จริงอยู่ ในสรีระนี้ มีกาย ๓ ส่วน คือ

กายท่อนล่าง ๑

กายท่อนกลาง ๑

กายท่อนบน ๑.

บรรดา ๓ ส่วนเหล่านั้น กายในเบื้องต่ำแต่สะดือลงไป ชื่อว่า กาย

ท่อนล่าง ในกายท่อนล่างนั้นมีรูป ๔ รูป คือ กายทสกะ ๑๐ ภาวทสกะ ๑๐

มีอาหารเป็นสมุฏฐาน ๘ มีอุตุเป็นสมุฏฐาน ๘ มีจิตเป็นสมุฏฐาน ๘. กาย

เบื้องบนตั้งแต่สะเดาขึ้นไปถึงหลุมคอ ชื่อว่า กายท่อนกลาง ในกายท่อน

กลางนั้น มีรูป ๕๔ รูปคือ กายทสกะ ๑๐ ภาวทสกะ ๑๐ วัตถุทสกะ ๑๐

รูปทั้ง ๓ มีรูปที่มีอาหารเป็นสมุฏฐาน เป็นต้น อย่างละ ๘. กายเบื้องบนแต่

หลุมคอขึ้นไป ชื่อว่า กายท่อนบน. ในกายท่อนบนนั้นมีรูป ๘๔ คือ จักขุ-

ทสกะ ๑๐ โสตทสกะ ๑๐ ฆานทสกะ ๑๐ ชิวหาทสกะ ๑๐ กายทสกะ ๑๐

ภาวทสกะ ๑๐ รูป ๓ รูป มีรูปที่มีอาหารเป็นสมุฏฐานเป็นต้นอย่างละ ๘.

บรรดารูปเหล่านั้น รูปที่ชื่อว่า จักขุทสกะ ด้วยสามารถแห่งนิปผันน-

รูป ๑๐ เป็นรูปที่แยกจากกันแต่ละส่วนไม่ได้ นี้คือ มหาภูตรูป ๔ เป็นปัจจัย

แก่จักขุประสาท วรรณะ คันธะ รสะ โอชา ชีวิตินทรีย์ และจักขุประสาท.

รูปแม้ที่เหลือก็พึงทราบโดยนัยนี้.

บรรดากาย ๓ ส่วนนั้น รูปในกายท่อนล่างไม่ปะปนกับรูปกายท่อน

กลางและรูปกายท่อนบน รูปแม้ในกายที่เหลืออีก ๒ ก็ไม่ปะปนกับรูปกาย

นอกนี้. เหมือนอย่างว่า เงาภูเขา และเงาต้นไม้ในเวลาเย็น ดุจเนื่องเป็น

๑. กายทสกะ ๑๐ คือ มหาภูตรูป ๔ วรรณะ ๑ คันธะ ๑ รสะ ๑ โอชา ๑ ชีวิตรูป ๑ กาย-

ประสาท ๑.

๒. อาหารสมุฏฐาน เป็นต้น อย่างละ ๘ ได้แก่ อวินิโภครูป ๘ มีปฐวีเป็นต้น มีโอชาเป็นที่สด.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 233

อันเดียวกันก็จริง ถึงอย่างนั้นก็มิได้ปะปนกันฉันใด ในกายแม้เหล่านั้น รูป ๔๔

ก็ดี รูป ๕๔ ก็ดี รูป ๘๔ ก็ดี ก็ฉันนั้น เป็นดุจเนื่องเป็นอันเดียวกัน แต่

ก็ไม่ปะปนซึ่งกันและกันเลย ฉะนี้แล.

อรรถกถารูปายตนนิทเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งรูปายตนะต่อไป.

สี (วรรณะ) นั่นแหละ เรียกว่า วัณณนิภา อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า

นิภา เพราะอรรถว่า ย่อมเปล่งแสง อธิบายว่า ย่อมปรากฏแก่จักขุวิญญาณ

แสงคือสี ชื่อว่า วัณณนิภา. รูปที่ชื่อว่า สนิทัสสนะ (คือเป็นสิ่งที่เห็นได้)

โดยเป็นไปพร้อมกับการเห็น อธิบายว่า พึงเห็นด้วยจักขุวิญญาณ. รูปที่ชื่อว่า

สัปปฏิฆะ (กระทบได้) โดยความเป็นไปพร้อมกับสิ่งที่กระทบถูกเข้า การ

ยังความเสียดสีให้เกิด.

บรรดาสีมีสีเขียวครามเป็นต้น สีเขียวเหมือนดอกสามหาว สีเหลือง

เหมือนดอกกรรณิการ์ สีแดงเหมือนดอกชบา สีขาวเหมือนดาวประกายพรึก

สีดำเหมือนถ่านเผา สีหงสบาท แดงเรื่อเหมือนย่างทรายและดอกยี่โถ. ก็ทอง

ตรัสเรียกว่า หริ ดุจในคำนี้ว่า หริตจสามวณฺณกาม สุมุข ปกฺกม

(ดูก่อนสุมุขะผู้มีผิวพรรณงามดังทอง ท่านจงหนีไปตามปรารถนาเถิด) ดังนี้

ก็จริง ถึงอย่างนั้น ทองนั้นทรงถือเอาด้วยศัพท์ว่า ชาตรูปะ ข้างหน้า แต่

ในนิทเทสนี้ ชื่อว่า หริ ได้แก่สีคล้ำ เพราะมิได้ทรงถือวัตถุทั้ง ๗ เหล่านี้

แสดงโดยสภาวะนั่นเอง.

บทว่า หริวณฺณ (สีเขียวใบไม้) คือสีเหมือนหญ้าแพรกสด. บทว่า

อมฺพงฺกุรวณฺณ (สีม่วง) คือสีเหมือนหน่อมะม่วง. วัตถุทั้ง ๒ เหล่านี้

ทรงถือเอาแสดงไว้โดยสภาวะ วัตถุ ๑๒ มียาวและสิ้นเป็นต้น ทรงถือเอาแสดง

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 234

โดยโวหาร และโวหารนั้นแห่งบทยาวและสั้นเป็นต้นเหล่านั้น สำเร็จแล้วโดย

อุปนิธาบัญญัติ (บัญญัติโดยเทียบเคียง) และสำเร็จแล้วโดยการตั้งไว้. จริงอยู่

คำว่า ยาว เป็นต้น เป็นบทสำเร็จด้วยการบัญญัติเทียบเคียงซึ่งกันและกัน.

คำว่า กลม เป็นต้น สำเร็จโดยตั้งลง. ในสองอย่างนั้น เพราะเทียบเคียงรูป

ที่สั้น ยาวกว่านั้น จึงชื่อว่า ยาว เพราะเทียบกับรูปที่สั้นกว่านั้น ชื่อว่า สั้น

เทียบเคียงรูปที่ใหญ่ เล็กกว่านั้นชื่อว่า อณู เทียบกับรูปที่เล็กกว่านั้น ชื่อว่า

ใหญ่. รูปที่มีสัณฐานเหมือนล้อเกวียน ชื่อว่า กลม รูปมีสัณฐานเหมือนไข่ไก่

ชื่อว่า ปริมณฑล รูปประกอบด้วยเหลี่ยมทั้ง ๔ ชื่อว่า จตุรัส (สี่เหลี่ยม).

แม้รูป ๖ เหลี่ยมเป็นต้นก็นัยนี้แหละ. บทว่า นินฺน (ลุ่ม) ได้แก่รูปที่ต่ำ.

บทว่า ถล (ดอน) ได้แก่รูปที่นูนขึ้น.

บรรดารูปยาวเป็นต้นเหล่านั้น เพราะบุคคลแม้ถูกต้องรูปยาวเป็นต้น

อาจเพื่อรู้ได้ แต่รูปสีเขียวเป็นต้นบุคคลถูกต้องแล้วไม่สามารถทราบได้ ฉะนั้น

รูปายตนะที่ยาว จึงมิได้ตรัสไว้โดยตรง รูปที่สั้นเป็นต้นก็ไม่ตรัสเหมือนกัน

แต่ในที่นี้ตรัสว่า ยาว สั้น อาศัยรูปนั้น ๆ โดยประการนั้นตั้งอยู่แล้ว พึงทราบ

ว่า รูปายตนะในรูปายตนนิทเทสนี้ ตรัสไว้โดยโวหารนั้น ๆ ดังนี้.

บทว่า ฉายา อาตโป (เงาแดด) นี้ ทรงกำหนดซึ่งกันและกัน

แสงสว่างและมืด ก็กำหนดไว้ซึ่งกันและกัน. บท ๔ บทว่า เมฆ เป็นต้น

แสดงไว้ด้วยวัตถุเท่านั้น. ในบรรดาบททั้งสี่เหล่านั้น คำว่า อพฺภา (เมฆ)

ได้แก่น้ำฝน. บทว่า มหิกา (หมอก) ได้แก่ น้ำค้าง. สีแห่งบทมีเมฆเป็นต้น

ทรงแสดงไว้ด้วยบททั้ง ๔ เหล่านี้. ด้วยบทว่า จนฺทมณฺฑลสฺส วณฺณนิภา

เป็นต้นทรงแสดงสีคือรัศมีแห่งวัตถุเหล่านั้น.

ในวัตถุมีดวงจันทร์เป็นต้นนั้น พึงทราบความต่างกันแห่งวัตถุทั้งหลาย

มีดวงจันทร์เป็นต้นอย่างนี้. วิมานของจันทเทพบุตร ยาวและกว้าง ๔๙

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 235

โยชน์สำเร็จด้วยแก้วมณีปิดบังไว้ด้วยเงิน ชื่อว่า ดวงจันทร์. วิมานของ

สุริยเทพบุตร ยาวและกว้าง ๕๐ โยชน์ สำเร็จด้วยทองปิดบังไว้ด้วยแก้วผลึก

ชื่อว่า ดวงอาทิตย์. วิมานของเทพบุตรนั้น ๆ ยาวและกว้าง ๗ โยชน์

๘ โยชน์ ๑๐ โยชน์ ๑๒ โยชน์ สำเร็จด้วยรัตนะ ๗ ประการ ชื่อว่า ดวงดาว.

ในบรรดาเทพบุตรเหล่านั้น พระจันทร์อยู่ข้างล่าง พระอาทิตย์อยู่

ข้างบน ระหว่างพระจันทร์และพระอาทิตย์ทั้ง ๒ มีหนึ่งโยชน์ โดยส่วนสุดข้าง

ล่างของพระจันทร์ และโดยส่วนสุดข้างบนของพระอาทิตย์มีระยะร้อยโยชน์

ดาวนักขัตฤกษ์ทั้งหลายย่อมโคจรไปที่ข้างทั้ง ๒. ก็บรรดาวัตถุทั้ง ๓ เหล่านั้น

พระจันทร์โคจรไปช้า พระอาทิตย์โคจรไปเร็ว ดวงดาวทั้งหลายไปเร็วกว่าเขา

ทั้งหมด บางคราวโคจรไปข้างหน้าดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ บางคราวก็โคจร

ไปข้างหลัง.

บทว่า อาทาสมณฺฑล (กระจก) ได้แก่ สำเร็จด้วยสำริด. คำว่า

แก้วมณี คือเว้นแก้วไพฑูรย์ ที่เหลือมีประเภทมิใช่น้อยมีแก้วมณีโชติรส

เป็นต้น. คำว่า สังข์ ได้แก่สังข์เกิดขึ้นเอง (ธรรมชาติ) แก้วมุกดา ก็เกิด

ขึ้นเอง แม้แก้วไพฑูรย์ที่เหลือ. บทว่า เวฬุริโย (แก้วไพฑูรย์) คือแก้วมณี

มีสีเหมือนไม้ไผ่.

วรรณะของพระศาสดา เรียกว่า ชาตรูปะ (ทอง) จริงอยู่ พระศาสดา

มีวรรณะเหมือนทองคำ แม้วรรณะของทองคำ ก็เรียกว่า วรรณะพระศาสดา.

กหาปณะคือ โลหมาสก (มาสกทำด้วยโลหะ) ทารุมาสก (มาสกทำด้วยไม้)

ชตุมาสก (มาสกทำด้วยยาง) เรียกว่า รชตะ (เงิน). โวหารแม้ทั้งหมดนั้น

ท่านถือเอาในบทว่า รชต นี้.

ด้วยบทว่า ย วา ปนญฺมฺปิ (หรือรูปแม้อื่นใด) นี้ เว้นรูปที่

ตรัสไว้ในบาลี ทรงถือเอารูปที่เหลืออันต่างด้วยสีเสื่อลำแพน สีผ้าท่อน

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 236

เก่า และสีช่อฟ้าเป็นต้น เพราะสีทั้งหมดนั้นรวมอยู่ในรูปที่เป็นเยวาปนกธรรม

ทั้งหลาย. รูปนี้แหละ แม้ต่างกันโดยประเภทมีสีเขียวเป็นต้น แต่รูปทั้งหมด

นั้นก็มิได้แตกต่างกันโดยลักษณะเป็นต้น.

ว่าโดยลักขณาทิจตุกะของรูป

จริงอยู่ รูปนี้แม้ทั้งหมดมีการกระทบจักขุเป็นลักษณะ (จกฺขุปฏิ-

หนนลกฺขณ) มีความเป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณเป็นรส (จกฺขุวิญฺาณ-

สฺส วิสยภาวรส) มีความเป็นโคจรของจักขุวิญญาณนั้นนั่นเองเป็น

ปัจจุปัฏฐาน (ตสฺเสว โคจรปจฺจุปฏฺาน) มีมหาภูตรูป ๔ เป็นปทัฏฐาน.

ก็อุปาทารูปทั้งหมดเหมือนกับรูปนี้ ข้าพเจ้าจักกล่าวรูปที่แตกต่างกัน รูปที่

เหลือในนิทเทสนี้ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวในจักขายตนนิทเทสนั่นแหละ.

จริงอยู่ ในจักขายตนนิทเทสนั้น นิทเทสมีจักขุเป็นประธานอย่าง

เดียว แต่ในรูปายตนนิทเทสนี้มีรูปเป็นประธาน. ในจักขายตนนิทเทสนั้น

มีชื่อ ๑๐ อย่างมีคำว่า จกฺขุเปต (รูปนี้เป็นจักษุบ้าง) เป็นต้น. ในรูปาย-

ตนนิทเทสแม้นี้มีชื่อ ๓ อย่าง มีคำว่า รูปเปต เป็นต้น (นี้เรียกว่า รูปบ้าง

รูปายตนะบ้าง รูปธาตุบ้าง). รูปที่เหลือเป็นเช่นเดียวกันนั่นแหละ แม้ใน

รูปายตนนิทเทสนี้ ก็ตรัสวาระทั้งหลายไว้เหมือนตรัสวาระ ๑๓ วาระ เพื่อ

กำหนดจักษุประดับด้วยนัยวาระ ๔ วาระเหมือนกัน ฉะนี้แล.

อรรถกถาสัททายตนนิเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งสัททายตนะต่อไป.

บทว่า เภรีสทฺโท (เสียงกลอง) ได้แก่ เสียงกลองใหญ่และกลอง

ที่เขาตี. แม้เสียงตะโพน เสียงสังข์ เสียงบัณเฑาะว์ ก็เป็นเสียงมีเสียงตะโพน

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 237

เป็นต้น เป็นปัจจัย. เสียงที่เรียกว่าเพลงขับ ชื่อว่า เสียงขับร้อง. เสียง

คนตรีเนื่องด้วยพิณเป็นต้น เหลือจากที่กล่าวแล้ว ชื่อว่า เสียงประโคม

(วาทิตสทฺโท).

บทว่า สุมฺมสทฺโท (เสียงกรับ) ได้แก่ เสียงฉาบสำริดและกรับไม้

ตาล. บทว่า ปาณสทฺโท (เสียงปรบมือ) ได้แก่เสียงปรบด้วยฝามือ. บทว่า

สตฺตาน นิคฺโฆสสทฺโท (เสียงร้องของสัตว์) ได้แก่ เสียงที่เปล่งโดยมีบท

และพยัญชนะไม่ปรากฏของสัตว์มากที่ประชุมกัน. บทว่า ธาตูน สนฺนิปาต-

สทฺโท (เสียงกระทบกันของธาตุทั้งหลาย) ได้แก่ เสียงเสียดสีกันและกันของ

ต้นไม้ทั้งหลาย และเสียงตีระฆังเป็นต้น. เสียงของลมพัด ชื่อว่า เสียงลม.

เสียงของน้ำกำลังไหล หรือน้ำกระทบกัน ชื่อว่า เสียงน้ำ. เสียงสนทนา

เป็นต้นของพวกมนุษย์ ชื่อว่า เสียงมนุษย์. เว้นเสียงมนุษย์นั้นแล้ว เสียง

ที่เหลือทั้งหมด ชื่อว่า เสียงอมนุษย์. ด้วยบททั้ง ๒ คือ เสียงมนุษย์และ

เสียงอมนุษย์นี้ เสียงทั้งหมดเป็นอันถือเอาแล้ว. แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น เสียงที่

ไม่ตรัสไว้ในพระบาลีที่เป็นไปในเวลาผ่าไม้ไผ่ และเสียงฉีกผ้าเก่าเป็นต้น พึง

ทราบว่ารวมเข้าในข้อว่า เยวาปนกสัททะ เสียงแม้ต่างกันโดยประเภทมีเสียง

กลองเป็นต้นอย่างนี้ แต่มิได้ต่างกันโดยลักษณะเป็นต้น.

ว่าโดยลักขณาทิจตุกะของเสียง

สพฺโพ เจโส โสตปฏิหนนลกฺขโณ สทฺโท ก็เสียงทั้งหมดมี

การกระทบกับโสตเป็นลักษณะ โสตวิญฺาณสฺส วิสยภาวรโส มีความ

เป็นอารมณ์ของโสตวิญญาณเป็นรส ตสฺเสว โคจรปจฺจุปฏฺาโน มีความ

เป็นโคจรของโสตวิญญาณนั้นนั่นแหละเป็นปัจจุปัฏฐาน. คำที่เหลือพึงทราบ

โดยนัยที่กล่าวในจักขายตนนิทเทสนั่นแหละ แม้ในสัททายตนนิทเทสนี้ ก็ตรัส

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 238

วาระ ๑๓ วาระประดับด้วยนัยวาระละ ๔ เนื้อความแห่งบทเหล่านั้นสามารถจะ

รู้ได้โดยนัยที่กล่าวไว้นั่นแหละ ฉะนั้น จึงมิได้ให้พิสดาร.

อรรถกถาคันธายตนนิทเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งคันธายตนะต่อไป.

บทว่า มูลคนฺโธ (กลิ่นรากไม้) ได้แก่ กลิ่นที่เกิดขึ้นอาศัยรากไม้

อย่างใดอย่างหนึ่ง. แม้ในกลิ่นที่แก่นเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. กลิ่นผักดอง

เป็นต้นที่ยังไม่สำเร็จแล้ว หรือสำเร็จแล้วไม่ดี ชื่อว่า อามคันโธ (กลิ่นบูด).

กลิ่นเกล็ดปลา กลิ่นเนื้อเน่า กลิ่นเนยใสเสียเป็นต้น ชื่อว่า วิสคันโธ (กลิ่นเน่า).

บทว่า สุคนฺโธ (กลิ่นหอม) ได้แก่ กลิ่นที่น่าปรารถนา. บทว่า

ทุคฺคนฺโธ (กลิ่นเหม็น) ได้แก่ กลิ่นไม่น่าปรารถนา. ด้วยบททั้ง ๒ คือ

กลิ่นหอมและกลิ่นเหม็นนี้ ย่อมเป็นอันว่ากลิ่นแม้ทั้งหมดทรงถือเอาแล้ว. เมื่อ

เป็นเช่นนั้น กลิ่นแม้ทั้งหมดที่ไม่ตรัสไว้ในพระบาลีมีกลิ่นช่อฟ้าและกลิ่นผ้าเก่า

เป็นต้น. พึงทราบว่า รวมอยู่ที่เยวาปนกคันธะ. กลิ่นนี้แม้จะต่างกันโดยเป็น

กลิ่นที่รากเป็นต้นอย่างนี้ ว่าโดยลักขณาทิจตุกะแล้วก็ไม่แตกต่างกันเลย.

ว่าโดยลักขณาทิจตุกะของกลิ่น

สพฺโพปิ เจโส ฆานปฏิหนนลกฺขโณ คนฺโธ ก็กลิ่นแม้ทั้งหมด

มีการกระทบฆานะเป็นลักษณะ ฆานวิญฺาณสฺส วิสยภาวรโส มีความ

เป็นอารมณ์ของฆานวิญญาณเป็นรส ตสฺเสว โคจรปจฺจุปฏฺาโน มีความ

เป็นโคจรของฆานวิญญาณนั้นนั่นแหละเป็นปัจจุปัฏฐาน. คำที่เหลือพึงทราบ

โดยนัยที่กล่าวในจักขายตนนิทเทสนั่นแหละ แม้ในคันธายตนนิทเทสนี้ ก็ตรัส

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 239

วาระ ๑๓ วาระประดับด้วยนัย ๕๒ เหมือนกันนั่นแหละ ว่าโดยอรรถวาระ

เหล่านั้นแจ่มแจ้งแล้วทั้งนั้น.

อรรถกถารสายตนนิทเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งรสายตนะ ต่อไป.

บทว่า มูลรโส (รสรากไม้) ได้แก่รสที่อาศัยรากไม้อย่างใดอย่างหนึ่ง

เกิดขึ้น. แม้ในรสลำต้นเป็นต้นก็นัยนี้แหละ. บทว่า อมฺพิล (เปรี้ยว) ได้แก่

เปรียงเป็นต้น. บทว่า มธุร (หวาน) ได้แก่ รสมีเนยใสแห่งโคเป็นต้น

อย่างเดียว. ส่วนน้ำผึ้งผสมกับรสฝาดเก็บไว้นานเข้าก็เป็นรสฝาด. น้ำอ้อยผสม

กับรสขื่นเก็บไว้นานเข้าก็เป็นรสขื่น แต่สัปปิ (เนยใส) เก็บไว้นานแม้ละสี

และกลิ่นก็ไม่ละรส เพราะฉะนั้น เนยใสนั้นนั่นแหละ จึงชื่อว่า หวานโดย

ส่วนเดียว.

บทว่า ติตฺตก (ขม) ได้แก่ ใบสะเดาเป็นต้น. บทว่า กฏุก (เผ็ด)

ได้แก่ รสขิงและพริกไทยเป็นต้น. บทว่า โลณิก (เค็ม) ได้แก่ เกลือธรรมชาติ

เป็นต้น. บทว่า ขาริก (ขื่น) ได้แก่ รสมะอึและหน่อไม้เป็นต้น. บทว่า

ลมฺพิล (เฝื่อน) ได้แก่ พุทรา มะขามป้อม และมะขวิดเป็นต้น. บทว่า

กสาว. (ฝาด) ได้แก่ มะขามป้อมเป็นต้น. รสแม้ทั้งหมดเหล่านี้ ตรัสไว้ด้วย

อำนาจวัตถุ แต่ในนิทเทสนี้ พึงทราบว่ารสตรัสไว้โดยชื่อมีเปรี้ยวเป็นต้นแต่

วัตถุนั้น ๆ.

บทว่า สาทุ (อร่อย) ได้แก่ รสที่น่าปรารถนา. บทว่า อสาทุ

(ไม่อร่อย) ได้แก่ รสที่ไม่น่าปรารถนา. ด้วยบททั้ง ๒ คือ รสที่น่าปรารถนา

และไม่น่าปรารถนานี้ รสแม้ทั้งหมดเป็นอันทรงกำหนดถือเอาแล้ว ครั้นเมื่อ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 240

ความเป็นอย่างนั้นมีอยู่ รสทั้งหมดที่ไม่ตรัสไว้ในพระบาลีมีรสก้อนดิน รส-

ฝาเรือน และรสผ้าเก่าเป็นต้น พึงทราบว่า รวมที่เยวาปนกรส. รสนี้แม้ต่าง

กันโดยเป็นรสรากไม้เป็นต้นอย่างนี้ แต่ว่าโดยลักษณะเป็นต้นก็มิได้แตกต่าง

กันเลย.

ว่าโดยลักขณาทิจตุกะของรส

สพฺโพ เอโส ชิวฺหาปฏิหนนลกฺขโณ รโส รสมีการกระทบลิ้น

เป็นลักษณะ ชิวฺหาวิญฺาณสฺส วิสยภาวรโส มีความเป็นอารมณ์ของ

ชิวหาวิญญาณเป็นรส ตสฺเสว โคจรปจฺจุปฏฺาโน มีความเป็นโคจรของ

ชิวหาวิญญาณนั้นนั่นแหละเป็นปัจจุปัฏฐาน. คำที่เหลือพึงทราบโดยนัยที่กล่าว

ในจักขายตนนิทเทสนั่นแหละ แม้ในนิทเทสนี้ ก็ตรัสวาระ ๑๓ ประดับด้วย

นัย ๕๒ เหมือนกันนั่นแหละ.

อรรถกถาอิตถินทริยนิทเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งอิตถินทรีย์.

บทว่า ย เป็นตติยาวิภัตติ ในข้อนี้อธิบายว่า ทรวดทรงหญิงเป็นต้น

แห่งหญิง ย่อมมีด้วยเหตุใด. บรรดาคำเหล่านั้น บทว่า ลิงฺค ได้แก่ ทรวดทรง

จริงอยู่ ทรวดทรงแห่งอวัยวะมีมือ เท้า คอ และอุทรเป็นต้น ของหญิงไม่

เหมือนของชาย เพราะกายท่อนล่างของหญิงทั้งหลายล่ำ กายท่อนบนไม่ล่ำ

มือเท้าเล็ก ปากเล็ก.

บทว่า นิมิตฺต (เครื่องหมาย) ได้แก่ เป็นเหตุรู้ได้ จริงอยู่ เนื้อขา

ของหญิงทั้งหลายล่ำ ปากไม่มีหนวดเครา แม้ผูกผ้ารัดผมก็ไม่เหมือนของพวก

ชาย. บทว่า กุตฺต ได้แก่ กิริยา คือการกระทำ ด้วยว่า พวกหญิงทั้งหลาย

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 241

ในเวลาเป็นเด็ก ย่อมเล่นกระด้งและสากเล็ก ๆ ย่อมเล่นตุ๊กตา เอาดินเหนียว

และปอมากรอเป็นด้าย.

บทว่า อากปฺโป (อาการ) ได้แก่ อาการคือการเดินเป็นต้น ด้วยว่า

หญิงทั้งหลายเมื่อเดินก็เดินไม่เร็ว เมื่อยืน เมื่อนอน เมื่อนั่ง เมื่อเคี้ยวกิน

ก็ยืน นอน นั่ง เคี้ยวกินไม่เร็ว เมื่อบริโภคก็บริโภคอย่างช้า จริงอยู่ ชน

ทั้งหลายเห็นคนแม้เป็นชายเชื่องช้าก็พูดว่า ชายคนนี้เดิน ยืน นอน นั่ง

เคี้ยวกิน บริโภคเหมือนผู้หญิง ดังนี้.

คำว่า อิตฺถิตฺต อิตฺถีภาโว (สภาพหญิง ภาวะของหญิง) แม้ทั้ง ๒

นี้มีความหมายอย่างเดียวกัน คือเป็นสภาวะของหญิง ก็สภาวะของหญิงนี้เกิด

แต่กรรม ตั้งขึ้นพร้อมกับจิตในปฏิสนธิกาล ส่วนทรวดทรงหญิงเป็นต้น ไม่

ตั้งขึ้นในปฏิสนธิกาลดุจอิตถินทรีย์ แต่ก็อาศัยอิตถินทรีย์ตั้งขึ้นในปวัตติกาล.

เหมือนอย่างว่า เมื่อพืช (เมล็ดพืช) มีอยู่ ต้นไม้อาศัยพืชเพราะพืชเป็นปัจจัย

จึงเจริญเติบโตสมบูรณ์ด้วยกิ่งและคาคบตั้งอยู่เต็มช่องว่าง ฉันใด ครั้นเมื่อ

อิตถินทรีย์คือความเป็นหญิงมีอยู่ อวัยวะมีทรวดทรงแห่งหญิงเป็นต้น ก็มี

ฉันนั้นเหมือนกัน. ก็อิตถินทรีย์เปรียบเหมือนพืช ทรวดทรงหญิงเป็นต้น

อาศัยอิตถินทรีย์ ย่อมตั้งขึ้นในปวัตติกาล เปรียบเหมือนต้นไม้อาศัยพืชเจริญ

เติบโตแล้วตั้งอยู่เต็มช่องว่าง ฉะนั้น.

บรรดาอินทรีย์ทั้งหลายเหล่านั้น อิตถินทรีย์ไม่พึงรู้ได้ด้วยจักขุวิญญาณ

พึงรู้ได้ด้วยมโนวิญญาณเท่านั้น. ทรวดทรงของหญิงเป็นต้นรู้ได้ทางจักษุ

วิญญาณบ้าง ทางมโนวิญญาณบ้าง.

บทว่า อิทนฺต รูป อิตฺถินฺทฺริย (รูปนี้นั้น เรียกว่าอิตถินทรีย์ )

ความว่า รูปนี้นั้น ไม่เหมือนกับจักขุนทรีย์เป็นต้นแม้เป็นของบุรุษ แต่เมื่อ

ว่าโดยนิยม อินทรีย์เฉพาะของหญิง ชื่อว่า อิตถินทรีย์.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 242

อรรถกถาปุริสินทริยนิทเทส

แม้ในปุริสินทรีย์ ก็นัยนี้เหมือนกัน แต่ทรวดทรงของชายเป็นต้น

พึงทราบโดยความตรงกันข้ามกับทรวดทรงของหญิงเป็นต้น เพราะสัณฐาน

แห่งอวัยวะมีมือ เท้า คอ และอุทรเป็นต้นของชาย ไม่เหมือนของหญิง

ด้วยว่า กายท่อนบนของชายล่ำสัน กายท่อนล่างไม่ล่ำสัน มือเท้าก็ใหญ่

ปากใหญ่ เนื้อขาไม่ใหญ่ หนวดเคราเกิดขึ้น การใช้ผ้าผูกผมก็ไม่เหมือนของ

หญิงทั้งหลาย ในเวลาเป็นเด็กย่อมเล่นรถและไถเป็นต้น ย่อมทำขอบคันด้วย

ทราย ย่อมขุดชื่อซึ่งหลุม แม้การเดินเป็นต้นก็องอาจ ชนทั้งหลายเห็นแม้หญิง

ผู้ทำการเดินเป็นต้นให้องอาจ ย่อมพูดคำเป็นต้นว่า แม้คนนี้ย่อมเดินเหมือน

ชาย ดังนี้ คำที่เหลือเหมือนกับที่กล่าวไว้ในอิตถินทรีย์นั่นแหละ.

ว่าด้วยลักขณาทิจตุกะ

บรรดาอินทรีย์ทั้ง ๒ นั้น อิตฺถีภาวลกฺขณ อิตฺถินฺทฺริย อิต-

ถินทรีย์มีอิตถีภาวะ (มีความเป็นหญิง) เป็นลักษณะ อิตฺถีติ ปกาสนรส

มีการประกาศว่าเป็นหญิงเป็นรส อิตฺถีลิงฺคนิมิตฺตกุตฺตากปฺปาน กรณ-

ภาวปจฺจุปฏฺาน มีความเป็นสัณฐาน นิมิต การเล่นและกิริยาอาการของหญิง

เป็นปัจจุปัฏฐาน.

ปริสภาวลกฺขณ ปุริสินฺทฺริย ปุริสินทรีย์ มีปุริสภาวะเป็นลักษณะ

ปุริโสติ ปกาสนรส มีการประกาศว่าเป็นชายเป็นรส ปุริสลิงฺคนิมิตฺต-

กุตฺตากปฺปาน กรณภาวปจฺจุปฏฺาน มีความเป็นสัณฐาน นิมิต การเล่น

และกิริยาอาการของชายเป็นปัจจุปัฏฐาน.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 243

ภาวรูปแม้ทั้ง ๒ (หญิงชาย) นี้ ของบุคคลผู้เกิดในปฐมกัป ย่อม

ตั้งขึ้นในปวัตติกาล ในภายหลังต่อมา ภาวรูปทั้ง ๒ นี้ตั้งขึ้นในปฏิสนธิกาล

แม้ตั้งขึ้นในปฏิสนธิกาล ก็ย่อมหวั่นไหว ย่อมเปลี่ยนได้ในปวัตติกาล.

เหมือนอย่างพระดำรัสที่ตรัสไว้ในพระบาลีวินีตวัตถุแห่งปฐมปาราชิก

ว่า ก็สมัยนั้นแล เพศหญิงปรากฏแก่ภิกษุรูปหนึ่ง เพศชายปรากฏ

แก่ภิกษุณีรูปหนึ่ง *ดังนี้.

ก็บรรดาเพศทั้ง ๒ นั้น เพศชายเป็นอุดมเพศ เพศหญิงเป็นหีนเพศ

ฉะนั้น เพศชายย่อมอันตรธานไปเพราะอกุศลมีกำลัง เพศหญิงย่อมตั้งขึ้นด้วย

กุศลที่เป็นทุรพล แต่เพศหญิงเมื่ออันตรธาน ย่อมอันตรธานไปด้วยอกุศลที่

เป็นทุรพล เพศชายย่อมตั้งขึ้นด้วยกุศลที่มีกำลัง. พึงทราบว่า ภาวรูปแม้ทั้ง ๒

อย่างนี้ ย่อมอันตรธานไปด้วยอกุศล ย่อมตั้งขึ้นด้วยกุศล ด้วยประการฉะนี้.

ว่าโดยอุภโตพยัญชนกะ

ถามว่า บุคคลผู้เป็นอุภโตพยัญชนกะ มีอินทรีย์เดียวหรือมีสองอินทรีย์

ตอบว่า มีอินทรีย์เดียว ก็อินทรีย์ของหญิงผู้เป็นอุภโตพยัญชนกะนั้น

แลเป็นอิตถินทรีย์ ของชายผู้เป็นอุภโตพยัญชนกะเป็นปุริสินทรีย์.

ถามว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น พยัญชนะ (เครื่องหมาย) ที่ ๒ ก็ไม่ปรากฏ

เพราะตรัสไว้ว่า อินทรีย์แสดงเครื่องหมายเพศ และอินทรีย์ของบุคคลผู้เป็น

อุภโตพยัญชนกะนั้นก็ไม่มี. ตอบว่า อินทรีย์ของบุคคลนั้น เป็นเครื่องแสดง

เพศหามิได้.

ถามว่า เพราะเหตุไร ?

ตอบว่า เพราะไม่มีอยู่ทุกเมื่อ.

* วินย อา. เล่ม ๑/๖๔

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 244

ด้วยว่า เมื่อใดจิตกำหนัดของอิตถีอุภโตพยัญชนกะเกิดในหญิง ก็ใน

กาลนั้น เครื่องหมายเพศชายย่อมปรากฏ. เครื่องหมายเพศหญิงย่อมปิดบัง

ซ่อนเร้น ปุริสอุภโตพยัญชนกะนอกนี้ ก็มีเครื่องหมายเพศหญิงนอกนี้เหมือนกัน

ผิว่า อินทรีย์ของอุภโตพยัญชนกะทั้งสองเหล่านั้น พึงมีเครื่องหมายที่ ๒ ไซร้

เครื่องหมายเพศทั้ง ๒ ก็พึงตั้งอยู่แม้ในกาลทุกเมื่อ แต่ว่าหาได้ตั้งอยู่ไม่ เพราะ

ฉะนั้น อินทรีย์นั้นพึงทราบ คำนี้ว่า อินทรีย์นั้นของอุภโตพยัญชนกะนั้นเป็น

เหตุแห่งเครื่องหมายเพศหามิได้ แต่ในที่นี้ เหตุคือจิตสัมปยุตด้วยราคะมีกรรม

เป็นสหาย ก็เพราะอินทรีย์ของอุภโตพยัญชนกะนั้นมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ฉะนั้น

อิตถีอุภโตพยัญชนกะ แม้ตนเองก็ตั้งครรภ์ได้ ย่อมทำให้บุคคลอื่นตั้งครรภ์ก็ได้

ส่วนปุริสอุภโตพยัญชนกะ ย่อมทำบุคคลอื่นให้ตั้งครรภ์ได้ แต่ตนเองย่อม

ตั้งครรภ์ไม่ได้ ฉะนี้แล.

อรรถกถาชีวิตินทริยนิทเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งชีวิตินทรีย์ คำใดที่ข้าพเจ้าควรกล่าว

ในชีวิตินทริยนิทเทสนี้ คำนั้นข้าพเจ้ากล่าวไว้ในอรูปชีวิตินทรีย์ ในหนหลัง

แล้วทั้งนั้น ก็ในอรูปชีวิตินทรีย์นั้นตรัสไว้ว่า อรูปธรรมใด ของอรูปธรรม

เหล่านั้น แต่ในชีวิตินทริยนิทเทสนี้ตรัสว่า รูปธรรมใด ของรูปธรรมเหล่านั้น

เพราะความเป็นรูปชีวิตินทรีย์ นี้เป็นเนื้อความต่างกัน แต่ลักษณะเป็นต้น

ของรูปชีวีตินทรีย์นั้น พึงทราบอย่างนี้.

สหชาตรูปานุปาลนลกฺขณ ชีวิตินฺทริย ชีวิตินทรีย์มีการตาม

รักษารูปที่เกิดพร้อมกันเป็นลักษณะ เตส ปวตฺตนรส มีความเป็นไปของ

รูปธรรมเหล่านั้นเป็นรส เตสฺเยว ปนปจฺจุปฏฺาน มีความดำรงอยู่ซึ่ง

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 245

รูปธรรมเหล่านั้นนั่นแหละเป็นปัจจุปัฏฐาน ยาจยิตพฺพภูตปทฏฺาน มี

ภูตรูปอันยังรูปธรรมให้ดำเนินไปเป็นปทัฏฐาน ดังนี้แล.

อรรถกถากายวิญญัตตินิทเทส

พึงทราบวินิจฉัยในกายวิญญัตินิทเทสต่อไป.

ในข้อว่า กายวิญญัตติ นี้ก่อน. สภาวะที่ชื่อว่า วิญญัตติ เพราะ

อรรถว่าความที่คนทั้งหลายก็ดี หรือสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายก็ดี ให้รู้ภาวะของตน

ด้วยกาย แม้สัตว์ดิรัจฉานก็รู้ความหมายของคนได้ แม้คนก็รู้ความหมายของ

สัตว์ได้ด้วยสภาวธรรมที่ถือเอานี้โดยทำนองแห่งการถือเอากาย.

อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า วิญญัตติ เพราะอรรถว่า ตนเองย่อมให้ผู้อื่น

รู้ได้โดยทำนองแห่งการกำหนดกาย. วิญญัตติคือกาย กล่าวคือการไหวกาย ที่

ตรัสไว้ในคำมีอาทิว่า กาเยน สวโร สาธุ (การสำรวมกายเป็นการดี) ดังนี้

ชื่อว่า กายวิญญัตติ.

อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า กายวิญญัตติ เพราะอรรถว่า ย่อมแสดงให้

รู้ด้วยกาย เพราะเป็นเหตุให้รู้ความประสงค์ด้วยการไหวกายต่าง ๆ และเพราะ

ตนเองก็จะพึงรู้โดยประการนั้น.

ในคำมีอาทิว่า กุสลจิตฺตสฺส วา (ของบุคคลผู้มีจิตเป็นกุศล)

อธิบายว่า จิตของบุคคลผู้มีจิตเป็นกุศลด้วยจิต ๙ คือ กามาวจรกุศลจิต ๘ ดวง

อภิญญาจิต ๑ ดวง หรือผู้มีจิตเป็นอกุศลด้วยอกุศลจิต ๑๒ ดวง หรือมี

จิตที่เป็นอัพยากฤต ด้วยกิริยาจิต ๑๑ ดวง คือ มหากิริยาจิต ๘ ดวง ปริตต-

กิริยาจิต ๒ ดวง อภิญญาที่เป็นรูปาวจรกิริยาจิต ๑ ดวง อื่น ๆ จากนี้

ย่อมไม่ยังวิญญัตติให้เกิดได้. ก็พระเสกขะ พระอเสกขะ และปุถุชนก็มีวิญญัตติ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 246

ด้วยจิตมีประมาณเท่านี้แหละ เพราะฉะนั้น พระองค์จึงทรงแสดงวิญญัตติ

โดยเป็นเหตุด้วยบททั้ง ๓ ด้วยสามารถแห่งธรรมมีกุศลเป็นต้นเหล่านี้ (คือ

กุศล อกุศลกิริยา).

บัดนี้ เพื่อทรงแสดงวิญญัตติโดยผลด้วยบททั้ง ๖* จึงตรัสว่า

อภิกฺกมุนฺตสส วา (ก้าวไปอยู่) เป็นต้น. จริงอยู่ การก้าวไปเป็นต้น ชื่อว่า

ผลของวิญญัตติ เพราะเป็นไปด้วยอำนาจวิญญัตติ. บรรดาบททั้งหลายมีการ

ก้าวไปเป็นต้นเหล่านั้น บทว่า อภิกฺกมนฺตสฺส (ก้าวไปอยู่) ได้แก่ นำกาย

ไปข้างหน้า. บทว่า ปฏิกฺกมนฺตสฺส (ถอยกลับอยู่) ได้แก่ นำกายกลับมา

ข้างหลัง. บทว่า อาโลเกนฺตสฺส (แลดูอยู่) ได้แก่ แลดูตรง ๆ. บทว่า

วิโลเกนฺตสฺส ได้แก่ แลดูทางโน้นแลดูทางนี้. บทว่า สมฺมิญฺชนฺตสฺส

(คู้เข้าอยู่) ได้แก่ งอข้อต่อทั้งหลาย. บทว่า ปสาเรนฺตสฺส (เหยียดออกอยู่)

ได้แก่ เหยียบข้อต่อทั้งหลาย.

บัดนี้ เพื่อแสดงวิญญัตติโดยสภาวะด้วยบททั้ง ๖ จึงตรัสว่า กายสฺส

ถมฺภนา (ความเคร่งตึงของกาย) เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กายสฺส

(ของกาย) ได้แก่ ของสรีระ. สภาวะที่ชื่อว่า ความเคร่งตึง (ถมฺภนา)

เพราะอรรถว่า ทำกายให้แข็งแล้วให้กระด้าง. สภาวะที่เคร่งตึงนั้นนั่นแหละ

ตรัสเรียกว่า กิริยาที่เคร่งตึงด้วยดี (สนฺถมฺภนา) เพราะเพิ่มด้วยอุปสรรค

อีกอย่างหนึ่ง ความเคร่งตึงมีกำลังมาก ชื่อว่า สันถัมภนา. ความเคร่งตึง

ด้วยดี ชื่อว่า สันถัมภิตัตตัง. ชื่อว่า วิญญัตติ (การแสดงให้รู้ความหมาย)

ด้วยสามารถแห่งการให้รู้ให้เข้าใจ. กิริยาที่ให้เข้าใจความหมาย ชื่อว่า วิญญา-

ปนา. ความแสดงให้รู้ความหมาย ชื่อว่า วิญญาปิตัตตัง. คำที่เหลือใดที่

พึงกล่าวในที่นี้ คำนั้นข้าพเจ้ากล่าวไว้ในทวารกถาในหนหลังแล้วแล.

* ๑ ก้าวไปอยู่ ๒ ถอยกลับอยู่ ๓ แลดูอยู่ ๔ เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ ๕ คู้เข้าอยู่ ๖ เหยียด

ออกอยู่.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 247

อรรถกถาวจีวิญญัตตินิทเทส

ในวจีวิญญัตติก็เหมือนกัน แต่ว่าเนื้อความของบทว่า วจีวิญญัตติ

ดังนี้ และบทนิทเทสทั้งหลายที่ข้าพเจ้ายังมิได้กล่าวไว้ในทวารกถานั้น พึงทราบ

อย่างนี้ว่า

ที่ชื่อว่า วิญญัตติ เพราะอรรถว่า คนก็ดี สัตว์ดิรัจฉานก็ดี ซึ่งจะ

ให้รู้ภาวะของตนด้วยวาจา แม้สัตว์ดิรัจฉานก็รู้ภาวะของคนได้ หรือคนก็รู้

ภาวะของสัตว์ได้ ด้วยสภาวะนี้ โดยกำหนดเอาตามทำนองแห่งการกำหนด

คำพูด. อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า วิญญัตติ เพราะอรรถว่า ย่อมรู้ความหมาย

โดยทำนองแห่งการกำหนดคำพูดได้โดยตนเอง. วิญญัตติคือวจี กล่าวคือการ

เคลื่อนไหวที่ตรัสไว้ในพระบาลีมีอาทิว่า สาธุ วาจาย สวโร (ความสำรวม

ทางวาจาเป็นการดี) ดังนี้ ชื่อว่า วจีวิญญัตติ.

อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า วจีวิญญัตติ เพราะอรรถว่า การแสดงความ

หมายให้รู้ทางวาจา เพราะเป็นเหตุให้เข้าใจความประสงค์ได้ด้วยเสียงของวาจา

และเพราะตนเองก็จะพึงรู้โดยประการนั้น.

พึงทราบวินิจฉัยในคำเป็นต้นว่า วาจา คิรา (การพูดเปล่งวาจา) ต่อไป.

ที่ชื่อว่า วาจา (การพูด) เพราะอรรถว่า เป็นสภาพอันเขากล่าว.

ที่ชื่อว่า คิรา (การเปล่งวาจา) เพราะอรรถว่า อันบุคคลเปล่ง. ที่ชื่อว่า

วากฺยเภโท (การกล่าว) เพราะอรรถว่าการเจรจา. อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า

พฺยปฺปโถ (การเปล่งวาจา) เพราะอรรถว่า คำพูดนั้นด้วย เป็นทางของบุคคล

ผู้ประสงค์จะรู้เนื้อความและยังผู้อื่นให้รู้ด้วย. ที่ชื่อว่า อุทีรณ (การกล่าว)

เพราะอรรถว่า ย่อมเปล่งออก. ที่ชื่อว่า โฆสะ (การป่าวร้อง) เพราะอรรถ

อันเขาย่อมโฆษณา. ที่ชื่อว่า กรรม เพราะอรรถว่า อันเขาย่อมกระทำ. กรรม

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 248

คือการโฆษณา ชื่อว่า โฆสกรรม อธิบายว่า เขาทำโฆษณาโดยประการ

ต่าง ๆ. เพื่อให้รู้ว่า การเปล่งวาจา ชื่อว่า วจีเภท แต่วจีเภท (คือการเปล่ง

วาจา) นั้นมิใช่การทำลาย เป็นวาจาที่แตกต่างกันเท่านั้น จึงตรัสว่า วาจา

วจี เภโท (วาจา การแสดงความหมายให้รู้ทางวาจา) ดังนี้. สัททวาจานั่นเอง

พระองค์ทรงแสดงด้วยบทแม้ทั้งปวงเหล่านี้.

บัดนี้ ทรงประสงค์จะแสดงวจีวิญญัตตินั้นโดยสภาวะ ด้วยอาการ ๓

อย่าง ด้วยอำนาจแห่งบททั้งหลายมีวิญญัตติเป็นต้น แห่งเนื้อความที่กล่าวใน

หนหลังที่ประกอบวาจานั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า ยา ตาย วาจาย วิญฺตฺติ

(แสดงให้รู้ความหมายด้วยวาจานั้น อันใด ดังนี้. คำนั้นมีอรรถง่ายทั้งนั้น

เพราะมีนัยตามที่กล่าวแล้วนั่นแล.

บัดนี้ เพื่อมิให้หลงใหลในจิตอันยังวิญญัตติให้ตั้งขึ้น พึงทราบ

ปกิณกธรรมนี้คือ จิต ๓๒ ดวง จิต ๒๖ ดวง จิต ๑๙ ดวง จิต ๑๖ ดวง

สุดท้าย. จริงอยู่ จิต ๓๒ ดวง ย่อมยังพหิรูปให้ตั้งขึ้น ย่อมอุปถัมภ์อิริยาบถ

ย่อมยังวิญญัตติแม้ทั้ง ๒ ให้เกิดขึ้น. จิต ๒๖ ดวง ย่อมยังวิญัตตินั่นแหละให้

เกิดขึ้น ย่อมกระทำทั้ง ๒ นอกนี้ด้วย. จิต ๑๙ ดวง ย่อมยังรูปนั่นแหละให้

ตั้งขึ้น แต่ไม่กระทำ ๒ อย่างนอกนี้. จิต ๑๖ ดวง ไม่กระทำหน้าที่แม้สัก

อย่างหนึ่งในบรรดา ๓ อย่างนั้น (ให้เกิดอุปถัมภ์ ให้เกิดวิญญัติ).

ในปกิณกธรรมเหล่านั้น คำว่า จิต ๓๒ คือจิตที่กล่าวในหนหลัง

นั่นแหละคือ กามาวจรกุศล ๘ อกุศลจิต ๑๒ กิริยาจิต ๑๐ อภิญญาจิตของ

พระเสกขะปุถุชน ๑ อภิญญาจิตของพระขีณาสพทั้งหลาย ๑.

คำว่า จิต ๒๖ คือรูปาวจรกุศลจิต ๕ รูปาวจรกิริยา ๕ อรูปาวจร

กุศลจิต ๔ อรูปาวจรกิริยาจิต ๔ มรรคจิต ๔ ผลจิต ๔.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 249

คำว่า จิต ๑๙ คือกามาวจรกุศลวิบาก ๑๑ อกุศลวิบาก ๒ กิริยามโน-

ธาตุ ๑ รูปาวจรวิบากจิต ๕.

คำว่า จิต ๑๖ คือทวิปัญจวิญญาณจิต ๑๐ ปฏิสนธิจิตของสัตว์

ทั้งหมด ๑ จุติจิตของพระขีณาสพ ๑ อรูปวิบากจิต ๔. จิต ๑๖ เหล่านี้ย่อมไม่

กระทำให้รูปเกิด อุปถัมภ์ และวิญญัตติแม้สักอย่างหนึ่งเลย. จิตที่เกิดขึ้นใน

อรูปแม้อื่นอีกมากก็ไม่ทำรูปให้เกิดขึ้นเพราะไม่มีโอกาส ก็จิตเหล่าใดย่อมยัง

กายวิญญัตติให้ตั้งขึ้น จิตเหล่านั้นเทียวย่อมยังวจีวิญญัตติให้ตั้งขึ้นด้วย.

อรรถกถาอากาศธาตุนิทเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งอากาศธาตุต่อไป.

สภาวะที่ชื่อว่า อากาศ เพราะอรรถว่า อันใคร ๆ ย่อมไถไม่ได้

ทำให้เป็นรอยไม่ได้ คือว่า ไม่อาจเพื่อจะไถ หรือเพื่อจะตัด หรือเพื่อทำให้แตก.

อากาศนั่นแหละ เรียกว่า อากาสคต (ถึงการนับว่าเป็นอากาศ) เหมือนคำว่า

เขลคต (ถึงการนับว่าเป็นน้ำลาย) เป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง คำว่า อากาศ

ชื่อว่า อากาสคต เพราะสัตว์ถึงแล้ว. ที่ชื่อ อฆ (ความว่างเปล่า) เพราะ

อันอะไร ๆ ย่อมไม่กระทบ คือไม่มีอะไรถูกต้องได้. อฆะนี้นั่นแหละ เรียกว่า

อฆคต. ที่ชื่อว่า วิวโร (ช่องว่าง) เพราะอรรถว่า เป็นช่อง.

คำว่า อสมฺผุฏฺิ จตูหิ มหาภูเตหิ (อันมหาภูตรูป ๔ ไม่ถูกต้อง

แล้ว) นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงอากาศอันโล่งที่มหาภูตรูปเหล่านี้ไม่ถูกต้อง

แล้ว. แต่เมื่อว่าโดยลักษณะเป็นต้น รูปปริจฺเฉทลกฺขณา อากาศธาตุมีการ

คั่นไว้ซึ่งรูปเป็นลักษณะ อากาสธาตุรูปปริยนฺตปฺปกาสนรสา มีการ

ประกาศที่สุดของรูป ของอากาศธาตุเป็นรส รูปมริยาทปจจุปฏฺานา มี

ขอบเขตของรูปเป็นปัจจุปัฏฐาน อสมฺผุฏฺภาวฉิทฺทวิวรภาวปจฺจุปฏฺา-

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 250

นา วา หรือมีภาวะอันมหาภูตรูปถูกต้องไม่ได้มีภาวะที่ภูตรูปคั่นไว้ และมีภาวะ

ที่เป็นช่องว่างโล่งเป็นปัจจุปัฏฐาน ปริจฺฉินฺนรูปปทฏฺานา มีรูปที่คั่นไว้

เป็นปทัฏฐาน. เมื่อรูปทั้งหลายอันอากาศธาตุใดคั่นไว้แล้ว รูปนี้ก็มีเบื้องบน

เบื้องต่ำ และเบื้องขวางโดยอากาศธาตุนั้น.

เบื้องหน้าแต่นี้ พึงทราบนิทเทสแห่งธรรมทั้งหลายมีรูปลหุตา

เป็นต้น โดยนัยที่กล่าวไว้ในธรรมทั้งหลายมีจิตลหุตาเป็นต้นนั่นแหละ แต่ใน

ที่นี้ว่าโดยลักษณะเป็นต้น อทนฺธตาลกฺขณา รูปสฺส ลหุตา ลหุตารูป มี

อันไม่เชื่องช้าเป็นลักษณะ รูปาน ครุภาววิโนทนรสา มีความบรรเทาความ

หนักแห่งรูปทั้งหลายเป็นรส ลหุปริวตฺติตาปจฺจุปฏฺานา มีการเปลี่ยนได้

เร็วเป็นปัจจุปัฏฐาน ลหุรูปปทฏฺานา มีรูปเบาเป็นปทัฏฐาน.

อถทฺธตาลกฺขณา รูปสฺส มุทุตา มุทุตารูป มีอันไม่แข็งเป็น

ลักษณะ รูปาน ถทฺธภาววิโนทนรสา มีการบรรเทาความแข็งของรูปทั้งหลาย

เป็นรส สพฺพกิริยาสุ อวิโรธิตาปจฺจุปฏฺานา มีความไม่เป็นข้าศึกกัน

ในการกระทำทั้งปวงเป็นปัจจุปัฏฐาน มุทุรูปปทฏฺานา มีรูปที่อ่อนเป็น

ปทัฏฐาน.

สรีรกิริยานุกุลกมฺมญฺภาวลกฺขณา รูปสฺส กมฺมญฺตา

กรรมัญญตารูปมีการควรแก่การงานโดยสมควรแก่การกระทำสรีระเป็นลักษณะ

อกมฺมญฺภาววิโนทนรสา มีความบรรเทาความไม่ควรแก่การงานเป็นรส

อทุพฺพลภาวปจฺจุปฏฺานา มีความไม่ทุรพลเป็นปัจจุปัฏฐาน กมฺมฺรูป-

ปทฏฺานา มีรูปที่ควรแก่การงานเป็นปทัฏฐาน.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 251

ก็วิการรูปทั้ง ๓ เหล่านี้ไม่ละซึ่งกันและกัน เมื่อความเป็นอย่างนั้น

มีอยู่ บัณฑิตพึงทราบความต่างกันแห่งรูปทั้ง ๓ เหล่านั้น อย่างนี้ว่า ภาวะที่

เบา คือความไม่เชื่องช้าแห่งรูปทั้งหลาย มีอาการเป็นไปได้เร็วเหมือนคนไม่มี

โรค มีสมุฏฐานเกิดแต่ปัจจัยซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อธาตุกำเริบซึ่งทำให้รูปเชื่องช้า

อันใด วิการรูปนั้น ชื่อว่า ลหุตารูป. ความที่รูปทั้งหลายมีความอ่อนดุจ

หนังที่ขยำไว้ดีแล้ว มีอาการทำให้อ่อนเป็นไปตามอำนาจในการกระทำทั้งปวง

ได้ต่าง ๆ กัน มีสมุฏฐานเกิดแต่ปัจจัยซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อธาตุกำเริบอันทำให้

รูปแข็ง อันใด วิการรูปนั้น ชื่อว่า มุทุตารูป. แต่ความที่รูปทั้งหลายควร

แก่การงานเหมือนทองคำที่หลอมไว้ดีแล้ว มีอาการคล้อยตามในการกระทำของ

สรีระ มีสมุฏฐานเกิดแต่ปัจจัยซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อธาตุกำเริบ อันทำให้รูปไม่

คล้อยตามของการกระทำในสรีระ อันใด วิการรูปนั้น ชื่อว่า กรรมมัญญตารูป.

อนึ่ง วิการรูปแม้ทั้ง ๓ นั่นย่อมอาจเพื่อทำการงานได้ ก็หาไม่ รูปที่

เกิดจากอาหารเป็นต้น (คือเกิดแต่จิตและอุตุด้วย) เท่านั้นย่อมทำการงานได้.

จริงอย่างนั้น พวกพระโยคีจึงพูดกันว่า วันนี้พวกเราได้อาหารเป็นสัปปายะ

กายของเราจึงเบาอ่อนควรแก่การงาน วันนี้พวกเราได้อุตุสัปปายะ วันนี้จิตของ

พวกเราจึงสงบ กายของพวกเราเบาอ่อนควรแก่การงาน ดังนี้.

อรรถกถาอุปจยะและสัตตตินิทเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งอุปจยะและสันตติต่อไป.

บทว่า อายตนาน (อายตนะทั้งหลาย) ได้แก่ รูปายตนะ ๑๐ ทั้งกึ่ง

(คือ ๑๐ กับ ครึ่งหนึ่ง). บทว่า อาจโย (ความสั่งสม) ได้แก่ ความ

บังเกิดขึ้น. บทว่า โส รูปสฺส อุปจโย (นั้นเป็นความเกิดแห่งรูป) ได้แก่

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 252

ความเกิดสั่งสมแห่งอายตนะอันเกิดขึ้นบ่อย ๆ อันใด อันนั้นแหละ ชื่อว่า

ความเกิดสั่งสมแห่งรูป อธิบายว่า ย่อมเติบโตขึ้น. ความเกิดสั่งสมแห่งรูป

อันใด อันนั้นเป็นสันตติ (ความสืบต่อ) ของรูป เพราะฉะนั้น ความเจริญ

ของรูปทั้งหลายอันสั่งสมแล้วด้วยอาการอย่างนี้ อันใด ในเวลาที่รูปเป็นไป

ยิ่งกว่านั้น ความเจริญนั้น ชื่อว่า สันตติของรูปคือความเป็นไปของรูป.

เหมือนอย่างว่า เมื่อบุคคลขุดหลุมใกล้ฝั่งแม่น้ำ ความสั่งสมเกิดขึ้นเหมือน

เวลาที่น้ำไหลไปยังหลุม. ความเกิดขึ้นเจริญแล้ว เหมือนเวลาที่น้ำเต็มหลุม

พึงทราบว่าสันตติเป็นไปดุจเวลาที่น้ำไหลท่วมไปฉะนั้น.

ถามว่า ด้วยนิทเทสคำว่า โย อายตนาน อาจโย เป็นต้นอย่างนี้

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างไร ? ตอบว่า พระองค์ตรัสความเริ่มเกิดด้วย

อายตนะ ตรัสอายตนะด้วยความเริ่มเกิด เป็นอันตรัสความเริ่มเกิดและตรัส

อายตนะนั่นแหละไว้แล้ว.

ถามว่า เมื่อเป็นอย่างนั้น พระองค์ตรัสไว้อย่างไร ?

ตอบว่า พระองค์ตรัสถึงความเริ่มเกิด ความสั่งสม ความเกิด ความ

เจริญของสันตติรูปทั้ง ๔.

จริงอยู่ เมื่อว่าโดยอรรถ รูปทั้ง ๒ แม้นี้ (อุปจยะ สันตติ) เป็นชื่อ

ของรูปที่เกิดเท่านั้น แต่ว่าโดยความต่างกันแห่งอาการ และด้วยอำนาจแห่ง

เวไนยสัตว์ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงทำอุทเทสและนิทเทสด้วยคำว่า อุปจโย

สนฺตติ แต่เพราะในอุทเทสนี้ ไม่มีความแตกต่างกันโดยอรรถ ฉะนั้น จึง

ตรัสไว้ในนิทเทสว่า โย อายตนาน อาจโย โส รูปสฺส อุปจโย

โย รูปสฺส อุปจโย โส รูปสฺส สนฺตติ (ความสั่งสมแห่งอายตนะทั้ง

หลาย อันใด อันนั้นเป็นความเกิดแห่งรูป ความเกิดแห่งรูปอันใด อันนั้นเป็น

ความสืบต่อแห่งรูป) ดังนี้.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 253

อนึ่ง เพราะรูปนี้แม้ทั้ง ๒ (อุปจยะและสันตติ) เป็นชื่อของรูปที่เกิด

อย่างเดียวกัน ฉะนั้นในนิทเทสนี้ บัณฑิตพึงทราบ (ลักขณาทิจตุกะของรูป

ทั้ง ๒ นั้น) ว่า

อาจยลกฺขโณ รูปสฺส อุปจโย อุปจยรูปมีความเริ่มเกิดเป็นลักษณะ

ปุพฺพนฺตโต รูปาน อุมฺมุชฺชาปนรโส มีการยังรูปทั้งหลายให้เกิดดุจขันธ์

อันเป็นส่วนเบื้องต้นเป็นรส นิยาตนปจฺจุปฏฺาโน ปริปุณฺณภาวปจฺจุ-

ปฏฺาโน วา มีการมอบให้เป็นปัจจุปัฏฐาน หรือมีความบริบูรณ์เป็นปทัฏฐาน

อุปจิตรูปปทฏฺาโน มีรูปที่เกิดแล้ว (คือรูปที่ถึงอุปาทขณะ) เป็นปทัฏฐาน.

ปวตฺติลกฺขณา รูปสฺส สนฺตติ สันตติรูปมีความเป็นไป (คือ

เป็นไปด้วยอำนาจความสืบต่อ) เป็นลักษณะ อนุปฺปพนฺธนรสา มีการสืบ

ต่อกันโดยลำดับ (คือการสืบต่อด้วยอำนาจรูปเบื้องต้นและเบื้องปลาย) เป็นรส

อนุปฺปจฺเฉทปจฺจุปฏฺานา มีความไม่ขาดจากกัน (มีความไม่ขาดจากรูป

เบื้องต้นและเบื้องปลาย) เป็นปัจจุปัฏฐาน อนุปฺปพนฺธรูปปทฏฺานา มีรูป

ที่สืบต่อกันเป็นปทัฏฐาน.

อรรถกถาชรตานิทเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งชรตา ต่อไป.

ที่ชื่อว่า ชรา ด้วยอำนาจแห่งรูปที่แก่. ในนิทเทสแห่งชรานี้ มีความ

ขยายสภาวะว่า อาการแห่งการคร่ำคร่า ชื่อว่า ความคร่ำคร่า. อาการทั้ง ๓

มีคำว่า ฟันหัก เป็นต้น มีการขยายกิจคือล่วงกาลผ่านวัยไปทีเดียว อาการ

๒ ข้างปลาย เป็นการขยายความตามปกติ (คือเป็นไปตามธรรมชาติ).

จริงอยู่ ด้วยบทว่า ชรานี้ พระองค์ทรงแสดงชรานี้โดยสภาวะ เพราะ

เหตุนั้น คำว่า ชรานี้ จึงเป็นการอธิบายสภาวะของชรานั้น. ด้วยบทว่า

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 254

ชิรณตา นี้ ทรงแสดงโดยอาการ. เพราะฉะนั้น คำว่า ชิรณตา นี้ จึงเป็น

อธิบายอาการของรูปชิรณตานั้น. ด้วยบทว่า ความมีฟันหลุด นี้ ทรงแสดง

โดยกิจคือการทำภาวะที่ฟันและเล็บหลุดโดยกาลผ่านวัย. ด้วยบทว่า ปาลิจฺจ

ความมีผมหงอกนี้ ทรงแสดงโดยกิจ คือ ความที่ผมและขนทั้งหลาย

หงอก. ด้วยบทว่า มีหนังเป็นเกลียว นี้ทรงแสดงโดยกิจ คือกระทำเนื้อ

ให้เหี่ยว แล้วทำหนังให้ย่นเป็นเกลียว. เพราะฉะนั้น บททั้ง ๓ มีฟันหลุด

เป็นต้นนี้ เป็นการขยายความถึงกิจที่ล่วงกาลผ่านวัยแห่งรูปนั้น. ด้วยบททั้ง ๓

เหล่านั้น พระองค์ทรงแสดง ปากฏชรา คือ ความแก่ที่ปรากฏโดยอำนาจ

แห่งการเห็นวิการรูปเหล่านี้. เหมือนอย่างว่า ทางที่น้ำบ่าไป หรือลมพัดไป

ย่อมปรากฏโดยการพังทะลายหญ้าและต้นไม้เป็นต้น หรือว่า ทางที่ไฟไหม้เตียน

โล่งไปย่อมปรากฏ ทางมีน้ำเป็นต้นผ่านไปแล้วนั้นยังปรากฏ แต่น้ำเป็นต้น

เหล่านั้นมิได้ปรากฏให้เห็นอยู่ ข้อนี้ฉันใด ทางที่ชราผ่านไปแล้ว โดยอำนาจ

แห่งความแตกหักในอวัยวะ มีฟันหลุดเป็นต้น ย่อมปรากฏ เพราะบุคคลลืม

ตาดูก็รู้ได้ แต่สภาวะมีฟันหลุดเป็นต้น ลืมตาดูรู้ไม่ได้ ชราก็รู้ไม่ได้ เพราะ

ชราจักขุวิญญาณรู้ไม่ได้.

ก็ด้วยประเภทบทเหล่านี้ว่า ความเสื่อมอายุ ความหง่อมแห่ง

อินทรีย์ทั้งหลาย ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความแก่โดยปกติอัน

สิ้นไปแห่งอายุ ด้วยสำคัญแห่งการแก่รอบแห่งอินทริย์มีจักษุเป็นต้น แจ่มแจ้ง

แล้วโดยล่วงกาลผ่านวัยทีเดียว ด้วยเหตุนั้น พึงทราบสองประการหลังนี้ว่าเป็น

นิทเทสโดยปกติแห่งชรตานั้น. ในอาการทั้งสองเหล่านั้น เพราะอายุของบุคคลผู้

ถึงความแก่แล้ว ย่อมเสื่อมลง ฉะนั้น จึงตรัสชราโดยมุ่งถึงผลว่า ชรา อายุโน

สหานิ (ชราคือความเสื่อมแห่งอายุ) ดังนี้ อีกอย่างหนึ่ง เพราะเวลาที่คนยัง

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 255

เป็นหนุ่ม อินทรีย์ทั้งหลาย มีจักขุเป็นต้นผ่องใสสามารถรับอารมณ์แม้ละเอียด

ของตนได้โดยง่ายนั่นแหละ แต่เมื่อถึงความชราแล้วอินทรีย์ทั้งหลายก็จะหง่อม

งกเงิ่น ไม่คล่องแคล่ว ไม่สามารถจะรับอารมณ์แม้อันหยาบของตนได้ฉะนั้น

จึงตรัสชราโดยผลูปจารนัยว่า ความหง่อมแห่งอินทรีย์ทั้งหลาย ดังนี้.

ว่าโดยชรา ๒ อย่าง

ก็ ชรานี้นั้นทรงยกขึ้นแสดงไว้อย่างนี้ว่า ชราแม้ทั้งหมดมี ๒ อย่าง

คือ ปากฏชรา (ชราปรากฏ) ปฏิจฉันนชรา (ชราปกปิด). บรรดาชรา ๒

เหล่านั้น ชราในรูปธรรมทั้งหลาย ชื่อว่า ปากฏชรา เพราะแสดงความ

แตกหักเป็นต้น ในอวัยวะมีฟันเป็นต้น แต่ชราในอรูปธรรมทั้งหลาย ชื่อว่า

ปฏิจฉันนชรา เพราะไม่แสดงพิการเช่นนั้น.

อีกอย่างหนึ่ง ยังมีชราอีก ๒ อย่าง คือ

อวีจิชรา (ชราไม่มีคลื่น)

สวีจิชรา (ชรามีคลื่น).

ในชรา ๒ อย่างเหล่านั้น พึงทราบว่า ชราที่ชื่อว่า อวีจิชรา เพราะ

ความต่างกันแห่งวรรณะเป็นต้น ภายในระหว่าง ๆ เป็นชราที่รู้ได้ยาก ดุจชรา

ของแก้วมณี ทองคำ เงิน แก้วประพาฬ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เป็นต้น ดุจชรา

ของสัตว์มีชีวิตทั้งหลายในเวลาที่เป็นมันททสกะเป็นต้น และดุจชราของสิ่งไม่มี

ชีวิตทั้งหลายมีในเวลาที่มีดอก มีผล และหน่อเป็นต้น ได้แก่ นิรันตชรา.

ส่วนชราที่ชื่อว่า สวีจิชรา เพราะความต่างกันแห่งวรรณะเป็นต้น ภายใน

ระหว่าง ๆ ในสิ่งเหล่าอื่นตามที่กล่าวแล้ว นอกจากนั้นเป็นของรู้ได้โดยง่าย

ดังนี้.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 256

ว่าโดยลักขณาทิจตุกะวของชรตารูป พึงทราบว่า

รูปปริปากลกฺขณา รูปสฺส ชรตา ชรตารูป มีความหง่อมแห่ง

รูปเป็นลักษณะ อุปนยรสา มีการน้อมเข้าไปใกล้ความตายเป็นรส สภา-

วานปคเมปิ นวภาวาปคทปจฺจุปฏฺานา มีความปราศจากของใหม่แม้ยัง

ไม่ปราศจากภาวะของตนเป็นปัจจุปัฏฐาน วีหิปุราณภาโว วิย ปริปจฺจ-

มานรูปปทฏฺานา มีรูปที่หง่อมอยู่ดุจข้าวเหนียวเก่าเป็นปทัฏฐาน.

อรรถกถาอนิจจตานิทเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งอนิจจตารูปต่อไป.

รูปที่ชื่อว่า ขโย (ความสิ้นไป) ด้วยอำนาจแห่งการถึงความสิ้นไป

ที่ชื่อว่า วโย (ความเสื่อมไป) ด้วยอำนาจแห่งการเข้าถึงความเสื่อม ที่ชื่อว่า

เภโท (ความแตกไป) ด้วยอำนาจแห่งความแตก.

อีกอย่างหนึ่ง รูปที่ชื่อว่า ขโย เพราะอรรถว่า เป็นที่สิ้นไป ที่ชื่อว่า

วโย เพราะอรรถว่า เป็นที่เสื่อมไป ที่ชื่อว่า เภโท เพราะอรรถว่า เป็น

ที่แตกดับไป เพราะรูปถึงอาการนั้นแล้วย่อมสิ้นไป ย่อมเสื่อมไป และย่อม

แตกไป ความแตกไปนั่นเอง เรียกว่าปริเภท (ความทำลายไป) เพราะทรง

เพิ่มบทด้วยอุปสรรค.

สภาวะที่ชื่อว่า อนิจจัง เพราะอรรถว่า ไม่เที่ยงคือมีแล้วหามีไม่.

ภาวะแห่งอนิจจังนั้น ชื่อว่า อนิจจตา (ความไม่เที่ยง) ชื่อว่า อันตรธาน

เพราะอรรถว่า เป็นที่อันตรธาน จริงอยู่ รูปถึงมรณะแล้วย่อมอันตรธาน คือ

ย่อมถึงความไม่เห็น รูปเท่านั้น ถึงความไม่เห็นอย่างเดียวก็หาไม่ เบญจขันธ์

แม้ทั้งหมดก็อันตรธานไป เพราะฉะนั้น รูปนี้แหละ พึงทราบว่าเป็น

ลักษณะความไม่เที่ยงแห่งขันธ์แม้ทั้ง ๕ ก็เมื่อว่าโดยลักขณะเป็นต้น พึงทราบว่า

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 257

ปริเภทลกฺขณา รูปสฺส อนิจฺจตา อนิจจตารูปมีความทำลายเป็น

ลักษณะ สสึทนรสา มีการจมลงเป็นรส ขยวยปจฺจุปฏฺานา มีความ

สิ้นไปเสื่อมไปเป็นปัจจุปัฏฐาน ปริภิชฺชมานรูปปทฏฺานา มีรูปที่กำลัง

ทำลายไปเป็นปทัฏฐาน.

ว่าด้วย ชาติ ชรา มรณะดุจปัจจามิตร ๓ คน

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาชาติ (ความเกิด) ชรา (ความแก่)

แสดงไว้ในหนหลังแล้ว แต่ในที่นี้ทรงถือเอามรณะ (ความตาย) ธรรมทั้ง ๓

เหล่านี้ เป็นเช่นกับปัจจามิตร ผู้เงื้อดาบขึ้นประหารสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้.

เหมือนอย่างว่า ปัจจามิตร ๓ คน เที่ยวแสวงหาช่องประทุษร้ายบุรุษ บรรดา

ปัจจามิตร ๓ คนนั้น คนหนึ่งพูดอย่างนี้ว่า การพาบุรุษนี้ออกเข้าไปสู่ดง

เป็นหน้าที่ของเรา คนที่ ๒ พูดว่า ในเวลาที่บุรุษนั้นถึงดงแล้ว การ

โบยตีให้ล้มลงบนแผ่นดินเป็นหน้าที่เรา คนที่ ๓ พูดว่า จำเดิมแต่

เวลาที่บุรุษนั้นล้มลงที่ดงแล้ว การเอาดาบตัดศีรษะเป็นหน้าที่ของเรา ดังนี้

ฉันใด ธรรมเหล่านี้มีชาติเป็นต้น เห็นปานนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ชาติ เป็น

เช่นกับปัจจามิตรผู้นำบุรุษออกให้เข้าไปสู่ดง เพราะให้สัตว์บังเกิดในที่นั้น ๆ.

ชรา เป็นเช่นกับปัจจามิตรผู้โบยตีบุรุษผู้ถึงดงแล้วให้ล้มลงยังแผ่นดิน เพราะ

กระทำขันธ์ที่เกิดขึ้นแล้วให้ทุรพล ให้อาศัยคนอื่น ให้มุ่งไปสู่เตียงนอน.

มรณะ เป็นเช่นกับปัจจามิตรผู้เอาดาบตัดศีรษะของบุรุษผู้ล้มลงที่ดง เพราะ

ยังขันธ์ทั้งหลายซึ่งถึงชราแล้วให้ถึงความสิ้นชีวิต ดังนี้.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 258

อรรถกถากพฬิงการาหารนิทเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งกพฬิงการาหาร ต่อไป

อาหารที่ชื่อว่า กพฬิงการ เพราะถูกการทำให้เป็นก้อน (เป็นคำข้าว)

ชื่อว่า อาหาร เพราะอรรถว่าย่อมถูกกลืนกิน. อธิบายว่า บุคคลทำคำข้าวแล้ว

ย่อมกลืนกิน. อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่า อาหาร เพราะอรรถว่า ย่อมนำมาซึ่ง

รูป.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงยกชื่อขึ้นแสดงด้วยอำนาจแห่งวัตถุอย่าง

นี้แล้ว เพื่อจะทรงแสดงอาหารนั้นนั่นแหละด้วยสามารถแห่งวัตถุอีก จึงตรัส

คำมีอาทิว่า โอทโน กุมฺมาโส (ข้าวสุก ขนมสด) ดังนี้ จริงอยู่ อาหาร

๑๒ อย่าง มีข้าวสุกเป็นต้น มีน้ำอ้อยเป็นที่สุด เป็นวัตถุแห่งอาหารที่ทรง

ประสงค์เอาในที่นี้. อาหารมีรากไม้และผลไม้เป็นต้นที่ไม่ได้ตรัสไว้ในพระบาลี

ก็รวมเข้าในเยวาปนกธรรม.

บัดนี้ เพื่อจะแสดงอาหารเหล่านั้นมีรากไม้ผลไม้เป็นต้นโดยควรแก่

สัตว์ทั้งหลายพึงกระทำ จึงตรัสคำว่า ยมฺหิ ยมฺหิ ชนปเท (ในชนบทใด ๆ)

เป็นต้น. ในพระบาลีนั้น อาหารที่ชื่อว่า มุขาสิย (อันเป็นของใส่ปาก) เพราะ

อรรถว่า พึงกลืนกิน คือ พึงบริโภคทางปาก. ที่ชื่อว่า ทนฺตวิขาทน (ของ

ขบเคี้ยว) เพราะอรรถว่า อันสัตว์พึงขบเคี้ยวด้วยฟัน. ที่ชื่อว่า คลชฺโฌ-

หรณีย (ของกลืนกิน) เพราะอรรถว่า อันสัตว์พึงกลืนกินทางลำคอ.

บัดนี้ ทรงประสงค์เพื่อแสดงอาหารนั้นด้วยสามารถแห่งกิจ จึงตรัส

คำเป็นต้นว่า กุจฺฉิวิตฺถมฺภน (เป็นของอิ่มท้อง). จริงอยู่ อาหารนั้นมีราก

ไม้และผลไม้เป็นต้น หรือมีข้าวสุกและขนมสดเป็นต้น อันสัตว์กลืนกินแล้ว

ย่อมอิ่มท้อง นี้เป็นกิจของอาหารนั้น.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 259

บทว่า ยาย โอชาย สตฺตา ยาเปนฺติ (สัตว์ทั้งหลายเลี้ยงชีวิตด้วย

โอชาใด) มีคำอธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงแสดงอาหารอันเป็นวัตถุ

ด้วยบททั้งปวงในหนหลังแล้ว บัดนี้ ทรงประสงค์เพื่อแสดงโอชาเท่านั้นอัน

สำเร็จแล้ว (อันเกิดขึ้นแล้ว) จึงตรัสคำว่า ยาย โอชาย สตฺตา ยาเปนฺติ

นี้ไว้.

ถามว่า ก็บรรดาอาหารที่เป็นวัตถุและโอชาเหล่านี้ กิจของวัตถุเป็น

อย่างไร กิจของโอชาเป็นอย่างไร ? ตอบว่า วัตถุและโอชาเหล่านั้น มีการ

บำบัดอันตราย และการรักษาร่างกายเป็นกิจ จริงอยู่ อาหารที่เป็นวัตถุย่อม

นำอันตรายออกแต่ไม่อาจเพื่อรักษาร่างกาย อาหารที่เป็นโอชาย่อมรักษาร่าง

กาย แต่ไม่อาจเพื่อนำอันตรายออกไป. อาหารแม้ทั้ง ๒ รวมกันแล้วย่อมอาจ

แม้เพื่อรักษา ย่อมอาจแม้เพื่อนำอันตรายออกไป.

ถามว่า ก็อะไรเล่า ชื่อว่า เป็นอันตราย.

ตอบว่า เตโชธาตุ อันเกิดแต่กรรม.

จริงอยู่ เมื่อวัตถุมีข้าวสุกเป็นต้นไม่มีภายในท้อง เตโชธาตุอันเกิดแต่

กรรมตั้งขึ้นจับเยื่อกระเพาะอาหาร ย่อมยังบุคคลให้พูดว่า ข้าพเจ้าหิวแล้ว จง

ให้อาหารเถิด ในเวลาที่กินอาหารแล้ว เตโชธาตุอันเกิดแต่กรรมนั้นก็ละเยื่อ

กระเพาะอาหารไปจับวัตถุ (ที่เป็นอาหาร). ทีนั้นสัตว์ก็มีจิตสงบ.

เหมือนอย่างว่า ฉายารากษส (รากษสผู้จับสัตว์เข้าไปสู่เงา) จับ

สัตว์ผู้เข้าไปสู่เงา เอาตรวนทิพย์ล่ามไว้ เบิกบานใจอยู่ในที่อยู่ของตน ในเวลา

หิวก็มากัดกินที่ศีรษะ สัตว์นั้นย่อมร้องเพราะถูกกัดกินนั้น พวกมนุษย์ฟังเสียง

ร้องนั้นก็พากันมาจากที่นั้น ๆ ด้วยสำคัญว่า ในที่นี้มีสัตว์ผู้ได้รับทุกข์ ฉายา-

รากษสนั้นก็จับมนุษย์ที่มาแล้ว ๆ เคี้ยวกินแล้วสบายใจในที่อยู่ของตนฉันใด

คำอุปไมยเป็นเครื่องเปรียบเทียบนี้ พึงทราบฉันนั้น.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 260

ก็เตโชธาตุอันเกิดแต่กรรม เปรียบเหมือนฉายารากษส. เยื่อกระเพาะ-

อาหารเปรียบเหมือนสัตว์ที่ถูกฉายารากษสเอาตรวนทิพย์ล่ามไว้, วัตถุมีข้าว

สุกเป็นต้น เปรียบเหมือนพวกมนุษย์ผู้มาอีก, ความที่เตโชธาตุเกิดแต่กรรม

ละวัตถุไปแล้วถือเอาเยื่อกระเพาะอาหารเปรียบเหมือนฉายารากษสลงมากัดที่

ศีรษะ, เวลาที่บอกว่า ขอท่านจงให้อาหาร เปรียบเหมือนเวลาที่ร้องของสัตว์

ซึ่งถูกกัดศีรษะ, เมื่อเตโชธาตุเกิดแต่กรรมละเยื่อกระเพาะอาหารไปจับเอาวัตถุ

สัตว์ทั้งหลายก็มีจิตสงบ เปรียบเหมือนเวลาที่ฉายารากษสจับพวกมนุษย์ที่มา

แล้ว ๆ ด้วยสัญญานั้นเคี้ยวกินสบายใจในที่อยู่ของตน.

ว่าด้วยอาหารหยาบและละเอียด

บรรดาอาหารเหล่านั้น ในวัตถุหยาบมีโอชาน้อย ในวัตถุละเอียดมี

โอชาแรง จริงอยู่ คนกินอาหารมีหญ้ากับแก้* เป็นต้นครู่เดียวเท่านั้นก็หิว

คนดื่มเนยใสเป็นต้น แม้ดำรงอยู่ตลอดวันก็ไม่อยากข้าว อนึ่ง ในข้อนี้ พึง

ทราบความหยาบและละเอียดโดยการอาศัยเทียบเคียงกัน.

จริงอยู่ เมื่อเทียบเคียงอาหารของพวกจระเข้แล้ว อาหารของพวกนก

ยูงก็ละเอียด. ได้ยินว่า พวกจระเข้กลืนหินเข้าไป และหินเหล่านี้ถึงท้องของ

พวกมัน แล้วย่อมย่อยไป พวกนกยูงย่อมกินสัตว์มีงูและแมลงป่องเป็นต้น แต่

เทียบอาหารของพวกนกยูงแล้ว อาหารของหมาป่าก็ละเอียดกว่า ได้ยินว่า พวก

หมาป่าเหล่านั้นกินเขาและกระดูกสัตว์ที่ทิ้งไว้ถึง ๓ ปีได้ ก็เขาและกระดูกสัตว์

เหล่านั้นพอเปียกน้ำลายของหมาป่าเหล่านั้นก็อ่อนเหมือนเหง้ามัน เทียบอาหาร

แม้ของหมาป่าเหล่านั้นแล้ว อาหารของพวกช้างก็ละเอียดกว่า เพราะพวกช้าง

เหล่านั้นย่อมกินกิ่งไม้ต่างๆ อาหารของพวกโคป่ากวาง และเนื้อเป็นต้นละเอียด

*หญ้ากับแก้ เป็นภาษาท้องถิ่นมณฑลพายับ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 261

กว่าอาหารของพวกช้าง. ได้ยินว่า พวกโคป่ากวาง และเนื้อเหล่านั้นเคี้ยวกิน

ใบไม้ต่าง ๆ เป็นต้นที่ไม่แข็ง อาหารพวกโคบ้านละเอียดกว่าอาหารของ

สัตว์มีโคป่าเป็นต้นแม้เหล่านั้น พวกโคบ้านย่อมเคี้ยวกินหญ้าสดและหญ้าแห้ง

อาหารของพวกกระต่ายละเอียดกว่าอาหารของพวกโคเหล่านั้น อาหารของพวก

นกละเอียดกว่าอาหารของพวกกระต่าย อาหารของพวกชนผู้อยู่ปัจจันตประเทศ

ละเอียดกว่าอาหารของพวกนก อาหารของพวกผู้กินบ้าน (ผู้ใหญ่ในบ้าน)

ละเอียดกว่าอาหารของพวกประจันตประเทศ อาหารของพระราชาและราชมหา-

อำมาตย์ละเอียดกว่าอาหารของพวกผู้กินบ้าน อาหารของพระเจ้าจักรพรรดิ

ละเอียดกว่าอาหารของพระราชาและมหาอำมาตย์แม้เหล่านั้น อาหารของพวก

ภุมเทวดาละเอียดกว่าอาหารของพระเจ้าจักรพรรดิ อาหารของพวกจาตุมมหา-

ราชิกาละเอียดกว่าอาหารของพวกภุมเทวดา. ด้วยอาการอย่างนี้ พึงให้พิสดาร

ไปจนถึงอาหารของพวกเทพปรนิมมิตวสวัตดี ก็อาหารของเทพปรนิมมิตวสวัตดี

เหล่านั้นถึงการสิ้นสุดแล้วว่า ละเอียดที่สุด.

ว่าด้วยลักขณาทิจตุกะ

โอชากฺขโณ กพฬึกาโร อาหาโร กพฬิงการาหารอันบัณฑิตพึง

ทราบว่า มีโอชาเป็นลักษณะ รูปารหรณรโส มีการนำมาซึ่งรูปเป็นรส อุปตฺ-

ถมฺภนปจฺจุปฏฺาโน มีการอุปถัมภ์เป็นปัจจุปัฏฐาน กพฬ กตฺวา อา-

หริตพฺพวตฺถุปทฏฺาโน มีวัตถุที่บุคคลทำเป็นคำข้าวแล้วกลืนกิน

เป็นปทัฏฐาน.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 262

ทุกนิเทศ

[๕๓๙] รูปเป็นโนอุปาทา นั้น เป็นไฉน ?

คือโผฏฐัพพายตนะ อาโปธาตุ

[๕๔๐] รูปที่เรียกว่า โผฏฐัพพายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ที่แข็ง อ่อน ละเอียด หยาบ มี

สัมผัสสบาย มีสัมผัสไม่สบาย หนัก เบา, สัตว์นี้ ถูกต้องแล้ว หรือถูกต้อง

อยู่ หรือจักถูกต้อง หรือพึงถูกต้อง ซึ่งโผฏฐัพพะใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้

แต่กระทบได้ด้วยกายอันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า โผฏ-

ฐัพพะบ้าง โผฏฐัพพายตนะบ้าง โผฏฐัพพธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า โผฏฐัพ-

พายตนะ.

รูปที่เรียกว่า โผฏฐัพพายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ที่แข็ง อ่อน ละเอียด หยาบ มี

สัมผัสสบาย มีสัมผัสไม่สบาย หนัก เบา, กายอันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้ แต่

กระทบได้ กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบ ที่

โผฏฐัพพะใด อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้, นี้เรียกว่า โผฏฐัพพะบ้าง

โผฏฐัพพายตนะบ้าง โผฏฐัพพธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า โผฏฐัพพายตนะ.

รูปที่เรียกว่า โผฏฐัพพายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ที่แข็ง อ่อน ละเอียด หยาบ มี

สัมผัสสบาย มีสัมผัสไม่สบาย หนัก เบา, โผฏฐัพพะใด เป็นสิ่งที่เห็นไม่

ได้แต่กระทบได้ กระทบแล้ว หรือกระทบอยู่ หรือจักกระทบ หรือพึงกระทบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 263

ที่กาย อันเป็นสิ่งที่เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ นี้เรียกว่า โผฏฐัพพะบ้าง โผฏ-

ฐัพพายตนะบ้าง โผฏฐัพพธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า โผฏฐัพพายตนะ.

รูปที่เรียกว่า โผฏฐัพพายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ที่แข็ง อ่อน ละเอียด หยาบ มี

สัมผัสสบาย มีสัมผัสไม่สบาย หนัก เบา, เพราะปรารภโผฏฐัพพะใด กาย

สัมผัสอาศัยกายเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น

ฯลฯ เพราะปรารภโผฏฐัพพะใด เวทนาอันเกิดแต่กายสัมผัส ฯลฯ สัญญา

ฯลฯ เจตนา ฯลฯ กายวิญญาณ อาศัยกายเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือ

จักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ กายสัมผัสมีโผฏฐัพพะใดเป็นอารมณ์ อาศัย

กายเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น หรือพึงเกิดขึ้น ฯลฯ เวทนา

อันเกิดแต่กายสัมผัส ฯลฯ สัญญา ฯลฯ เจตนา ฯลฯ กายวิญญาณ มีโผฏ-

ฐัพพะใด เป็นอารมณ์อาศัยกายเกิดขึ้นแล้ว หรือเกิดขึ้นอยู่ หรือจักเกิดขึ้น

หรือพึงเกิดขึ้น, นี้เรียกว่า โผฏฐัพพะบ้าง โผฏฐัพพายตนะบ้าง โผฏฐัพพธาตุ

บ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า โผฏฐัพพายตนะ.

[๕๔๑] รูปที่เรียกว่า อาโปธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว

ธรรมชาติเครื่องเกาะกุมรูป อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า อาโปธาตุ.

รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็น โน อุปาทา.

[๕๔๒] รูปเป็นอนุปาทินนะ นั้น เป็นไฉน. ?

จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ

อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ ได้แก่ รูปายตนะ

คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ อากาศธาตุ อาโปธาตุ รูปอุปจยะ

รูปสันตติ กพฬิงการาหาร ที่กรรมแต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอุปาทินนะ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 264

รูปเป็นอนุปาทินนะ นั้น เป็นไฉน ?

สัททายตนะ กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปลหุตา รูปมุทุตา รูปกัมมัญญ-

ตา รูปชรตา รูปอนิจจตา หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ ได้แก่ รูปายตนะ คันธายตนะ

รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ อากาศธาตุ อาโปธาตุ รูปอุปจยะ รูปสันตติ

กพฬิงการาหาร ที่กรรมมิได้แต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอนุปาทินนะ.

[๕๔๓] รูปเป็นอุปาทินนุปาทานิยะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ ได้แก่ รูปายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพ-

พายตนะ อากาศธาตุ อาโปธาตุ รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหาร ที่

กรรมแต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอุปาทินนุปาทานิยะ.

รูปเป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ นั้น เป็นไฉน ?

สัททายตนะ กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปลหุตา รูปมุทุตา รูปกัมมัญญ-

ตา รูปชรตา รูปอนิจจตา หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ ได้แก่ รูปายตนะ สัททายตนะ

คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ อากาศธาตุ อาโปธาตุ รูปอุปจยะ

รูปสันตติ กพฬิงการาหาร ที่กรรมมิได้แต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็น

อนุปาทินนุปาทานิยะ.

[๕๔๔] รูปเป็นสนิทัสสนะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นสนิทัสสนะ.

รูปเป็นอันทัสสนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอนิทัสสนะ.

[๕๔๕] รูปเป็นสัปปฏิฆะ นั้น เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 265

จักขายตนะ โสตายตนะ ฆานายตนะ ชิวหายตนะ กายายตนะ

รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ รูปทั้งนี้

เรียกว่า รูปเป็นสัปปฏิฆะ.

รูปเป็นอัปปฏิฆะ นั้น เป็นไฉน ?

อิตถินทรีย์ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอัปปฏิฆะ.

[๕๔๖] รูปเป็นอินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

จักขุนทรีย์ โสตินทรีย์ ฆานินทรีย์ ชิวหินทรีย์ กายินทรีย์ อิตถินทรีย์

ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอินทรีย์.

รูปที่ไม่เป็นอินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นอินทรีย์.

[๕๔๗] รูปเป็นมหาภูต นั้น เป็นไฉน ?

โผฏฐัพพายตนะ อาโปธาตุ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นมหาภูต.

รูปไม่เป็นมหาภูต นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นมหาภูต.

[๕๔๘] รูปเป็นวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นวิญญัตติ.

รูปไม่เป็นวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นวิญญัตติ.

[๕๔๙] รูปเป็นจิตตสมุฏฐาน นั้น เป็นไฉน ?

กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ หรือรูปแม้อื่นใดมีอยู่ ที่เกิดแต่จิต มีจิต

เป็นเหตุ มีจิตเป็นสมุฏฐาน ได้แก่รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ

รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ อากาศธาตุ อาโปธาตุ รุปลหุตา รูปมุทุตา

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 266

รูปกัมมัญญตา รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูป

เป็นจิตตสมุฏฐาน.

รูปไม่เป็นจิตตสมุฏฐาน นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

รูปชรา รูปอนิจจตา หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ ที่ไม่เกิดแต่จิต ไม่มีจิตเป็นเหตุ

ไม่มีจิตเป็นสมุฏฐาน ได้แก่รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ

โผฏฐัพพายตนะ อากาศธาตุ อาโปธาตุ รูปลหุตา รูปมุทุตา รูปกัมมัญญตา

รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นจิตตสมุฏฐาน.

[๕๕๐] รูปเป็นจิตตสหภู นั้น เป็นไฉน ?

กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นจิตตสหภู.

รูปไม่เป็นจิตตสหภู นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นจิตตสหภู.

[๕๕๑] รูปเป็นจิตตานุปริวัติ นั้น เป็นไฉน ?

กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นจิตตานุปริวัติ.

รูปไม่เป็นจิตตานุปริวัติ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็น

จิตตานุปริวัติ.

[๕๕๒] รูปเป็นภายใน นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นภายใน.

รูปเป็นภายนอก นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นภายนอก.

[๕๕๓] รูปหยาบ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ โผฆฐัพพายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปหยาบ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 267

รูปละเอียด นั้น เป็นไฉน ?

อิตถินทรีย์ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปละเอียด.

[๕๕๔] รูปไกล นั้น เป็นไฉน ?

อิตถินทรีย์ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไกล.

รูปใกล้ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปใกล้.

[๕๕๕] รูปเป็นที่อาศัยเกิดของจักษุสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัส.

รูปไม่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

โสตายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นที่

อาศัยเกิดของจักขุสัมผัส.

[๕๕๖] รูปเป็นที่อาศัยเกิดของเวทนา อันเกิดแต่จักขุสัมผัส

ฯลฯ ของสัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักขุวิญญาณ นั้น

เป็นไฉน ?

จักขายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นที่อาศัยเกิดของจักษุวิญญาณ.

รูปไม่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

โสตายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นที่อาศัย

เกิดของจักขุวิญญาณ.

[๕๕๗] รูปเป็นที่อาศัยเกิดของโสตสัมผัส ฯลฯ ของฆาน-

สัมผัส ฯลฯ ของชิวหาสัมผัส ฯลฯ ของกายสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นที่อาศัยเกิดของกายสัมผัส.

รูปไม่เป็นที่อาศัยเกิดของกายสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 268

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นที่อาศัย

เกิดของกายสัมผัส.

[๕๕๘] รูปเป็นที่อาศัยเกิดของเวทนา อันเกิดแต่กายสัมผัส

ฯลฯ ของสัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวิญญาณ นั้น

เป็นไฉน ?

กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นที่อาศัยเกิดของกายวิญญาณ.

รูปไม่เป็นที่อาศัยเกิดของกายวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นที่อาศัย

เกิดของกายวิญญาณ.

[๕๕๙] รูปเป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัส.

รูปไม่เป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นอารมณ์

ของจักขุสัมผัส.

[๕๖๐] รูปเป็นอารมณ์ของเวทนาอันเกิดแต่จักษุสัมผัส ฯลฯ

ของสัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักขุวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณ.

รูปไม่เป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นอารมณ์

ของจักขุวิญญาณ.

[๕๖๑] รูปเป็นอารมณ์ของโสตสัมผัส ฯลฯ ของฆานสัมผัส

ฯลฯ ของชิวหาสัมผัส ฯลฯ ของกายสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 269

โผฏฐัพพายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอารมณ์ของกายสัมผัส.

รูปไม่เป็นอารมณ์ของกายสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นอารมณ์

ของกายสัมผัส.

[๕๖๒] รูปเป็นอารมณ์ของเวทนาอันเกิดแต่กายสัมผัส ฯลฯ

ของสัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

โผฏฐัพพายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอารมณ์ของกายวิญญาณ.

รูปไม่เป็นอารมณ์ของกายวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นอารมณ์

ของกายวิญญาณ.

[๕๖๓] รูปเป็นจักขายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขุใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่า จักขุบ้าง

ฯลฯ บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นจักขายตนะ.

รูปไม่เป็นจักขายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

โสตายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นจักขายตนะ.

[๕๖๔] รูปเป็นโสตายตนะ ฯลฯ เป็นฆานายตนะ ฯลฯ เป็น

ชิวหายตนะ ฯลฯ เป็นกายายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

กายใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่า กายบ้าง

ฯลฯ บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นกายายตนะ.

รูปไม่เป็นกายายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นกายายตนะ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 270

[๕๖๕] รูปเป็นรูปายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่า รูปบ้าง รูปายตนะ

บ้าง รูปธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นรูปายตนะ.

รูปไม่เป็นรูปายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นรูปายตนะ.

[๕๖๖] รูปเป็นสัททายตนะ ฯลฯ เป็นคันธายตนะ ฯลฯ เป็น

รสายตนะ ฯลฯ เป็นโผฏฐัพพายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

ปฐวีธาตุ ฯลฯ นี้เรียกว่า โผฏฐัพพะบ้าง โผฏฐัพพายตนะบ้าง

โผฏฐัพพธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นโผฏฐัพพายตนะ.

รูปไม่เป็นโผฏฐัพพายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นโผฏ-

ฐัพพายตนะ.

[๕๖๗] รูปเป็นจักขุธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นจักขุธาตุ.

รูปไม่เป็นจักขุธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

โสตายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นจักขุธาตุ.

[๕๖๘] รูปเป็นโสตธาตุ ฯลฯ เป็นเป็นฆานธาตุ ฯลฯ เป็น

ชิวหาธาตุ ฯลฯ เป็นกายธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นกายธาตุ.

รูปไม่เป็นกายธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นกายธาตุ.

[๕๖๙] รูปเป็นรูปธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นรูปธาตุ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 271

รูปไม่เป็นรูปธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นรูปธาตุ.

[๕๗๐] รูปเป็นสัททธาตุ ฯลฯ เป็นคันธธาตุ ฯลฯ เป็น

รสธาตุ ฯลฯ เป็นโผฏฐัพพธาตุ เป็นไฉน ?

โผฏฐัพพายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นโผฏฐัพพธาตุ.

รูปไม่เป็นโผฏฐัพพธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็น

โผฏฐัพพธาตุ.

[๕๗๑] รูปเป็นจักขุนทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

จักขุใดเป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่าจักขุบ้าง ฯลฯ

บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นจักขุนทรีย์.

รูปไม่เป็นจักขุนทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

โสตายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็น

จักขุนทรีย์.

[๕๗๒] รูปเป็นโสตินทรีย์ ฯลฯ เป็นฆานินทรีย์ ฯลฯ เป็น

ชิวหินทรีย์ ฯลฯ เป็นกายินทรีย์ ฯลฯ นั้น เป็นไฉน ?

กายใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่ากายบ้าง

ฯลฯ บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นกายินทรีย์.

รูปไม่มีกายินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็น

กายินทรีย์.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 272

[๕๗๓] รูปเป็นอิตถินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

ทรวดทรงหญิง เครื่องหมายให้รู้ว่าหญิง กิริยาหญิง อาการหญิง

สภาพหญิง ภาวะหญิง ของหญิง ปรากฏได้ด้วยเหตุใด รูปทั้งนี้เรียกว่า

รูปเป็นอิตถินทรีย์.

รูปไม่เป็นอิตถินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็น

อิตถินทรีย์.

[๕๗๔] รูปเป็นปุริสินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

ทรวดทรงชาย เครื่องหมายให้รู้ว่าชาย กิริยาชาย อาการชาย สภาพ

ชาย ภาวะชาย ของชาย ปรากฏได้ด้วยเหตุใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็น

ปุริสินทรีย์.

รูปไม่เป็นปุริสินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็น

ปุริสินทรีย์.

[๕๗๕] รูปเป็นชีวิตินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

อายุ ความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ กิริยาที่เป็นไปอยู่ อาการที่

สืบเนื่องกันอยู่ ความประพฤติเป็นไปอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่ ชีวิต อินทรีย์

คือชีวิตของรูปธรรมนั้น ๆ อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นชีวิตินทรีย์.

รูปไม่เป็นชีวิตินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็น

ชีวิตินทรีย์.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 273

[๕๗๖] รูปเป็นกายวิญญัตติ เป็นไฉน ?

การเคร่งตึง กิริยาที่เคร่งตึงด้วยดี ความที่เคร่งตึงด้วยดี การแสดง

ให้รู้ความหมาย กิริยาที่แสดงให้รู้ความหมาย ความแสดงให้รู้ความหมาย

แห่งกายของบุคคลผู้มีจิตเป็นกุศล หรือมีจิตเป็นอกุศล หรือมีจิตเป็นอัพยากฤต

ก้าวไปอยู่ ถอยกลับอยู่ แลดูอยู่ เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ คู้เข้าอยู่ หรือเหยียด

ออกอยู่ อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นกายวิญญัตติ.

รูปไม่เป็นกายวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นกาย

วิญญัตติ.

[๕๗๗] รูปเป็นวจีวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

การพูด การเปล่งวาจา การเจรจา การกล่าว การป่าวร้อง การ

โฆษณา วาจา วจีเภท แห่งบุคคลผู้มีจิตเป็นกุศล หรือมีจิตเป็นอกุศล หรือ

มีจิตเป็นอัพยากฤต อันใด นี้เรียกว่า วาจา, การแสดงให้รู้ความหมาย กิริยา

ที่แสดงให้รู้ความหมาย ความแสดงให้รู้ด้วยวาจานั้น อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า

รูปเป็นวจีวิญญัตติ.

รูปไม่เป็นวจีวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็น

วจีวิญญัตติ.

[๕๗๘] รูปเป็นอากาศธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอัน

นับว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง อันมหาภูตรูป ๔

ไม่ถูกต้องแล้ว อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอากาศธาตุ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 274

รูปไม่เป็นอากาศธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็น

อากาศธาตุ.

[๕๗๙] รูปเป็นอาโปธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

ความเอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ ความเหนียว ธรรมชาติที่เหนียว

ธรรมชาติเครื่องเกาะกุมรูป อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอาโปธาตุ.

รูปไม่เป็นอาโปธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็น

อาโปธาตุ.

[๕๘๐] รูปเป็นในรูปลหุตา นั้น เป็นไฉน ?

ความเบา ความรวดเร็ว ความไม่เชื่องช้า ความไม่หนัก แห่งรูป

อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นรูปลหุตา.

รูปไม่เป็นรูปลหุตา นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็น

รูปลหุตา.

[๕๘๑] รูปเป็นรูปมุทุตา นั้น เป็นไฉน ?

ความอ่อน ภาวะที่อ่อน ความไม่แข็ง ความไม่กระด้าง แห่งรูปอันใด

รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นรูปมุทุตา.

รูปไม่เป็นรูปมุทุตา นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็น

รูปมุทุตา.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 275

[๕๘๒] รูปเป็นรูปกัมมัญญตา นั้น เป็นไฉน ?

กิริยาที่ควรแก่การงาน ความควรแก่การงาน ภาวะที่ควรแก่การงาน

แห่งรูป อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นรูปกัมมัญญตา.

รูปไม่เป็นรูปกัมมัญญตา นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นรูป

กัมมัญญตา.

[๕๘๓] รูปเป็นรูปอุปจยะ นั้น เป็นไฉน ?

ความสั่งสมแห่งอายตนะทั้งหลาย อันใด อันนั้นเป็นความเกิดแห่งรูป

รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นรูปอุปจยะ.

รูปไม่เป็นรูปอุปจยะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นรูป

อุปจยะ.

[๕๘๔] รูปเป็นรูปสันตติ นั้น เป็นไฉน ?

ความเกิดแห่งรูป อันใด อันนั้นเป็นความสืบต่อแห่งรูป รูปทั้งนี้

เรียกว่า รูปเป็นรูปสันตติ.

รูปไม่เป็นรูปสันตติ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นสันตติ.

[๕๘๕] รูปเป็นรูปชรตา นั้น เป็นไฉน ?

ความชรา ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความ

มีหนังเหี่ยว ความเสื่อมอายุ ความหง่อมแห่งอินทรีย์ แห่งรูป อันใด รูปทั้งนี้

เรียกว่า รูปเป็นรูปชรตา.

รูปไม่เป็นรูปชรตา นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นรูปชรตา.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 276

[๕๘๖] รูปเป็นรูปอนิจจตา นั้น เป็นไฉน ?

ความสิ้นไป ความเสื่อมไป ความแตก ความทำลาย ความไม่เที่ยง

ความอันตรธานแห่งรูป อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นรูปอนิจจตา.

รูปไม่เป็นรูปอนิจจตา นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นรูป

อนิจจตา.

[๕๘๗] รูปเป็นกพฬิงการาหาร นั้น เป็นไฉน ?

ข้าวสุก ขนมสด นมแห้ง ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม เนยใส

เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย หรือรูปแท้อื่นใด มีอยู่ อันเป็นของใส่ปาก

ขบเคี้ยว กลืนกิน อิ่มท้อง ของสัตว์นั้น ๆ ในชนบทใด ๆ สัตว์ทั้งหลาย

เลี้ยงชีวิตโดยโอซาอันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นกพฬิงการาหาร.

รูปไม่เป็นกพฬิงการาหาร นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ รูปอนิจจตา รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปไม่เป็นกพฬิง-

การาหาร.

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๒ อย่างนี้.

ทุกนิเทส จบ

ติกนิเทศ

[๕๘๘] รูปภายในเป็นอุปาทา นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในเป็นอุปาทา.

รูปภายนอกที่เป็นอุปาทา นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็น

อุปาทา.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 277

รูปภายนอกที่เป็นอนุปาทา นั้น เป็นไฉน ?

โผฏฐัพพายตนะ อาโปธาตุ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็น

อนุปาทา.

[๖๘๙] รูปภายในเป็นอุปาทินนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในเป็นอุปา-

ทินนะ.

รูปภายนอกที่เป็นอุปาทินนะ นั้น เป็นไฉน ?

อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ ได้แก่

รูปายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ อากาศธาตุ อาโปธาตุ

รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหาร ที่กรรมแต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า รูป

ภายนอกที่เป็นอุปาทินนะ.

รูปภายนอกที่เป็นอนุปาทินนะ นั้น เป็นไฉน ?

สัททายตนะ กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปลหุตา รูปมุทุตา รูปกัมมัญญ-

ตา รูปชรตา รูปอนิจจตา หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ ได้แก่รูปายนตะ สัททายตนะ

คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ อากาศธาตุ อาโปธาตุ รูปอุปจยะ

รูปสันตติ กพฬิงการาหาร ที่กรรมมิได้แต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอก

ที่เป็นอนุปาทินนะ.

[๕๙๐] รูปภายในเป็นอุปาทินนุปาทานิยะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในเป็น อุปา-

ทินนุปาทานิยะ.

รูปภายนอกที่เป็นอุปาทินนุปาทานิยะ นั้น เป็นไฉน ?

อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ ได้แก่

รูปายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ อากาศธาตุ อาโปธาตุ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 278

รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหาร ที่กรรมแต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า รูป

ภายนอกที่เป็นอุปาทินนุปาทานิยะ.

รูปภายนอกที่เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ นั้น เป็นไฉน ?

สัททายตนะ กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปลหุตา รูปมุทุตา รูปกัมมัญญ-

ตา รูปชรตา รูปอนิจจตา หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ ได้แก่ รูปายตนะ คันธายตนะ

รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ อากาศธาตุ อาโปธาตุ รูปอุปจยะ รูปสันตติ

กพฬิงการาหาร ที่กรรมมิได้แต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็น

อนุปาทินนุปาทานิยะ.

[๕๙๑] รูปภายในที่เป็นอนิทัสสนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในเป็น

อนิทัสสนะ.

รูปภายนอกที่เป็นสนิทัสสนะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นสนิทัสสนะ.

รูปภายนอกที่เป็นอนิทัสสนะ นั้น เป็นไฉน ?

สัททายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่

เป็นอนิทัสสนะ.

[๕๙๒] รูปภายในเป็นสัปปฏิฆะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในเป็นสัปปฏิฆะ.

รูปภายนอกที่เป็นสัปปฏิฆะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่

เป็นสัปปฏิฆะ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 279

รูปภายนอกที่เป็นอัปปฏิฆะ นั้น เป็นไฉน ?

อิตถินทรีย์ ฯลฯ กฬฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่

เป็นอัปปฏิฆะ.

[๕๙๓] รูปภายในเป็นอินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

จักขุนทรีย์ ฯลฯ กายินทรีย ์ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในเป็นอินทรีย์

รูปภายนอกที่เป็นอินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่

เป็นอินทรีย์.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นอินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นอินทรีย์.

[๕๙๔] รูปภายในไม่เป็นมหาภูต นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

มหาภูต.

รูปภายนอกที่เป็นมหาภูต นั้น เป็นไฉน ?

โผฏฐัพพายตนะ อาโปธาตุ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นมหาภูต.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นมหาภูต นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นมหาภูต.

[๕๙๕] รูปภายในไม่เป็นวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

วิญญัตติ.

รูปภายนอกที่เป็นวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 280

กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นวิญญัตติ.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นวิญญัตติ.

[๕๙๖] รูปภายในไม่เป็นจิตตสมุฏฐาน นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

จิตตสมุฏฐาน.

รูปภายนอกที่เป็นจิตตสมุฏฐาน นั้น เป็นไฉน ?

กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ หรือแม้รูปอื่นใด มีอยู่ ได้แก่ รูปายตนะ

สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ โผฏฐัพพายตนะ อากาศธาตุ อาโปธาตุ

รูปลหุตา รูปมุทุตา รูปกัมมัญญตา รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหาร

ที่เกิดจากจิต มีจิตเป็นเหตุ มีจิตเป็นสมุฏฐาน รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอก

ที่เป็นจิตตสมุฏฐาน.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นจิตตสมุฏฐาน นั้น เป็นไฉน ?

อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ รูปชรตา รูปอนิจจตา หรือ

รูปแม้อื่นใด มีอยู่ ได้แก่ รูปายตนะ สัททายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ

โผฏฐัพพายตนะ อากาศธาตุ อาโปธาตุ รูปลหุตา รูปกัมมัญญตา รูปอุปจยะ

รูปสันตติ กพฬิงการาหาร ที่ไม่ได้เกิดจากจิต ไม่มีจิตเป็นเหตุ ไม่มีจิตเป็น

สมุฏฐาน รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่เป็นจิตตสมุฏฐาน ?

[๕๙๗] รูปภายในไม่เป็นจิตตสหภู นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

จิตตสหภู.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 281

รูปภายนอกที่เป็นจิตตสหภู นั้น เป็นไฉน ?

กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นจิตตสหภู.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นจิตสหภู นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่เป็น

จิตตสหภู.

[๕๙๘] รูปภายในไม่เป็นจิตตานุปริวัติ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

จิตตานุปริวัติ.

รูปภายนอกที่เป็นจิตตานุปริวัติ นั้น เป็นไฉน ?

กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นจิตตา-

นุปริวัติ.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นจิตตานุปริวัติ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นจิตตานุปริวัติ.

[๕๙๙] รูปภายในที่หยาบ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่หยาบ.

รูปภายนอกที่หยาบ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่หยาบ.

รูปภายนอกที่ละเอียด นั้น เป็นไฉน ?

อิตถินทรีย์ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่

ละเอียด.

[๖๐๐] รูปภายในที่อยู่ใกล้ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่อยู่ใกล้

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 282

รูปภายนอกที่อยู่ไกล นั้น เป็นไฉน ?

อิตถินทรีย์ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่

อยู่ไกล.

รูปภายนอกที่อยู่ใกล้ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ โผฏฐัพพายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่

อยู่ใกล้.

[๖๐๑] รูปภายนอกที่ไม่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัส นั้น

เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัส.

รูปภายในที่เป็นที่อาศัยเกิดของจักษุสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัส.

รูปภายในที่ไม่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

โสตายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่ไม่เป็น

ที่อาศัยเกิดของจักขุสัมผัส.

[๖๐๒] รูปภายนอกไม่เป็นที่อาศัยเกิดของเวทนา อันเกิดแต่

จักขุสัมผัส ฯลฯ ของสัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักษุวิญญาณ

นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกไม่เป็น

ที่อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณ.

รูปภายในที่เป็นที่อาศัยของจักขุวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 283

รูปภายในที่ไม่เป็นที่อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

โสตายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่ไม่เป็นที่

อาศัยเกิดของจักขุวิญญาณ.

[๖๐๓] รูปภายนอกไม่เป็นที่อาศัยเกิดของโสตสัมผัส ฯลฯ

ของฆานสัมผัส ฯลฯ ของชิวหาสัมผัส ฯลฯ ของกายาสัมผัส นั้น

เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกไม่เป็น

ที่อาศัยเกิดของกายสัมผัส.

รูปภายในที่เป็นที่อาศัยเกิดของกายสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่เป็นที่อาศัยเกิดของกายสัมผัส.

รูปภายในที่ไม่เป็นที่อาศัยเกิดของกายสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ ชิวหายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่ไม่เป็น

ที่อาศัยเกิดของกายสัมผัส.

[๖๐๔] รูปภายนอกไม่เป็นที่อาศัยเกิดของเวทนา อันเกิดแต่

กายสัมผัส ฯลฯ ของสัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวิญญาณ

นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกไม่เป็น

ที่อาศัยเกิดของกายวิญญาณ.

รูปภายในที่เป็นที่อาศัยเกิดของกายวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่เป็นที่อาศัยเกิดของกายวิญญาณ.

รูปภายในไม่เป็นที่อาศัยเกิดของกายวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ ชิวหายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็นที่

อาศัยเกิดของกายวิญญาณ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 284

[๖๐๕] รูปภายในไม่เป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

อารมณ์ของจักขุสัมผัส.

รูปภายนอกที่เป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัส.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

สัททายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่

ไม่เป็นอารมณ์ของจักขุสัมผัส.

[๖๐๖] รูปภายในไม่เป็นอารมณ์ของเวทนาอันเกิดแต่จักขุ-

สัมผัส ฯลฯ ของสัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของจักขุวิญญาณ

นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

อารมณ์ของจักขุวิญญาณ.

รูปภายนอกที่เป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณ.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

สัททายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่

ไม่เป็นอารมณ์ของจักขุวิญญาณ.

[๖๐๗] รูปภายในไม่เป็นอารมณ์ของโสตสัมผัส ฯลฯ ของ

ฆานสัมผัส ฯลฯ ของชิวหาสัมผัส ฯลฯ ของกายสัมผัส นั้น

เป็นไฉน ?

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 285

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

อารมณ์ของกายสัมผัส.

รูปภายนอกที่เป็นอารมณ์ของกายสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

โผฏฐัพพายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกเป็นอารมณ์ของกาย-

สัมผัส.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นอารมณ์ของกายสัมผัส นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นอารมณ์ของกายสัมผัส.

[๖๐๘] รูปภายในไม่เป็นอารมณ์ของเวทนา อันเกิดแต่กาย

สัมผัส ฯลฯ ของสัญญา ฯลฯ ของเจตนา ฯลฯ ของกายวิญญาณ

นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

อารมณ์ของกายวิญญาณ.

รูปภายนอกที่เป็นอารมณ์ของกายวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

โผฏฐัพพายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นอารมณ์ของกาย-

วิญญาณ.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นอารมณ์ของกายวิญญาณ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกไม่

เป็นอารมณ์ของกายวิญญาณ.

[๖๐๙] รูปภายนอกที่ไม่เป็นจักขายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกไม่

เป็นจักขายตนะ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 286

รูปภายในที่เป็นจักขายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขุใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่าจักขุบ้าง

ฯลฯ บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่เป็นจักขายตนะ.

รูปภายในที่ไม่เป็นจักขายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

โสตายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่ไม่เป็น

จักขายตนะ.

[๖๑๐] รูปภายนอกไม่เป็นโสตายตนะ ฯลฯ ไม่เป็นฆานาย-

ตนะ ฯลฯ ไม่เป็นชิวหายตนะ ฯลฯ ไม่เป็นกายายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกไม่เป็น

กายายตนะ.

รูปภายในที่เป็นกายายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

กายใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่ากายบ้าง

ฯลฯ บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่เป็นกายายตนะ.

รูปภายในที่ไม่เป็นกายายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ ชิวหายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่ไม่เป็น

กายายตนะ.

[๖๑๑] รูปภายในที่ไม่เป็นรูปายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

รูปายตนะ.

รูปภายนอกที่เป็นรูปายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปใด เป็นสี อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่า รูปบ้าง รูปายตนะ

บ้าง รูปธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นรูปายตนะ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 287

รูปภายนอกที่ไม่เป็นรูปายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

สัททายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่

ไม่เป็นรูปายตนะ.

[๖๑๒] รูปภายในไม่เป็นสัททายตนะ ฯลฯ ไม่เป็นคันธาย-

ตนะ ฯลฯ ไม่เป็นรสายตนะ ฯลฯ ไม่เป็นโผฏฐัพพายตนะ

นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

โผฏฐัพพายตนะ.

รูปภายนอกที่เป็นโผฏฐัพพายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

ปฐวีธาตุ ฯลฯ นี้เรียกว่า โผฏฐัพพะบ้าง โผฏฐัพพายตนะบ้าง

โผกฐัพพธาตุบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นโผฏฐัพพายตนะ.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นโผฏฐัพพายตนะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นโผฏฐัพพายตนะ.

[๖๑๓] รูปภายนอกไม่เป็นจักขุธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกไม่เป็น

จักขุธาตุ.

รูปภายในที่เป็นจักขุธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่เป็นจักขุธาตุ.

รูปภายในที่ไม่เป็นจักขุธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

โสตายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่ไม่เป็น

จักขุธาตุ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 288

[๖๑๔] รูปภายนอกที่ไม่เป็นโสตธาตุ ฯลฯ ไม่เป็นฆานธาตุ

ฯลฯ ไม่เป็นชิวหาธาตุ ฯลฯ ไม่เป็นกายธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกไม่เป็น

กายธาตุ.

รูปภายในที่เป็นกายธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่เป็นกายธาตุ.

รูปภายในที่ไม่เป็นกายธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ ชิวหายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่ไม่เป็น

กายธาตุ.

[๖๑๕] รูปกายในที่ไม่เป็นในรูปธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่ไม่เป็น

รูปธาตุ.

รูปภายนอกที่เป็นรูปธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นรูปธาตุ.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นรูปธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

สัททายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นรูปธาตุ.

[๖๑๖] รูปภายในไม่เป็นสัททธาตุ ฯลฯ ไม่เป็นคันธธาตุ ฯลฯ

ไม่เป็นรสธาตุ ฯลฯ ไม่เป็นโผฏฐัพพธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็นโผฏ-

ฐัพพธาตุ.

รูปภายนอกที่เป็นโผฏฐัพพธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

โผฏฐัพพายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นโผฏฐัพพธาตุ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 289

รูปภายนอกที่ไม่เป็นโผฏฐัพพธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นโผฏฐัพพธาตุ.

[๖๑๗] รูปภายนอกไม่เป็นจักขุนทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกไม่เป็น

จักขุทรีย์.

รูปภายในที่เป็นจักขุนทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

จักขุใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ๔ ฯลฯ นี้เรียกว่า จักขุบ้าง

ฯลฯ บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่เป็นจักขุนทรีย์.

รูปภายในที่ไม่เป็นจักขุนทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

โสตายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่ไม่เป็น

จักขุนทรีย์.

[๖๑๘] รูปภายนอกไม่เป็นโสตินทรีย์ ฯลฯ ไม่เป็นฆานินทรีย์

ฯลฯ ไม่เป็นชิวหินทรีย์ ฯลฯ ไม่เป็นกายินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกไม่เป็น

กายินทรีย์.

รูปภายในที่เป็นกายินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

กายใด เป็นปสาทรูป อาศัยมหาภูตรูป ฯลฯ นี้เรียกว่า กายบ้าง

ฯลฯ บ้านว่างบ้าง รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่เป็นกายินทรีย์.

รูปภายในที่ไม่เป็นกายินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ ชิวหายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่ไม่เป็น

กายินทรีย์.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 290

[๖๑๙] รูปภายในไม่เป็นอิตถินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

อิตถินทรีย์.

รูปภายนอกที่เป็นอิตถินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

ทรวดทรงหญิง เครื่องหมายให้รู้ว่าหญิง กิริยาหญิง อาการหญิง

สภาพหญิง ภาวะหญิง ของหญิง ปรากฏได้ด้วยเหตุใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูป

ภายนอกที่เป็นอิตถินทรีย์.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นอิตถินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นอิตถินทรีย์.

[๖๒๐] รูปภายในไม่เป็นปุริสินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

ปุริสินทรีย์.

รูปภายนอกที่เป็นปุริสินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

ทรวดทรงชาย เครื่องหมายให้รู้ว่าชาย กิริยาชาย อาการชาย สภาพ

ชาย ภาวะชาย ของชาย ปรากฏได้ด้วยเหตุใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอก

ที่เป็นปุริสินทรีย์.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นปุริสินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นปุริสินทรีย์.

[๖๒๑] รูปภายในไม่เป็นชีวิตินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

ชีวิตินทรีย์.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 291

รูปภายนอกที่เป็นชีวิตินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

อายุ ความดำรงอยู่ ความเป็นไปอยู่ กิริยาที่เป็นไปอยู่ อาการที่สืบ

เนื่องกันอยู่ ความประพฤติเป็นไปอยู่ ความหล่อเลี้ยงอยู่ ชีวิต อินทรีย์คือ

ชีวิตของรูปธรรมนั้น ๆ อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกเป็นชีวิตินทรีย์.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นชีวิตินทรีย์ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นชีวิตินทรีย์.

[๖๒๒] รูปภายในไม่เป็นกายวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็นกาย

วิญญัตติ.

รูปภายนอกที่เป็นกายวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

การเคร่งตึง กิริยาที่เคร่งตึงด้วยดี ความเคร่งตึงด้วยดี การแสดงให้รู้

ความหมาย กิริยาที่แสดงให้รู้ความหมาย ความแสดงให้รู้ความหมาย แห่ง

กายของบุคคลผู้มีจิตเป็นกุศล หรือมีจิตเป็นอกุศล หรือมีจิตเป็นอัพยากฤต

ก้าวไปอยู่ ถอยกลับอยู่ แลดูอยู่ เหลียวซ้ายแลขวาอยู่ คู้เข้าอยู่ หรือเหยียด

ออกอยู่ อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นกายวิญญัตติ.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นกายวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่เป็น

กายวิญญัตติ.

[๖๒๓] รูปภายในไม่เป็นวจีวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายใน ไม่เป็น

วจีวิญญัตติ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 292

รูปภายนอกที่เป็นวจีวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

การพูด การเปล่งวาจา การเจรจา การกล่าว การป่าวร้อง การ

โฆษณา วาจา วจีเภท แห่งบุคคลผู้มีจิตเป็นกุศล หรือมีจิตเป็นอกุศล หรือมี

จิตเป็นอัพยากฤต อันใด นี้เรียกว่าวาจา การแสดงให้รู้ความหมาย กิริยาที่

แสดงให้รู้ความหมาย ความแสดงให้รู้ความหมายด้วยวาจานั้น อันใด รูปทั้ง

นี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นวจีวิญญัตติ.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นวจีวิญญัตติ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นวจีวิญญัตติ.

[๖๒๔] รูปภายในเป็นอากาศธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่ไม่เป็น

อากาศธาตุ.

รูปภายนอกที่เป็นอากาศธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

อากาศ ธรรมชาติอันนับว่าอากาศ ความว่างเปล่า ธรรมชาติอันนับ

ว่าความว่างเปล่า ช่องว่าง ธรรมชาติอันนับว่าช่องว่าง อันมหาภูตรูป ๔

ไม่ถูกต้องแล้ว อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นอากาศธาตุ.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นอากาศธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นอากาศธาตุ.

[๖๒๕] รูปภายในไม่เป็นอาโปธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

อาโปธาตุ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 293

รูปภายนอกที่เป็นอาโปธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

สภาวะที่เอิบอาบ ธรรมชาติที่เอิบอาบ สภาวะที่เหนียว ธรรมชาติที่

เหนียว ธรรมชาติเครื่องเกาะกุม รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นอาโปธาตุ.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นอาโปธาตุ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นอาโปธาตุ.

[๖๒๖] รูปภายในไม่เป็นรูปลหุตา นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็นรูป

ลหุตา.

รูปภายนอกที่เป็นรูปลหุตา นั้น เป็นไฉน ?

ความเบา ความรวดเร็ว ความไม่เชื่องช้า ความไม่หนัก แห่งรูป

อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นรูปลหุตา.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นรูปลหุตา นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นรูปลหุตา.

[๖๒๗] รูปภายในไม่เป็นรูปมุทุตา นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็นรูป

มุทุตา.

รูปภายนอกที่เป็นรูปมุทุตา นั้น เป็นไฉน ?

ความอ่อน ภาวะที่อ่อน ความไม่แข็ง ความไม่กระด้าง แห่งรูปอันใด

รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นรูปมุทุตา.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 294

รูปภายนอกที่ไม่เป็นรูปมุทุตา นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอก ที่ไม่

เป็นรูปมุทุตา.

[๖๒๘] รูปภายในไม่เป็นรูปกัมมัญญตา นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็นรูป

กัมมัญญตา.

รูปภายนอกที่เป็นรูปกัมมัญญตา นั้น เป็นไฉน ?

กิริยาที่ควรแก่การงาน ความควรแห่งการงาน ภาวะที่ควรแก่การงาน

แห่งรูป อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นรูปกัมมัญญตา.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นกัมมัญญตา นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกไม่เป็น

รูปกัมมัญญตา.

[๖๒๙] รูปภายในไม่เป็นรูปอุปจยะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

รูปอุปจยะ.

รูปภายนอกที่เป็นรูปอุปจยะ นั้น เป็นไฉน ?

ความสั่งสมแห่งอายตนะทั้งหลาย อันใด อันนั้นเป็นความเกิดแห่งรูป

รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นรูปอุปจยะ.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นรูปอุปจยะ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นรูปอุปจยะ.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 295

[๖๓๐] รูปภายในไม่เป็นรูปสันตติ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

รูปสันตติ.

รูปภายนอกที่เป็นรูปสันตติ นั้น เป็นไฉน ?

ความเกิดแห่งรูปอันใด อันเป็นความสืบต่อแห่งรูป รูปทั้งนี้เรียกว่า

รูปภายนอกที่เป็นรูปสันตติ.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นรูปสันตติ นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นรูปสันตติ.

[๖๓๑] รูปภายในไม่เป็นรูปชรตา นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

รูปชรตา.

รูปภายนอกที่เป็นรูปชรตา นั้น เป็นไฉน ?

ความชรา ความคร่ำคร่า ความมีฟันหลุด ความมีผมหงอก ความ

มีหนังเหี่ยว ความเสื่อมอายุ ความหง่อมแห่งอินทรีย์ แห่งรูป อันใด รูป

ทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นรูปชรตา.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นรูปชรตา นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นรูปชรตา.

[๖๓๒] รูปภายในไม่เป็นรูปอนิจจตา นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในไม่เป็น

รูปอนิจจตา.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 296

รูปภายนอกที่เป็นรูปอนิจจตา นั้น เป็นไฉน ?

ความสิ้นไป ความเสื่อมไป ความแตก ความทำลาย ความไม่เที่ยง

ความอันตรธาน แห่งรูป อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอก ที่เป็นรูปอนิจจตา.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นรูปอนิจจตา นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่

เป็นรูปอนิจจตา.

[๖๓๓] รูปภายในไม่เป็นกพฬิงการาหาร นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายในที่ไม่เป็น

กพฬิงการาหาร.

รูปภายนอกที่เป็นกพฬิงการาหาร นั้น เป็นไฉน ?

ข้าวสุก ขนมสด ขนมแห้ง ปลา เนื้อ นมสด นมส้ม เนยใส

เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย หรือว่ารูปแม้อื่นใด มีอยู่ อันเป็นของใส่ปาก

ขบเคี้ยว กลืนกิน อิ่มท้อง ของสัตว์นั้น ๆ ในชนบทใด ๆ สัตว์ทั้งหลายเลี้ยง

ชีวิตด้วยโอชา อันใด รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่เป็นกพฬิงการาหาร.

รูปภายนอกที่ไม่เป็นกพฬิงการาหาร นั้น เป็นไฉน ?

รูปายตนะ ฯลฯ รูปอนิจจตา รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปภายนอกที่ไม่เป็น

กพฬิงการาหาร.

สงเคราะห์รูปเป็นหมวดละ ๓ อย่างนี้.

ติกนิเทศ จบ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 297

อรรถกถารูปกัณฑ์

อรรถกถาโนอุปาทานิสเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่ง โน อุปาทา ต่อไป

รูปที่ชื่อว่า โน อุปาทา เพราะอรรถว่า โนอุปาทารูปนี้ย่อมไม่

อาศัย เหมือนอุปาทารูปย่อมอาศัยมหาภูตรูปเท่านั้นไม่อาศัยรูปอื่น. ที่ชื่อว่า

โผฏฐัพพะ เพราะอรรถว่า อันกายพึงถูกต้อง. อธิบายว่า ถูกต้องแล้วจึงรู้.

รูปนั้นเป็นโผฏฐัพพะด้วย เป็นอายตนะด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า โผฏฐัพพา-

ยตนะ ก็รูปนั้นเป็นอาโปด้วย เป็นธาตุด้วย ด้วยอรรถว่ามิใช่สัตว์และเป็นสภาวะ

ที่ว่างเปล่า เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อาโปธาตุ.

อรรถกถาโผฏฐัพพายตนนิทเทส

บัดนี้ เพื่อทรงแสดงจำแนกรูปทั้ง ๓ ที่กายถูกต้องแล้วพึงรู้ได้

เหล่านั้น จึงตรัสว่า รูปที่เรียกว่า โผฏฐัพพายตนะนั้น เป็นไฉน ?

ปฐวีธาตุ เป็นต้น.

บรรดาธาตุเหล่านั้น ปฐวีธาตุ กกฺขฬตฺตลกฺขณา มีความแข่นแข็ง

เป็นลักษณะ ปติฏฺานรสา มีการตั้งมั่นเป็นรส มฺปฏิจฺฉนฺนปจฺจุปฏฺานา

มีการรองรับเป็นปัจจุปัฏฐาน. เตโชธาตุ อุณฺหตฺตลกฺขณา มีความร้อนเป็น

ลักษณะ ปริปาจนรสา มีการทำให้สุก (การย่อย) เป็นรส มทฺทวานุปฺปาทน-

ปจฺจุปฏฺานา มีการทำให้อ่อนเป็นปัจจุปัฏฐาน. วาโยธาตุ วิตฺถมฺภนลกฺขณา

มีการเคร่งตึงเป็นลักษณะ สมุทีรณรสา มีการไหวเป็นรส อภินีหารปจฺจุ-

ปฏฺานา มีการน้อมไปเป็นปัจจุปัฏฐาน. ส่วนอาโปธาตุ ข้างต้น ปคฺฆ-

รณลกฺขณา มีการไหลไปเป็นลักษณะ* อุปพฺรูหณรสา มีความพอกพูน

* อาโปธาตุ บางแห่งแสดงถึงการเกาะกุมสหชาตรูปเป็นลักษณะด้วย

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 298

เป็นรส สงฺคหปจฺจุปฏฺานา มีการควบคุมไว้เป็นปัจจุปัฏฐาน ก็ในธาตุ

ทั้ง ๔ เหล่านั้น แต่ละธาตุพึงทราบว่ามีธาตุทั้ง ๓ ที่เหลือเป็นปทัฏฐาน (เส-

สตฺยปทฏฺานา).

บทว่า กกฺขฬ แปลว่า แข็ง. บทว่า มุทุก (อ่อน) คือไม่แข็ง.

บทว่า สณฺห (ละเอียด) คือเกลี้ยง. บทว่า ผรุส (หยาบ) คือ ขรุขระ.

บทว่า สุขสมฺผสฺส (มีสัมผัสสบาย) ได้แก่ มีสุขเวทนาเป็นปัจจัย คือ มี

โผฏฐัพพะที่น่าปรารถนา. บทว่า ทุกฺขสมฺผสฺส (มีสัมผัสไม่สบาย) ได้แก่

มีทุกขเวทนาเป็นปัจจัย คือโผฏฐัพพะที่ไม่น่าปรารถนา. บทว่า ครุก (หนัก)

คือเต็มไปด้วยภาระ. บทว่า ลหุก (เบา) คือเบาพร้อมไม่มีภาระหนัก.

ก็ในบรรดาธาตุเหล่านี้ ปฐวีธาตุเท่านั้นทรงจำแนกด้วยบทว่า แข็ง

อ่อน ละเอียด หยาบ หนัก เบา. แม้ในพระสูตรว่า เมื่อใด กายนี้ยังประกอบ

ด้วยอายุ ยังประกอบด้วยไออุ่น ยังประกอบด้วยวิญญาณ เมื่อนั้น กายนี้ก็

เบากว่า อ่อนกว่า ควรแก่การงานกว่า ตรัสหมายถึงปฐวีธาตุที่เบาและอ่อน

เท่านั้น.

แต่ด้วยสองบทว่า มีสัมผัสสบาย มีสัมผัสไม่สบาย ตรัสจำแนก

มหาภูตรูป ๓ เพราะปฐวีธาตุมีสัมผัสสบายบ้าง มีสัมผัสเป็นทุกข์บ้าง เตโชธาตุ

และวาโยธาตุก็ตรัสเหมือนปฐวีธาตุ. บรรดาธาตุ ๓ เหล่านั้น ปฐวีธาตุ มี

สัมผัสสบาย คือว่า เมื่อเด็กหนุ่มผู้มีฝามืออ่อนบีบนวดเท้าอยู่ บุคคลนั้นย่อม

สบายใจ ย่อมทำอาการที่จะให้พูดว่า นวดเข้าเถิดพ่อ ดังนี้. เตโชธาตุ มี

สัมผัสสบาย เมื่อฤดูหนาว เมื่อนำเอากระเบื้องถ่านเพลิงมาให้อบอุ่นร่างกาย

เขาก็สบายใจ ย่อมทำอาการที่จะให้พูดว่า อบเข้าเถิดพ่อ ดังนี้. วาโยธาตุ

มีสัมผัสสบาย เมื่อฤดูร้อน ภิกษุหนุ่มถึงพร้อมด้วยวัตรพัดวีอยู่ ย่อมให้สบายใจ

ย่อมทำอาการที่จะให้พูดว่า พัดเข้าเถิดพ่อ ดังนี้.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 299

แต่เมื่อเด็กหนุ่มมีมือแข็ง นวดเท้าทั้งสองอยู่ ย่อมเป็นเหมือนเวลาที่

กระดูกทั้งหลายจะแตกไป แม้เขาก็จะต้องถูกกล่าวสิ่งที่ควรจะพูดว่า เจ้าจงออก

ไปดังนี้ เมื่อฤดูร้อนมีคนนำเอากระเบื้องถ่านเพลิงมาให้ ก็จะถูกกล่าวว่า เจ้า

จงนำมันออกไปเสีย ดังนี้ เมื่อฤดูหนาวมีคนนำเอาพัดมาพัดโบกอยู่ ก็จะถูก

กล่าวว่า จงออกไปอย่ามาพัด ดังนี้. พึงทราบความที่ธาตุทั้ง ๓ เหล่านั้นมี

สัมผัสสบาย และไม่สบาย ด้วยประการฉะนี้.

ก็วาระ ๑๓ ประดับด้วยนัยอย่างละ ๔ นัยตามที่ตรัสไว้ โดยนัยว่า

โผฏฐัพพะใด เห็นไม่ได้แต่กระทบได้ ดังนี้เป็นต้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าว

ในรูปายตนะเป็นต้นในหนหลังนั่นแหละ

ถามว่า ก็มหาภูตรูป ๓ เหล่านั้น มาสู่คลองพร้อมกันหรือไม่

ตอบว่า มาพร้อมกัน

ถามว่า มหาภูตรูป ๓ มาแล้วอย่างนี้ กระทบกายประสาทหรือไม่

ตอบว่า ย่อมกระทบ

ถามว่า กายวิญญาณกระทำมหาภูตรูป ๓ เหล่านี้ ให้เป็นอารมณ์พร้อม

กันเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้น

ตอบว่า กายวิญญาณ ไม่เกิดขึ้น

ถามว่า เพราะเหตุไร

ตอบว่า เพราะการที่กายวิญญาณกระทำมหาภูตรูป ๓ ให้เป็นอารมณ์

ย่อมมีด้วยอำนาจการคำนึงถึง หรือด้วยสามารถธาตุที่มีมาก

ในบรรดาทั้ง ๒ ข้อนั้น ว่าด้วยการคำนึงถึงก่อน จริงอยู่ เมื่อคน

เอาข้าวสุกบรรจุบาตรจนเต็มนำมาแล้วก็หยิบเมล็ดข้าวเมล็ดหนึ่งมาทดลองดูว่า

แข็งหรืออ่อน ในข้าวเมล็ดหนึ่งนั้น ย่อมมีทั้งเตโชธาตุ มีทั้งวาโยธาตุ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 300

แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้นเขาก็ย่อมคำนึงถึงปฐวีธาตุเท่านั้น เมื่อหย่อนมือลงใน

น้ำร้อนทดลองดู ในน้ำร้อนนั้น ย่อมมีทั้งปฐวีธาตุ ย่อมมีทั้งวาโยธาตุ

แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น เขาก็ย่อมคำนึงถึงเตโชธาตุเท่านั้น. ในฤดูร้อน เขา

เปิดหน้าต่างให้ลมโชยสรีระยืนอยู่ เมื่อลมอ่อน ๆ โชยมาอยู่ ในลมอ่อน ๆ

ที่โชยมานั้น ย่อมมีทั้งปฐวีธาตุ ย่อมมีทั้งเตโชธาตุ แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น

เขาก็คำนึงถึงวาโยธาตุเท่านั้น กายวิญญาณธาตุชื่อว่าย่อมกระทำมหาภูตรูป ๓

ให้เป็นอารมณ์ด้วยสามารถแห่งการคำนึงถึง ด้วยประการฉะนี้.

ส่วนบุคคลใดพลาดล้มลงก็ดี เอาศีรษะชนกับต้นไม้ก็ดี กำลังบริโภค

อาหารกัดก้อนกรวดก็ดี ในการพลาดล้มลงเป็นต้นนั้น ย่อมมีทั้งเตโชธาตุ ย่อม

มีทั้งวาโยธาตุ แต่บุคคลนั้นย่อมกระทำเฉพาะปฐวีธาตุเท่านั้นให้เป็นอารมณ์

ด้วยอำนาจธาตุที่มีมาก เมื่อเหยียบไฟก็ดี ในไฟนั้น ก็ย่อมมีทั้งปฐวีธาตุ

ย่อมมีทั้งวาโยธาตุ แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น เขาก็ทำเฉพาะเตโชธาตุเท่านั้นให้

เป็นอารมณ์ ด้วยสามารถแห่งธาตุที่มีมาก เมื่อลมแรงพัดแก้วหูราวกะทำให้

หูหนวก ในลมแรงนั้น ย่อมมีทั้งปฐวีธาตุ ย่อมมีทั้งเตโชธาตุ แม้ก็จริง

ถึงอย่างนั้น เขาก็กระทำเฉพาะธาตุลมเท่านั้นให้เป็นอารมณ์ ด้วยสามารถแห่ง

ธาตุที่มีมาก

บุคคลกระทำอยู่ซึ่งธาตุอย่างใดอย่างหนึ่งให้เป็นอารมณ์ แม้กายวิญญาณ

ก็ไม่เกิดขึ้นพร้อมกัน เมื่อบุคคลถูกเข็มทั้งกลุ่มแทงแล้ว กายถูกเข็มทั้งนั้น

กระทบพร้อมกัน แต่ในที่ใด ๆ กายประสาทมีมาก ในที่นั้น ๆ กายวิญญาณ

ย่อมเกิดขึ้น แม้ในที่ใด ๆ มีการกระทบเสียดสีแรง ในที่นั้น ๆ กายวิญญาณ

ย่อมเกิดขึ้นก่อน. เมื่อเอาขนไก่มาชะแผล เส้นขนไก่แต่ละเส้นย่อมกระทบ

กายประสาท ก็ในที่ใด ๆ กายประสาทมีมาก ในที่นั้น ๆ นั่นแหละ กายวิญญาณ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 301

ย่อมเกิดขึ้น บุคคลย่อมทำธาตุทั้ง ๓ ให้เป็นอารมณ์ ด้วยสามารถแห่งธาตุที่

มีมากอย่างนี้ กายวิญญาณ ชื่อว่า ย่อมเกิด ด้วยสามารถแห่งธาตุที่มีมาก

นั่นแหละ.

ถามว่า ก็จิตเล่า ก้าวไปจากอารมณ์ได้อย่างไร ?

ตอบว่า ก้าวไปด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ โดยอัชฌาศัย (ความ

ปรารถนา) หรือโดยอารมณ์มีกำลังแรง.

จริงอยู่ ในเวลาที่มีงานฉลองพระวิหารเป็นต้น คนผู้ไปด้วยความ

ตั้งใจว่า เราจักไหว้พระเจดีย์ และจักไหว้พระปฏิมานั้น ๆ เราจักดูโปตถกรรม

(การทำหนังสือ) และจิตรกรรม (การวาดภาพ) ดังนี้ ไหว้หรือเห็นสิ่งหนึ่ง

แล้วก็ตั้งใจเพื่อต้องการไหว้ เพื่อต้องการชมสิ่งนอกนี้แล้ว ก็ไปเพื่อไหว้บ้าง

เพื่อดูบ้างทีเดียว อย่างนี้ จิตชื่อว่าก้าวไปจากอารมณ์ โดยอัชฌาศัย คือ

ความปรารถนา. แต่เมื่อยืนแลดูพระมหาเจดีย์ อันมีส่วนเปรียบด้วยยอดเขา

ไกรลาส ครั้นเวลาต่อมา เมื่อบรรเลงดนตรีทั้งปวงขึ้น จึงละรูปารมณ์ ก้าวขึ้นสู่

สัททารมณ์ ครั้นเมื่อบุคคลนำดอกไม้มีกลิ่นที่ชอบใจ หรือของหอมมา ก็ละ

สัททารมณ์ ก้าวขึ้นสู่คันธารมณ์ อย่างนี้ชื่อว่า ก้าวไปโดยอารมณ์มีกำลังแรง.

อรรถกถาอาโปธาตุนิทเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งอาโปธาตุ ต่อไป

บทว่า อาโป (ความเอิบอาบ) เป็นการแสดงสภาวะ อาโปนั่นแหละ

เรียกว่า อาโปคต (ธรรมชาติที่เอิบอาบ) สิเนโห (ความเหนียว) ด้วย

อำนาจแห่งความเหนียวนั่นแหละ เรียกว่า สิเนหคต (ธรรมชาติที่เหนียว).

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 302

บทว่า พนฺธนตฺต รูปสฺส (ธรรมชาติเครื่องเกาะกุมรูป) ได้แก่

ธรรมชาติเป็นเครื่องประกอบภูตรูปมีปฐวีเป็นต้น. จริงอยู่ อาโปธาตุควบ

คุมวัตถุทั้งหลายมีแท่งเหล็กเป็นต้น ไว้แล้วย่อมทำให้ติดกัน ธรรมชาติทั้งหลาย

มีก้อนเหล็กเป็นต้นเหล่านั้น ชื่อว่า ติดกันอยู่ เพราะความที่อาโปธาตุนั้น

เป็นเครื่องเกาะกุมไว้ แม้ในแผ่นหิน ภูเขา ต้นตาล หนอไม้ งาช้าง และเขาโค

เป็นต้นก็นัยนี้เหมือนกัน. ก็อาโปธาตุเท่านั้นเกาะกุมวัตถุเหล่านั้นทั้งหมด

กระทำให้ติดกัน ธรรมชาติเหล่านั้นชื่อว่า เป็นธรรมชาติติดกัน ก็เพราะถูก

อาโปธาตุควบคุมไว้.

ถามว่า ก็ปฐมวีธาตุถูกต้องธาตุที่เหลือ (มีอาโปเป็นต้น ) แล้วก็เป็น

ที่ตั้งอาศัย หรือไม่ถูกต้องก็เป็นที่อาศัย อีกนัยหนึ่ง อาโปธาตุเมื่อเกาะกุมธาตุ

ทั้ง ๓ ที่เหลือ ถูกต้องแล้วย่อมเกาะกุม หรือว่าไม่ถูกต้องแล้วก็เกาะกุมได้.

ตอบว่า เบื้องต้น ปฐวีธาตุไม่ถูกต้องกับอาโปธาตุ ก็เป็นที่อาศัยให้ได้

แต่สำหรับ เตโชธาตุ และวาโยธาตุแล้ว ปฐวีธาตุต้องถูกต้องจึงเป็นที่อาศัย

ให้ได้ ส่วนอาโปธาตุไม่ถูกต้องแม้ปฐวีธาตุ แม้เตโชธาตุและวาโยธาตุเลยก็ย่อม

เกาะกุมได้ ถ้าว่าอาโปธาตุถูกต้องแล้วพึงเกาะกุมไซร้ อาโปธาตุนั้นก็พึงชื่อว่า

โผฏฐัพพายตนะ.

แม้ในการที่เตโชธาตุและวาโยธาตุทำกิจของตน ๆ ในธาตุที่เหลือ ก็

นัยนี้เหมือนกัน. จริงอยู่ เตโชธาตุ ถูกต้องปฐวีธาตุแล้ว ก็ยังปฐวีให้ใหม้

ส่วนปฐวีธาตุนั้นมิใช่เป็นของร้อนย่อมถูกไหม้ ถ้าว่า ปฐวีธาตุพึงเป็นของร้อน

แผดเผาไซร้ ปฐวีธาตุก็พึงมีความร้อนเป็นลักษณะ อนึ่ง เตโชธาตุนั้นมิได้ถูก

ต้องอาโปธาตุเลยก็ทำให้อาโปธาตุนั้นร้อนได้ แม้อาโปธาตุนั้น เมื่อร้อนอยู่ก็หา

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 303

เป็นสภาวะร้อนเผาไม่ ถ้าว่าอาโปธาตุนั้นเป็นตัวสภาวะความร้อนพึงเผาไซร้

อาโปธาตุนั้น ก็พึงชื่อว่ามีความร้อนเป็นลักษณะ อนึ่ง เตโชธาตุนั้นถูกต้อง

วาโยธาตุนั้นแหละจึงแผดเผา แม้วาโยธาตุนั้น เมื่อถูกแผดเผาอยู่ก็มิใช่เป็นตัว

ความร้อนแผดเผา ถ้าวาโยธาตุเป็นตัวสภาวะความร้อนแผดเผาอยู่ไซร้ วาโย-

ธาตุนั้นก็พึงชื่อว่า มีความร้อนเป็นลักษณะ.

วาโยธาตุถูกต้องปฐวีธาตุแล้วย่อมเคร่งตึง (คือขยายตัวออก) ถูกต้อง

เตโชธาตุก็ทำให้เคร่งตึงเหมือนกัน แต่ว่าวาโยธาตุนั้นแม้ไม่ถูกต้องอาโปธาตุ

เลย ก็ย่อมทำให้อาโปธาตุเคร่งตึงได้.

ถามว่า เมื่อบุคคลเคี่ยวน้ำอ้อยทำเป็นงบ อาโปธาตุจะเป็นของแข็ง

หรือไม่.

ตอบว่า ไม่เป็น เพราะอาโปธาตุนั้นมีการไหลออก (หรือไหลซึม) เป็น

ลักษณะ ปฐวีธาตุมีความแข็งเป็นลักษณะ แต่ว่าอาโปธาตุมีปริมาณต่ำ (น้อย)

ก็จะเป็นไปตามปฐวีธาตุที่มากยิ่ง จริงอยู่ อาโปธาตุนั้นย่อมละภาวะที่ตั้งอยู่โดย

อาการเป็นรส (น้ำ) ได้ แต่ไม่ละลักษณะ แม้เมื่อละลายงบน้ำอ้อยอยู่ ปฐวีธาตุ

ย่อมไม่ละลาย เพราะปฐวีมีความแข็งเป็นลักษณะ อาโปธาตุมีการไหลออก

เป็นลักษณะ.

แต่ว่า ปฐวีธาตุมีปริมาณต่ำก็จะเกิดเป็นไปตามอาโปธาตุที่มีปริมาณ

มาก. ปฐวีธาตุนั้นย่อมละภาวะที่ทั้งอยู่โดยอาการเป็นก้อนได้ แต่ไม่ละลักษณะ

ตน เพราะว่ามหาภูตรูปทั้ง ๔ ย่อมถึงความแปรปรวนเป็นไปเท่านั้น ขึ้นชื่อว่า

ความแปรปรวนของลักษณะมิได้มี ความไม่มีแห่งความแปรปรวนโดยลักษณะ

นั้นทรงแสดงไว้โดยอัฏฐานปริกัปปสูตร.

ข้อนี้สมด้วยพระดำรัสที่ตรัสไว้ว่า " ดูก่อนอานนท์ ก็มหาภูตรูป ๔ คือ

ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ จะพึงแปรเป็นอื่นไปได้ แต่พระอริย-

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 304

สาวกผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าจะแปรเป็นอื่น

ไป ข้อนี้ไม่พึงมีได้เลย" ดังนี้ ก็ในอัฏฐานปริกัปปสูตรนี้มีอธิบายดังนี้ว่า

" ดูก่อนอานนท์ ปฐวีธาตุอันมีความแข็งเป็นลักษณะจะพึงเปลี่ยนไปเป็น

อาโปธาตุซึ่งมีความไหลออกเป็นลักษณะได้ แต่พระอริยสาวกชื่อว่าเปลี่ยนเป็น

อย่างอื่นมิได้มี ดังนี้ การกำหนดอฐานะ (เหตุอันเป็นไปไม่ได้) มาแล้วใน

พระบาลีนี้ด้วยประการฉะนี้.

อรรถกถาอุปาทินนาทินิทเทส

เบื้องหน้าแต่นี้พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งอุปาทินนรูปเป็นต้นต่อไป

เนื้อความแห่งอุปาทินนรูปเป็นต้น พึงทราบโดยนัยที่กล่าวในมาติกานั่นแหละ

เนื้อความจักขายตนะเป็นต้น ข้าพเจ้าก็ให้พิสดารแล้วในหนหลังเหมือนกัน

แต่ข้าพเจ้าจักกล่าวเฉพาะเนื้อความที่ต่างกันในที่นั้น ๆ เท่านั้น.

ในนิทเทสแห่งอุปาทินนรูปก่อน รูปทั้งหลายที่พระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสเรียกว่าจักขายตนะเป็นต้น เพราะเป็นรูปมีใจครองอย่างเดียว แต่เพราะ

รูปายตนะเป็นต้นมีใจครองก็มี ไม่มีใจครองก็มี ฉะนั้น รูปายตนะเป็นต้น

เหล่านั้นพระองค์จึงแสดงโดยสังเขปว่า ย ย วา ปน (หรือว่ารูปแม้อื่นใดๆ)

แล้วพึงให้พิสดารโดยนัยมีอาทิว่า กมฺมสฺสกตตฺตา รูปายตน (รูปายตนะ

ที่กรรมแต่งขึ้น) ดังนี้อีก เนื้อความในเยวาปนกธรรมทั้งหมดพึงทราบโดย

อุบายนี้.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร ในนิทเทสแม้ทั้ง ๒ คือ กมฺมสฺส กตตฺตา

(รูปที่กรรมแต่งขึ้น) และ น กมฺมสฺส กตตฺตา (รูปที่กรรมมิได้แต่งขึ้น)

พระองค์มิได้ทรงถือเอาชรตารูป และอนิจจตารูปเล่า ? ทรงถือเอาเฉพาะใน

นิทเทสทั้งหลายแห่งอนุปาทินนรูปเป็นต้นเท่านั้น.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 305

ตอบว่า ในบทว่า น กมฺมสฺส กตตฺตา (รูปที่กรรมมิได้แต่งขึ้น)

นี้ พระองค์ทรงรวมรูปที่มีสมุฏฐานเกิดแต่ปัจจัยอื่นนอกจากกรรมก่อน แต่ใน

บทว่า กมฺมสฺส กตตฺตา (รูปที่กรรมแต่งขึ้น) นี้ ทรงรวบรวมรูปที่มีสมุฏฐาน

เกิดแต่กรรมอย่างเดียว รูปทั้ง ๒ คือชรตารูปและอนิจจตารูปเหล่านั้นมิได้เกิด

แต่กรรม มิได้เกิดแต่ปัจจัยอย่างอื่น ที่ยังรูปให้เกิด เพราะฉะนั้น พระองค์

จึงมิทรงถือเอา. ก็ความไม่เกิดขึ้นแห่งชรตารูปและอนิจจตารูปด้วยกรรมปัจจัย

เป็นต้นนั้นจักแจ่มแจ้งข้างหน้า. อนึ่ง ในคำเป็นต้นว่า อนุปาทินฺน (รูป

ที่ไม่มีใจครอง) ทรงปฏิเสธความที่รูปมีสมุฏฐานเกิดแต่กรรมเป็นต้น ไม่ทรง

อนุญาตความที่รูปนั้นมีปัจจัยอื่นเป็นสมุฏฐาน ด้วยศัพท์ว่า อนุปาทินนะ

เป็นต้นอย่างเดียว เพราะฉะนั้น ในนิทเทสแห่งอนุปาทินนรูปเป็นต้นนั้น

บัณฑิตพึงทราบว่า รูปทั้ง ๒ พระองค์ทรงถือเอาแล้วดังนี้.

อรรถกถาจิตตสมุฏฐานนิทเทส

พึงทราบวินิจฉัยในนิทเทสแห่งจิตตสมุฏฐาน ต่อไป

รูปทั้ง ๒ นี้คือ กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส

ว่า ย่อมปรากฏเพราะอาศัยภูตรูป มีจิตป็นสมุฏฐานอย่างเดียว แต่เมื่อว่าโดย

ปรมัตถ์แล้ว รูปทั้ง ๒ ที่อาศัยภูตรูปนั้นไม่ใช่ภูตรูป แต่เป็นรูปที่มีจิตเป็น

สมุฏฐานซึ่งมีภูตรูปนั่นแหละ. เพราะความที่รูปเหล่านั้นอาศัยจิตตั้งขึ้น แม้รูป

ทั้ง ๒ นี้ ก็มีชื่อว่ามีจิตเป็นสมุฏฐาน เหมือนชราและมรณะของรูปที่ไม่เที่ยงก็

ชื่อว่า ไม่เที่ยง.

แม้ในนิทเทสแห่ง จิตตสหภู ก็นัยนี้เหมือนกัน รูปทั้ง ๒ (กาย

วิญญัตติและวจีวิญญัตติ ที่เป็นสหภู) นี้เท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพราะ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 306

รูปทั้ง ๒ นั้นปรากฏอยู่ได้ตลอดเวลาที่จิตยังปรากฏอยู่. แต่รูปทั้ง ๒ นี้มิได้เกิด

พร้อมกับจิต เหมือนภูตรูปและเหมือนสัมปยุตธรรมมีเจตนาเป็นต้น.

แม้ในนิทเทสแห่ง จิตตานุปริวัติ ก็นัยนี้แหละ ก็รูปทั้ง ๒ (กาย

วิญญัตติและวจีวิญญัตติ) นี้ ตรัสเรียกว่า จิตตานุปริวัติ เพราะรูปทั้ง ๒ นี้

ปรากฏอยู่ได้ตลอดเวลาที่จิตยังปรากฏอยู่ ฉะนั้น.

บทว่า โอฬาริก (รูปหยาบ) ได้แก่ ที่ชื่อว่า หยาบ โดยเป็น

วัตถุที่พึงถือเอาด้วยสามารถแห่งการกระทบ เพราะเป็นทั้งวัตถุและอารมณ์

พึงทราบรูปละเอียดโดยสภาพตรงกันข้ามกับรูปหยาบที่กล่าวแล้ว.

บทว่า ทูเร (รูปไกล) ได้แก่ รูปแม้ตั้งอยู่ในที่ใกล้ ก็ชื่อว่า รูปไกล

โดยภาวะที่รู้ได้ยาก เพราะถือเอาไม่ได้ด้วยสามารถแห่งการกระทบ ส่วนรูป

นอกนี้แม้ตั้งอยู่ไกลก็ชื่อว่าอยู่ใกล้ โดยเป็นภาวะที่รู้ได้ง่าย เพราะพึงถือเอาได้

ด้วยสามารถแห่งการกระทบ.

นิทเทสแห่งจักขายตนะเป็นต้น พึงทราบโดยพิสดารตามนัยที่กล่าวไว้

ในหนหลังนั่นแหละ ในการสงเคราะห์รูปหมวด ๒ มีข้อแตกต่างกันเพียงเท่านี้

การสงเคราะห์รูปหมวด ๓ มีเนื้อความตื้นทั้งนั้นแล.

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 307

จตุกกนิเทศ

[๖๓๔] รูปเป็นอุปาทาที่เป็นอุปาทินนะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ ได้แก่รูปายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ อากาศธาตุ

รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหาร ที่กรรมแต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า รูป

เป็นอุปาทาที่เป็นอุปาทินนะ.

รูปเป็นอุปาทาที่เป็นอนุปาทินนะ นั้น เป็นไฉน ?

สัททายตนะ กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปลหุตา รูปมุทุตา รูปกัม-

มัญญตา รูปชรตา รูปอนิจจตา หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ ได้แก่ รูปายตนะ

คันธายตนะ รสายตนะ อากาศธาตุ รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหาร

ที่กรรมมิได้แต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอนุปาทินนะ.

รูปเป็นอนุปาทาที่เป็นอุปาทินนะ นั้น เป็นไฉน ?

โผฏฐัพพายตนะ อาโปธาตุ ที่กรรมมิได้แต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า

รูปเป็นอนุปาทาที่เป็นอุปาทินนะ.

รูปเป็นอนุปาทาที่เป็นอนุปาทินนะ นั้น เป็นไฉน ?

โผฏฐัพพายตนะ อาโปธาตุ ที่กรรมมิได้แต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า

รูปเป็นอนุปาทาที่เป็นอนุปาทินนะ.

[๖๓๕] รูปเป็นอุปาทาที่เป็นอุปาทินนุปาทานิยะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ กายายตนะ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์

หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ ได้แก่รูปายตนะ คันธายตนะ รสายตนะ อากาศธาตุ

พระอภิธรรมปิฎก ธรรมสังคณี เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 308

รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหาร ที่กรรมแต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า รูป

เป็นอุปาทาที่เป็นอุปาทินนุปาทานิยะ.

รูปเป็นอุปาทาที่เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ นั้น เป็นไฉน ?

สัททายตนะ กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปลหุตา รูปมุทุตา รูปกัม-

มัญญตา รูปชรตา รูปอนิจจตา หรือรูปแม้อื่นใด มีอยู่ ได้แก่ รูปายตนะ

คันธายตนะ รสายตนะ อากาศธาตุ รูปอุปจยะ รูปสันตติ กพฬิงการาหาร

ที่กรรมมิได้แต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอุปาทาที่เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ.

รูปเป็นอนุปาทาที่เป็นอุปาทินนุปาทานิยะ นั้น เป็นไฉน ?

โผฏฐัพพายตนะ อาโปธาตุ ที่กรรมแต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็น

อนุปาทาที่เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ.

รูปเป็นอนุปาทาที่เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ นั้น เป็นไฉน ?

โผฏฐัพพายตนะ อาโปธาตุ ที่กรรมมิได้แต่งขึ้น รูปทั้งนี้เรียกว่า

รูปเป็นอนุปาทาที่เป็นอนุปาทินนุปาทานิยะ.

[๖๓๖] รูปเป็นอุปาทาที่เป็นไปสัปปฏิฆะ นั้น เป็นไฉน ?

จักขายตนะ ฯลฯ รสายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอุปาทาที่เป็น

สัปปฏิฆะ.

รูปเป็นอุปาทาที่เป็นอัปปฏิฆะ นั้น เป็นไฉน ?

อิตถินทรีย์ ฯลฯ กพฬิงการาหาร รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอุปาทาที่

เป็นอัปปฏิฆะ.

รูปเป็นอนุปาทาที่เป็นสัปปฏิฆะ นั้น เป็นไฉน ?

โผฏฐัพพายตนะ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอนุปาทาที่เป็นสัปปฏิฆะ.

รูปเป็นอนุปาทาที่เป็นอัปปฏิฆะ นั้น เป็นไฉน ?

อาโปธาตุ รูปทั้งนี้เรียกว่า รูปเป็นอนุปาทาที่เป็นอัปปฏิฆะ.

[๖๓