ไปหน้าแรก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 1

พระสุตตันตปิฎก

ทีฆนิกาย มหาวรรค

เล่มที่ ๒

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

๑. มหาปทานสูตร

เรื่องภิกษุหลายรูปประชุมกัน

[๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กุฏี ใกล้ไม้กุ่มน้ำ ณ พระ-

วิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี.

ครั้งนั้น ภิกษุมากรูป ในเวลาหลังอาหาร กลับจากบิณฑบาตแล้ว

นั่งประชุมกันในโรงกลมใกล้ไม้กุ่มน้ำ เกิดสนทนาธรรมกันขึ้นเกี่ยวด้วยบุพเพ

นิวาสว่า บุพเพนิวาสแม้เพราะเหตุนี้ บุพเพนิวาสแม้เพราะเหตุนี้ ดังนี้.

พระผู้มีพระภาคได้ทรงสดับถ้อยคำเจรจาอันนี้ของภิกษุเหล่านั้น ด้วย

พระทิพยโสตธาตุอันบริสุทธิ์ ล่วงโสตของมนุษย์.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลุกจากอาสนะ เสด็จเข้าไปยังโรง

กลมใกล้ไม้กุ่มน้ำ ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ พระผู้มีพระภาคครั้นประทับ

นั่ง แล้วถามภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งประชุมสนทนา

อะไรกัน แม้เพราะเหตูนี้เรื่องอะไรที่พวกเธอพูดค้างไว้ เมื่อตรัสอย่างนี้แล้ว

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 2

ภิกษุเหล่านั้นได้กล่าวทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้า

พระองค์ ในเวลาหลังอาหารกลับจากบิณฑบาตแล้ว ได้นั่งประชุมกันในโรงกลม

ใกล้ไม้กุ่มน้ำ แล้วเกิดสนทนาธรรมกันขึ้นเกี่ยวด้วยบุพเพนิวาสว่า. บุพเพนิวาส

แม้เพราะเหตุนี้ บุพเพนิวาสแม้เพราะเหตุนี้ ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

เรื่องนี้แลที่พวกข้าพระองค์พูดค้างไว้ พอดีพระองค์เสด็จมาถึง.

พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอปรารถนา

หรือไม่ที่จะฟังธรรมีกถา ซึ่งเกี่ยวด้วยบุพเพนิวาส ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นการสมควรแล้วที่พระผู้มีพระภาคจะพึงทรงกระทำ

ธรรมีกถาซึ่งเกี่ยวด้วยบุพเพนิวาส ข้าแต่พระสุคต เป็นการสมควรแล้วที่พระ

ผู้มีพระภาคจะพึงทรงกระทำธรรมีกถาซึ่งเกี่ยวด้วยบุพเพนิวาส ภิกษุทั้งหลายได้

ฟังพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว จักได้ทรงจำไว้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้นพวกเธอจงฟังจงใส่ใจให้ดีเถิด เราจักกล่าว-

ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้ว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลายนับแต่นี้ไป ๙๑ กัป ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ

เจ้า พระนามว่าวิปัสสีได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก นับแต่นี้ไป ๓๑ กัป ที่พระผู้มี

พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสีขี ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลกใน

กัปที่ ๓๑ นั่นเอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า เวสสภู

ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในภัททกัปนี้แหละ พระผู้มีพระ

ภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก

ในภัททกัปนี้แหละ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า

โกนาคมนะ ได้เสด็จอุบบัติขึ้นในโลก ในภัททกัปนี้แหละ พระผู้มีพระภาค

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก ในภัทท

กัปนี้แหละ เราผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้อุบัติขึ้นแล้วในโลก.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 3

[๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมนาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าวิปัสสี ได้เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ ทรงอุบัติในขัตติยสกุล พระผู้

มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี ได้เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ

ทรงอุบัติในขัตติยสกุล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า

เวสสภู ได้เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ ทรงอุบัติในขัตติยสกุล พระผู้มีพระภาค

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ. ได้เป็นพราหมณ์โดยพระชาติ

ทรงอุบัติในพราหมณสกุล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม

ว่าโกนาคมนะ ได้เป็นพราหมณ์โดยพระชาติ ทรงอุบัติในพราหมณสกุล

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ได้เป็นพราหมณ์

โดยพระชาติ ทรงอุบัติในพราหมณสกุล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราผู้อรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ได้เป็นกษัตริย์โดยชาติ อุบัติในขัตติยสกุล.

[๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าวิปัสสี เป็นโกญฑัญญโคตร พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าสิขี เป็นโกณฑัญญโคตร พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าเวสสภู เป็นโกณฑัญญโคตร พระผู้มีพระภาคอรหันตสันมาสัม-

พุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ เป็นกัสสปโคตร พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา

สัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ เป็นกัสสปโคตร พระผู้มีพระภาคอรหันต-

สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ เป็นกัสสปโคตร ดูกรภิกษุทั้งหลาย

เราผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ เป็นโคตมโคตร.

[๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระชนมายุของพระผู้มีพระภาคอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ประมา ๘๐,๐๐๐ ปี พระชนมายุของ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี ประมาณ ๗๐,๐๐๐ ปี

พระชนมายุของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 4

ประมาณ ๖๐,๐๐๐ ปี พระชนมายุของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่ากกุสันธะ ประมาณ ๔๐,๐๐๐ ปี พระชนมายุของพระผู้มีพระภาค

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ ประมาณ ๓๐,๐๐๐ ปี

พระชนมายุของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ

ประมาณ ๒๐,๐๐๐ ปี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ชนมายุของเราในบัดนี้มีประมาณ

ไม่มากคือน้อยนิดเดียวผู้ที่มีชีวิตอยู่อย่างนานก็เพียง ๑๐๐ ปี บางทีก็น้อยกว่า

บ้าง มากกว่าบ้าง.

[๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าวิปัสสี ตรัสรู้ที่ควงไม้แคฝอย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัม

พุทธเจ้า พระนามว่าสิขี ตรัสรู้ที่ควงไม้กุ่มบก พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัม

พุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู ตรัสรู้ที่ควงไม้สาละ พระผู้มีพระภาคอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ตรัสรู้ที่ควงไม้ซึก พระผู้มีพระภาค

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจัา พระนามว่าโกนาคมนะ ตรัสรู้ที่ควงไม้มะเดื่อ พระผู้

มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ตรัสรู้ที่ควงไม้ไทร

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ตรัสรู้ที่ควงไม้โพธิ์.

[๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าวิปัสสี มีพระขัณฑะและพระติสสะเป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่

อันเจริญ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี มีพระอภิภู

และพระสัมภวะ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ พระผู้มีพระภาค

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู มีพระโสณะและพระอุตตระ เป็น

คู่พระอัครสาวกซึ่งเป็นคู่อันเจริญ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่ากกุสันธะ มีพระวิธูระ และพระสัญชีวะเป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่

อันเจริญ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 5

มีพระภิยโยสะ และพระอุตตระ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่เจริญ พระผู้มี

พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ มีพระติสสะ และพระ-

ภารทวาชะ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราใน

บัดนี้มีสารีบุตรและโมคคัลลานะ เป็นคู่อัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ.

[๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย การประชุมกันแห่งสาวกของพระผู้มีพระภาค

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้มีสามครั้ง ครั้งหนึ่ง มีพระสาวก

ประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุหกล้านแปดแสนรูป อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประ-

ชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแสนรูป อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกัน เป็นจำนวน

ภิกษุแปดหมื่นรูป สาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาพุทธเจ้า พระนามว่า

วิปัสสี ซึ่งได้ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ดูกรภิกษุ

ทั้งหลาย การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าสิขี ได้มีสามครั้ง ครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุ

แสนรูป อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแปดหมื่นรูป อีก

ครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุเจ็ดหมื่นรูป ดูกรภิกษุทั้งหลาย

พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ซึ่งได้

ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย การ

ประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม

ว่าเวสสภู ได้มีสามครั้ง ครั้งหนึ่งมีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแปด

หมื่นรูป อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุเจ็ดหมื่นรูป อีก

ครั้งหนึ่งมีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุหกหมื่นรูป ดูกรภิกษุทั้งหลาย

พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู ซึ่งได้

ประชุมกัน ทั้งสามครั้งนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย การ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 6

ประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม

ว่ากกุสันธะ ได้มีครั้งเดียว มีจำนวนภิกษุสี่หมื่นรูป ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระสาวก

ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากุกสันธะ ซึ่งได้ประ-

ชุมกันครั้งเดียวนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย การประชุม

กันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า

โกนาคมนะได้มีครั้งเดียว มีจำนวนภิกษุสามหมื่นรูป ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระ-

สาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ ซึ่ง

ได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย การ

ประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระ-

นามว่ากัสสปะ ได้มีครั้งเดียว มีจำนวนภิกษุสองหมื่นรูป ดูกรภิกษุทั้งหลาย

พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ

ที่ได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย

การประชุมกันแห่งสาวกของเราในบัดนี้ ได้มีครั้งเดียว มีจำนวนภิกษุหนึ่งพัน

สองร้อยห้าสิบรูป ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาวกของเราซึ่งได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้

ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น.

[๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่าอโสกะ เป็นอัครอุปัฏ-

ฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ดูกรภิกษุ

ทั้งหลาย ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่าเขมังกระเป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาค-

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อุปัฏฐาก

ชื่อว่าอุปสันตะ เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าเวสสภู ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่าวุฑฒิชะ เป็นอัคร

อุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่าโสตถิชะ เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มี

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 7

พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ภิกษุผู้อปัฏฐากชื่อว่า สัพพมิตตะ เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอร-

หันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้อุปัฏฐาก

ชื่อว่าอานนท์ ได้เป็นอัครอุปัฏฐากของเราในบัดนี้.

[๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระนามว่าพันธุม เป็นพระชนก

พระเทวีพระนามว่าพันธุมดี เป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของพระผู้มีพระภาคอร-

หันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี พระนครชื่อว่าพันธุมดีได้เป็นราชธานี

ของพระเจ้าพันธุม พระราชาพระนามว่าอรุณเป็นพระชนก พระเทวิพระนาม

ว่าปภาวดีเป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ-

เจ้าพระนามว่าสิขี พระนครชื่อว่าอรุณวดี ได้เป็นราชธานีของพระเจ้าอรุณะ

พระราชาพระนานว่า สุปปตีตะ เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่ายสวดี. เป็น

พระชนนีบังเกิดเกล้าของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า

เวสสภู พระนครชื่อว่าอโนมะ ได้เป็นราชธานีของพระเจ้าสุปปตีตะ พราหมณ์

ชื่อว่าอัคคิทัตตะ เป็นพระชนก พราหมณีชื่อว่าวิสาขา เป็นพระชนนีบังเกิด

เกล้าของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากกุสันธะ ภิกษุทั้ง

หลาย ก็พระราชาพระนามว่าเขมะ ได้มีแล้วโดยสมัยนั้นแล พระนครชื่อว่า

เขมวดี ได้เป็นราชธานีของพระเจ้าเขมะ พราหมณ์ชื่อว่ายัญญตัตตะ เป็น

พระชนก พราหมณีชื่อว่าอุตตราเป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของพระผู้มีพระภาค-

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ ก็พระราชาพระนามว่าโสภะ

ได้มีแล้วโดยสมัยนั้นแล พระนครชื่อว่าโสภวดี ได้เป็นราชธานีของพระเจ้า

โสภะ พราหมณ์ชื่อว่าพรหมทัตตะ เป็นพระชนก พราหมณีชื่อธนวดี เป็นพระ-

ชนนีบังเกิดเกล้าของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า

กัสสปะ ก็พระราชาพระนามว่ากิงกี ได้มีแล้วโดยสมัยนั้นแล พระนครชื่อ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 8

ว่าพาราณสี ได้เป็นราชธานีของพระเจ้ากิงกี ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระ

นามว่าสุทโธทนะ เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่ามายา เป็นพระชนนี

บังเกิดเกล้าของเราในบัดนี้ พระนครชื่อว่า กบิลพัสดุ์ได้เป็นราชธานีของ

พระเจ้าสุทโธทนะด้วยประการฉะนี้.

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดั่งนี้แล้วจึงเสด็จลุกจากอาสนะ ทรงเข้าพระ-

วิหาร.

[๑๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน ภิกษุ

เหล่านั้นได้สนทนากันขึ้นในระหว่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์ ผู้มีอายุทั้งหลาย ไม่เคย

มีแล้ว ผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตต้องทรงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก จึงจัก

ทรงระลึกได้ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว ซึ่งปรินิพพานแล้วตัดธรรม

เครื่องทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว มีวัฏฏะอันตัดแล้ว ทรงครอบงำวัฏฏะแล้ว ล่วง

สรรพทุกข์แล้วแม้โดยพระชาติ แม้โดยพระนาม แม้โดยพระโคตร แม้โดย

ประมาณแห่งพระชนมายุ แม้โดยคู่แห่งพระสาวก แม้โดยประชุมแห่งพระสาวก

ว่าแม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จึงได้มีชาติเช่นนี้แม้ด้วยเหตุนี้ พระ

ผู้มีพระภาคเหล่านั้น จึงได้มีพระนามเช่นนี้แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค

เหล่านั้น จึงได้มีพระโคตรเช่นนี้ แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น

จึงได้มีศีลเช่นนี้ แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นจึงได้มีธรรมเช่นนี้

แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จึงได้มีพระปัญญาเช่นนี้ แม้ด้วยเหตุนี้

พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นจึงได้มีวิหารธรรมเช่นนี้ แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระ-

ภาคเหล่านั้น จึงได้มีวิมุตติเช่นนี้ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เป็นอย่างไรหนอแล

พระตถาคตพระองค์เดียวจึงทรงแทงตลอดธรรมธาตุนี้ เพราะเหตุที่พระตถาคต

ทรงแทงตลอดธรรมธาตุแล้ว ฉะนั้นจึงทรงระลึกได้ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่

ล่วงไปแล้ว ซึ่งปรินิพพานแล้ว ทรงตัดธรรมเครื่องทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 9

ทรงตัดความหมุนเวียน (เวียนว่ายตายเกิด) ได้แล้ว ทรงครอบงำความหมุน

เวียนแล้วทรงล่วงทุกข์ได้ทุกชนิดแล้ว แม้โดยพระชาติ แม้โดยพระนาม แม้

โดยพระโคตร แม้โดยประมาณแห่งพระชนมายุ แม้โดยคู่แห่งพระสาวก แม้

โดยประชุมแห่งสาวกว่า แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นจึงได้มีพระชาติ

เช่นนี้ มีพระนามเช่นนี้ มีพระโคตรเช่นนี้ มีศีลเช่นนี้ มีธรรมเช่นนี้ มี

พระปัญญาเช่นนี้ มีวิหารธรรมเช่นนี้ มีวิมุตติเช่นนี้ ดังนี้ หรือว่า เพราะ

ความข้อนี้ พวกเทวดาได้กราบทูลแด่พระตถาคต พระตถาคตจึงทรงระลึกได้

ถึงพระพุทธเจ้าที่ล่วงไปแล้ว ซึ่งปรินิพพานแล้วทรงตัดธรรมเครื่องทำให้เนิ่น

ช้าได้แล้ว ทรงตัดความหมุนเวียนได้แล้ว ทรงครอบงำความหมุนเวียนได้แล้ว

ทรงล่วงทุกข์ได้ทุกอย่างแล้ว แม้โดยพระชาติ แม้โดยพระนาม แม้โดยพระโคตร

แม้โดยประมาณแห่งพระชนมายุ แม้โดยคู่แห่งพระสาวก แม้โดยประชุมแห่ง

พระสาวกว่า แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นจึงได้มีพระชาติเช่นนี้

มีพระนามเช่นนี้ มีพระโคตรเช่นนี้ มีศีลเช่นนี้ มีธรรมเช่นนี้ มีพระปัญญา

เช่นนี้ มีวิหารธรรมเช่นนี้ มีวิมุตติเช่นนี้ ก็ภิกษุเหล่านั้นยังค้างการสนทนา

กันอยู่ตรงนี้.

[๑๑] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากที่ประทับพักผ่อนใน

เวลาเย็น เสด็จตรงไปยังโรงกลมใกล้หมู่ไม้กุ่มน้ำ แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่

ปูลาดไว้แล้วพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

บัดนี้พวกเธอนั่งประชุมสนทนาอะไรกัน เรื่องอะไรที่พวกเธอพูดค้างไว้ เมื่อ

พระผู้มีพระภาคตรัสถามดังนี้ ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้า

แต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จหลีกไปแล้วไม่นาน พวกข้าพระองค์

ได้สนทนากันขึ้นในระหว่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ไม่เคยมีแล้ว

ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระตถาคตจะต้องทรงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก จึงจักทรง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 10

ระลึกได้ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว ซึ่งปรินิพพานแล้ว ทรงตัด

ธรรมที่ทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว ทรงตัดความหมุนเวียนได้แล้ว ทรงครอบงำความ

หมุนเวียนได้แล้ว ทรงล่วงทุกข์ได้ทุกอย่างแล้ว แม้โดยพระชาติ แม้โดย

พระนาม แม้โดยพระโคตร แม้โดยประมาณแห่งพระชนมายุ แม้โดยคู่แห่ง

พระสาวก แม้โดยประชุมแห่งพระสาวกว่า แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาค

เหล่านั้น จึงได้มีพระชาติเช่นนี้ ฯลฯ มีวิมุตติเช่นนี้ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย

เป็นอย่างไรหนอแล พระตถาคตพระองค์เดียว จึงทรงแทงตลอดธรรมธาตุนี้

เพราะเหตุที่พระตถาคตทรงแทงตลอดธรรมธาตุแล้วฉะนั้น จึงทรงระลึกได้ถึง

พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว ซึ่งปรินิพพานแล้ว ตัดธรรมเครื่องทำให้

เนิ่นช้าได้แล้ว ทรงตัดความหมุนเวียนได้แล้ว ทรงครอบงำความหมุนเวียน

ได้แล้ว ทรงล่วงทุกข์ได้ทุกอย่างแล้ว แม้โดยพระชาติ แม้โดยพระนาม

แม้โดยพระโคตร แม้โดยประมาณแห่งพระชนมายุ แม้โดยคู่แห่งพระสาวก

แม้โดยประชุมแห่งพระสาวกว่า แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จึงได้

มีพระชาติเช่นนี้ มีพระนามเช่นนี้ มีพระโคตรเช่นนี้ มีศีลเช่นนี้ มีธรรมเช่นนี้

มีพระปัญญาเช่นนี้ มีวิหารธรรมเช่นนี้ มีวิมุตติเช่นนี้ หรือว่าเพราะความข้อนี้

พวกเทวดาได้กราบทูลแด่พระตถาคต พระตถาคตจึงทรงระลึกได้ถึงพระพุทธเจ้า

ทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว ซึ่งปรินิพพานแล้ว ตัดธรรมเครื่องทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว

ตัดความหนุนเวียนได้แล้ว ทรงครอบงำความหมุนเวียนได้แล้ว ทรงล่วงความทุกข์

ทุกอย่างได้แล้ว แม้โดยพระชาติ แม้โดยพระนาม ฯ ล ฯ แม้โดยประชุมแห่ง

พระสาวกว่า แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จึงได้มีพระชาติเช่นนี้

มีพระนามเช่นนี้ ฯ ล ฯ มีวิมุตติเช่นนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เรื่องนี้แลที่พวก

ข้าพระองค์พูดค้างไว้ พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จมาถึง.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 11

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุที่ตถาคตนี่แหละ

แทงตลอดธรรมธาตุแล้ว ฉะนั้นตถาคตจึงระลึกได้ถึงพระพุทธเจ้าที่ล่วงไปแล้ว

ซึ่งปรินิพพานแล้ว ตัดธรรมเครื่องทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว มีวัฏฏะอันตัดแล้ว

ครอบงำวัฏฏะแล้ว แม้โดยพระชาติ แม้โดยพระนาม แม้โดยพระโคตร แม้

โดยประมาณแห่งพระชนมายุ แม้โดยคู่แห่งพระสาวก แม้โดยการประชุมกัน

แห่งพระสาวกว่า แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นจึงได้มีพระชาติเช่นนี้

มีพระนามเช่นนี้ ฯลฯ มีวิมุตติเช่นนี้ ความข้อนี้ แม้พวกเทวดาก็ได้กราบทูล

แด่ตถาคต ตถาคตจึงระลึกได้ ถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว ซึ่ง

ปรินิพพานแล้ว ตัดธรรมเครื่องทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว มีวัฏฏะอันตัดแล้ว ครอบ

งำวัฏฏะแล้ว ล่วงสรรพทุกข์แล้ว แม้โดยพระชาติ แม้โดยพระนาม ฯ ล ฯ

แม้โดยการประชุมกันแห่งพระสาวกว่า แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น

จึงได้มีพระชาติเช่นนี้ มีพระนามเช่นนี้ มีวิมุตติเช่นนี้ ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ

ปรารถนาหรือไม่ที่จะฟังธรรมีกถา ซึ่งเกี่ยวด้วยบุพเพนิวาสโดยยิ่งกว่าประมาณ

ภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นกาลสมควรแล้ว ข้าแต่

พระสุคต เป็นกาลสมควรแล้วที่พระผู้มีพระภาคจะพึงทรงการทำธรรมีกถาซึ่ง

เกี่ยวด้วยบุพเพนิวาส โดยยิ่งกว่าประมาณ ภิกษุทั้งหลายได้ฟังพระดำรัสของ

พระผู้มีพระภาคแล้วจักได้ทรงจำไว้.

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น พวกเธอจงฟัง

จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มี

พระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นับแต่นี้ไป ๙๑ กัป พระผู้มีพระภาคอรหันต-

สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี เสด็จอุบัติแล้วในโลก พระองค์เป็น

กษัตริย์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติแล้วในขัตติยสกุล เป็นโกณฑัญญะโดยพระโคตร

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 12

มีพระชนมายุประมาณ ๘๐,๐๐๐ ปี พระองค์ได้ตรัสรู้ที่ควงไม้แคฝอย มีพระ-

ขัณฑะและพระติสสะ เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ การประชุมแห่ง

พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้มี

แล้วสามครั้ง ครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกัน เป็นจำนวนภิกษุหกล้านแปด

แสนรูป อีกครั้งหนึ่งมีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแสนรูป อีก

ครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแปดหมื่นรูป ภิกษุทั้งหลาย

พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ซึ่งได้

ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนเป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ

ผู้อุปัฏฐากชื่อว่าอโสกะ ได้เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา

สัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาพระนามว่าพันธุม

เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่าพันธุมดี เป็นพระชนนี บังเกิดเกล้าของ

พระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี พระนครชื่อว่าพันธุมดี ได้เป็นราชธานีของ

พระเจ้าพันธุม.

ว่าด้วยพระโพธิสัตว์

[๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระโพธิสัตว์พระนามว่าวิปัสสี

จุติจากชั้นดุสิตแล้ว มีพระสติสัมปชัญญะ เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา

ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ เมื่อใดพระโพธิสัตว์จุติ

จากชั้นดุสิต เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา เมื่อนั้นในโลกพร้อมทั้ง

เทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและ

มนุษย์ แสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณปรากฏในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดา

ทั้งหลาย ช่องว่างซึ่งอยู่ที่สุดในโลก มิได้ถูกอะไรปกปิดไว้ ที่มืดมิดก็ดี สถานที่

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 13

ที่พระจันทร์และพระอาทิตย์เหล่านี้ ซึ่งมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมากปานนี้ส่องแสง

ไปไม่ถึงก็ดี ในที่ทั้งสองแห่งนั้น แสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ย่อมปรากฏ

ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ถึงสัตว์ทั้งหลายที่เกิดในสถานที่เหล่านั้นก็

จำกันและกันได้ ด้วยแสงนั้นว่า พ่อผู้เจริญ ได้ยินว่า ถึงสัตว์พวกอื่นที่เกิดในนี้

ก็มีอยู่เหมือนกัน ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ ย่อมหวั่นไหวสะเทือนสะท้าน ทั้งแสงสว่าง

อันยิ่งไม่มีประมาณย่อมปรากฏในโลกล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลายข้อนี้

เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์

เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดา เทวบุตร ๔ องค์ ย่อมเข้าไปรักษาทิศทั้ง ๔

โดยตั้งใจว่าใคร ๆ คือ มนุษย์ หรืออมนุษย์ก็ตาม อย่าเบียดเบียนพระโพธิสัตว์

หรือพระมารดาของโพธิสัตว์นั้นได้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์

เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา พระมารดาของพระโพธิสัตว์โดยปรกติ

ทรงศีล งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ลดเว้นจากการลักทรัพย์ งดเว้นจากการ

ประพฤติผิดในกาม งดเว้นจากการกล่าวเท็จ งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ

สุราและเมรัยอันเป็นฐานแห่งความประมาท ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์ลง

สู่พระครรภ์ของพระมารดา พระมารดาของโพธิสัตว์ย่อมไม่เกิดมนัสซึ่ง

เกี่ยวด้วยกามคุณในบุรุษทั้งหลาย พระมารดาของโพธิสัตว์ย่อมเป็นหญิงที่

บุรุษใด ๆ ซึ่งมีจิตกำหนัดแล้วจะล่วงเกินไม่ได้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์

เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมได้กามคุณ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 14

๕ พระนางเพียบพร้อมพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ได้รับบำเรออยู่ ข้อนี้เป็น

ธรรมดาในเรื่องนี้.

[๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์

เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา อาพาธใด ๆ ย่อมไม่เกิดแก่พระมารดาของ

ของพระโพธิสัตว์เลย พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมทรงสำราญ ไม่ลำบาก

กายและพระมารดาของพระโพธิสัตว์ ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ซึ่งเสด็จ

อยู่ภาย ในพระครรภ์มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ดูกรภิกษุ

ทั้งหลายเปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยมนาย

ช่างเจียรไนดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้าย เขียว เหลือง แดง

ขาวหรือนวลร้อยอยู่ในนั้น. บุรุษผู้มีจักษุจะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นี้นั้นวางไว้ใน

มือแล้วพิจารณาเห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม

นายช่างเจียรไนดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนแวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้าย

เขียว เหลือง แดง ขาว หรือนวล ร้อยอยู่ในแก้วไพฑูรย์นั้น แม้ฉันใด ดูกร

ภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์

ของพระมารดา อาพาธใด ๆ ย่อมไม่เกิดแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์เลย

พระมารดาของพระโพธิสัตว์ทรงสำราญ ไม่ลำบากพระกาย และพระมารดาของ

พระโพธิสัตว์ย่อมทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ผู้เสด็จอยู่ ณ ภายในพระครรภ์

มีอวัยวะน้อยใหญ่ครบถ้วนมีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเมื่อพระโพธิสัตว์

ประสูติแล้วได้ ๗ วัน พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมทิวงคตเสด็จเข้าถึงชั้น

ดุสิต ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ หญิงอื่น ๆ บริหารครรภ์

๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้าง จึงคลอด พระมารดาของพระโพธิสัตว์หาเหมือน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 15

อย่างนั้นไม่ พระมารดาของพระโพธิสัตว์บริหารพระโพธิสัตว์ด้วยพระครรภ์

ครบ ๑๐ เดือน ถ้วน จึงประสูติ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรดามีอยู่ดังนี้ พระมารดาของพระโพธิ-

สัตว์ย่อมไม่ประสูติเหมือนหญิงอื่น ๆ ซึ่งนั่งหรือนอนคลอด ส่วนพระมารดา

ของพระโพธิสัตว์ประทับยืนประสูติพระโพธิสัตว์ ข้อนี้เป็นธรรดาในเรื่องนี้.

[๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาพระโพธิสัตว์

เสด็จประสูติจากพระครรภ์พระมารดา พวกเทวดารับก่อน พวกมนุษย์รับทีหลัง

ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์

เสด็จประสูติจากพระครรภ์พระมารดาและยังไม่ทันถึงแผ่นดิน เทวบุตร ๔ องค์

ประคองรับพระโพธิสัตว์นั้นแล้ววางไว้เบื้องหน้าพระมารดา กราบทูลว่า ขอ

จงมีพระทัยยินดีเถิดพระเทวี พระโอรสของพระองค์ที่เกิดมีศักดิ์ใหญ่ นี้เป็น

ธรรมดาในเรื่องนี้ .

[๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์

เสด็จประสูติจากพระครรภ์พระมารดา เสด็จประสูติอย่างง่ายดายทีเดียว ไม่

เปรอะเปื้อนด้วยน้ำ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยเสมหะ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยโลหิต ไม่

เปรอะเปื้อนด้วยสิ่งไม่สะอาดอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกร

ภิกษุทั้งหลาย แก้วมณีอันบุคคลวางลงไว้ในผ้ากาสิกพัสตร์ แก้วมณีย่อมไม่ทำ

ผ้ากาสิกพัสตร์ให้เปรอะเปื้อนเลย ถึงแม้ผ้ากาสิกพัสตร์ก็ไม่ทำแก้วมณีให้

เปรอะเปื้อน เพราะเหตุไรจึงเป็นดังนั้น เพราะสิ่งทั้งสองเป็นของบริสุทธิ์แม้

ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ

ประสูติจากพระครรภ์พระมารดาก็ประสูติอย่างง่ายดายทีเดียว ไม่เปรอะเปื้อน

ด้วยน้ำ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยเสมหะ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยโลหิต ไม่เปรอะเปื้อน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 16

ด้วยสิ่งไม่สะอาด อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องข้อนี้เป็นธรรมดาใน

เรื่องนี้.

[๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์

เสด็จประสูติจากพระครรภ์พระมารดา ธารน้ำย่อมปรากฏจากอากาศสองธาร

เย็นธารหนึ่ง ร้อนธารหนึ่ง สำหรับสนานพระโพธิสัตว์และพระมารดา ข้อนี้

เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ พระโพธิสัตว์ผู้ประสูติแล้ว

ได้ครู่หนึ่ง ประทับยืนด้วยพระบาททั้งสองอันสม่ำเสมอ ผินพระพักตร์ทางด้าน

ทิศอุดร เสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าว และเมื่อฝูงเทพดากั้นเศวตฉัตรตามเสด็จอยู่

ทรงเหลียวแลดูทั่วทุกทิศ เปล่งวาจาว่า เราเป็นยอดของโลก เราเป็นใหญ่แห่ง

โลก เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ความเกิดของเรานี้เป็นครั้งที่สุด บัดนี้ความ

เกิดอีกมิได้มี ดังนี้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

[๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ เมื่อใด พระโพธิสัตว์เสด็จ

ประสูติจากพระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้น ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก

พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวาและมนุษย์ แสงสว่างอัน

ยิ่งไม่มีประมาณ ย่อมปรากฏล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ช่องว่างซึ่งอยู่

ที่สุดโลกมิได้ถูกอะไรปกปิด ที่มืดมิดก็ดี สถานที่ที่พระจันทร์และพระอาทิตย์

เหล่านี้ซึ่งมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากปานนี้ส่องแสงไป ไม่ถึงก็ดี ในที่ทั้งสอง

แห่งนั้นแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ย่อมปรากฏล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้ง

หลาย ถึงสัตว์ทั้งหลายที่เกิดในสถานที่เหล่านั้นก็จำกันและกันได้ ด้วยแสงสว่าง

นั้นว่าพ่อผู้เจริญ ได้ยินว่าถึงสัตว์พวกอื่นที่เกิดในนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน และหมื่น

โลกธาตุนี้ย่อมหวั่นไหวสะเทือนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ย่อม

ปรากฏในโลกล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 17

การพยากรณ์นิมิต

[๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อพระวิปัสสีราชกุมารประสูติแล้วแล

พวกอำมาตย์ได้กราบทูลแด่พระเจ้าพันธุมว่า ขอเดชะ พระราชโอรสของพระ-

องค์ประสูติแล้ว ขอพระองค์จงทอดพระเนตรพระราชโอรสนั้นเถิด ภิกษุ

ทั้งหลาย พระเจ้าพันธุมได้ทอดพระเนตรเห็นพระวิปัสสีราชกุมาร แล้วรับสั่ง

เรียกพวกพราหมณ์ผู้รู้นิมิตมาแล้วตรัสว่า ขอพวกพราหมณ์ผู้รู้นิมิตผู้เจริญจง

ตรวจดูพระราชกุมารเถิด ภิกษุทั้งหลาย พวกพราหมณ์ผู้รู้นิมิตได้เห็นพระวิ-

ปัสสีราชกุมารนั้นแล้ว ได้กราบทูลพระเจ้าพันธุมนั้นดังนี้ว่า

ขอเดชะ ขอพระองค์จงดีพระทัยเถิด พระราชโอรสของพระองค์ที่ประสูติ

แล้วมีศักดิ์ใหญ่ ข้าแต่มหาราช เป็นลาภของพระองค์ ผู้เป็นเจ้าของสกุลอันเป็น

ที่บังเกิดแห่งพระราชโอรส เห็นปานดังนี้ ขอเดชะ พระองค์ได้ดีแล้วเพราะ

พระราชกุมารนี้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งมีคติเป็นสองเท่า

นั้นไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม

เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรง

ชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว

ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว เป็นที่ ๗

พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์

สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา

มิต้องใช้ศาตรา ครอบครองแผ่นดินมีสาครเป็นของเขต ถ้าเสด็จออกผนวช

เป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปิดหลังคาคือกิเลส

แล้วในโลก.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 18

ขอเดชะ ก็พระราชกุมารนี้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ

เหล่าไหน อันเป็นเหตุให้มีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าครอง

เรือนจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่

ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้วมีพระราชอาณาจักร

มั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ฯลฯ ครอบครองแผ่นดินมี

สาคร ๔ เป็นขอบเขต ถ้าเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก.

ว่าด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ

[๒๙] ๑. ขอเดชะ ก็พระราชกุมารนี้มีพระบาทประดิษฐาน

เป็นอันดี (เรียบเสมอ) ข้าแต่สมมติเทพ การที่พระราชกุมารนี้มี

พระบาทประดิษฐานเป็นอันดีนี้ เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษ

นั้น.

๒. ณ พื้นภายใต้ฝ่าพระบาททั้ง ๒ ของพระราชกุมารนี้ มี

จักรเกิดขึ้นมีซี่กำข้างละพัน มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง

ข้าแต่สมมติเทพ แม้การที่พื้นภายใต้ฝ่าพระบาททั้ง ๒ ของพระราช

กุมารนี้มีจักรเกิดขึ้น มีซี่กำข้างละพัน มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วย

อาการทั้งปวง นี้ก็เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษนั้น.

๓. มีส้นพระบาทยาว.

๔. มีพระองคุลียาว.

๕. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่น.

๖. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจตาข่าย.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 19

๗. มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ.

๘. มีพระชงฆ์รีเรียวดุจแข้งเนื้อทราย.

๙. เสด็จสถิตยืนอยู่มิได้น้อมลง เอาฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองลูบ

คลำได้ถึงพระชานุทั้งสอง.

๑๐. มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก.

๑๐. มีพระฉวีววรรณดุจวรรณแห่งทองคำ คือ มีพระตจะประ-

ดุจหุ้มด้วยทอง.

๑๒. มีพระฉวีละเอียด เพราะพระฉวีละเอียด ธุลีละอองจึงมิ

ติดอยู่ในพระกายได้.

๑๓. มีพระโลมชาติเส้นหนึ่ง ๆ เกิดในขุมละเส้น ๆ.

๑๔. มีพระโลมชาติที่มีปลายช้อยขึ้นข้างบน มีสีเขียว มีสี

เหมือนดอกอัญชัน ขดเป็นกุณฑลทักษิณาวัฏ.

๑๕. มีพระกายตรงเหมือนกายพรหม.

๑๖. มีพระมังสะเต็มในที่ ๗ สถาน.

๑๗. มีกึ่งพระกายท่อนบนเหมือนกึ่งกายท่อนหน้าของราช-

สีห์.

๑๘. มีระหว่างพระอังสะเต็ม.

๑๙. มีปริมณฑลดุจไม้นิโครธ วาของพระองค์เท่ากับพระกาย

ของพระองค์ พระกายของพระองค์เท่ากับวาของพระองค์.

๒๐. มีลำพระศอกลมเท่ากัน.

๒๑. มีปลายเส้นประสาทสำหรับนำรสอาหารอันดี.

๒๒. มีพระหนุดุจคางราชสีห์.

๒๓. มีพระทนต์ ๔๐ ซี่.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 20

๒๔. มีพระทนต์เรียบเสมอกัน .

๒๕. มีพระทนต์ไม่ห่าง.

๒๖. มีพระทาฐะขาวงาม.

๒๗. มีพระชิวหาใหญ่.

๒๘. มีพระสุรเสียงดุจเสียงแห่งพรหม ตรัสมีสำเนียงดังนก

การเวก.

๒๙. มีพระเนตรดำสนิท.

๓๐. มีดวงพระเนตรดุจตาแห่งโค.

๓๑. มีพระอุณณาโลมบังเกิด ณ ระหว่างแห่งพระขนง มี

สีขาวอ่อนควรเปรียบด้วยนุ่น.

๓๒. มีพระเศียรดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์ ข้าแต่สมมติ

เทพ แม้การที่พระราชกุมารนี้ มีพระเศียรดุจประดับด้วยกรอบพระ

พักตร์นี้ ก็เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษนั้น.

[๓๐] ขอเดชะ พระราชกุมารนี้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒

ประการเหล่านี้ ซึ่งมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าครองเรือนจะ

ได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ใน

แผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชำนะแล้ว มีราชาอาณาจักรมั่นคง

สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว

คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว เป็นที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์มีกว่าพัน

ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของข้าศึกได้

พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศาสตรา ครอบครอง

แผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ถ้าเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระ

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปิดหลังคาคือกิเลสแล้วในโลก.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 21

เรื่องพระเจ้าพันธุมราช

[๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมโปรดให้พวก

พราหมณ์ผู้รู้นิมิตนุ่งห่มผ้าใหม่แล้ว เลี้ยงดูให้อิ่มหนำด้วยสิ่งที่ต้องประสงค์

ทุกสิ่ง ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมรับสั่งตั้งพี่เลี้ยงนางนมแก่

พระวิปัสสีราชกุมาร หญิงพวกหนึ่งให้เสวยน้ำนม หญิงพวกหนึ่งให้สรงสนาน

หญิงพวกหนึ่งอุ้ม หญิงพวกหนึ่งใส่สะเอว.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ราชบุรุษทั้งหลาย ได้กั้นเศวตฉัตรเพื่อพระวิปัสสี

ราชกุมารผู้ประสูติแล้วนั้นทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยหวังว่า หนาว ร้อน

หญ้า ละออง หรือน้ำค้าง อย่าได้ต้องพระองค์.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พระวิปัสสีราชกุมารู้ผู้ประสูติแล้วแล เป็นที่รักเป็น

ที่เจริญใจของชนเป็นอันมาก ดอกอุบล ดอกประทุม หรือดอกปุณฑริก เป็น

ที่รัก เป็นที่เจริญใจของชนเป็นอันมาก แม้ฉันใด พระวิปัสสีราชกุมารก็ได้เป็น

ที่รัก เป็นที่เจริญใจของชนเป็นอันมาก ฉันนั้นเหมือนกัน ได้ยินว่า พระ-

วิปัสสีราชกุมารนั้น อันบุคคลผลัดเปลี่ยนกันอุ้มใส่สะเอวอยู่เสมอ.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมารผู้ประสูติแล้วแล เป็นผู้มีพระ

สุระเสียงกลมเกลี้ยง ไพเราะ อ่อนหวาน และเป็นที่ตั้งแห่งความรัก ภิกษุทั้ง

หลาย หมู่นกการเวกบนหิมวันตบรรพตมีสำเนียงกลมเกลี้ยง ไพเราะ อ่อนหวาน

และเป็นที่ตั้งแห่งความปรีดิ์เปรม ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมาร

ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้มีพระสุระเสียงกลมเกลี้ยง ไพเราะ อ่อนหวาน เป็น

ที่ตั้งแห่งความรัก.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทิพยจักษุอันเกิดแต่กรรมวิบาก อันเป็นเหตุให้

เห็นได้ไกลโดยรอบโยชน์หนึ่งทั้งกลางวันและกลางคืน ได้ปรากฏแก่พระวิปัสสี

ราชกุมารผู้ประสูติแล้วแล.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 22

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พระวิปัสสีราชกุมารผู้ประสูติแล้วแล ไม่กะพริบ

พระเนตรเพ่งแลดู ภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ไม่กะพริบเนตรเพ่ง

แลดูแม้ฉันใด พระวิปัสสีราชกุมาร ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่กะพริบพระเนตร

เพ่งแลดู.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมญาว่า วิปัสสี ดังนี้แล ได้บังเกิดขึ้นแล้วแก่

พระวิปัสสีราชกุมารผู้ประสูติแล้วแล.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมประทับนั่งในศาลสำหรับ

พิพากษาคดี ให้พระวิปัสสีราชกุมารมานั่งบนพระเพลาไต่สวนคดีอยู่.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า พระวิปัสสีราชกุมารประทับนั่งบนพระ

เพลาของพระชนก ณ ศาลาสำหรับพิพากษาคดีนั้น ทรงสอดส่องพิจารณาคดี

แล้ว ย่อมทรงทราบได้ด้วยพระญาณ. ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น สมญาว่า วิปัสสี

ดังนี้แล ได้บังเกิดขึ้นแล้วแก่พระวิปัสสีราชกุมารนั้น โดยยิ่งกว่าประมาณ ลำดับ

นั้นแล พระเจ้าพันธุมได้โปรดให้สร้างปราสาทสำหรับพระวิปัสสีราชกุมาร ๓

หลัง คือ หลังหนึ่งสำหรับประทับในฤดูฝน หลังหนึ่งสำหรับประทับในฤดูหนาว

อีกหลังหนึ่งสำหรับประทับในฤดูร้อน โปรดให้บำรุงพระราชกุมารด้วยเบญจ-

กามคุณ ได้ยินว่า พระวิปัสสีราชกุมารได้รับการบำรุงบำเรอด้วยดนตรีไม่มี

บุรุษปนตลอด ๔ เดือนในปราสาทสำหรับประทับในฤดูฝน ในบรรดาปราสาท

ทั้ง ๓ หลังนั้น มิได้เสด็จลงสู่ปราสาทชั้นล่างเลย ดังนี้แล.

จบภาณวารที่หนึ่ง

[๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนี้แล โดยกาลล่วงไปหลายปี หลายร้อย

ปี หลายพันปี พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสเรียกนายสารถีมาสั่งว่า นายสารถี

ผู้สหาย เธอจงเทียมยานที่ดี ๆ เราจะไปสวนเพื่อชมพื้นที่อันสวยสด ภิกษุ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 23

ทั้งหลาย นายสารถีรับคำสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว เทียมยานที่ดี ๆ เสร็จ

แล้ว จึงกราบทูลแด่พระวิปัสสีราชกุมารว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้าได้เทียม

ยานที่ดี ๆ เสร็จแล้ว บัดนี้ พระองค์ทรงกำหนดเวลาอันสมควรเถิด.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารทรงยานอันดี เสด็จ

ประพาสพระอุทยานพร้อมกับยานที่ดี ๆ ทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมาร ขณะ

เสด็จประพาสพระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรชายชรา มีซี่โครงคดเหมือนกลอน

หลังงอ ถือไม้เท้า เดินงก ๆ เงิ่น ๆ กระสับกระส่าย หมดความหนุ่มแน่น

ครั้นทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่งถามนายสารถีว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ชายผู้นี้

ถูกใครทำอะไรให้ แม้ผมของเขาก็ไม่เหมือนคนอื่น ๆ แม้ร่างกายของเขา

ก็ไม่เหมือนของคนอื่น ๆ

นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนชรา.

นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่า คนชรา.

ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนชรา บัดนี้ เขาจักพึงมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน.

นายสารถี ถึงตัวเราจะต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่

ไปได้หรือ.

ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้า ล้วนแต่จะต้องมีความแก่เป็น

ธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้.

นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาคแห่งสวน

เธอจงนำเรากลับสู่วังจากสวนนี้เถิด.

นายสารถีรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไปยัง

ภายในบุรีจากพระอุทายานนั้น ๆ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้นพระวิปัสสีราชกุมารเสด็จถึงวัง

แล้ว ทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัยทรงพระดำริว่า ผู้เจริญได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่าความ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 24

เกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่าเมื่อความเกิดมีอยู่. ความแก่จักปรากฏ

แก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว.

[๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมรับสั่งหานายสารถี

มาตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย ราชกุมารได้อภิรมย์ในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ

นายสารถีผู้สหาย ราชกุมารพอพระทัยในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นายสารถี

กราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาคแห่งพระอุทยาน

ขอเดชะ. พระราชกุมารมิได้ทรงพอพระทัยในภูมิภาคแห่งพระอุทยาน ดังนี้ ตรัส

ถามต่อไปว่า ดูกรนายสารถีผู้สหาย ก็ราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาสสวนได้

ทอดพระเนตรอะไรเข้า.

นายสารถีได้กราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารขณะเมื่อเสด็จ

ประพาสพระอุทยานได้ทอดพระเนตรชายชรามีซี่โครงคดเหมือนกลอน หลังงอ

ถือไม้เท้าเดินงก ๆ เงิ่น ๆ กระสับกระส่าย หมดความหนุ่มแน่น ครั้นได้ทอด

พระเนตรแล้ว ได้มีรับสั่งถามข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ชายผู้นี้

ถูกใครทำอะไรให้ แม้ผมของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่น ๆ แม้ร่างกายของเขาก็

ไม่เหมือนของคนอื่น ๆ เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แล เรียกว่า

คนชรา พระองค์ได้ตรัสถามย้ำว่านายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่า คนชรา เมื่อ

ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่าคนชรา บัดนี้เขาจักพึงมีชีวิต

อยู่ได้ไม่นาน พระราชกุมารได้ตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย ถึงตัวเราก็จะต้องมี

ความแก่เป็นธรรมดาไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้หรือ เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูล

ว่าขอเดชะ. พระองค์และข้าพระพุทธเจ้าล้วนแต่จะต้องมีความแก่เป็นธรรมดา

ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ พระองค์ตรัสสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น

วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับเข้าวังจากสวนนี้ ขอเดชะ

ข้าพระพุทธเจ้ารับคำสั่งของพระวิปัสสีราชกุมาร แล้วได้นำเสด็จกลับเข้าวังจาก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 25

พระอุทยานนั้น ขอเดชะ พระราชกุมารนั้นแล เสด็จถึงวังแล้ว ทรงเป็นทุกข์

เศร้าพระทัยทรงพระดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่าความเกิดเป็น

ของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่าเมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏแก่ผู้ที่

เกิดมาแล้ว.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมทรงดำริว่า วิปัสสีราช-

กุมารไม่เสวยราชเสียเลยไม่ได้ วิปัสสีราชกุมารอย่าออกผนวชเป็นบรรพชิตเลย

ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์อย่าพึงเป็นความจริงเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมรับสั่งให้บำรุงบำเรอพระ

วิปัสสีราชกุมารด้วยกามคุณ ๕ ยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยอาการที่จะให้พระวิปัสสี

ราชกุมารเสวยราชย์ โดยอาการที่จะไม่ให้พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จออกผนวช

เป็นบรรพชิต โดยอาการที่จะให้ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์เป็นผิด ภิกษุ

ทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเพียบพร้อมพรั่งพร้อมด้วยกาม

คุณ ๕ ได้รับการบำรุงบำเรออยู่.

[๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล โดยกาลล่วงไปหลายปี พระ

วิปัสสีราชกุมาร ฯลฯ ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมาร ขณะเมื่อเสด็จประพาส

พระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรคนเจ็บ ถึงความลำบาก เป็นไข้หนัก นอนจม

อยู่ในมูตรและกรีสของตน คนอื่น ๆ ต้องช่วยพยุงให้ลุก ผู้อื่นต้องช่วยให้กิน

ครั้นทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่งถามนายสารถีว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ชายนี้

ถูกใครทำอะไรให้ แม้ตาทั้งสองของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่น ๆ แม้ศีรษะของ

เขาก็ไม่เหมือนของคนอื่น ๆ.

นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนเจ็บ.

นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่า คนเจ็บ.

ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนเจ็บ ไฉนเล่า เขาจะพึงหายจากความเจ็บนั้นได้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 26

นายสารถีผู้สหาย ถึงตัวเราก็จะต้องมีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วง

พ้นความเจ็บไปได้หรือ.

ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้า ล้วนจะต้องมีความเจ็บเป็น

ธรรมดาไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้.

นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับ ภูมิภาคแห่งสวน เธอ

จงนำเรากลับ ไปวังจากสวนนี้เถิด.

นายสารถีรับสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไปยังวัง

จากพระอุทยานนั้น ๆ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จถึงวัง

แล้ว ทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญ ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่าความ

เกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ

ความเจ็บจักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว.

[๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมรับสั่งหานาย

สารถีมาตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย ราชกุมารได้อภิรมย์ในภูมิภาคแห่งสวนแล

หรือ นายสารถีผู้สหาย ราชกุมารพอพระทัยในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ นาย

สารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาคแห่งพระ -

อุทยาน ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงพอพระทัยในภูมิภาคแห่งพระอุทยาน

ดังนี้ ตรัสถามต่อไปว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาสสวน

ได้ทอดพระเนตรอะไรเข้า.

นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาส

พระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรคนเจ็บ ถึงความลำบาก เป็นไข้หนัก นอนจม

อยู่ในมูตรและกรีสของตน บุคคลอื่น ๆ ต้องช่วยพยุงให้ลุก ผู้อื่นต้องช่วยให้

กินครั้นทอดพระเนตรแล้ว ได้รับสั่งถามข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถีผู้สหาย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 27

ชายคนนี้ถูกใครทำอะไรให้ แม้ตาทั้งสองของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่น ๆ แม้

ศรีษะของเขาก็ไม่เหมือนของคนอื่น ๆ เมื่อข้าพระพุทธะจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ

นี้แลเรียกว่า คนเจ็บ พระองค์ได้ตรัสถามย้ำว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียก

ว่าคนเจ็บ เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนเจ็บไฉน

เล่า เขาจะพึงหายจากความเจ็บนั้นได้ พระราชกุมารได้ตรัสถามว่า นายสารถีผู้

สหาย แม้ถึงตัวเราก็จะต้องมีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้

หรือ แต่พอข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้า

ล้วนแต่จะต้องมีความเจ็บป่วยเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บป่วยไปได้

พระองค์ตรัสสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาคแห่ง

สวน เธอจงนำเรากลับไปวังจากสวนนี้ ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ารับคำสั่งของ

พระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไปวังจากพระอุทยานนั้น ขอเดชะ

พระราชกุมารนั้นแล เสด็จถึงวังแล้ว ทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริ

ว่า ผู้เจริญ ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า

เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ ความเจ็บป่วยจักปรากฏแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว .

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมทรงพระดำริว่า วิปัสสี-

ราชกุมาร อย่าไม่เสวยราชย์เสียเลย วิปัสสีราชกุมารอย่าออกผนวชเป็นบรรพชิต

เลย ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์อย่าพึงเป็นความจริงเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมรับสั่งให้บำรุงบำเรอ

พระวิปัสสีราชกุมารด้วยกามคุณ ๕ ยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยอาการที่จะให้พระวิปัสสี

ราชกุมารเสวยราชย์ โดยอาการที่จะไม่ให้พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จออกผนวช

เป็นบรรพชิต โดยอาการที่จะให้ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์เป็นผิด ภิกษุทั้ง

หลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ได้รับ

การบำรุงบำเรออยู่ ฯลฯ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 28

พระวิปัสสีราชกุมารเห็นเทวทูต

[๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาส

พระอุทยานได้ทอดพระเนตรหมู่มหาชนประชุมกัน และวอที่ทำด้วยผ้าสีต่าง ๆ

ครั้นทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่งถามนายสารถีว่า นายสารถีผู้สหาย หมู่มหา-

ชนเขาประชุมกันทำไม และเขาทำวอด้วยผ้าสีต่างๆ กันทำไม นายสารถีได้กราบ

ทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า คนตาย พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสสั่งว่า นาย

สารถี ถ้าเช่นนั้น เธอจงขับรถไปทางคนตายนั้น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับคำสั่งของพระปัสสีราชกุมารแล้ว ได้

ขับรถไปทางคนตายนั้น ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมารได้ทอดพระเนตรคน

ตายไปแล้ว ได้ตรัสเรียกนายสารถีมารับสั่งถามว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือ

เรียกว่าคนตาย.

นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่าคนตาย บัดนี้ มารดาบิดา

หรือญาติสาโลหิตอื่น ๆ จักไม่เห็นเขา แม้เขาก็จักไม่เห็นมารดาบิดาหรือญาติ

สาโลหิตอื่น ๆ.

นายสารถีผู้สหาย ถึงตัวเราก็จะต้องมีความตายเป็นธรรดา ไม่ล่วงพ้น

ความตายไปได้หรือ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติสาโลหิตอื่น ๆ

จักไม่เห็นเราหรือ แม้เราก็จักไม่เห็นพระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติ

สาโลหิตอื่น ๆ หรือ.

ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้าล้วนแต่จะต้องมีความตายเป็น

ธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติ

สาโลหิตอื่น ๆ จักไม่เห็นพระองค์ แม้พระองค์ก็จะไม่เห็น พระเจ้าแผ่นดิน

พระเทวีหรือพระญาติสาโลหิตอื่น ๆ นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้นวันนี้พอแล้ว

สำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอจงนำเรากลับไปวังจากสวนนี้เถิด.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 29

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับคำสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว ได้

นำเสด็จกลับไปวังจากอุทยานนั้น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จถึงวัง

แล้ว ทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญ ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่าความ

เกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะธรรมดาว่า เมื่อความเกิดมีอยู่ ความแก่จักปรากฏ

ความเจ็บจักปรากฏ ความตายจักปรากฏแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว .

[๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมรับสั่งหานาย

สารถีมาตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย ราชกุมารได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาคแห่ง

สวนแลหรือ นายสารถีผู้สหาย ราชกุมารพอพระทัยในภูมิภาคแห่งสวนแลหรือ

นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงอภิรมย์ในภูมิภาคแห่ง

พระอุทยาน ขอเดชะ พระราชกุมารมิได้ทรงพอพระทัยในภูมิภาคแห่งพระ-

อุทยานดังนี้ ตรัสถามต่อไปว่า นายสารถีผู้สหาย ก็ราชกุมารขณะเมื่อเสร็จ

ประพาสสวนได้ทอดพระเนตรอะไรเข้า.

นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ พระราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาส

พระอุทยาน ได้ทอดพระเนตรหมู่มหาชนประชุมกันและวอที่ทำด้วยผ้าสีต่าง ๆ

แล้วได้ตรัสถามข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถีผู้สหาย หมู่มหาชนประชุมกันทำไม

เขากระทำวอด้วยผ้าสีต่าง ๆ กันทำไม เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า นี้แล

เรียกว่าคนตาย พระองค์ได้ตรัสสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น เธอจง

ขับรถไปทางคนตายนั้น ขอเดชะ. ข้าพระพุทธเจ้ารับคำสั่งของพระวิปัสสี

ราชกุมารแล้ว ได้ขับรถไปทางคนตายนั้น ขอเดชะ พระราชกุมารได้ทอด

พระเนตรคนตายเข้าแล้วได้ตรัสถามข้าพระพุทธเจ้าว่า นายสารถีผู้สหาย นี้หรือ

เรียกว่าคนตาย เมื่อข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่าคนตาย

บัดนี้มารดาบิดาและญาติสาโลหิตอื่น ๆ จักไม่เห็นเขา แม้เขาก็จักไม่เห็นมารดา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 30

บิดาหรือญาติสาโลหิตอื่น ๆ ดังนี้ พระองค์ได้ตรัสถามว่า นายสารถีผู้สหาย

ถึงตัวเราก็จะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้หรือ

พระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติสาโลหิตอื่น ๆ จักไม่เห็นเราหรือ แม้เรา

ก็จักไม่เห็นพระเจ้าแผ่นดิน พระเทวีหรือพระญาติสาโลหิตอื่น ๆ หรือ เมื่อ

ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์และข้าพระพุทธเจ้าล้วนแต่จะ

ต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ พระเจ้าแผ่นดิน

พระเทวี หรือพระญาติสาโลหิตอื่น ๆ จักไม่เห็นพระองค์ แม้พระองค์ก็จักไม่

เห็นพระเจ้าแผ่นดิน พระเทวี หรือพระญาติสาโลหิตอื่น ๆ ดังนี้ พระองค์ตรัส

สั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น วันนี้พอแล้วสำหรับภูมิภาคแห่งสวน เธอ

จงนำเรากลับไปวังจากสวนนี้ ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้ารับคำสั่งของพระวิปัสสี

ราชกุมารแล้ว ได้นำเสด็จกลับไปวังจากพระอุทยานนั้น ขอเดชะ พระราชกุมาร

นั้นแล เสด็จถึงวังแล้วทรงเป็นทุกข์เศร้าพระทัย ทรงพระดำริว่า ผู้เจริญ

ได้ยินว่า ขึ้นชื่อว่า ความเกิดเป็นของน่ารังเกียจ เพราะเมื่อความเกิดมีอยู่

ความแก่จักปรากฏ ความเจ็บจักปรากฏ ความตายจักปรากฏ แก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมทรงพระดำริว่า วิปัสสี

ราชกุมารอย่าไม่พึงเสวยราชย์เลย วิปัสสีราชกุมารอย่าออกผนวชเป็นบรรพชิต

เลย ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์ทั้งหลายอย่าเป็นความจริงเลย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมได้รับสั่งให้บำรุงบำเรอ

พระวิปัสสีราชกุมารด้วยกามคุณ ๕ ยิ่งกว่าแต่ก่อน โดยอาการที่จะให้พระวิปัสสี

ราชกุมารเสวยราชย์ โดยอาการที่จะไม่ให้พระวิปัสสีราชกุมารเสด็จออกผนวช

เป็นบรรพชิต โดยอาการที่จะให้ถ้อยคำของเนมิตตพราหมณ์เป็นผิด ภิกษุ

ทั้งหลาย ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระวิปัสสีราชกุมารเพียบพร้อม พรั่งพร้อมด้วย

กามคุณ ๕ ได้รับการบำรุงบำเรออยู่.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 31

[๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล โดยกาลล่วงไปหลายปี หลาย

ร้อยปี หลายพันปี พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสเรียกนายสารถีมาสั่งว่า นายสารถี

ผู้สหาย เธอจงเทียมยานที่ดี ๆ เราจะไปในสวนเพื่อชมพื้นที่อันสวยสด ภิกษุ

ทั้งหลาย นายสารถีรับคำสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว เทียมยานที่ดี ๆ

เสร็จแล้ว ได้กราบทูลแด่พระวิปัสสีราชกุมารว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า

เทียมยานที่ดี ๆ เสร็จแล้ว บัดนี้ พระองค์ทรงกำหนดเวลาอันสมควรเถิด.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารทรงยานที่ดีเสด็จ

ประพาสพระอุทยานพร้อมกับยานที่ดี ๆ ทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสี

ราชกุมารขณะเมื่อเสด็จประพาสพระอุทยานได้ทอดพระเนตรบุรุษบรรพชิต

ศีรษะโล้นนุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ครั้นทอดพระเนตรแล้ว จึงรับสั่งถามนาย

สารถีว่า นายสารถีผู้สหาย บุรุษนี้ถูกใครทำอะไรให้ แม้ศีรษะของเขาก็ไม่

เหมือนคนอื่น ๆ แม้ผ้าทั้งหลายของเขาก็ไม่เหมือนคนอื่น ๆ

นายสารถีกราบทูลว่า ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า บรรพชิต.

นายสารถีผู้สหาย นี้หรือเรียกว่า บรรพชิต.

ขอเดชะ นี้แลเรียกว่า บรรพชิต การประพฤติธรรมเป็นความดี การ

ประพฤติสม่ำเสมอเป็นความดี การพระพฤติกุศลเป็นความดี การกระทำบุญ

เป็นความดี การไม่เบียดเบียนเป็นความดี การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์เป็น

ความดี.

นายสารถีผู้สหาย ดีละ ที่บุคคลนั้นได้นามว่า บรรพชิต การประพฤติ

ธรรมเป็นความดี การพระพฤติสม่ำเสมอเป็นความดี การประพฤติกุศลเป็น

ความดี การกระทำบุญเป็นความดี การไม่เบียดเบียนเป็นความดี การอนุเคราะห์

แก่หมู่สัตว์เป็นความดี นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น เธอจงขับรถไปทาง

บรรพชิตนั้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 32

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับคำสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว

ขับรถไปทางบรรพชิตนั้น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสถามบรรพชิต

นั้นว่า สหาย ท่านถูกใครทำอะไรให้ แม้ศีรษะของท่านก็ไม่เหมือนของคนอื่นๆ

แม้ผ้าทั้งหลายของท่านก็ไม่เหมือนของคนอื่น ๆ.

บรรพชิตนั้นได้ทูลว่า ขอถวายพระพร อาตมภาพแลชื่อบรรพชิต.

สหาย ก็ท่านหรือชื่อบรรพชิต.

ขอถวายพระพร อาตมภาพชื่อบรรพชิต การประพฤติธรรมเป็น

ความดี การประพฤติสม่ำเสมอเป็นความดี การประพฤติกุศลเป็นความดี การ

กระทำบุญเป็นความดี การไม่เบียดเบียนเป็นความดี การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์

เป็นความดี.

ดีละสหาย ที่ท่านได้นามว่าบรรพชิต การประพฤติธรรมเป็นความดี

การประพฤติสม่ำเสมอเป็นความดี การพระพฤติกุศลเป็นความดี การกระทำบุญ

เป็นความดี การไม่เบียดเบียนเป็นความดี การอนุเคราะห์แก่หมู่สัตว์เป็น

ความดี.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีราชกุมารได้ตรัสเรียกนาย

สารถีมาสั่งว่า นายสารถีผู้สหาย ถ้าเช่นนั้น เธอจงนำรถกลับไปวังจากสวนนี้

แหละ ส่วนเราจักปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็น

บรรพชิต ณ สวนนี้แหละ.

พระวิปัสสีราชกุมารทรงผนวช

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายสารถีรับคำสั่งของพระวิปัสสีราชกุมารแล้ว

ได้พารถกลับไปยังวังจากสวนนั้น ส่วนพระวิปัสสีราชกุมารได้ทรงปลงพระเกศา

และพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์. เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิต

แล้ว ณ พระอุทยานนั้นเอง.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 33

ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่มหาชนในพระนครพันธุมดีราชธานีประมาณ

๘๔,๐๐๐ คน ได้สดับข่าวว่า พระวิปัสสีราชกุมารได้ทรงปลงพระเกศาและพระ

มัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิตเสียแล้ว ดังนี้

ครั้นแล้วมหาชนเหล่านั้น ได้ดำริดังนี้ว่า ก็พระวิปัสสีราชกุมารได้ทรงปลง

พระเกศาและพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกทรงผนวชเป็น

บรรพชิตในพระธรรมวินัยใด พระธรรมวินัยนั้นคงไม่เลวทรามเป็นแน่

บรรพชานั้นคงไม่เลวทรามเป็นแน่ แต่พระวิปัสสีราชกุมารยังทรงปลงพระเกศา

และพระมัสสุ ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จออกทรงผนวชเป็นบรรพชิตได้

พวกเราทำไมจึงจะบวชไม่ได้เล่า.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล หมู่มหาชนประมาณ ๘๔,๐๐๐ คน

ได้พากันโกนผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิตตาม

เสด็จ พระวิปัสสีโพธิสัตว์แล้ว ได้ยินว่า พระวิปัสสีโพธิสัตว์ อันบริษัทนั้น

ห้อมล้อมเสด็จเที่ยวจาริกไปในคาม นิคม ชนบท และราชธานี

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์เสด็จหลีกออกเร้น

อยู่ในที่ลับ ได้ทรงพระปริวิตกเช่นนี้ว่า การที่เราเป็นผู้ปะปนอยู่เช่นนี้ไม่สมควร

ไฉนหนอ เราถึงหลีกออกจากหมู่อยู่แต่ผู้เดียว ภิกษุทั้งหลาย ครั้นสมัยต่อมา

พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้เสด็จหลีกออกจากหมู่ประทับอยู่แต่พระองค์เดียว บรรพ-

ชิต ๘๔,๐๐๐ รูป ได้พากันไปทางหนึ่ง พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้เสด็จไปทางหนึ่ง.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ผู้เสด็จหลีกออก

เร้นอยู่ในที่ลับ ได้ทรงพระปริวิตกเช่นนี้ว่า โลกนี้ถึงความยาก ย่อมเกิด แก่

ตาย และเวียนตาย เวียนเกิด เออก็แหละบุคคลไม่รู้ชัดถึงอุบายเครื่องพ้นทุกข์

คือ ชราและมรณะนี้ การพ้นทุกข์ คือ ชราและมรณะนี้ จักปรากฏได้เมื่อไรเล่า.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 34

พระวิปัสสีทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท

[๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้ทรง

พระดำริว่า เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะมีเพราะอะไร

เป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่

ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะมีเพราะชาติเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่

พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ชาติจึงมีชาติมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย ครั้ง

นั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อภพมีอยู่ชาติจึงมี ชาติมีเพราะภพเป็นปัจจัย

ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบาย

อันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ภพจึงมี ภพมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย

ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออุปาทานมีอยู่ภพจึงมี ภพมีเพราะ

อุปาทานเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำ

ไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

เมื่ออะไรมีอยู่หนอ อุปาทานจึงมี อุปทานมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย

ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อตัณหามีอยู่อุปาทานจึงมี อุปาทานมี

เพราะตัณหาเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรง

การทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ตัณหาจึงมี ตัณหามีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 35

ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหามีเพราะ

เวทนาเป็นปัจจัย ดังนี้ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ใน

พระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

เมื่ออะไรมีอยู่หนอ เวทนาจึงมี เวทนามีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย

ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนามีเพราะ

ผัสสะเป็นปัจจัยดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ใน

พระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

เมื่ออะไรมีอยู่หนอ ผัสสะจึงมี ผัสสะมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย

ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะมี

เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรง

กระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

เมื่ออะไรมีอยู่หนอ สฬายทนะจึงมี สฬายตนะมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุ

ทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี

สฬายตนะมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์

เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

เมื่ออะไรมีอยู่หนอ นามรูปจึงมี นามรูปมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย

ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูป

มีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรง

กระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 36

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

เมื่ออะไรมีอยู่หนอ วิญญาณจึงมี วิญญาณมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ภิกษุทั้งหลาย

ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณ

มีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรง

กระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

วิญญาณนี้ย่อมกลับเวียนมาแต่นามรูป หาใช่อย่างอื่นไม่ โดยความเป็นไป

เพียงเท่านี้ สัตว์โลกพึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พึงอุบัติ

บ้าง ความเป็นไปนั้นคือวิญญาณมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย นามรูปมีเพราะ

วิญญาณเป็นปัจจัย สฬายตนะมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ตัณหามีเพราะสฬายตนะ

เป็นปัจจัย เวทนามีเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ตัณหามีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย

อุปทานมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ภพมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ชาติมีเพราะ

ภพเป็นปัจจัย ชรามรณโสกปริเทวทุกขโทมนัสและอุปายาสย่อมมีพร้อมเพราะ

ชาติเป็นปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีได้ด้วยประการฉะนี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปรีชา ความรู้แจ้งชัด แสงสว่างว่า

สมุทัย ๆ (เหตุเกิดขึ้นพร้อม ๆ) ดังนี้ ได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์

ในธรรมทั้งหลายที่พระองค์มิได้สดับมาแล้วในกาลก่อนเลย.

[๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ได้ทรง

พระดำริว่า เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ

ชราและมรณะจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า

เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะย่อมไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ

ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบาย

อันแยบคาย.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 37

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ ชาติจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย

ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อภพไม่มี ชาติย่อมไม่มี เพราะภพดับ

ชาติจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ใน

พระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่อ

อะไรไม่มีเล่าหนอ ภพจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ภพจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น

แล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออุปาทานไม่มี ภพย่อมไม่มี เพราะอุปาทานดับ

ภพจึงดับดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัย

โดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่อ

อะไรไม่มีเล่าหนอ อุปาทานจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วย

ปัญญาว่า เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานย่อมไม่มี เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ

ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบาย

อันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่อ

อะไรไม่มีเล่าหนอ ตัณหาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ตัณหาจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย

ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาย่อมไม่มี เพราะ

เวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสิโพธิสัตว์ เพราะทรง

การทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่อ

อะไรไม่มีเล่าหนอ เวทนาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ เวทนาจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย

ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาย่อมไม่มี เพราะผัสสะ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 38

ดับ เวทนาจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้

ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า เมื่อ

อะไรไม่มีเล่าหนอ ผัสสะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ผัสสะจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย

ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะย่อมไม่มี เพราะ

สฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะทรง

กระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ สฬายตนะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ สฬายตนะจึงดับ

ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะ

ย่อมไม่มี เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสี

โพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ นามรูปจึงไม่มี เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ ภิกษุทั้ง

หลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปย่อมไม่มี

เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะ

ทรงกระทำไว้ในพระทัยโดยอุบายอันแยบคาย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

เมื่ออะไรไม่มีเล่าหนอ วิญญาณจึงดับ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล การตรัสรู้ด้วย

ปัญญาว่า เมื่อนามรูปไม่มี วิญญาณย่อมไม่มี เพราะนามรูปดับ วิญญาณจึง

ดับ ดังนี้ ได้มีแล้วแก่พระวิปัสสิโพธิสัตว์ เพราะทรงกระทำไว้ในพระทัยโดย

อุบายอันแยบคาย.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 39

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า

หนทางเพื่อความตรัสรู้นี้เราได้บรรลุแล้วแล คือเพราะนามรูปดับ วิญญาณจึง

ดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ

เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนา

ดับ ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปานทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ

เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรามรณโสกปริเทวทุกขโทมนัสและ

อุปายาสจึงดับโดยไม่เหลือ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีได้ด้วย

ประการฉะนี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปรีชา ความรู้แจ้งชัด แสงสว่างว่า

นิโรธ ๆ (ความดับ ๆ) ดังนี้ได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ในธรรม

ทั้งหลายที่พระองค์มิได้สดับมาแล้วในกาลก่อนเลย.

[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้นสมัยอื่น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ทรง

พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและควานเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่า ดังนี้รูป ดังนี้

เหตุเกิดแห่งรูป ดังนี้ความดับแห่งรูป ดังนี้เวทนา ดังนี้เหตุเกิดแห่งเวทนา

ดังนี้ความดับแห่งเวทนา ดังนี้สัญญา ดังนี้เหตุเกิดแห่งสัญญา ดังนี้ความดับ

แห่งสัญญา ดังนี้สังขาร ดังนี้เหตุเกิดแห่งสังขาร ดังนี้ความดับแห่งสังขาร

ดังนี้วิญญาณ ดังเหตุเกิดแห่งวิญญาณ ดังนี้ความดับแห่งวิญญาณ เมื่อ

พระองค์ทรงพิจารณาเห็นความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ ๕

อยู่ไม่นานนัก จิตก็หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายเพราะไม่ยึดมั่นแล.

จบภาณวารที่สอง

พระปริวิตกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิปัสสี

[๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา-

สัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงพระดำริว่า ไฉนหนอ เราพึงแสดงธรรม

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 40

ว่าวิปัสสี ได้ทรงพระดำริว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้ เป็นธรรมลึกซึ้ง เห็นได้

ยาก รู้ตามได้ยาก สงบประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะ

บัณฑิต ส่วนหมู่สัตว์นี้ มีอาลัยเป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้ว

ในอาลัย ก็อันหมู่สัตว์ผู้มีอาลัยเป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วใน

อาลัย ยากที่จะเห็นได้ซึ่งฐานะนี้ คือ ปัจจัยแห่งสภาวธรรมอันเป็นที่อาศัยกัน

เกิดขึ้น (ปฏิจจสมุบาท) ยากที่จะเห็นได้ซึ่งฐานะแม้นี้คือ พระนิพพาน ซึ่งเป็น

ที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา คลาย

ความกำหนัด ดับทุกข์ ก็แหละเราพึงแสดงธรรม แต่สัตว์เหล่าอื่นไม่พึงรู้ทั่ว

ถึงธรรมของเรา นั้นพึงเป็นความลำบากแก่เรา นั้นพึงเป็นความเดือนร้อนแก่

เรา.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า คาถาทั้งหลายที่ไม่อัศจรรย์ซึ่งพระองค์

มิได้เคยสดับมาแล้วแต่ก่อน ได้แจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัม-

พุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ดังนี้

บัดนี้ ไม่ควรเลยที่จะประกาศธรรมที่เราได้บรรลุ

แล้วโดยแสนยาก ธรรมนี้อันสัตว์ที่ถูกราคะและ

โทสะครอบงำแล้ว ไม่ตรัสรู้ได้โดยง่าย สัตว์ที่ถูก

ราคะย้อมไว้ ถูกกองแห่งความมืดหุ้มห่อไว้แล้ว

จักเห็นไม่ได้ซึ่งธรรมที่มีปรกติไปทวนกระแสอัน

ละเอียด ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก เป็นอณู.

[๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ-

เจ้าพระนามว่าวิปัสสี พิจารณาเห็นดังนี้ พระทัยก็น้อมไปเพื่อความขวนขวาย

น้อย มิได้น้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรม.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 41

ว่าด้วยการอาราธนาของพรหม

[๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งได้ทราบ

พระปริวิตกในพระทัยของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า

วิปัสสี ด้วยใจ แล้วจึงดำริว่า ผู้เจริญทั้งหลาย โลกจะฉิบหายเสียละหนอ ผู้เจริญ

ทั้งหลายโลกจะพินาศเสียละหนอ เพราะว่าพระทัยของพระผู้มีพระภาคอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ได้น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อยเสีย

แล้ว มิได้น้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมนั้นหายไปในพรหมโลก

มาปรากฎเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า

วิปัสสี เหมือนบุรุษที่มีกำลัง เหยียดออกซึ่งแขนที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้าซึ่งแขนที่

ได้เหยียดออกไว้ฉะนั้น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมกระทำผ้าอุตตราสงค์

เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง คุกชาณุมณฑลเบื้องขวาลงบนแผ่นดิน ประนมมือไปทางที่

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ประทับอยู่แล้วได้

กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีว่า ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

ขอพระสคุตจงทรงแสดงธรรม ในโลกนี้สัตว์ที่มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุเบาบาง

ยังมีอยู่ เพราะมิได้ฟังธรรม สัตว์เหล่านั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้

ยังจักมี.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวมหาพรหมนั้นกราบทูลเช่นนี้ พระผู้มี

พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้ตรัสกะท้าวมหาพรหม

นั้นว่า ดูกรพรหม แม้เราก็ได้ดำริแล้วเช่นนี้ว่า ไฉนหนอ เราพึงแสดงธรรม

ดูกรพรหม แต่เรานั้นได้คิดเห็นดังนี้ว่า ธรรมที่เราบรรลุแล้วนี้ เป็นธรรมลึกซึ้ง

เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 42

บัณฑิต ส่วนหมู่สัตว์นี้ มีอาลัยเป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัยเบิกบานแล้วใน

อาลัย ก็อันหมู่สัตว์ผู้มีอาลัยเป็นที่ยินดี ยินดีแล้วในอาลัย เบิกบานแล้วในอาลัย

ยากที่จะเห็นได้ซึ่งฐานะนี้ คือ ปัจจัยแห่งสภาวธรรมอันเป็นที่อาศัยกันเกิดขึ้น

(ปฏิจจสมุบาท) ยากที่จะเห็นได้ซึ่งฐานะแม้นี้คือ พระนิพพาน ซึ่งเป็นที่ระงับ

แห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา คลายความ

กำหนัด ดับทุกข์ ก็และเราพึงแสดงธรรม แต่สัตว์เหล่าอื่นไม่พึงรู้ทั่วถึงธรรมของ

เรานั้น พึงเป็นความลำบากแก่เรา นั้นพึงเป็นความเดือนร้อนแก่เรา ดูกรพรหม

คาถาที่ไม่น่าอัศจรรย์ ซึ่งเรามิได้สดับมาแล้วแต่ก่อนหรือได้แจ่มแจ้งแล้วดังนี้

บัดนี้ไม่ควรเลยที่จะประกาศธรรมที่เราได้บรรลุแล้ว โดยแสนยาก ฯลฯ

ดูกรพรหม เมื่อเราพิจารณาเห็นดังนี้ จิตก็น้อมไปเพื่อความขวนขวาย

น้อย มิได้น้อมไปเพื่อจะแสดงธรรม.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่สองแล ท้าวมหาพรหมนั้น ฯลฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ครั้งที่สามแล ท้าวมหาพรหมนั้นก็ได้กราบทูล

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีว่า ข้าแต่พระองค์ผู้

เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงธรรม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระสุคต

จงทรงแสดงธรรม ในโลกนี้ สัตว์ที่มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุเบาบางยังมีอยู่

เพราะมิได้ฟังธรรม สัตว์เหล่านั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้รู้ทั่วถึงธรรมได้ ยังจักมี

อยู่ดังนี้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิปัสสีทรงตรวจโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ-

เจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงทราบการทูลเชิญของพรหมแล้ว ทรงอาศัยพระกรุณา

ในหมู่สัตว์ จึงได้ตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าปัสสี เมื่อทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ก็

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 43

ได้ทรงเห็นหมู่สัตว์ บางพวกมีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อย บางพวกมีกิเลส

เพียงดังธุลีในจักษุมาก บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า บางพวกมีอินทรีย์อ่อน บาง

พวกมีอาการดี บางพวกมีอาการทราม บางพวกจะพึงให้รู้แจ้งได้ง่าย บางพวก

จะพึงให้รู้แจ้งได้ยาก บางพวกเป็นภัพพสัตว์ บางพวกเป็นอภัพพสัตว์ บางพวก

มักเห็นปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย.

ในกออุบล หรือกอบัวหลวง หรือในกอบัวขาว ดอกอุบล ดอกบัว

หลวงหรือดอกบัวขาว เกิดแล้วในน้ำ เจริญแล้วในน้ำ น้ำเลี้ยงอุปถัมภ์ไว้ บาง

เหล่ายังจมอยู่ภายในน้ำ บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำ บางเหล่าตั้งขึ้นพ้นน้ำ อันน้ำ

มิได้ติดใบ แม้ฉันใด ภิกษุทั้งหลาย หมู่สัตว์ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา-

พุทธเจ้า พระนามว่าวิปัสสี ทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุ ทรงเห็นก็ฉันนั้นเหมือน

กัน บางพวกมีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อย บางพวกมีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุ

มาก บางพวกมีอินทรีย์แก่กล้า บางพวกมิอินทรีย์อ่อน บางพวกมีอาการดี

บางพวกมีอาการทราม บางพวกจะพึงให้รู้แจ้งได้ง่าย บางพวกจะพึงให้รู้แจ้ง

ได้ยาก บางพวกเป็นภัพพสัตว์ บางพวกเป็นอภัพพสัตว์ บางพวกมักเห็น

ปรโลกและโทษโดยความเป็นภัย.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมทราบพระปริวิตกใน

พระทัยของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ด้วยใจ

แล้วจึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี

ด้วยคาถาทั้งหลายความว่า

[๔๕] ผู้ที่ยืนอยู่ยอดเขาสิลาล้วน พึงเห็นประชุมชน

โดยรอบ ฉันใด ท่านผู้มีเมธาดีมีจักษุโดยรอบ

ฉันนั้นเหมือนกัน ขึ้นสู่ปราสาทอันสำเร็จแล้วด้วย

ธรรม เป็นผู้ปราศจากความเศร้าโศก ทรงพิจารณา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 44

เห็นประชุมชนผู้เกลื่อนกล่นไปด้วยความเศร้าโศก

ถูกชาติและชราครอบงำแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้กล้า

ผู้ชนะสงครามแล้ว เป็นนายพวก ปราศจากหนี้

ขอพระองค์จงเสด็จลุกขึ้น เปิดเผยโลก

ขอผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม

ที่รู้ที่ทั่วถึงธรรมได้ ยังจักมี.

[๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อท้าวมหาพรหมนั้นได้กราบทูลแล้ว ดังนี้

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี จึงได้ตรัสกะท้าวมหา

พรหมนั้นด้วยพระคาถาว่า

เราได้เปิดเผยประตูอมตะไว้สำหรับท่านแล้ว ผู้มีโสต

จงปล่อยศรัทธามาเถิด ดูกรพรหม เรารู้สึกลำบาก

จึงมิได้กล่าวธรรมอันประณีตซึ่งเราให้คล่องแคล่วแคล้ว

ในหมู่มนุษย์ ดังนี้.

[๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมคิดว่า เราเป็นผู้

มีโอกาส อันพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้

ทรงกระทำแล้ว เพื่อจะทรงแสดงธรรม จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคอรหันต-

สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี กระทำประทักษิณแล้วหายไป ณ ที่นั้นเอง.

[๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา-

สัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ทรงพระดำริว่า เราควรแสดงธรรมแก่ใครก่อน

เล่าหนอ ใครจะรู้ทั่วถึงธรรมนี้ได้เร็วพลันทีเดียว ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล

พระผู้มีภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงพระดำริว่า พระ-

ราชโอรสพระนามว่าขัณฑะ และบุตรปุโรหิตชื่อว่า ติสสะนี้ ผู้อาศัยอยู่ใน

พระนครพันธุมดีราชธานีเป็นคนฉลาด เฉียบแหลม มีปัญญา มีกิเลสเพียงดัง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 45

ธุลีในจักษุเบาบางสิ้นกาลนาน ไฉนหนอ เราพึงแสดงธรรมแก่พระราชโอรส

พระนามว่าขัณฑะ และบุตรปุโรหิตชื่อว่า ติสสะก่อน คนทั้งสองนั้นจักรู้ทั่วถึง

ธรรมนี้ได้รวดเร็วทีเดียว.

เรื่องคู่พระสาวกขัณฑะและติสสะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันคสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าวิปัสสี ได้หายพระองค์ที่ควงโพธิพฤกษ์ไปปรากฏพระองค์ ณ

มฤคทายวันชื่อว่าเขมะ ในพระนครพันธุมดีราชธานี. เปรียบเหมือนบุรุษที่

มีกำลังเหยียดออกซึ่งแขนที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้าซึ่งแขนที่ได้เหยียดออกไว้ ฉะนั้น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าวิปัสสี ตรัสเรียกคนเฝ้าสวนมฤคทายวันมาว่า มานี่ นายมฤคทาย-

บาล เธอจงเข้าไปยังพระนครพันธุมดีราชธานีแล้วบอกกะพระราชโอรสพระนาม

ว่าขัณฑะ และบุตรปุโรหิตชื่อติสสะ ดังนี้ ว่าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา

สัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้เสด็จถึงพระนครพันธุมดีราชธานีแล้ว กำลัง

ประทับอยู่ที่มฤคทายวันชื่อว่าเขมะ พระองค์ทรงพระประสงค์จะพบท่าน

ทั้งสอง.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายมฤคทายบาลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาค

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีแล้ว เข้าไปยังพระนครพันธุมดี

แล้วแจ้งข่าวกะพระราชโอรสพระนามว่า ขัณฑะ และบุตรปุโรหิตชื่อว่า ติสสะ

ว่าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เสด็จถึงพระนคร

พันธุมดีราชธานีแล้ว กำลังประทับอยู่ที่มฤคทายวันชื่อว่า เขมะ พระองค์ทรง

พระประสงค์ที่จะพบท่านทั้งสอง.

ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระราชโอรสพระนามว่าขัณฑะ และบุตร

ปุโรหิตชื่อว่าติสสะ สั่งให้บุรุษเทียมยานที่ดี ๆ แล้วขึ้นสู่ยานที่ดี ๆ ออกจาก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 46

พระนครพันธุมดีราชธานี พร้อมกับยานดีๆ ทั้งหลาย ขับตรงไปยังมฤคทายวัน

ขอว่าเขมะ ไปด้วยยานตลอดภูมิประเทศเท่าที่ยานจะไปได้แล้ว ลงจากยาน

เดินตรงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี

ถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า

วิปัสสีแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าวิปัสสี ได้ตรัสอนุปุพพีกถาแก่ท่านทั้งสองนั้น คือ ทรงประกาศ

ทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้า เศร้าหมอง และอานิสงส์

ในการออกบวช เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ทรงทราบว่า ท่านทั้งสองนั้นมีจิตคล่อง

มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตผ่องใส จึงได้ทรงประกาศ

ธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์

สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิด

ขึ้นแล้วแก่พระราชโอรสพระนามว่าขัณฑะ และบุตรปุโรหิตชื่อว่าติสสะ ว่าสิ่งใด

สิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ณ

ที่นั่งนั้นแล เหมือนผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมด้วยดีฉะนั้น

ท่านทั้งสองนั้น เห็นธรรม ถึงธรรม รู้แจ้งธรรม หยั่งทราบธรรม ข้ามความ

สงสัย ปราศจากความเคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในสัตถุ

ศาลนา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี

ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

ภาษิตของพระองค์ก็แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของ

ที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่าผู้มีจักษุจักเห็น

รูปดังนี้ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยายฉันนั้น

เหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เหล่านี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคและ

พระธรรมว่าเป็นที่พึ่ง ขอพวกข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ใน

สำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 47

ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชโอรสพระนามว่า ขัณฑะ และบุตรปุโรหิต

ชื่อว่าติสสะ ได้บรรพชา ได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา

สัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม

ว่าวิปัสสี ได้ทรงยังท่านทั้งสองนั้นให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้

ร่าเริงด้วยธรรมีกถา แล้วประกาศโทษของสังขารอันต่ำช้าเศร้าหมอง และ

อานิสงส์ในการออกบวช จิตของท่านทั้งสองนั้นผู้อันพระผู้มีพระภาคอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ

ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา ไม่นานนัก ก็หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ยึดมั่น.

เรื่องบรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูป

[๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่มหาชนชาวพระนครพันธุมดีราชธานี

ประมาณ ๘๔,๐๐๐ คน ได้สดับข่าวว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าวิปัสสี เสด็จถึงพระนครพันธุมดีราชธานีโดยลำดับแล้ว ประทับอยู่

ณ มฤคทายวันชื่อ เขมะ ข่าวว่า พระราชโอรสพระนามว่า ขัณฑะ และบุตร

ปุโรหิตชื่อ ติสสะ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต

ณ สำนักของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามวิปัสสีแล้ว ดังนี้

คนเหล่านั้นครั้นได้ฟังแล้วต่างคิดเห็นกันว่า ก็พระราชโอรสพระนามว่า ขัณฑะ

และบุตรปุโรหิตชื่อว่า ติสสะ ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวช

เป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยใด พระธรรมวินัยนั้น คงไม่ต่ำทรามแน่นอน

บรรพชานั้นคงไม่ต่ำทราม แต่พระราชโอรสพระนามว่า ขัณฑะ และบุตรปุโรหิต

ชื่อว่า ติสสะ ยังปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ออกบวชเป็นบรรพชิต

ได้ ไฉนพวกเราจึงจักออกบวชเป็นบรรพชิตบ้างไม่ได้เล่า.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล หมู่มหาชนประมาณ ๘๔,๐๐๐ คนได้

ชวนกันออกจากพระนครพันธุมดีราชธานี เข้าไปทางเขมมฤคทายวัน ที่พระผู้มี

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 48

พระภาคประทับอยู่ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา

สัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาค

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ได้ตรัสอนุปุพพีกถาแก่ชนเหล่านั้น

คือทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้าเศร้าหมอง

และอานิสงส์ในการออกบวช เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ทรงทราบว่า ชนเหล่านั้น

มีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตผ่องใส จึงได้ทรง

ประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง

คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจาก

มลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่หมู่มหาชน ๘๔,๐๐๐ คนนั้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความ

เกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นแล

เหมือนผ้าทีสะอาดปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมด้วยดีฉะนั้น ชนเหล่านั้น

เห็นธรรม ถึงธรรม รู้แจ้งธรรม หยั่งทราบธรรม ข้ามความสงสัย ปราศจาก

ความเคลือบแคลง ถึงความแกล้วกล้าไม่ต้องเธอผู้อื่นในสัตถุศาสนา ได้กราบ-

ทูลพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ว่าข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของ

พระองค์แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอก

ทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้

ฉันใด พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือน

กัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เหล่านี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับพระ-

ธรรมและพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์

พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่มหาชน ๘๔,๐๐๐ คนเหล่านั้น ได้บรรพชา ได้

อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 49

วิปัสสีแล้ว พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ได้

ทรงยังภิกษุทั้งเหล่านั้นให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วย

ธรรมีกถาแล้ว ทรงประกาศโทษของสังขารที่ต่ำช้าเศร้าหมอง และอานิสงส์ใน

พระนิพพาน จิตของภิกษุเหล่านั้น ผู้อันพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ-

เจ้าพระนามว่า วิปัสสี ทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง

ด้วยธรรมีกถา ไม่นานนัก ก็หลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ยืดมั่น.

[๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูปเหล่านั้น ได้สดับ

ข่าวว่า พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี เสด็จถึง

พระนครพันธุมดีราชธานีโดยลำดับ ประทับอยู่ ณ มฤคทายวันชื่อว่า เขมะ

และมีข่าวว่า กำลังทรงแสดงธรรมอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล บรรพชิต

๘๔,๐๐๐ รูปเหล่านั้น ได้พากันไปทางพระนครพันธุมดีราชธานีทางมฤคทาย

วันชื่อว่า เขมะ ที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี

ประทับอยู่ ครั้นถึงแล้ว ได้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธ-

เจ้าพระนามว่า วิปัสสี แล้วพากันนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาค-

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้ตรัสอนุปุพพีกถาแก่บรรพชิต

เหล่านั้น คือ ทรงประกาศทานกถา สีลกถา สัคคกถา โทษของกามที่ต่ำช้าเศร้า

หมอง และอานิลงส์ในการออกบวช เมื่อทรงทราบว่า บรรพชิตเหล่านั้นมีจิต

คล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตผ่องใส จึงได้ทรงประกาศ

พระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมที่ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้

เกิด นี้แล้วแก่บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูปนั้นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็น

ธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับไปเป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นแล เหมือนผ้าที่

สะอาดปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น บรรพชิตเหล่านั้นเห็นธรรม

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 50

ถึงธรรม รู้แจ้งธรรม หยั่งทราบธรรม ข้ามความสงสัย ปราศจากความเคลือบ

แคลง ถึงความแกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในสัตถุศาสนา ได้กราบทูลพระ

ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี ว่าข้าแต่พระองค์ผู้

เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์

แจ่มแจ้งนัก เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คน

หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยคิดว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้ ฉันใด

พระผู้มีพระภาคทรงประกาศพระธรรมโดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้า-

แต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เหล่านี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาคกับพระธรรมและ

พระภิกษุสงฆ์ว่า เป็นที่พึ่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์พึงได้

บรรพชา พึงได้อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีภาค.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูปเหล่านั้น ได้บรรพชา ได้

อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค พระนามว่าวิปัสสีแล้ว พระผู้มีพระ-

ภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้ทรงยังภิกษุเหล่านั้นให้เห็น

แจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา ทรงประกาศโทษของ

สังขารที่ต่ำช้าเศร้าหมอง และอานิสงส์ในพระนิพพาน(๑) จิตของภิกษุเหล่านั้น

ผู้อันพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงให้เห็นแจ้ง

ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถา ไม่นานนัก ก็หลุดพ้นจาก

อาสวะ เพราะไม่ยึดมั่น.

[๕๑] ก็สมัยนั้น ในพระนครพันธุมดีราชธานี มีภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่มาก

ประมาณหกล้านแปดแสนรูป ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคอรหันต-

สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ผู้เสด็จเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความรำพึงใน

พระทัยว่า บัดนี้ ในพระนครพันธุมดีราชธานี มีภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่เป็นจำนวน

๑. บาลี เนกฺขมฺเม.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 51

มาก ประมาณหกล้านแปดแสนรูป ถ้ากระไร เราพึงอนุญาตภิกษุทั้งหลายว่า

ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อ

ความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล

เพื่อความสุข แก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย แต่อย่าได้ไปทางเดียวกันสองรูป

เธอทั้งหลายจงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จง

ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถพร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

ในโลกนี้ สัตว์พวกนี้ที่มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุเบาบางยังมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟัง

ธรรม สัตว์พวกนั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้จักมี แต่ว่าโดยหกปี ๆ

ล่วงไป พวกเธอพึงกลับมายังพระนครพันธุมดีราชธานีเพื่อแสดงพระปาติโมกข์.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง ได้ทราบความ

รำพึงในพระทัยของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี

ด้วยใจแล้ว จึงได้หายตัวที่พรหมโลก ไปปรากฏอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระ

ผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เปรียบเหมือนบุรุษที่มี

กำลัง เหยียดออกซึ่งแขนที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้าซึ่งแขนที่เหยียดออกไว้ ฉะนั้น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทันใดนั้น ท้าวมหาพรหมนั้นกระทำผ้าอุตตราสงค์

เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลีไปทางที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าวิปัสสีประทับอยู่ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคอรหันตมมาสัมพุทธ-

เจ้าพระนามว่าวิปัสสีว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระ

สุคต ข้อนี้เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ ในพระนครพันธุมดีราช

ธานี มีภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ประมาณหกล้านแปดแสนรูป ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงอนุญาตภิกษุทั้งหลายเถิดว่า ภิกษุ

ทั้งหลาย พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความ

สุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 52

ความสุข แก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย แต่อย่าได้ไปทางเดียวกันสองรูป ภิกษุ

ทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่

สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์

สิ้นเชิงในโลกนี้ สัตว์พวกที่มีกิเสสเพียงดังธุลีในจักษุเบาบางยังมีอยู่ เพราะไม่

ได้ฟังธรรม สัตว์พวกนั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้ยังจักมี ข้าแต่พระ-

องค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็จักกระทำโดยที่จะให้ภิกษุทั้งหลายกลับมายังพระนคร

พันธุมดีราชธานี เพื่อแสดงพระปาติโมกข์โดยหกปี ๆ ล่วงไป.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท้าวมหาพรหมนั้นได้กราบทูลดังนี้แล้วถวายบังคม

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี กระทำประทักษิณ

แล้ว หายไป ณ ที่นั้นเอง.

ส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนา

[๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าวิปัสสี ในเวลาเย็น เสด็จออกจากที่เร้นแล้ว ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย

มาว่า ภิกษุทั้งหลาย วันนี้ เราไปเร้นอยู่ในที่ลับ เกิดความรำพึงในใจว่า ใน

พระนครพันธุมดีราชธานี มีภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมากประมาณหกล้าน

แปดแสนรูป ถ้ากระไร เราพึงอนุญาตภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ

จงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก

เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทพดาและ

มนุษย์ทั้งหลาย แต่อย่าได้ไปทางเดียวกันสองรูป เธอทั้งหลายจงแสดงธรรม

งามในเบื้องหน้า งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อม

ทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในโลกนี้ สัตว์พวกนั้น

จึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้ยังจักมี แต่ว่าโดยหกปี ๆ ล่วงไป พวกเธอ

พึงกลับมายังพระนครพันธุมดีราชธานี เพื่อแสดงปาติโมกข์ ภิกษุทั้งหลาย ทันใด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 53

นั้นแล ท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง ได้ทราบความรำพึงในใจของเราด้วยใจ แล้ว

จึงได้หายตัวที่พรหมโลก มาปรากฏเฉพาะหน้าเรา เปรียบเหมือนบุรุษที่มีกำลัง

เหยียดออกซึ่งแขนที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้าซึ่งแขนที่เหยียดออกไว้ ฉะนั้น ภิกษุ

ทั้งหลาย ทีนั้น ท้าวมหาพรหมนั้น กระทำผ้าอุตตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง

ประนมอัญชลีมาทางเราแล้วพูดกะเราว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนี้เป็นอย่าง

นั้น ข้าแต่พระสุคต ข้อนี้เป็นอย่างนั้น บัดนี้ในพระนครพันธุมดีราชธานี มี

ภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ประมาณหกล้านแปดแสนรูป ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงอนุญาตภิกษุทั้งหลายเถิดว่า ภิกษุทั้งหลาย

พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชน

เป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข

แก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย แต่อย่าได้ไปทางเดียวกันสองรูป ภิกษุทั้งหลาย

เธอทั้งหลายจงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จง

ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

ในโลกนี้ สัตว์พวกที่มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุเบาบางยังมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟัง

ธรรม สัตว์พวกนั้นจึงเสื่อมเสียไป ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้ยังจักมี ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็จักกระทำโดยที่จะให้ภิกษุทั้งหลายกลับมายังพระนคร

พันธุมดีราชธานี เพื่อแสดงพระปาฏิโมกข์โดยหกปี ๆ ล่วงไป ภิกษุทั้งหลาย

ท้าวมหาพรหมนั้นพูดกะเราดังนี้แล้ว ไหว้เรา กระทำประทักษิณ แล้วหายไป

ในที่นั้นเอง.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาต พวกเธอจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์

แก่ชนเป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์สัตว์โลก

เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทพดาและมนุษย์ทั้งหลาย แต่อย่า

ได้ไปทางเดียวกันสองรูป ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงแสดงธรรมงามใน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 54

เบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ

พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง ในโลกนี้ สัตว์พวกที่มีกิเลสเพียง

ดังธุลีในจักษุเบาบางยังมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรม สัตว์พวกนั้นจึงเสื่อมเสียไป

ผู้ที่รู้ทั่วถึงธรรมได้ยังจักมี แม้เราก็จักกระทำ โดยที่ให้พระนครพันธุมดีเป็น

สถานที่อันเธอทั้งหลาย พึงกลับมาแสดงพระปาติโมกข์โดยหกปี ๆล่วงไป ดังนี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ภิกษุทั้งหลายได้เที่ยวจาริกไปในชนบท

โดยวันเดียวเท่านั้นโดยมาก.

[๕๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ในชมพูทวีปมีอาวาสอยู่ ๘๔,๐๐๐ อาวาส

เมื่อล่วงไปได้พรรษาหนึ่งแล้ว เทพดาทั้งหลายได้ร้องประกาศว่า ข้าแต่ท่าน

ผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงไปพรรษาหนึ่งแล้ว บัดนี้ยังเหลือห้าพรรษา โดยอีก

ห้าพรรษาล่วงไป ท่านทั้งหลายพึงเข้าไปยังพระนครพันธุมดีราชธานี เพื่อสวด

พระปาติโมกข์ เมื่อล่วงไปได้สองพรรษาแล้ว เทพดาทั้งหลายได้ร้องประกาศว่า

ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงไปสองพรรษาแล้ว บัดนี้ ยังเหลือสี่พรรษา

โดยอีกสี่พรรษาล่วงไป ท่านทั้งหลายพึงเข้าไปยังพระนครพันธุมดีราชธานี เพื่อ

สวดพระปาติโมกข์ เมื่อล่วงไปได้สามพรรษาแล้ว เทพดาทั้งหลายได้ร้อง

ประกาศว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงไปสามพรรษาแล้ว บัดนี้ ยัง

เหลือสามพรรษา โดยอีกสามพรรษาล่วงไป ท่านทั้งหลายพึงเข้าไปยังพระนคร

พันธุมดีราชธานี เพื่อสวดพระปาติโมกข์ เมื่อล่วงไปได้สี่พรรษาแล้ว บัดนี้

ยังเหลือสองพรรษา โดยอีกสองพรรษาล่วงไป ท่านทั้งหลายพึงเข้าไปยัง

พระนครพันธุมดีราชธานี เพื่อสวดพระปาติโมกข์ เมื่อล่วงไปได้ห้าพรรษาแล้ว

เทพดาทั้งหลายได้ร้องประกาศว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงไปห้า

พรรษาแล้ว บัดนี้ ยังเหลือพรรษาเดียว โดยอีกพรรษาเดียวล่วงไป ท่านทั้งหลาย

พึงเข้าไปยังพระนครพันธุมดีราชธานี เพื่อสวดพระปาติโมกข์ เมื่อล่วงไปได้

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 55

หกพรรษาแล้ว เทพดาทั้งหลายได้ร้องประกาศว่าล่วงไปหกพรรษาแล้ว บัดนี้

ถึงเวลาละ ท่านทั้งหลายพึงเข้าไปยังพระนครพันธุมดีราชธนี เพื่อสวดพระ-

ปาติโมกข์.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้น บางพวกไปด้วยอิทธา-

นุภาพของตน บางพวกไปด้วยอิทธานุภาพของเทวดา เข้าไปยังพระนครพันธุม-

ดีราชธานี โดยวันเดียวเท่านั้น เพื่อสวดพระปาติโมกข์

ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์

[๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงสวดพระปาติโมกข์ในที่ประชุมพระภิกษุ

สงฆ์ดังนี้-

ขันติคือความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้ง

หลายตรัสว่า พระนิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่ง ผู้ทำร้ายผู้อื่น

ผู้เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็น

สมณะเลย.

การไม่ทำบาปทั้งสิ้น การยังกุศลให้ถึงพร้อมการทำจิต

ของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมใน

พระปาติโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหาร ๑

ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ การประกอบความเพียรในอธิจิต ๑

หกอย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

[๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่ควงไม้พญาสาลพฤกษ์

ในป่าสุภวัน ใกล้อุกกัฏฐนคร ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรานั้นไปเร้นอยู่ในที่ลับ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 56

เกิดความรำพึงในใจว่า ชั้นสุทธาวาสซึ่งเรามิได้เคยอยู่เลย โดยเวลาอันยืดยาว

นานนี้ นอกจากเทวดาเหล่าสุทธาวาสแล้ว ไม่ใช่โอกาสที่ใคร ๆ จะได้โดยง่าย

ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปหาเทวดาเหล่าสุทธาวาสจนถึงที่อยู่ ภิกษุทั้งหลาย ทันใด

นั้น เราได้หายไปที่ควงไม้พญาสาลพฤกษ์ ในป่าสุภวันใกล้อุกกัฏฐนคร ไป

ปรากฏในพวกเทวดาเหล่าอวิหา เปรียบเหมือนบุรุษที่มีกำลัง เหยียดออกซึ่ง

แขนที่คู้เข้าไว้ หรือคู้เข้าซึ่งแขนที่เหยียดออกไว้ ฉะนั้น.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นแล เทพดานับร้อยนับพันเป็นอัน

มาก ได้เข้ามาหาเราครั้นเข้ามาหา ไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นเทพดาเหล่านั้นเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์

นับแต่นี้ไป ๙๑ กัป พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี

เสด็จอุบัติในโลก ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัม

พุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติในขัตติยสกุล

เป็นโกณฑัญญะโดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณแปดหมื่นปี พระองค์ได้

ตรัสรู้ที่ควงไม้แคฝอย มีคู่พระสาวกชื่อว่าพระขัณฑเถระ และพระติสสเถระ

ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่งพระสาวกของ

พระผู้มีภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ได้มีแล้วสามครั้ง ครั้ง

หนึ่ง มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุหกล้านแปดแสนรูป อีกครั้งหนึ่ง

มีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนแสนรูป อีกครั้งหนึ่ง มีพระสาวกประชุม

กันเป็นจำนวนแปดหมื่นรูป พระสาวิกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัม-

พุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีที่ ได้ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพ

ทั้งสิ้น ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่ออโสกะ ได้เป็นอัครอุปัฏ-

ฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี พระราชา

พระนามว่า พันธุม เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่า พันธุมดี เป็นพระชนนี

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 57

บังเกิดเกล้าของพระองค์ พระนครชื่อว่าพันธุดี เป็นราชธานีของพระเจ้า

พันธุม ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การ

ตั้งความเพียร การตรัสรู้ การประกาศพระธรรมจักร ของพระผู้มีพระภาค

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสีเป็นอย่างนี้ ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้นิร

ทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้น ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค พระนาม

ว่าวิปัสสี คลายกามฉันท์ในกามทั้งหลายแล้วจึงได้บังเกิดในที่นี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็น

อันมาก ได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหา ไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน

ข้างหนึ่ง ครั้นเทพดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้นิรทุกข์นับแต่นี้ไป ๓๑ กัป พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม

ว่าสิขี เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติใน

ขัตติยสกุล เป็นโกณฑัญญะโดยโคตร มีพระชนมายุประมาณเจ็ดหมื่นปี พระองค์

ได้ตรัสรู้ควงไม้กุ่มบก มีพระอภิภูเถระและพระสัมภวเถระ เป็นคู่พระอัคร

สาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอร-

หันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี ได้มีแล้วสามครั้ง ครั้งหนึ่งมีพระสาวก

ประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแสนรูป อีกครั้งหนึ่งมีพระสาวกประชุมกัน เป็น

จำนวนภิกษุแปดหมื่นรูป อีกครั้งหนึ่งมีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุ

เจ็ดหมื่นรูป ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันต-

สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี ที่ได้ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนแต่พระ

ขีณาสพทั้งสิ้น ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ภิกษุผู้อุปัฏฐาก ชื่อเขมังกระ ได้เป็น

อัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี พระ

ราชาพระนามว่าอรุณะ เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่าปภาวดี เป็นพระชนนี

บังเกิดเกล้าของพระองค์ พระนครชื่อว่าอรุณวดี เป็นราชธานีของพระเจ้าอรุณ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 58

ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้ง

ความเพียร การตรัสรู้ การประกาศพระธรรมจักร ของพระผู้มีพระภาคอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าสิขี เป็นอย่างนี้ ๆ พวกข้าพระองค์นั้น ประพฤติ

พรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าสิขี คลาย

กามฉันทะในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็น

อันมากได้เข้าหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นเทวดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์

ในกัปที่ ๓๑ นั้นเอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า

เวสสภู ได้เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติใน

ขันติยสกุลเป็นโกณฑัญญะโดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณหกหมื่นปี

พระองค์ได้ตรัสรู้ที่ควงไม้สาลพฤกษ์ มีพระโสนเถระและพระอุตตรเถระเป็นคู่

พระอัครสาวกซึ่งเป็นคู่อันเจริญ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่ง

พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าเวสสภู ได้

มีแล้วสามครั้ง ครั้งหนึ่งมีสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแปดหมื่นรูป อีก

ครั้งหนึ่ง มีสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุเจ็ดหมื่นรูป อีกครั้งหนึ่ง มีสาวก

ประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุหกหมื่นรูปสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา-

สัมพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู ที่ได้ประชุมกันทั้งสามครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นพระ

ขีณาสพทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่าอุปสันตะได้เป็น อัครอุปัฏฐากของพระผู้มี

พระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู พระราชาพระนามว่า สุปป-

ตีตะเป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่ายสวดี เป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของ

พระองค์ พระนครชื่อว่าอโนมะเป็นราชธานีของพระเจ้าสุปปตีตะ ข้าแต่

พระองค์ผู้นิรทุกข์ การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 59

เพียร การตรัสรู้ การประกาศพระธรรมจักร ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา

สัมพุทธเจ้าพระนามว่าเวสสภู เป็นอย่างนี้ ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกข้า

พระองค์นั้นประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคพระนามว่าเวสสภู คลาย

กามฉันท์ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็น

อันมากได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง

หนึ่ง ครั้นเทพดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้

นิรทุกข์ ในภัททกัปนี้เอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า

กกุสันธะ ได้เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นพราหมณ์โดยพระชาติเสด็จอุบัติ

ในพราหมณสกุลเป็นกัสสปะโดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณสี่หมื่นปี

พระองค์ได้ตรัสรู้ที่ควงไม้ซึก มีพระวิธูรเถระและพระสัญชีวเถระ เป็นคู่

พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่ง

สาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กกุสันธะ ได้มี

แล้วครั้งเดียว เป็นจำนวนภิกษุสี่หมื่นรูป ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ สาวกของ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ ที่ได้ประชุมกันครั้ง

เดียวนี้ ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่า วุฑฒิชะ ได้เป็น

อัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่ากกุสันธะ

พราหมณ์ชื่ออัคคิทัตตะเป็นพระชนก พราหมณีชื่อว่า วิสาขา เป็นพระชนนี

บังเกิดเกล้าของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ก็เวลานั้น พระเจ้าเขมะ เป็น

พระเจ้าแผ่นดิน พระนครชื่อว่า เขมวดี เป็นราชธานี ของพระเจ้าเขมะ การ

เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้ การ

ประกาศพระธรรมจักร ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม

ว่ากกุสันธะเป็นอย่างนี้ ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้นประพฤติ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 60

พรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคพระนามว่ากกุสันธะ คลายกามฉันท์ในกาม

ทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็น

อันมากได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง

หนึ่ง ครั้นเทวดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้

นิรทุกข์ ในภัททกัปนี้เอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า

โกนาคมนะได้เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นพราหมณ์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติ

ในพราหมณสกุลเป็นกัสสปะโดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณสามหมื่นปี

พระองค์ได้ตรัสรู้ที่ควงไม้มะเดื่อ มีพระภิยโยสเถระและพระอุตตรเถระ เป็นคู่

พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคุ่อันเจริญ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่ง

สาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคมนะ

ได้มีแล้วครั้งเดียว เป็นจำนวนภิกษุสามหมื่นรูป พระสาวกของพระผู้มีพระภาค

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โกนาคมนะ ที่ได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้

ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อโสตถิชะ เป็นอัครอุปัฏฐาก

ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโกนาคมนะ ข้าแต่

พระองค์ผู้นิรทุกข์พราหมณ์ชื่อว่า ยัญญทัตตะ เป็นพระชนก พราหมณีชื่อว่า

อุตตรา เป็นพระชนนีบังเกิดกล้าของพระองค์ ก็ครั้งนั้น พระเจ้าโสภะเป็น

พระเจ้าแผ่นดิน พระนครชื่อว่าโสภวดี เป็นราชธานีของพระเจ้าโสภะ ข้าแต่

พระองค์ผู้นิรทุกข์ การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความ

เพียร การตรัสรู้ การประกาศพระธรรมจักรของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา-

สัมพุทธเจ้าพระนามว่าโกนาคมนะ เป็นอย่างนี้ ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวก

ข้าพระองค์นั้นประพฤติพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าโกนาคมนะ คลายกามฉันท์ในกามทั้งหลายจึงได้บังเกิดในที่นี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 61

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็น

อันมากได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง

หนึ่ง ครั้นเทวดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้นิรทุกข์ ในภัททกัปนี้เอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า

กัสสปะ ได้เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นพราหมณ์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติ

ในพราหมณ์สกุลเป็นกัสสปะโดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณสองหมื่นปี

พระองค์ได้ตรัสรู้ที่ควงไม้ไทร มีพระติสสเถระและพระภารทวาชเถระ เป็น

คู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การประชุมกัน

แห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ

ได้มีแล้วครั้งเดียว เป็นจำนวนภิกษุสองหมื่นรูป ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์

พระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ

ที่ได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้ ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่า

สัพพมิตะ ได้เป็นอัครอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่า กัสสปะ พราหมณ์ชื่อพรหมทัตต์ เป็นพระชนก พราหมณีชื่อ

ธนวดี เป็นพระชนนี บังเกิดเกล้าของพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์

ก็ครั้งนั้น พระเจ้ากิงกี เป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระนครพาราณสี เป็นราชธานี

ของพระเจ้ากิงกี ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์

การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้ การประกาศพระธรรมจักร ของ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่ากัสสปะ เป็นอย่างนี้ ๆ

ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้นประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มี

พระภาคพระนามว่ากัสสปะ คลายกามฉันท์ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิด

ในที่นี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 62

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็น

อันมากได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน

ข้างหนึ่ง ครั้นเทวดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้นิรทุกข์ ในภัททกัปนี้เอง บัดนี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ได้เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติในขัตติยสกุล

เป็นโคตมโดยพระโคตร ประมาณพระชนมายุของพระผู้มีพระภาคน้อยนิดเดียว

เร็วพลัน ผู้ที่มีชีวิตอยู่นานก็เป็นอยู่ได้เพียงร้อยปี บางที่ก็มีชีวิตอยู่น้อยกว่าบ้าง

มากกว่าบ้าง พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ ที่ควงไม้โพธิ์ มีพระสารีบุตรเถระและ

พระโมคคัลลานเถระ เป็นคู่พระอัครสาวกซึ่งเป็นคู่อันเจริญของพระผู้มีพระภาค

ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาค

ได้มีแล้วครั้งเดียว เป็นจำนวนภิกษุหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป ข้าแต่พระองค์ผู้

นิรทุกข์ สาวกของพระผู้มีพระภาคที่ได้ประชุมกันครั้งเดียวนี้ ล้วนแต่เป็น

พระขีณาสพทั้งสิ้น ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่ออานนท์ได้เป็นอัครอุปัฏฐากของพระ-

ผู้มีพระภาค ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระราชาพระนามว่า สุทโธทนะ เป็น

พระชนก พระเทวีพระนามว่ามายา เป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของพระผู้มี

พระภาค พระนครชื่อกบิลพัสดุ์ เป็นราชธานี ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การ

เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้ การ

ประกาศพระธรรมจักร ของพระผู้มีพระภาคเป็นอย่างนี้ ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้

นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้นประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค คลาย

กามฉันท์ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล เราพร้อมด้วยเทพดาเหล่าอวิหาได้เข้า

ไปหาเทพดาเหล่าอตัปปา ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล เราพร้อมด้วยเทพดา

เหล่าอวิหาและเหล่าอัตัปปา ได้เข้าไปหาเทพดาเหล่าสุทัสสา ภิกษุทั้งหลาย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 63

ครั้งนั้นแล เราพร้อมด้วยเทพดาเหล่าอวิหา เหล่าอตัปปา และเหล่าสุทัสสาได้

เข้าไปหาเทพดาเหล่าสุทัสสี ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล เราพร้อมด้วยเทพดา

เหล่าอวิหา เหล่าอตัปปา เหล่าสุทัสสา และเหล่าสุทัสสี ได้เข้าไปหาเทพดา

เหล่าอกนิฏฐาแล้ว.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั่นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็น

อันมากได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง

หนึ่ง ครั้นเทพดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้

นิรทุกข์ นับถอยหลังแต่นี้ไปได้ ๙๑ กัป พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่า วิปัสสี เสด็จอุบัติในโลก พระองค์เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เสด็จ

อุบัติในขัตติยสกุลเป็นโกณฑัญญะโดยพระโคตร มีพระชนมายุประมาณ

แปดหมื่นปี พระองค์ได้ตรัสรู้ที่ควงไม้แคฝอย มีพระขัณฑเถระและพระติสส

เถระเป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การ

ประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม

ว่าวิปัสสี ได้มีแล้วสามครั้ง ครั้งหนึ่งมีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุ

หกล้านแปดแสนรูป อีกครั้งหนึ่งมีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแสนรูป

อีกครั้งหนึ่งมีพระสาวกประชุมกันเป็นจำนวนภิกษุแปดหมื่นรูป พระสาวกของ

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ที่ได้ประชุมกัน

ทั้งหมดครั้งนี้ ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพทั้งสิ้น ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ภิกษุ

ผู้อุปัฏฐากชื่อ อโสกะ ได้เป็นอัครอุปัฏฐาก ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมา

สัมพุทธเจ้าพระนามว่า วิปัสสี พระราชาพระนามว่า พันธุม เป็นพระชนก

พระเทวีพระนามว่า พันธุมดี เป็นพระชนนีบังเกิดเกล้าของพระองค์ พระนคร

ชื่อพันธุมดี เป็นราชธานีของพระเจ้าพันธุม ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ การเสด็จ

ออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้ การประกาศ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 64

พระธรรมจักร ของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี

เป็นอย่างนี้ ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์นั้น ประพฤติ

พรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคพระนามว่าวิปัสสี คลายกามฉันท์ในกามทั้งหลาย

แล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็น

อันมากได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง

หนึ่ง ครั้นเทพดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้

นิรทุกข์ นับถอยหลังแต่นี้ไป ๓๑ กัป พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่าสิขี ได้เสด็จอุบัติในโลก ฯลฯ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกข้า

พระองค์นั้นประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่า สิขี คลายกามฉันท์ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็น

อันมากได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง

หนึ่ง ครั้น เทพดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้

นิรทุกข์ ในกัปที่ ๓๑ นั่นเองแล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระนามว่า เวสสภู ได้เสด็จอุบัติในโลก ฯลฯ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวก

ข้าพระองค์นั้น ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค พระนามว่า เวสสภู

คลายกามฉันท์ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็น

อันมากได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง

หนึ่ง ครั้นเทพดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้

นิรทุกข์ ในภัททกัปนี้เอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า

กกุสันธะ ได้เสด็จอุบัติในโลก ฯลฯ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 65

ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคพระนามว่า กกุสันธะ คลายกามฉันท์

ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั้นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็น

อันมากได้เข้ามหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ครั้นเทพดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์

ในภัททกัปนี้เอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า

โกนาคมนะ ได้เสด็จอุบัติในโลก ฯลฯ ข้าแต่พระองค์ผู้นริทุกข์ พวกข้าพระองค์

ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคพระนามว่า โกนาคมนะ คลายกามฉันท์

ในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั่นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็น

อันมากได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง

หนึ่ง ครั้น เทพตาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้

นิรทุกข์ ในภัททกัปนี้เอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนาม

ว่า กัสสปะ ได้เสด็จอุบัติในโลก ฯลฯ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พวกข้า-

พระองค์ ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคพระนามว่า กัสสปะ คลาย

ความพอใจในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในหมู่เทพดานั่นเอง เทพดานับร้อยนับพันเป็น

อันมากได้เข้ามาหาเรา ครั้นเข้ามาหาไหว้เราแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้าง

หนึ่ง ครั้นเทพดาเหล่านั้นยืนเรียบร้อยแล้วได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้

นิรทุกข์ ในภัททกัปนี้เอง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จ

อุบัติในโลก พระองค์เป็นกษัตริย์โดยพระชาติ เสด็จอุบัติในขัตติยสกุล เป็น

โคตมะโดยพระโคตร ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระชนมายุของพระผู้มีพระภาค

น้อยนิดเดียวเร็วพลัน ผู้ที่มีชีวิตอยู่นานก็เป็นอยู่ได้เพียงร้อยปี บางทีก็น้อย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 66

กว่าบ้าง มากกว่าบ้าง ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ที่ควง

ไม้โพธิ์ ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระสารีบุตรเถระและพระโมคคัลลานเถระ

เป็นคู่พระอัครสาวก ซึ่งเป็นคู่อันเจริญของพระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระองค์

ผู้นิรทุกข์ การประชุมกันแห่งพระสาวกของพระผู้มีพระภาคได้มีแล้วครั้งเดียว

เป็นจำนวนภิกษุหนึ่งพันสองร้อยห้าสิบรูป ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระสาวก

ของพระผู้มีพระภาคที่ได้ประชุมกันแล้วครั้งเดียวนี้ ล้วนแต่เป็นพระขีณาสพ

ทั้งสิ้น ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ ภิกษุผู้อุปัฏฐากชื่อว่า อานันทะ ได้เป็นอัคร

อุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ พระราชาพระนามว่า

สุทโธทนะ เป็นพระชนก พระเทวีพระนามว่า มายา เป็นพระชนนีบังเกิดเกล้า

ของพระผู้มีพระภาค พระนครชื่อกบิลพัสดุ์ เป็นราชธานี ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์

การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ การบรรพชา การตั้งความเพียร การตรัสรู้

การประกาศพระธรรมจักษ์ของพระผู้มีพระภาคเป็นอย่างนี้ ๆ ข้าแต่พระองค์ผู้

นิรทุกข์ พวกข้าพระองค์ ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค คลายความ

พอใจในกามทั้งหลายแล้ว จึงได้บังเกิดในที่นี้.

ธรรมธาตุที่ทรงแทงตลอดด้วยดี

[๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุที่ธรรมธาตุนี้ ตถาคตแทงตลอด

แล้วอย่างดีด้วยประการฉะนี้แล ฉะนั้น พระพุทธเจ้าที่ล่วงไปแล้ว ปรินิพพาน

แล้ว ทรงตัดธรรมเป็นเหตุทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว ทรงตัดความเวียนว่ายตายเกิด

ได้แล้ว ทรงครอบงำความเวียนว่ายตายเกิดได้แล้ว ทรงล่วงทุกข์ได้ทุกอย่าง

แล้ว ตถาคตย่อมระลึกถึงได้แม้โดยพระชาติ แม้โดยพระนาม แม้โดยพระ

โคตร แม้โดยประมาณแห่งพระชนมายุ แม้โดยคู่แห่งพระสาวก แม้โดยการ

ประชุมกันแห่งพระสาวกว่า แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น จึงมี

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 67

พระชาติอย่างนี้ จึงมีพระนามอย่างนี้ จึงมีพระโคตรอย่างนี้ จึงมีศีลอย่างนี้

จึงมีธรรมอย่างนี้ จึงมีปัญญาอย่างนี้ จึงมีวิหารธรรมอย่างนี้ จึงมีวิมุติอย่างนี้.

แม้พวกเทพดาก็ได้บอกเนื้อความนี้แก่ตถาคต ซึ่งเป็นเหตุให้ตถาคต

ระลึกถึงได้ซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ล่วงไปแล้ว ปรินิพพานแล้ว ตัดธรรม

เป็นเหตุทำให้เนิ่นช้าได้แล้ว ทรงตัดความเวียนว่ายตายเกิดได้แล้ว ทรงครอบ

งำความเวียนว่ายตายเกิดได้แล้ว ทรงล่วงทุกข์ได้ทุกอย่างแล้ว แม้โดยพระชาติ

แม้โดยพระนาม แม้โดยพระโคตร แม้โดยประมาณแห่งพระชนมายุ แม้โดย

คู่แห่งพระสาวก แม้โดยการประชุมกันแห่งพระสาวกว่า แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้

มีพระภาคเหล่านั้น จึงมีพระชาติอย่างนี้ จึงมีพระโคตรอย่างนี้ จึงมิศีลอย่างนี้

จึงมีปัญญาอย่างนี้ จึงมีวิหารธรรมอย่างนี้ จึงมีวิมุติอย่างนี้.

พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นยินดีชื่นชม

ภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล.

จบมหาปทานสูตร ที่ ๑

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 68

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 69

สุมังคลวิลาสีนี

ทีฑนิกาย มหาวรรควรรณนา

อรรถกถามหาปทานสูตร

มหาปทานสูตรมีบทเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กเรริกุฏี ณ พระวิหารเชตวันอารามของอนาถ

บิณฑิกเศรษฐี ในพระนครสาวัตถี.

ต่อไปนี้เป็นการพรรณนาบทตามลำดับในมหาปทานสูตรนั้น บทว่าใน

กเรริในบทว่า กเรริกุฏิกาย เป็นชื่อของไม้กุ่มน้ำ กเรริมณฑปตั้งอยู่ใกล้

ประตูกุฏีนั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่ากเรริกุฏี เหมือนท่านเรียกว่าโกสัมพ

กุฏี เพราะตั้งอยู่ใกล้ประตูต้นเล็บเหยี่ยว.

นัยว่าภายในพระวิหารเชตวัน มีเรือนใหญ่อยู่ ๔ หลังคือกเรริกุฏี

โกสัมพกุฏี คันธกุฏี สฬลฆระ (เรือนไม้สน) หลังหนึ่ง ๆ สำเร็จด้วยการ

บริจาคทรัพย์หลังละหนึ่งแสน. ใน ๔ หลังนั้นพระเจ้าปเสนทิทรงสร้าง

สฬลฆระ. ที่เหลืออนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้าง. เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า

จึงประทับอยู่ ณ กเรริกุฏี โดยที่อนาถบิณฑิกคฤหบดีได้สร้างทิพยพฤกษ์ดุจ

เทววิมานไว้เบื้องบนเสาทั้งหลาย.

บทว่า ปจฺฉาภตฺต ความว่า เมื่อภิกษุฉันอาหารมื้อเดียว และมิใช่ฉัน

ภายหลังอาหาร ฉันแต่เช้าตรู่แม้ฉันภายในเที่ยงวัน ก็ชื่อว่าปัจฉาภัตเหมือนกัน

แต่ในที่นี้ท่านประสงค์ปัจฉาภัตรหลังอาหารตามปรกติ. บทว่า ปิณฺฑปาต-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 70

ปฏิกฺกนฺตาน ความว่า เมื่อภิกษุกลับจากบิณทบาตฉันอาหารเสร็จแล้วลุกขึ้น.

บทว่า กเรริมณฺฑลมาเล ความว่า ณ ศาลานั่งซึ่งสร้างไว้ไม่ไกลกเรริมณฑป

นั่นเอง.

ได้ยินว่า กเรริมณฑปนั้นอยู่ในระหว่างคันธกุฎีและศาลา. เพราะฉะนั้น

คันธกุฏีบ้าง กเรริกุฏีบ้าง ศาลาบ้าง ท่านเรียกว่าโรงกเรริมณฑล.

บทว่า ปุพฺเพนิวาสปฏิสยุตฺตา ความว่า ธรรมีกถาประกอบด้วย

บุพเพสันนิวาสกล่าวคือขันธสันดานที่อาศัยอยู่ในชาติก่อนจำแนกออกอย่างนี้ คือ

ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้างอันเป็นไปแล้ว. บทว่า ธมฺมี คือประกอบด้วย

ธรรม. บทว่า อุทปาทิ ความว่า บุพเพนิวาสญาณของพระทศพลน่าอัศจรรย์

จริง. ถามว่า ชื่อว่าบุพเพนิวาส ใครระลึกได้ ใครระลึกไม่ได้ ตอบเดียรถีย์

ระลึกได้ พระสาวกพระปัจเจกพุทธะระลึกได้. เดียรถีย์พวกไหนระลึกได้. เดียรถีย์

เหล่าใดถึงความเป็นผู้เลิศเป็นกรรมวาที เดียรถีย์แม้เหล่านั้นก็ระลึกได้ตลอด

๔๐ กัป เท่านั้น ยิ่งกว่านั้นไม่ได้. พระสาวกระลึกได้แสนกัป. พระอัครสาวก

ทั้งสองระลึกได้อสงไขย และแสนกัป. พระปัจเจกพุทธะระลึกได้สองอสงไขย

และแสนกัป. แต่พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มีกำหนดเท่านั้นเท่านี้. พระพุทธ-

เจ้าทั้งหลายทรงระลึกเท่าที่ทรงหวัง เดียรถีย์ทั้งหลายระลึกได้ตามลำดับขันธ์

พ้นลำดับแล้วไม่สามารถระลึกได้. เดียรถีย์ทั้งหลายแม้ระลึกได้ตาม ลำดับก็ถึง

ความเป็นผู้ไม่มีความรู้สึก ย่อมไม่เห็นความเป็นไปของขันธ์เหมือนนกตกลง

ไปในตาข่าย และคนพิการตกลงไปในหลุม. เขาเหล่านั้นตกแล้วในที่นั้นย่อม

เห็นว่าเท่านี้เอง ยิ่งกว่านี้ไม่มี. ด้วยเหตุนี้ การระลึกถึงบุพเพสันนิวาสของพวก

เดียรถีย์ย่อมเป็นเหมือนคนตาบอดเดินไปด้วยปลายไม้เท้า. ธรรมดาคนตาบอด

เมื่อยังมีคนถือปลายไม้เท้าอยู่ย่อมเดินไปได้ เมื่อไม่มีก็นั่งอยู่ที่นั้นเองฉันใด

พวกเดียรถีย์ก็ฉันนั้นนั่นแล ย่อมสามารถระลึกถึงได้ตามลำดับขันธ์ เว้นลำดับ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 71

เสียแล้วย่อมไม่สามารถระลึกได้. แม้พระสาวกทั้งหลาย ก็ระลึกถึงตาม

ลำดับขันธ์ได้ ครั้นถึงความเป็นผู้ไม่มีความรู้สึก ย่อมไม่เห็นความ

เป็นไปของขันธ์. แม้เมื่อเป็นอย่างนี้ ชื่อว่ากาลอันไม่มีแห่งขันธ์ทั้งหลาย

ของสัตว์ผู้ท่องเที่ยวไปสู่วัฏฏะเหล่านั้นย่อมไม่มี แต่ในอสัญญภพย่อมเป็นไป

๕๐๐ กัป เพราะฉะนั้น สัตว์ทั้งหลายก้าวล่วงกาลประมาณเท่านี้ ตั้งอยู่ในคำแนะ

นำอันพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงประทานแล้ว ย่อมระลึกถึงข้างหน้าได้เหมือน

ท่านโสภิตะฉะนั้น. อนึ่ง พระอัครสาวกทั้งสองและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย

ตรวจดูจุติและปฏิสนธิแล้วย่อมระลึกถึงได้. กิจคือจุติและปฏิสนธิของพระพุทธ

เจ้าทั้งหลายย่อมไม่มี. พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระประสงค์จะทรงเห็นฐานะใด ๆ

ย่อมทรงเห็นฐานะนั้น ๆ ทีเดียว. อนึ่ง เดียรถีย์ทั้งหลายเมื่อระลึกถึงบุพเพสัน

นิวาสย่อมระลึกถึงสิ่งที่ตนเห็นแล้ว กระทำแล้ว ฟังแล้วเท่านั้น. พระสาวก

ทั้งหลายและพระปัจเจกพุทธะทั้งหลายก็เหมือนอย่างนั้น. แต่พระพุทธเจ้า

ทั้งหลาย ย่อมทรงระลึกถึงสิ่งทั้งหมดทีเดียวที่พระองค์หรือผู้อื่นเห็นแล้วกระทำ

แล้วฟังแล้ว. บุพเพนิวาสญาณของพวกเดียรถีย์เป็นเช่นกับแสงหิ่งห้อย ของ

พระสาวกทั้งหลายเป็นเช่นกับแสงประทีป ของพระอัครสาวก เป็นเช่นกับแสง

ดาวประกายพฤกษ์ ของพระปัจเจกพุทธะทั้งหลายเป็นเช่นกับแสงพระจันทร์

ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นเช่นกับแสงลุริยมณฑลพันดวง. พระพุทธเจ้านั้น

ไม่กำหนดประมาณเท่านี้ว่า ร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ หรือ ร้อยกัป

พันกัป แสนกัป เมื่อพระพุทธเจ้าทรงระลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งย่อมไม่พลาด

ย่อมไม่ขัดข้องโดยแท้ ความนึกคิดต่อเนื่องกันย่อมเป็นความต่อเนื่องกันด้วย

ความหวัง ความไตร่ตรองและจิตตุบาทนั่นเอง บุพเพนิวาสญาณย่อมแล่นไป

ไม่ติดขัดดุจลูกศรเหล็กแล่นไปฉับพลันในกองใบไม้ที่ผุ และดุจอินทวัชระ

ที่ซัดไปบนยอดเขาสิเนรุ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 72

บทว่า อโห มหนฺตฺ ภควโต ปุพฺเพนิวาสาณ ความว่า การ

สนาทนาเกิดขึ้น คือ เป็นไปแล้วปรารภพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย ประการฉะนี้

เพื่อแสดงความทั้งหมดนั้น โดยย่อท่านจึงกล่าวไว้ในบาลีเพียงว่า อิติปิ ปุพฺเพ-

นิวาโส อิติปิ ปุพฺเพนิวาโส ในบทเหล่านั้นบทว่า อิติปิ แปลว่าแม้อย่างนี้

ข้อความใดที่ควรกล่าวไว้ในบาลีนี้ว่า อสฺโสสิ โข ภควา ฯเปฯ อถ

ภควา อนุปฺปตฺโต ท่านกล่าวไว้แล้วในอรรถกถาพรหมชาลสูตรนั้นแล ต่อไป

นี้ข้อความนั้น เป็นความต่างกัน. ในสูตรนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้สดับโดย

พระสัพพัญญุตญาณ. ในสูตรนี้ได้สดับโดยทิพพโสต. อนึ่ง ในสูตรนั้นสนทนา

ถึงคุณและโทษยังค้างอยู่. ในสูตรนี้สนทนาถึงบุพเพนิวาสญาณ. เพราะฉะนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า ภิกษุเหล่านี้สรรเสริญคุณปรารภบุพเพนิวาสญาณ

ของเรา แต่ไม่รู้ความสำเร็จแห่งบุพเพนิวาสญาณของเรา ช่างเถิด เราจักกล่าว

ถึงความสำเร็จแห่งบุพเพนิวาสญาณนั้นแล้วแสดงแก่พวกเธอ จึงเสด็จมาประทับ

นั่ง ณ พุทธอาศน์อันประเสริฐซึ่งตามปกติตั้งไว้เพื่อพระพุทธเจ้าประทับนั่ง

แสดงธรรม ซึ่งขณะนั้นภิกษุทั้งหลายปูลาดถวายไว้มีพระพุทธประสงค์จะทรง

แสดงธรรมกถาเกี่ยวกับบุพเพนิวาสญาณ แก่ภิกษุเหล่านั้นในที่สุดแห่งคำถามว่า

ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสนทนาเรื่องอะไรกัน และแห่งคำตอบตั้งแต่ต้นว่า ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ากลับจากบิณฑบาตแล้วในเวลาปัจฉาภัต ได้

นั่งประชุมกัน ณ โรงกเรริมณฑล แล้วเกิดสนทนาธรรมกันขึ้นเกี่ยวกับบุพเพ-

นิวาสญาณว่า บุพเพนิวาส บุพเพนิวาส ดังนี้พระเจ้าข้า จึงตรัสคำเป็นต้นว่า

พวกเธอปรารถนาจะฟังหรือไม่. ในบทเหล่านั้น บทว่า อิจฺเฉยฺยาถโน แปลว่า

พวกเธอปรารถนาจะฟังหรือไม่หนอ.

ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายมีใจรื่นเริงเมื่อจะทูลวิงวอนกะพระผู้มีพระภาค-

เจ้า จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงกระทำ

ธรรมกถานี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า เอตสฺส คือ การกระทำธรรมกถานี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 73

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับคำทูลวิงวอนของภิกษุเหล่านั้น มี

พระพุทธประสงค์จะทรงแสดง จึงทรงชักชวนภิกษุเหล่านั้นในการเงี่ยหูฟังและ

ตั้งใจฟังด้วยดีด้วยพระดำรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ากระนั้น พวกเธอทั้งหลาย

จงฟังแล้ว มีพระพุทธประสงค์จะประกาศการระลึกถึงทางอันตัดขาดแล้ว ไม่ทั่ว

ไปแก่ชนเหล่าอื่น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นับแต่นี้ไปดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ย วิปสฺสี คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า

วิปัสสีในกัปใด. แท้จริง ย ศัพท์นี้ ใช้ในปฐมาวิภัตติ์ ในบททั้งหลายเป็นต้นว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อความใดที่ข้าพระองค์สดับมาแล้วรับมาแล้วต่อหน้า

พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ข้าพระองค์จะกราบทูลข้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค-

เจ้า. ใช้ในทุติยาวิภัตติ์ในบททั้งหลายเป็นต้นว่า

ท่านอกิตตยิ พวกข้าพเจ้าได้ถามข้อความอันใดไว้ พวก

ข้าพเจ้าจะขอถามข้อความอันนั้นอื่น ขอเชิญท่านจงบอกข้อความนั้น

แต่ข้าพเจ้าทั้งหลายเถิดดังนี้.

ใช้ในตติยาวิภัตติ์ ในบททั้งหลายเป็นต้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่

ไม่มีช่องว่างด้วยโลกธาตุหนึ่งไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นได้. แต่ในบทนี้พึงทราบว่าใช้

ในสัตตมีวิภัตติ์. เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ยสฺมึ กปฺเป แปลว่าในกัปใด.

บทว่า อุทปาทิ ความว่า ยังหมื่นโลกธาตุให้บันลือเกิดขึ้นแล้ว. บทว่า

ภทฺทกปฺเป ความว่า ในสุนทรกัปคือในสาระกัป เพราะมีพระพุทธเจ้าทรง

อุบัติขึ้น ๕ พระองค์ ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงยกย่องกัปนี้ จึงตรัส

อย่างนี้.

ดังได้ทราบมาว่า ตั้งแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายทรงบำเพ็ญ

อภินิหาร ย่อมไม่มีแม้ในกัปเดียวในระหว่างนั้นที่พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ทรง

อุบัติแล้ว. ก็แต่ก่อนอภินิหารของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย พระพุทธ-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 74

เจ้า ๔ พระองค์คือ พระตัณหังกร พระเมธังกร พระสรณังกร พระทีปังกรทรง

อุบัติแล้วในกัปเดียว. ในส่วนที่เหนือขึ้นไปของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ได้ว่าง

เปล่าพระพุทธเจ้าไปถึงหนึ่งอสงไขยทีเดียว. ในที่สุดอสงไขยกัป พระพุทธเจ้า

พระนามว่าโกณฑัญญะพระองค์เดียวเท่านั้น ทรงอุบัติขึ้นในกัปหนึ่ง. แม้จากนั้น

ก็ได้ว่างเปล่าพระพุทธเจ้าไปอีกหนึ่งอสงไขย. ในที่สุดอสงไขยกัป พระพุทธ-

เจ้า ๔ พระองค์ คือ พระสุมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ ทรงอุบัติ

ขึ้นในกัปหนึ่ง. แม้จากนั้นก็ว่างเปล่าพระพุทธเจ้าไปอีกหนึ่งอสงไขย ในที่สุด

-อสงไขยกัป ต่อไปอีก อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์

คือ พระอโนมทัสสี พระปทุมะ พระนารทะทรงอุบัติขึ้นในกัปหนึ่ง. แม้จาก

นั้นก็ได้ว่างเปล่าพระพุทธเจ้าไปอีกหนึ่งอสงไขย. ในที่สุดอสงไขยกัป ต่อไปอีก

แสนกัป พระผู้มีพระภาคพระนามว่า พระปทุมุตตระ พระองค์เดียวเท่านั้น

ทรงอุบัติขึ้นในกัปหนึ่ง. ต่อจากนี้ไปอีกสามหมื่นกัป พระพุทธเจ้าสองพระองค์

คือ พระสุเมธะ พระสุชาตะทรงอุบัติขึ้นในกัปหนึ่ง. ในส่วนที่เหนือออกไป

จากนั้น ต่อไปอีก ๑๘,๐๐๐ กัป พระพุทธเจ้า ๓ พระองค์ คือ พระปิยทัสสี

พระอัตถทัสสิ พระธัมมทัสสี ทรงอุบัติขึ้นในกัปหนึ่ง. ต่อจากนั้นไป ๙๘ กัป

พระพุทธเจ้าพระนามว่า สิทธัตถ ทรงอุบัติขึ้น. ในกัปหนึ่ง ต่อจากนั้นไป ๙๒ กัป

พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือ พระติสสะ พระปุสสะ ทรงอุบัติขึ้นในกัปหนึ่ง.

ต่อจากนั้นไป ๙๑ กัป พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสีทรงอุบัติขึ้น. ต่อ

จากนั้น ๓๑ กัป พระพุทธเจ้า ๒ พระองค์ คือ พระสิขี พระเวสสภู ทรงอุบัติ

ขึ้น. ในภัทรกัปนี้ พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ

พระกัสสปะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเราทั้งหลายทรงอุบัติขึ้น พระเมตเตยยะ

จักทรงอุบัติขึ้นภายหลัง. กัปนี้เป็นสุนทรกัปเป็นสารกัป เพราะมีพระพุทธเจ้า

ทรงอุบัติขึ้น ๕ พระองค์ด้วยประการฉะนี้ ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรง

ยกย่องกัปนี้ จึงตรัสอย่างนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 75

ถามว่า ข้อที่ว่าพระพุทธเจ้าประมาณเท่านั้น ทรงอุบัติขึ้นแล้วก็ดี จัก

ทรงอุบัติขึ้นก็ดีในกัปนี้ ย่อมเป็นการปรากฏแก่พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้นหรือ

หรือว่าย่อมเป็นการปรากฏแม้แก่ผู้อื่นด้วย. ตอบว่า ย่อมเป็นการปรากฏแม้แก่

ผู้อื่นด้วย. ถามว่า แก่ใคร. ตอบว่า แก่พรหมชั้นสุทธาวาส.

จริงอยู่ในกาลดำรงอยู่แห่งกัป เมื่อโลกสันนิวาสดำรงอยู่ตลอดอสงไขย

หนึ่ง ฝนเริ่มตกเพื่อให้โลกดำรงอยู่. ย่อมเป็นเหมือนหิมะตกในสุดแคว้นแต่

ต้นเทียว. จากนั้นก็มีรำข้าวประมาณหนึ่ง งบประมาณหนึ่ง ข้าวสารประมาณ

หนึ่ง ถั่วเขียวประมาณหนึ่ง ถั่วทองประมาณหนึ่ง พุทรา มะขามป้อม

ฟักเหลือง ฟักเขียว น้ำเต้า ประมาณหนึ่ง เป็นสายน้ำงอกงามขึ้นโดยลำดับ

หนึ่งอุสภะ สองอุสภะ กึ่งคาวุต หนึ่งคาวุต กึ่งโยชน์ หนึ่งโยชน์ สองโยชน์

สามโยชน์ สิบโยชน์ ฯลฯ แสนโยชน์เป็นประมาณ ตั้งอยู่บริบูรณ์ในระหว่าง

แสนโกฏิจักรวาลจนถึงอกนิฏฐพรหมโลก. ลำดับนั้น น้ำนั้นตกโดยลำดับ เมื่อ

น้ำตก เทวโลกทั้งหลายย่อมดำรงอยู่ในที่ของเทวโลกเป็นปกติ. วิธีสร้างเทวโลก

เหล่านั้น ท่านกล่าวไว้แล้วในบุพเพนิวาสกถา ในวิสุทธิมรรค.

ก็ฐานะของมนุสสโลก เหมือนเมื่อนำเข้าไปแล้วปิดปากธมกรกเสีย

น้ำนั้นก็อยู่ได้ด้วยอำนาจของลม. แผ่นดินย่อมตั้งอยู่ได้เหมือนใบบัวอยู่หลังน้ำ.

มหาโพธิบัลลังก์ เมื่อโลกพินาศ จะพินาศในภายหลัง เมื่อโลกดำรงอยู่ก็ดำรง

อยู่ก่อน. ณ โพธิบัลลังก์นั้น กอบัวกอหนึ่ง ย่อมเกิดขึ้นเป็นบุพพนิมิตร หาก

ว่าในกัปนั้นของโพธิบัลลังก์นั้น พระพุทธเจ้าจักทรงอุบัติ ดอกบัวย่อมเกิดขึ้น

หากไม่ทรงอุบัติ ดอกบัวจะไม่เกิด. อนึ่ง เมื่อดอกบัวเกิดหากพระพุทธเจ้าองค์

หนึ่งจักทรงอุบัติก็เกิดดอกเดียว. หากพระพุทธเจ้าจักทรงอุบัติ ๒ องค์ ๓ องค์

๔ องค์ ๕ องค์ ดอกบัวก็เกิด ๕ ดอก. อนึ่ง ดอกบัวเหล่านั้นเป็นดอกมีช่อติด

กันในก้านเดียวนั่นเอง. ท้าวสุทธาวาสพรหมทั้งหลายชวนกันว่า ท่านผู้นิรทุกข์

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 76

ทั้งหลาย พวกเรามากันเกิด จักเห็นบุพนิมิตรแล้วพากัน มายังมหาโพธิบัลลังก์

สถาน ในกัปที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายยังไม่ทรงอุบัติดอกบัวก็ไม่มี. ทวยเทพ

ทั้งหลายเห็นดอกบัวไม่มีดอกก็มีความเสียใจว่า พ่อคุณเอ๋ย โลกจักมืดมนหนอ

สัตว์ทั้งหลายถูกความมืดครอบงำจักเห็นในอบาย เทวโลก ๖ พรหมโลก ๙ จัก

ว่างเปล่า ครั้นเห็นดอกบัวในเวลาบานต่างดีใจว่า เมื่อพระสัพพัญญูโพธิสัตว์

ทรงก้าวลงสู่ครรภ์พระมารดา ประสูติ ตรัสรู้ ยังธรรมจักรให้เป็นไป ทรงกระทำ

ยมกปาฏิหาริย์หยั่งลงจากเทวโลก ทรงปลงอายุสังขารเสด็จดับขันธปรินิพพาน

พวกเราจักเห็นปาฏิหาริย์ อันทำให้หมื่นจักรวาลหวั่นไหว และอบายทั้ง ๔ จัก

เสื่อมโทรม เทวโลก ๖ พรหมโลก ๙ จักบริบูรณ์พากันเปล่งอุทานไปสู่พรหม

โลกของตนของตน.

อนึ่ง ดอกบัว ๕ ดอกเกิดขึ้นแล้ว ในกัปนี้. แม้ท้าวสุทธาวาสพรหมทั้ง

หลายครั้นเห็นดอกบัวเหล่านั้นก็รู้ความนี้ว่า พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ ทรง

อุบัติแล้ว องค์ที่ ๕ จักทรงอุบัติต่อไปดังนี้ ด้วยอานุภาพแห่งนิมิตรเหล่านั้น

เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ข้อนั้นเป็นการปรากฏแม้แก่ผู้อื่นดังนี้.

แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงบุพเพนิวาส ด้วยสามารถ

กำหนดกัปโดยนัยเป็นต้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย นับแต่นี้ไป ดังนี้แล้ว บัดนี้เพื่อ

จะทรงแสดงด้วยสามารถกำหนดชาติเป็นต้นของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น จึงตรัสคำ

เป็นต้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าพระวิปัสสีดังนี้.

ในบทเหล่านั้นพึงทราบวินิจฉัยในการกำหนดอายุ. บททั้งสองนี้ว่า

ปริตฺต ลหุก เป็นไวพจน์ของอายุน้อยนั้นเอง. ด้วยว่า อายุใดน้อย อายุนั้น

ย่อมเป็นของนิดหน่อยและเยา. บทว่า อปฺปวา ภิยฺโย คือ อายุเกินกว่า ๑๐๐ ปี

มีน้อย. ครั้น ยังไม่ถึง ๑๐๐ ปี ย่อมเป็นอยู่ ๒๐ ปี ๓๐ ปี ๔๐ ปี ๕๐ ปี หรือ

๖๐ ปี. แต่คนอายุยืนอย่างนี้หาได้ยากนัก ได้ข่าวว่า คนโน้นอยู่นานอย่างนี้

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 77

ควรพากันไปดูในที่นั้น ๆ. บรรดาคนมีอายุยืนนั้น นางวิสาขาอุบาสิกาอยู่ได้

๑๒๐ ปี พราหมณ์โปกขรสาติ พราหมณ์พรหมายุ พราหมณ์เสละ พราหมณ์

พาวริยะ พระอานนทเถระ พระมหากัสสปเถระ ก็เหมือนกัน แต่พระอนุ-

รุทธเถระอยู่ถึง ๑๕๐ ปี พระพากุลเถระอยู่ ๑๖๐ ปี ท่านผู้นี้มีอายุยืนกว่าทั้ง

หมด. แม้ท่านก็อยู่ไม่ถึง ๒๐๐ ปี.

ก็พระโพธิสัตว์ทั้งปวงมีพระวิปัสสีเป็นต้น ถือปฏิสนธิในครรภ์พระ

มารดา ด้วยอสังขาริกจิต สหรคตด้วยโสมนัสและสัมปยุตด้วยญาณ อันเป็น

ส่วนเบื้องต้นแห่งเมตตา. เมื่อถือปฏิสนธิด้วยจิตดวงนั้นจะมีอายุอสงไขยหนึ่ง.

ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าทั้งปวง จึงมีอายุอสงไขยหนึ่ง. ถามว่า เพราะเหตุไร

ท่านเหล่านั้นจึงไม่ตั้งอยู่ถึงอสงไขย. ตอบว่า เพราะความวิบัติแห่งฤดูและ

โภชนะ. จริงอยู่ อายุย่อมเสื่อมบ้าง ย่อมเจริญบ้างด้วยอำนาจแห่งฤดูและโภชนะ.

ในข้อนั้น เมื่อใดพระราชาทั้งหลายไม่เป็นผู้ประกอบด้วยธรรม เมื่อนั้น

อุปราช เสนาบดี เศรษฐี สกลนคร สกลรัฐ ก็ย่อมไม่ประกอบด้วยธรรม

เหมือนกัน. เมื่อเป็นดังนั้น อารักขเทวดาของชนเหล่านั้น ภุมมเทวดา ผู้เป็น

มิตรของเทวดาเหล่านั้น อากาสัฏฐกเทวดาผู้เป็นมิตรของภุมมเทวดา อุณหวลา-

หกเทวดา ผู้เป็นมิตรของอากาสัฏฐกเทวดา อัพภวลาหกเทวดา ผู้เป็นมิตร

ของอุณหวลาหกเทวดาเหล่านั้น สีตวลาหกเทวดา ผู้เป็นมิตรของอัพภวลา-

หกเทวดาเหล่านั้น วัสสวลาหกเทวดา ผู้เป็นมิตรของสีตวลาหกเทวดาเหล่านั้น

จาตุมมหาราชิกาเทวดา ผู้เป็นมิตรของวัสสวลาหกเทวดาเหล่านั้น ดาวดึง

สเทวดา ผู้เป็นมิตรของจาตุมมหาราชิกาเทวดาเหล่านั้น ยามาเทวดา ผู้เป็น

มิตรของดาวดึงสเทวดาเหล่านั้นเป็นต้น ตราบเท่าถึงภวัคคพรหม เว้นพระ-

อริยสาวกเทวดาทั้งหมด แม้พรหมบริษัท ก็เป็นผู้ไม่ประกอบด้วยธรรม.

พระจันทร์พระอาทิตย์ย่อมดำเนินไปลุ่ม ๆ ดอน ๆ เพราะเทวดาเหล่านั้นไม่

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 78

ประกอบด้วยธรรม. ลมย่อมไม่พัดไปตามทางลม. เมื่อลมไม่พัดไปตามทางลม

ย่อมทำให้วิมานซึ่งตั้งอยู่บนอากาศสะเทือน. เมื่อวิมานสะเทือนพวกเทวดาก็ไม่

มีจิตใจจะไปเล่นกีฬา เมื่อเทวดาไม่มีจิตใจจะไปเล่นกีฬา ฤดูหนาว ฤดูร้อน

ย่อมไม่เป็นไปตามฤดูกาล. เมื่อฤดูไม่เป็นไปตามฤดูกาล ฝนย่อมไม่ตกโดยชอบ

บางครั้งตก บางครั้งไม่ตก ตกในบางท้องที่ ไม่ตกในบางท้องที่ ก็เมื่อตกย่อมตก

ขณะหว่าน ขณะแตกหน่อ ขณะแตกก้าน ขณะออกรวง ขณะออกน้ำนมเป็นต้น

ย่อมตกโดยประการที่ไม่เป็นอุปการะแก่ข้าวกล้าเลย และแล้งไปนาน ด้วยเหตุนั้น

ข้าวกล้าจึงสุกไม่พร้อมกันปราศจากสมบัติมีกลิ่นสีและรสเป็นต้น. แม้ในข้าวสาร

ที่ใส่ในภาชนะเดียวกัน ข้าวในส่วนหนึ่งดิบ ส่วนหนึ่งเปียกแฉะ ส่วนหนึ่งไหม้.

บริโภคข้าวนั้นเข้าไปย่อมถึงโดยอาการ ๓ อย่างในท้อง. สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มี

โรคมากและมีอายุน้อยด้วยเหตุนั้น. อายุย่อมเสื่อมด้วยอำนาจของฤดูและโภชนะ

ด้วยประการฉะนี้โดยแท้.

แม้ทวยเทพทั้งปวงตลอดถึงพรหมโลกย่อมเป็นผู้ประกอบด้วยธรรม

โดยนัยอันมีในเบื้องต้นว่า ก็เมื่อใดพระราชาเป็นผู้ประกอบด้วยธรรม เมื่อนั้น

แม้เสนาบดีและอุปราชก็เป็นผู้ประกอบด้วยธรรมดังนี้. เพราะทวยเทพเหล่านั้น

ตั้งอยู่ในธรรม พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมดำเนินไปโดยสม่ำเสมอ. ลมย่อม

พัดไปตามทางของลมย่อมไม่ทำให้วิมานที่ตั้งอยู่บนอากาศสะเทือน. เมื่อวิมาน

ไม่สะเทือนพวกเทวดาก็มีแก่ใจเล่นกีฬา. ฤดูย่อมเป็นไปตามกาลอย่างนี้. ฝน

ย่อมตกโดยชอบเกื้อกูลข้าวกล้าตั้งแต่ขณะหว่าน ตกตามเวลา แล้งไปตามเวลา.

ด้วยเหตุนั้น ข้าวกล้าสุกพร้อมกัน มีกลิ่นหอม มีสีงาม มีรสอร่อย มีโอชะ.

โภชนะที่ปรุงด้วยข้าวกล้านั้นแม้บริโภคแล้วก็ถึงความย่อยง่าย สัตว์ทั้งหลาย

เป็นผู้ไม่มีโรคมีอายุยืนด้วยเหตุนั้น. อายุย่อมเจริญด้วยอำนาจฤดูและโภชนะ

ด้วยประการฉะนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 79

ในบรรดาพระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า

วิปัสสีทรงอุบัติในขณะที่สัตว์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี พระสิขี ทรงอุบัติในขณะที่

สัตว์มีอายุ ๗๐,๐๐๐ ปี ดังนั้น ท่านกำหนดอายุนี้ไว้ คล้ายกับเสื่อมไปโดยลำดับ

แต่ไม่ใช่เสื่อมอย่างนั้น. พึงทราบว่าอายุเจริญ เจริญแล้วเสื่อม. ถามว่า

อย่างไร. ตอบว่า ในภัทรกัปนี้ก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากกุสันธะทรง

อุบัติในขณะที่สัตว์มีอายุ ๔๐,๐๐๐ ปี กำหนดอายุไว้ ๕ ส่วน ดำรงอยู่

๔ ส่วน เมื่อถึงส่วนที่ ๕ ก็ปรินิพพาน. อายุนั้นเสื่อมถึงกาลกิริยาเมื่อ

อายุ ๑๐ ปี แล้วเจริญอีกเป็นอสงไขย จากนั้นก็เสื่อมดำรงอยู่ในขณะที่สัตว์

มีอายุ ๓๐,๐๐๐ ปี. กาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า โกนาคมนะ

ทรงอุบัติ. แม้เมื่อพระโกนาคมนะนิพพานแล้วอย่างนั้น อายุนั้นเสื่อมถึง

กาลกิริยาเมื่ออายุ ๑๐ ปี แล้วเจริญอีกเป็นอสงไขย เสื่อมอีกดำรงอยู่ในขณะ

ที่สัตว์มีอายุ ๒๐,๐๐๐ ปี. กาลนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ทรง

อุบัติ. แม้เมื่อพระกัสสปะนั้นปรินิพพานอย่างนั้นแล้ว อายุนั้นก็เสื่อมถึงกาล

กิริยาเมื่อมีอายุ ๑๐ ปี แล้วเจริญอีกเป็นอสงไขยเสื่อมอีกถึงกาลกิริยาเมื่อมีอายุ

๑๐๐ ปี. ทีนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเราทรงอุบัติ. อายุมิได้เสื่อมลง

โดยลำดับอย่างนั้น พึงทราบว่าเจริญ เจริญแล้วจึงเสื่อม. ในข้อนั้นพึงทราบ

ว่า ข้อที่เมื่อมนุษย์ทั้งหลายมีอายุเจริญ พระพุทธเจ้าย่อมทรงอุบัตินั้นแลเป็น

กำหนดอายุของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น. การกำหนดอายุจบ พึงทราบวินิจฉัยใน

การกำหนดสถานที่ตรัสรู้

บทว่า ปาฏลิยามูเล คือภายใต้ต้นแคฝอย. ลำต้นแคฝอยนั้นโดย

ส่วนสูงถึง ๑๐๐ ศอก คือ วันนั้นลำต้นพุ่งขึ้นไป ๕๐ ศอกกิ่ง ๕๐ ศอก.

อนึ่ง ต้นแคฝอยนั้นในวันนั้นมีดอกดุจติดกับช่อปกคลุมเป็นอันเดียวกัน

ตั้งแต่โคนต้น. กลิ่นทิพย์ฟุ้งไป. มิใช่ดอกแคฝอยต้นนี้ต้นเดียวเท่านั้นบาน.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 80

ต้นแคฝอยทั้งหมดในหมื่นจักรวาลก็บาน. มิใช่แคฝอยอย่างเดียวบาน.

บรรดาต้นไม้ทั้งหมดในหมื่นจักรวาลก็บาน เช่น กอปทุมบานที่กอ ก้านปทุมบาน

ที่ก้าน สายปทุมบานที่สาย อากาศปทุมบานบนอากาศบัวหลวง ทำลายพื้นดิน

ผุดขึ้น. แม้มหาสมุทรก็ดาดาษไปด้วย ปทุม ๕ ชนิดและด้วยบัวขาบ บัวแดง.

ทั้งหมื่นจักรวาลได้มีกลุ่มดอกไม้คล้ายธง เกลื่อนกลาดไปด้วยพวงดอกไม้เนื่อง

กันและกองดอกไม้ที่ร่วง ณ ที่นั้น ๆ แพรวพราวไปด้วยดอกไม้สีต่าง ๆ ได้

เป็นเช่นกับสวนนันทวัน จิตรลดาวัน มิสสกวัน และปารุสกวัน. เป็นดุจยก

ธงขึ้น ณ ริมขอบจักรวาลด้านทิศตะวันออก จด ริมขอบจักรวาลด้านทิศตะวัน

ตก. และดุจยกธงขึ้น ณ ริมขอบจักรวาลด้านทิศตะวันตก ทิศใต้ ทิศเหนือ

จด ริมขอบจักรวาลด้านทิศใต้. ได้เป็นจักรวาลอัน สมบูรณ์ด้วยสิริของกัน และ

กัน อย่างนี้. บทว่า อภิสมฺพุทฺโธ ความว่า แทงตลอด คุณ ความเจริญ สิริ

อันเป็นพุทธะ คือ ตรัสรู้ยิ่งซึ่งอริยสัจ ๔. แม้ในบททั้งหลายเป็นต้นว่า ดูกร

ภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนานว่า สิขี เป็นพระอรหันตสัมมา-

สัมพุทธะตรัสรู้ยิ่งแล้ว ณ ดวงไม้บุณฑริกดังนี้ พึงทราบการพรรณนาโดยนัยนี้

แล.

ก็บทว่า ปุณฺฑรีโก ในที่นี้ คือ ต้นมะม่วงมีรสหวาน. แม้ต้น

มะม่วงนั้นก็มีปริมาณนั้นเหมือนกัน. อนึ่งในวันนั้นต้นมะม่วงนั้นก็ปกคลุมไป

ด้วยดอกอันเป็นทิพย์และมีกลิ่นหอม. ไม่ใช่ดอกอย่างเดียว. ได้มีผลดกด้วย.

มะม่วงนั้น ข้างหนึ่งผลอ่อน ข้างหนึ่งผลปานกลาง ข้างหนึ่งผลยังไม่แก่จัด

ข้างหนึ่งผลแก่จัดมีรสอร่อย มีโอชะดุจใส่ทิพย์โอชะลงไปห้อยย้อยลง. ต้นมะ-

ม่วงนั้นฉันใด ในหมื่นจักรวาลก็ฉันนั้น ต้นไม้ที่ออกดอกก็ได้ประดับด้วยดอก

ต้นไม้ที่ออกผลก็ได้ประดับด้วยผล.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 81

บทว่า สาโล คือต้นสาละ. แม้ต้นสาละนั้น ก็มีปริมาณนั้นเหมือนกัน.

พึงทราบดอกสิริความเจริญอยู่อย่างนั้นเหมือนกัน. แม้ในต้นไม้ซึกก็นัยนี้เหมือน

กัน ในต้นมะเดื่อไม่มีดอกความงอกงามของผลในต้นมะเดื่อนี้มีนัยกล่าวแล้วใน

ต้นมะม่วงนั้นแล. ในต้นไทรก็อย่างเดียวกันในโพธิ์ใบก็อย่างเดียวกัน.

บัลลังก์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์อย่างเดียวกัน. แต่ต้นไม้เป็นอย่าง

อื่น. ในบรรดาต้นไม้เหล่านั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงรู้แจ้งถึงการตรัสรู้

กล่าวคือมรรคญาณ ๔ ณ ควงไม้ใด ๆ ไม้นั้น ๆ ท่านเรียกว่า โพธิ. นี้ชื่อ

ว่ากำหนดสถานที่ตรัสรู้.

พึงทราบวินิจฉัยในการกำหนดสาวก. บทว่า ขณฺฑติสฺส คือ

สาวกชื่อว่า ขัณฑะและติสสะ. ท่านทั้งสองนั้นท่านขัณฑะร่วมบิดาเดียวกัน

เป็นน้อง ท่านติสสะเป็นปุโรหิต. ท่านขัณฑะบรรลุที่สุดแห่งปัญญาบารมี

ท่านติสสะบรรลุที่สุดแห่งสมาธิบารมี. บทว่า อคฺค อธิบายว่า เป็นผู้สูงสุด

เพราะความเป็นผู้มีคุณไม่เหมือนกับ ผู้ที่เหลือยกเว้นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนาม

ว่า วิปัสสี. บทว่า ภทฺทยุค อธิบายว่า ชื่อว่าคู่เจริญเพราะความเป็นผู้เลิศ.

บทว่า อภิภูสมฺภว คือ สาวกชื่อว่า อภิภู และ สัมภวะ ท่านทั้ง

สองนั้น ท่านอภิภูบรรลุที่สุดแห่งปัญญาบารมีไปสู่พรหมโลก จากอรุณวดี

กับ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สิขี แล้วแสดงปาฏิหาริย์หลายอย่างแก่พรหม

บริษัท แสดงธรรมแผ่ไปทั่วหมื่นโลกธาตุให้มืดมิดแล้วส่องแสงสว่างแก่ผู้ที่เกิด

สังเวชว่านี้อะไรกัน แล้วอธิษฐานว่า ขอให้ชนทั้งปวงจงเห็นรูปของเราและจง

ได้ยินเสียงของเราดังนี้ ได้กล่าวสองคาถา ว่าท่านทั้งหลายจงเริ่มได้ดังนี้เป็น

ต้น ให้ได้ยินเสียง. ท่านสัมภวะได้บรรลุที่สุดแห่งสมาธิบารมี.

บทว่า โสณุตฺตร คือพระสาวกชื่อว่า โสณะและพระอุตตระ. ในท่าน

ทั้งสองนั้น ท่านโสณะบรรลุปัญญาบารมี ท่านอุตตระบรรลุสมาธิบารมี.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 82

บทว่า วิธูรสญฺชีว คือ พระสาวกชื่อว่า วิธูระ และสัญชีวะ ในท่าน

ทั้งสองนั้น ท่านวิธุระบรรลุปัญญาบารมี. ท่านสัญชีวะบรรลุสมาธิบารมี เป็น

ผู้มักเข้าสมาบัติพยายามด้วยกำลังสมาบัติในที่พักกลางคืนที่พักกลางวัน กุฎี ถ้ำ

และมณฑปเป็นต้น เข้านิโรธในป่าตลอดวัน. พวกทำงานในป่าเป็นต้น

เข้าใจว่า ท่านมรณภาพจึงพากันเผาท่าน. ท่านสัญชีวะนั้นครั้นออกจากสมาบัติ

ตามกำหนด ห่มคลุมเข้าไปยังบ้านเพื่อบิณฑบาตร. อาศัยเหตุนั้นแล ชนทั้งหลาย

จึงรู้จักท่านว่า ท่านสัญชีวะ ดังนี้.

บทว่า ภิยฺโยสุตฺตร คือ พระสาวกชื่อว่า ภิยโยสะและอุตตระ. ใน

ท่านทั้งสองนั้น ท่านภิยโยสะเป็นผู้เลิศด้วยปัญญา ท่านอุตตระเป็นผู้เลิศด้วย

สมาธิ.

บทว่า ติสฺสภารทฺวาช คือ พระสาวกชื่อว่าติสสะ และภารัทวาชะ.

ในท่านทั้งสองนั้น ท่านติสสะได้บรรลุปัญญาบารมี ท่านภารทวาชะได้บรรลุ

สมาธิบารมี.

บทว่า สารีปุตฺตโมคฺคลฺลาน คือ พระสาวกชื่อว่า สารีบุตร และ

โมคคัลลานะ. ในท่านทั้งสองนั้น ท่านสารีบุตรได้เป็นผู้เลิศในทางปัญญา ท่าน

โมคคัลลานะได้เป็นผู้เลิศในทางสมาธิ. นี้ชื่อว่ากำหนดคู่อัครสาวก.

พึงทราบวินิจฉัยในการกำหนดการประชุมสาวก. การประชุมครั้งแรก

ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าปัสสีได้ประกอบด้วยองค์ ๔. คือภิกษุทั้ง

หมดเป็นเอหิภิกษุ ภิกษุทั้งหมดมีบาตรและจีวรบังเกิดด้วยฤทธิ์. ภิกษุทั้งหมด

ไม่ได้นัดหมายกันมา. อนึ่ง ภิกษุเหล่านั้นมาประชุมกันในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ.

ลำดับนั้น พระศาสดา ประทับนั่งจับพัดยังภิกษุให้ลงอุโบสถ. ครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓

กันนัยนี้แล. ในการประชุมทั้งหมดของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เหลือก็เป็นอย่าง

นั้น. ก็แต่ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายได้มีการประชุมในปฐมโพธิกาล

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 83

เท่านั้นเพราะเหตุใด, พระสูตรนี้ท่านกล่าวไว้แล้วในภาคอื่น เพราะฉะนั้น ท่าน

จึงกล่าวว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การประชุมสาวกของเราในบัดนี้ ให้มีหนเดียว

ดังนั้นการประชุมจึงจบ.

ในบทว่า อฑฺฒเตรสานิภิกฺขุสตานิ ความว่า ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูปคือ

บุราณชฎิล ๑,๐๐๐ รูป ปริวารพระอัครสาวก ๒๕๐ รูป. ในบรรดาภิกษุเหล่านั้น

ควรกล่าวถึงเรื่องตั้งแต่อภินิหารของพระอัครสาวกทั้งสองแล้ว แสดงถึงการ

บรรพชา. อนึ่ง บรรดาบรรพชิตเหล่านั้น พระมหาโมคคลัลานะบรรลุพระอรหัต

ในวันที่เจ็ด. พระธรรมเสนาบดี เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงเวทนา-

ปริคคหสูตรอันเป็นธรรมยาคะที่เตรียมไว้ แก่ทีฆนขปริพาชก ผู้เป็นหลาน ณ

ถ้ำสูกรขาตาท่ามกลางภูเขาคิชฌกูฏ ในวันที่ ๑๕ ส่งญาณไปเพื่อรู้ตามโดยระลึก

ไปตามเทศนา ได้บรรลุสาวกบารมีญาณ.

พระผู้มีพระเจ้าทรงทราบถึงการบรรลุพระอรหัตของพระเถระแล้ว เสด็จ

ขึ้นไปยังเวหาสไปปรากฏ ณ พระวิหารเวฬุวัน. พระเถระรำพึงว่าพระผู้มีพระเจ้า

เสด็จไปไหนหนอ ครั้นทราบความที่พระองค์ประดิษฐานอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน

แม้ท่านเองก็เหาะสู่เวหาสไปปรากฏ ณ พระวิหารเวฬุวันเหมือนกัน. ลำดับนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศปาติโมกข์ (หลักคำสอน) พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงหมายถึงการประชุมนั้น จึงตรัสว่า ภิกษุ ๑,๒๕๐ รูปเป็นต้น. นี้คือกำหนด

การประชุมของพระสาวก.

พึงทราบวินิจฉัย ในการกำหนดอุปฐากต่อไป. บทว่า พระอานนท์

ท่านกล่าวหมายถึงความที่พระอานนทเถระ เป็นอุปฐากประจำ. เพราะว่า ใน

ปฐมโพธิกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพระอุปฐากไม่ประจำ. บางคราว พระนาค-

สมาละถือบาตรและจีวรตามเสด็จ. บางคราวพระนาคิตะ. บางคราวพระอุปวาณะ.

บางคราวพระสุนักขัตตะ. บางคราวจุนทสมณุเทส บางคราวพระสาคตะ บาง

คราวพระเมฆิยะ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 84

ในบรรดาท่านเหล่านั้น บางคราวพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปทางไกล

กับพระนาคสมาลเถระ เสด็จถึงทางสองแพร่ง. พระเถระหลีกออกจากทางกราบ

ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์จะไปตามทางนี้. ทีนั้นพระผู้มี

พระภาคเจ้าตรัสกะพระเถระนั้นว่า มานี่ภิกษุเราจะไปทางนี้. พระเถระนั้นกราบ

ทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์รับบาตรและจีวรของพระองค์เถิด

ข้าพระองค์จะไปตามทางนี้แล้วก็เตรียมจะวางบาตรและจีวรลงบนพื้น. ลำดับนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะพระเถระนั้นว่า นำมาเถิดภิกษุแล้วทรงรับบาตรและ

จีวรเสด็จไป. เมื่อภิกษุนั้นไปอีกทางหนึ่ง พวกโจรชิงบาตรแระจีวรไป และ

ศีรษะ. ภิกษุนั้นคิดว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา ไม่มีผู้อื่น

แล้ว ได้มาเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งที่เลือดไหล. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

นี่อะไร ภิกษุ จึงกราบทูลเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส

กะภิกษุนั้นว่า อย่าคิดไปเลย ภิกษุ เราห้ามเธอถึงเหตุนั้นแล้วทรงปลอบภิกษุ

นั้น.

ก็บางคราวพระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไปยังชันตุคามในวังสมฤคทาย

วันด้านปาจีน กับพระเมฆิยเถระ. แม้ ณ ที่นั้นพระเมฆิยะไปบิณฑบาต ใน

ชันตุคาม เห็นสวนมะม่วงน่าประทับใจ ณ ฝั่งแม่น้ำ กราบทูลว่า ข้าแต่พระ-

ผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์ทรงรับบาตรและจีวรของพระองค์ไปเถิด ข้าพระ-

องค์จะบำเพ็ญสมณธรรมที่สวนมะม่วงนั้นแม้ถูกพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามถึง

๓ ครั้ง ก็ไปจนได้ ครั้นถูกอกุศลวิตกครอบงำ จึงกลับมากราบทูลเหตุที่เกิดขึ้นนั้น

ให้ทรงทราบ. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะพระเมฆิยะว่า เรากำหนดรู้เหตุนี้แก่

เธอแล้วยังได้ห้ามเธอไว้ แล้วได้เสด็จไปยังพระนครสาวัตถี โดยลำดับ.

ณ พระนครสาวัตถีนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุ

ประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์อันบวรที่ปูไว้ ณ บริเวณคันธกุฎี ตรัสเรียกภิกษุทั้ง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 85

หลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราเป็นผู้แก่ ภิกษุบางรูปเมื่อเราบอกว่าเราไป

ตามทางนี้กันเถิด ได้ไปเสียทางอื่น บางรูปวางบาตรและจีวรของเราไว้บนพื้น

พวกเธอจงเลือกภิกษุรูปหนึ่ง เป็นอุปฐากประจำของเรา. ภิกษุทั้งหลายเกิด

ธรรมสังเวช ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ตั้งความปรารถนาไว้

กะพระองค์ บำเพ็ญบารมีตลอดอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ธรรมดาอุปฐากมีปัญญา

มากเช่นข้าพระองค์สมควรมิใช่หรือ ข้าพระองค์จักอุปฐากพระองค์ดังนี้. พระผู้

มีพระภาคเจ้าทรงห้ามพระสารีบุตรว่า อย่าเลย สารีบุตร เธออยู่ในทิศใด ทิศ

นั้นไม่ว่างเปล่าทีเดียว โอวาทของเธอเช่นเดียวกับโอวาทของพระพุทธเจ้าทั้ง

หลาย เธอไม่ต้องทำหน้าที่อุปฐากเรา. พระมหาสาวก ๘๐ รูป เริ่มแต่พระ

มหาโมคคัลลานะเป็นต้นได้ลุกขึ้นโดยทำนองเดียวกัน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

ห้ามพระสาวกเหล่านั้นทั้งหมด. แต่พระอานนนเถระ นั่งนิ่งทีเดียว.

ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวกะพระอานนทเถระนั้นอย่างนี้ว่า ท่าน

อานนท์ หมู่ภิกษุกราบทูลขอคำแหน่งอุปฐาก แม้ท่านก็จงกราบทูลขอบ้างดังนี้.

พระอานนทเถระนั้นกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ชื่อว่าการอุปฐากที่กราบทูล

ขอแล้วได้มาจะเป็นเช่นไร พระศาสดาไม่ทรงเห็นเราดอกหรือ หากพระองค์

จักพอพระทัย จักทรงบอกว่า อานนท์ จงอุปฐากเราดังนี้. ทีนั้น พระผู้มีพระภาค-

เจ้าตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานนท์ไม่ควรให้ผู้อื่นส่งเสริมจักรู้ด้วยตนเอง

แล้วอุปฐากเรา. แต่นั้น ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่านพระอานนท์ลุกขึ้นเถิด จง

กราบทูลขอตำแหน่งอุปฐากกะพระทศพล. พระเถระลุกขึ้นกราบทูลขอพร ๘

ประการคือ ข้อห้าม ๔ ข้อ ข้อขอร้อง ๔ ข้อ.

พึงทราบข้อห้าม ๔ ข้อ. พระอานนทเถระกราบทูลว่า ข้าแต่พระ-

องค์ผู้เจริญ หากพระผู้มีพระภาคเจ้า จักไม่ประทานจีวรอันประณีตที่พระองค์

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 86

ได้มาแก่ข้าพระองค์ จักไม่ประทานบิณฑบาต จักไม่ให้อยู่ในคันธกุฎีเดียวกัน

รับนิมนต์แล้วจักไม่ไปร่วมกันด้วยประการฉะนี้ ข้าพระองค์จักอุปฐากพระผู้มี

พระภาคเจ้าดังนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ ก็เธอเห็นโทษ

อะไรในข้อนี้ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากข้าพระองค์จักได้สิ่งเหล่านี้

จักมีผู้กล่าวหาแก่ข้าพระองค์ว่า พระอานนท์ใช้จีวรอันประณีตที่พระทศพลได้

แล้ว ฉันบิณฑบา อยู่ในคันธกุฎีเดียวกัน ไปสู่ที่นิมนต์ร่วมกัน เมื่อได้ลาภนี้

จึงอุปุฐากพระตถาคต เมื่ออุปฐากอย่างนี้จะหนักหนาอะไร. พระอานนทเถระ

กราบทูลขอข้อห้าม ๔ ข้อ เหล่านี้.

พึงทราบข้อขอร้อง ๔ ข้อ. พระอานนทเถระ กราบทูลว่า ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ หากพระผู้มีพระภาคเจ้าจักเสด็จไปสู่ที่นิมนต์ที่ข้าพระองค์รับไว้

หากข้าพระองค์จักได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในขณะที่บริษัทมาจากภายนอกแคว้น

ภายนอกชนบทเพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ามาถึงแล้ว ขณะใดความสงสัยเกิดขึ้น

แก่ข้าพระองค์ ขณะนั้นข้าพระองค์จักได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มี

พระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมข้อใดลับหลังข้าพระองค์ ครั้นเสด็จกลับมาแล้ว จัก

ทรงแสดงธรรมข้อนั้นแก่ข้าพระองค์ ด้วยประการฉะนี้ ข้าพระองค์จักอุปฐาก

พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อานนท์ เธอเห็น

อานิสงส์อะไรในข้อนี้ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุลบุตรทั้งหลายผู้

มีศรัทธาในพระศาสนานี้ เมื่อไม่ได้โอกาสของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมกล่าว

กะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ วันพรุ่งนี้โปรดรับภิกษาในเรือน

ของพวกกระผมพร้อมด้วยพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

หากว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักไม่เสด็จไป ณ ที่นั้น ข้าพระพุทธเจ้าจักไม่ได้

โอกาสเพื่อชี้แจงกะบริษัทในขณะที่เขาปรารถนาและเพื่อบันเทาความสงสัย

จักมีผู้กล่าวว่า อะไรกันพระอานนท์ อุปฐากพระทศพล แม้เพียงเท่านี้

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 87

พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ทรงทำการอนุเคราะห์แก่พระอานนท์ ดังนี้ อนึ่ง

ชนทั้งหลายจักถามข้าพระพุทธเจ้าลับหลังพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่ท่านพระ

อานนท์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงคาถานี้ สูตรนี้ ชาดกนี้ในที่ไหน ดังนี้

หากข้าพระองค์จักชี้แจงข้อนั้นไม่ได้ จักมีผู้กล่าวว่าแม้เพียงเท่านี้ ท่านก็ยังไม่รู้

ท่านไม่ละพระผู้มีพระภาคเจ้าดุจเงาเที่ยวไปตลอดกาลนาน เพราะเหตุไรดังนี้

ด้วยเหตุนั้น ข้าพระองค์ปรารถนาจะกล่าวธรรมแม้ที่พระองค์ทรงแสดงลับหลัง

อีกครั้ง. พระอานนท์กราบทูลขอข้อขอร้อง ๔ ข้อนี้.

แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงประทานแก่พระอานนท์นั้น. พระ-

อานนท์ครั้นรับพร ๘ ประการเหล่านี้แล้วก็ได้เป็นอุปฐากประจำด้วยประการ

ฉะนี้. พระอานนท์บรรลุผลแห่งบารมีที่บำเพ็ญมาตลอด แสนกัปเพื่อตำแหน่ง

นั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ภิกษุอานนท์ผู้เป็น

อุปฐากของเราได้เป็นอุปฐากผู้เลิศดังนี้ หมายถึงความที่พระอานนท์นี้เป็น

อุปฐากประจำนั้น. นี้เป็นการกำหนดอุปฐาก.

การกำหนดบิดามีความง่ายอยู่แล้ว.

บทว่า วิหาร ปาวิสิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปสู่วิหาร

เพราะเหตุอะไร นัยว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสดังนั้นแล้วทรงดำริว่า

เราบรรลุถึงที่สุดอันหาระหว่างมิได้แล้วยังไม่ได้ กล่าวถึงวงศ์ของพระพุทธเจ้า

ทั้งหลาย ๗ พระองค์เลย ก็เมื่อเราเข้าไปยังวิหาร ภิกษุเหล่านี้ได้ปรารภถึง

บุพเพนิวาสญาณโดยประมาณอันยิ่งแล้วจักกล่าวถึงคุณ เมื่อเป็นเช่นนั้น เรามา

กล่าวถึงพุทธวงศ์อันหาระหว่างมิได้ ให้ภิกษุทั้งหลายบรรลุถึงที่สุดแล้ว จักแสดง

ดังนี้ ทรงให้โอกาสภิกษุทั้งหลายสนทนากันจึงเสด็จลุกจากอาสนะเข้าสู่พระวิหาร.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแบบอันใดไว้ วาระ ๙ เหล่านี้มาแล้วในแบบแผนนั้น คือ

กำหนดกัป กำหนดชาติ กำหนดโคตร กำหนดอายุ กำหนดการตรัสรู้ กำหนด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 88

คู่สาวก กำหนดการประชุมสาวก กำหนดอุปฐาก กำหนดบิดา. วาระหลาย

อย่างยังไม่มาถึงแต่จะนำมาแสดง.

จริงอยู่ เมื่อบุตรสมควรแก่ตระกูลและวงศ์หนึ่งของพระโพธิสัตว์

ทั้งปวงเกิดแล้ว ควรออกบวชนี้แลเป็นวงศ์ นี้เป็นประเพณี. ถามว่าเพราะเหตุไร

ตอบว่า เพราะว่าตั้งแต่การหยั่งลงสู่ครรภ์ของมารดาของพระโพธิสัตว์ผู้เป็น

พระสัพพัญญูทั้งหลายมีปาฏิหาริย์หลายอย่างดังได้กล่าวแล้วในตอนก่อน ผิว่า

เมืองเกิดบิดามารดาภรรยาบุตรของพระโพธิสัตว์เหล่านั้นไม่พึงปรากฏ เมือง

เกิดบิดาบุตรของบุคคลนี้ก็ไม่ปรากฏ.

ผู้นี้เห็นจะเป็นเทวดา ท้าวสักกะมารหรือพรหม และสำคัญว่าปาฏิหาริย์

เช่นนี้ของเทวดาทั้งหลายไม่น่าอัศจรรย์ พึงสำคัญถึงปาฏิหาริย์อันไม่ควรฟัง

ไม่ควรเชื่อ. แต่นั้นการตรัสรู้ไม่พึงมี เมื่อไม่มีการตรัสรู้ การอุบัติของ

พระพุทธเจ้าก็ไม่มีประโยชน์ คำสอนก็ไม่นำให้พ้นไปจากทุกข์ เพราะฉะนั้น

เมื่อบุตรสมควรแก่ตระกูลและวงศ์ของพระโพธิสัตว์ทั้งปวงเกิด ควรออกบวช

นี้แลเป็นวงศ์ นี้เป็นประเพณี. เพราะฉะนั้น ควรนำวาระหลาย ๆ อย่างมาแสดง

ด้วยสามารถแห่งบุตรเป็นต้น.

ในสัมพหุลวาระพึงทราบ บุตรทั้ง ๗ ตามลำดับของพระพุทธเจ้า ๗

พระองค์เหล่านี้ก่อน คือ

สมวัตตักขันธะ อตุละ สุปปพุทธะ อุตตระ สัตถวาหะ

วิชิตเสนะ ราหุลเป็นที่ ๗, ในบรรดาบุตรเหล่านั้น เมื่อเจ้าชายราหุลประสูติ

พวกราชบุรุษนำหนังสือบอกข่าว มาวางไว้บนพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษ.

ลำดับนั้น ความสิเนหาในพระโอรสทำให้พระวรกายทุกส่วนของพระมหาบุรุษ

ซาบซ่าน. พระมหาบุรุษดำริว่า เมื่อบุตรเกิดเพียงคนเดียว ความสิเนหา

ในบุตรยังเป็นถึงเพียงนี้ ถ้าเราจักมีบุตรกว่า ๑,๐๐๐ คน ในบุตรเหล่านั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 89

เมื่อคนหนึ่งเกิดความผูกพันด้วยสิเนหาเพิ่มมากขึ้นอย่างนี้ หัวใจจักแตกสลาย

เป็นแท้ เพราะเหตุนั้น พระองค์จึงตรัสว่า ห่วงเกิดแล้ว เครื่องผูกพันเกิด

แล้ว. ในวันนั้นเองพระมหาบุรุษทรงสละราชสมบัติออกทรงผนวช. ในการเกิด

บุตรของพระโพธิสัตว์ทุกองค์มีนัยนี้แล นี้ การกำหนดบุตร

บุตรแม้ทั้ง ๗ เหล่านั้น ได้มีมารดาเหล่านี้คือ

พระนางสุตตนา พระนางสัพพกามา พระนางสุจิตตา พระ-

นางโรจนี พระนางรุจจตินี พระนางสุนันทา และพระนางพิมพาเป็น

องค์ที่ ๗. ก็พระนางพิมพาเทวี เมื่อราหุลกุมารประสูติ ได้ปรากฏชื่อว่า

ราหุลมารดา. นี้ การกำหนดภรรยา.

ก็พระโพธิสัตว์ ๒ องค์นี้คือ พระวิปัสสี พระกกุสันธะ เสด็จขึ้น

รถเทียมด้วยม้าอาชาไนย เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์. พระโพธิสัตว์ ๒ องค์

คือ พระสิขี พระโกนาคมนะ ประทับบนคอช้างประเสริฐออกทรงผนวช.

พระเวสสภูโพธิสัตว์ประทับนั่งบนวอทองออกทรงผนวช. พระกัสสปะประทับ

นั่งบนพื้นมหาปราสาท ยังอานาปานจตุตถฌานให้เกิด ออกจากฌานแล้ว

การทำฌานนั้นให้เป็นบาท ทรงอธิษฐานว่า ปราสาทจงไปหยั่งลง ณ โพธิมณฑล

ปราสาทไปทางอากาศแล้วหยั่งลง ณ โพธิมณฑล. แม้พระมหาบุรุษลงจาก

ปราสาทนั้น ประทับบนพื้นทรงอธิษฐานว่า ปราสาทจงไปตั้งอยู่ ณ ที่เดิม.

ปราสาทนั้นก็ต้องอยู่ในที่เดิม. แม้พระมหาบุรุษก็ทรงประกอบความเพียรตลอด

๗ วัน ประทับนั่ง ณ โพธิบัลลังก์ได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณ. ก็พระโพธิสัตว์

ของเราทั้งหลาย เสด็จประทับม้ากัณฐกะออกทรงผนวช. นี้ การกำหนดยาน.

วิหารของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ตั้งอยู่ในเนื้อที่ประมาณ

โยชน์หนึ่ง. ของพระสิขี ๓ คาวุต. ของพระเวสสภูกึ่งโยชน์ ของพระกกุสันธะ

คาวุตหนึ่ง ของพระโกนาคมนะกึ่งคาวุต ของพระกัสสปะ ๒๐ อุสภะ. วิหาร

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 90

ของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราตั้งอยู่ในเนื้อที่ ๑๖ กรีส โดยวัดตามปกติ ๘ กรีส

โดยวัดของหลวง. นี้ การกำหนดพระวิหาร.

เศรษฐีทั้งหลายให้ช่างทำอิฐทองคำ ยาว ๑ ศอก กว้าง ๑ คืบ สูง

๘ นิ้ว ปูโดยส่วนขวางแล้ว ซื้อสร้างที่อยู่ถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า

วิปัสสี. ปูด้วยผาลไม้เส้าทองคำซื้อถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า สิขี.

ให้ช่างทำเท้าช้างทองคำปูโดยขวาง ซื้อถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า

เวสสภู. ปูด้วยอิฐทองคำ ตามนัยที่กล่าวแล้ว ซื้อถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า

พระนามว่า กกุสันธ. ปูด้วยเต่าทองคำ ตามนัยกล่าวแล้ว ซื้อถวายแด่พระ

ผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า โกนาคมนะ. ปูด้วยทองแท่ง ซื้อถวายแด่พระผู้มี

พระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ. และปูโดยขวางแห่งกหาปณะอันมีเครื่องหมาย

ซื้อถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย. นี้ กำหนดในการถือพื้นที่สร้าง

วิหาร.

อุปฐากผู้ที่ซื้อพื้นที่ทำให้เป็นวิหารถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนาม

ว่าวิปัสสีนั้น ชื่อปุนัพพสุมิตตะ. ถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนานว่า สิขี ชื่อ

สิริวัฑฒ์. ถวายพระเวสสภู ชื่อ โสตถิยะ. ถวายพระกกุสันธะ ชื่อ อัจจุตะ.

ถวายพระโกนาคมนะ ชื่อ อุคคะ. ถวายพระกัสสปะ ชื่อ สุมนะ. ถวายพระผู้มี

พระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ชื่อ สุทัตตะ. ก็อุปฐากเหล่านั้นทั้งหมดได้เป็น

เศรษฐีคหบดีมหาศาล. นี้ กำหนดอุปัฏฐาก.

ยังมีสถานที่อื่นอีก ๔ แห่ง. อันเป็นสถานที่ที่จะเว้นเสียมิได้ คือ โพธิ

บัลลังก์ของพระพุทธเจ้าทั้งหมด เว้นไม่ได้ย่อมมีในที่เดียวเท่านั้น. การแสดง

พระธรรมจักรในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เว้นไม่ได้เลย. การเหยียบพระบาท

ครั้งแรก ณ ประตูสังกัสสนคร ตอนเสด็จลงจากเทวโลก เว้นไม่ได้เลย. ที่ตั้ง

เท้าเตียง ๔ ที่ในพระคันธกุฏี ในเชตวันมหาวิหาร เว้นไม่ได้ทีเดียว. ก็แต่ว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 91

วิหารมีเล็กบ้างใหญ่บ้าง. แม้วิหารก็เว้นไม่ได้. แต่นครเว้นได้. กาลใดนคร

อยู่ด้านปาจีน กาลนั้นวิหารอยู่ด้านปัจฉิม. กาลใดนครอยู่ด้านทักษิณ กาลนั้น

วิหารอยู่ด้านอุดร. กาลใดนครอยู่ด้านปัจฉิม กาลนั้นวิหารอยู่ด้านปาจีน.

กาลใดนครอยู่ด้านอุดร กาลนั้นวิหารอยู่ด้านทักษิณ. ก็บัดนี้ นครอยู่ด้านอุดร

วิหารอยู่ด้านทักษิณ. อนึ่ง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีความต่างกันอยู่ ๕ อย่าง

คือ ต่างกันโดยอายุ ต่างกันโดยประมาณ ต่างกันโดยตระกูล ต่างกัน

โดยความเพียร ต่างกันโดยรัศมี.

พระพุทธเจ้าบางพระองค์มีพระชนมายุยืน บางพระองค์มีพระชนมายุน้อย

ชื่อว่าต่างกันโดยอายุ. เป็นความจริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร

ได้มีพระชนมายุประมาณแสนปี. พระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเราได้มีพระ

ชนมายุประมาณ ๑๐๐ ปี. พระพุทธเจ้าบางพระองค์สูง บางพระองค์เตี้ย

ชื่อว่าต่างกันโดยประมาณ. เป็นความจริงอย่างนั้น พระทีปังกร สูง ๘๐ ศอก

พระสุมนะ สูง ๙๐ ศอก แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย สูง ๑๘ ศอก.

บางพระองค์ทรงอุบัติในตระกูลกษัตริย์บางพระองค์ทรงอุบัติในตระกูลพราหมณ์

ชื่อว่าต่างกันโดยตระกูล. ความเพียรของบางพระองค์มีเวลาสั้น เช่น พระผู้มีพระ

ภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะ ของบางพระองค์ยาวนานดั่งเช่นพระผู้มีพระภาคเจ้า

ของเราทั้งหลาย ชื่อว่าต่างกันโดยความเพียร. พระรัศมีจากพระวรกายของพระ

ผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า สุมังคละ ประมาณ หมื่นโลกธาตุ. ของพระผู้มี

พระภาคเจ้าของเราประมาณวาหนึ่งโดยรอบ ชื่อว่าต่างกันโดยรัศมี ในความ

ต่างกันนั้น ต่างกันโดยรัศมีเกี่ยวกับพระพุทธประสงค์. พระพุทธเจ้าพระองค์

ใดทรงมีพระประสงค์เท่าใด รัศมีจากพระวรกายของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ย่อมแผ่ไปเท่านั้น. รัศมีจากพระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า

สุมังคละย่อมแผ่ไป หมื่นโลกธาตุเป็นนิจ ดังนี้ได้เป็นพระพุทธประสงค์. แต่

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 92

ชื่อว่าความต่างกันในคุณ คือ การตรัสรู้ไม่มี. โบราณกบัณฑิตแสดงเรื่องอื่นอีก

เช่นกำหนดสหชาต และกำหนดนักษัตรของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย.

บุคคลและสิ่งที่เกิดร่วมกับพระสัพพัญญูโพธิสัตว์ ๗ เหล่านี้ คือ ราหุล-

มารดา พระอานนทเถร พระฉันนะ ม้ากัณฐกะ หม้อขุมทรัพย์ ต้นมหาโพธิ

พระกาฬุทายี. อนึ่ง พระมหาบุรุษทรงปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดา

เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงแสดงพระธรรมจักร ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์

ในฤกษ์อุตตราสาฬหะ ประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน โดยฤกษ์วิสาขะ.

ประชุมพระสาวก และทรงปลงอายุสังขารโดยฤกษ์มาฆะ. เสด็จลงจากเทวโลก

โดยฤกษ์อัสสยุชะ พึงนำมาแสดงเพียงเท่านี้. นี้ กำหนดหลายวาระ.

บัดนี้ พึงทราบความในบทว่า อถโข เตส ภิกฺขูน เป็นต้น ภิกษุ

เหล่านั้นเกิดความประหลาดใจยิ่งนักว่า ท่านผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

กล่าวถึงการเข้าสู่ปฏิสนธิตั้งแต่จุติ การส่งญาณย้อนหลังตั้งแต่ปฏิสนธิไปถึงจุติ

อันเป็นทางของบุพเพนิวาส อันนี้หนักมาก ดุจทรงชี้รอยเท้าบนอากาศ แล้ว

จึงกล่าวว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริง เมื่อจะแสดงเหตุแม้อื่นอีกจึง

กล่าวว่า ยตฺร หิ นาม ตถาคโต ดังนี้

บทว่า ยตฺร หิ นาม เป็นนิบาตใช้ในความว่าน่าอัศจรรย์. อธิบายว่า

พระตถาคต พระองค์ใดเล่า. ในบทว่า ฉินฺนปปญฺเจ นี้ ความว่า กิเลส ๓

อย่างเหล่านี้ คือ ตัณหา มานะ ทิฐิ ชื่อธรรมทำให้เนินช้า. บทว่า ฉินฺนวฏุเม นี้

ท่านกล่าววัฏฏะคือกุศลกรรมและอกุศลกรรม ว่า วฏุมะ.บทว่า ปริยาทินฺนวฏฺเฏ

เป็นไวพจน์ของบทว่า ฉินฺนวฏฺเมนั้น นั่นแล. อธิบายว่าควบคุมวัฏฏะ คือกรรม

ทั้งหมดได้แล้ว. บทว่า สพฺพทุกฺขวีติวตฺเต ได้แก่ ล่วงทุกข์ กล่าวคือ

วิปากวัฏฏะ ทั้งหมด.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 93

บทว่า อนุสฺสริสฺสติ นี้เป็นคำกล่าวถึงอนาคต ด้วยอานาจของนิบาต

ว่า ยตฺรหิ ดังนี้. ก็ในบทนี้พึงทราบอธิบายด้วยสามารถแห่งอดีต จริงอยู่

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงระลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว ไม่ใช่จัก

ระลึกถึงในบัดนี้.

บทว่า เอวสีลา ความว่า มีศีลอย่างนี้โดย มรรคศีล ผลศีล โลกิยศีล

โลกุตตรศีล. บทว่า เอวธมฺมา ความว่า ธรรมเป็นฝ่ายสมาธินั่นแล ท่าน

ประสงค์ในบทนี้. อธิบายว่า มี้สมาธิอย่างนี้โดยมรรคสมาธิ ผลสมาธิ โลกิยสมาธิ

โลกุตตรสมาธิ. บทว่า เอวปญฺา ความว่า มีปัญญาอย่างนี้ด้วยสามารถแห่ง

มรรคปัญญา เป็นต้น.

บทว่า เอววิหารี อธิบายว่า หากมีปัญหาว่า ก็ในบทนี้ เพราะธรรม

ฝ่ายสมาธิท่านยึดถือในภายหลังเป็นอันยึดถือวิหารธรรมด้วย เพราะเหตุไร จึง

ยึดถือธรรมที่ยึดถืออยู่แล้วอีกเล่า. ตอบว่า นี้ไม่ใช่เป็นการยึดถือ. เพราะบทนี้

ท่านกล่าวเพื่อแสดงถึงนิโรธสมาบัติ. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น

ได้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่คือนิโรธสมาบัติ พึงทราบความในบทนี้อย่างนี้.

บทว่า เอว วิมุตฺตา ความว่า ความพ้นในบทนี้มี ๕ อย่าง คือ

พ้นด้วยข่มไว้ (วิกขัมภนวิมุตติ) พ้นชั่วคราว (ตทังควิมุตติ) พ้นเด็ดขาด

(สมุจเฉทวิมุตติ) พ้นอย่างสงบ (ปฏิปัสสัทธิวิมุตติ) พ้นออกไป (นิสสรณ-

วิมุตติ). ในวิมุตติเหล่านั้น สมาบัติ ๘ จัดเป็นวิกขัมภนวิมุตติ เพราะพ้นจาก

นิวรณ์เป็นต้นที่ข่มไว้ได้เอง. อนุปัสสนา ๗ มี อนิจจานุปสัสนา เป็นต้น

จัดเป็น ตทังควิมุตติ เพราะกำหนดด้วยสามารถเป็นข้าศึกของธรรมนั้น ๆ เอง

เพราะพ้นจากนิจจสัญญาเป็นต้น เหล่านั้น. อริยมรรค จัดเป็นสมุจเฉทวิมุตติ

เพราะพ้นจากกิเลสที่ตัดขาดแล้วเอง. สามัญญผล ๔ จัดเป็นปฏิปัสสัทธิวิมุตติ

เพราะเกิดขึ้นในที่สุดแห่งการสงบของกิเลสด้วยอานุภาพมรรค. นิพพานจัดเป็น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 94

นิสสรณวิมุตติ เพราะพ้นคือเพราะปราศจากคือ เพราะตั้งอยู่ไกลจากกิเลสทั้งปวง

เพราะเหตุนั้นพึงทราบเนื้อความในบทนี้ว่า พ้นแล้วอย่างนี้ด้วยสามารถแห่ง

วิมุตติ ๕ เหล่านี้.

บทว่า ปฏิสลฺลานา วุฏฺิโต ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออก

จากความเป็นผู้ประทับอยู่พระองค์เดียว. ถามว่า สืบเนื่องกันอย่างไรจากบทว่า

อิโต โส ภิกฺขเว ดังนี้. ตอบว่า ก็พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มด้วย

สองบทเหล่านี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตถาคตได้แทงตลอดธรรมธาตุนี้ และว่า

แม้ทวยเทพก็พากันกราบทูลความนี้แก่ตถาคตดังนี้. ในบททั้งสองนั้น พระผู้มี

พระภาคเจ้าทรงแสดงบทกราบทูลของเทวดา จักใคร่ครวญถึงโกลาหลของเทว-

จารึกในตอนจบพระสูตร. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภเทศนานี้ด้วยสามารถ

การสืบเนื่องจากบทธรรมธาตุ.

ในบทเหล่านั้น พึงทราบ ๑๑ บท เป็นต้นว่า ขตฺติโย ชาติยา โดยนัย

ที่กล่าวไว้แล้วในนิทานกัณฑ์. บทว่า วิปัสสี ในบทเป็นต้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

พระโพธิสัตว์พระนามว่าวิปัสสี เป็นชื่อของพระโพธิสัตว์องค์นั้น. อนึ่ง ท่านได้

ชื่อนั้น เพราะเป็นผู้ฉลาดในการเห็นเนื้อความหลาย ๆ อย่าง.

บทว่า โพธิสตฺโต คือสัตว์ผู้ฉลาด สัตว์ผู้ตรัสรู้. อีกอย่างหนึ่ง สัตว์ผู้

ฝักใฝ่คือมีใจจดจ่ออยู่ในมรรค ๔ กล่าวคือ โพธิ ชื่อว่า โพธิสัตว์. ในบทว่า

สโต สมฺปชาโน นี้ บทว่า สโต คือสตินั้นเอง. บทว่า สมฺปชาโน คือญาณ

อธิบายว่า พระโพธิสัตว์ทรงกระทำสติให้มั่น กำหนดด้วยญาณเสด็จลงสู่พระ-

ครรภ์ของพระมารดา. บทว่า โอกฺกมิ ท่านแสดงความที่พระโพธิสัตว์เสด็จลง

ด้วยบทนี้ในบาลีไม่ได้แสดงถึงลำดับแห่งการก้าวลง ก็เพราะลำดับแห่งการก้าว

นั้น ท่านยกขึ้นสู่อรรถกถา ฉะนั้น พึงทราบอย่างนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 95

จริงอยู่ พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ทรงบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ ทรงบริจาค

มหาบริจาค ๕ ทรงบรรลุที่สุดแห่งญาตัตถจริยา โลกัตถจริยา พุทธจริยา

ทรงดารงอยู่ในอัตภาพที่ ๓ เช่นพระเวสสันดร ทรงให้มหาทาน ๗ ครั้ง

ทรงยังแผ่นดินให้หวั่นไหว ๗ ครั้ง ทรงกระทำกาละแล้วทรงอุบัติในภพดุสิต

ในวาระแห่งจิตที่ ๒ แม้พระโพธิสัตว์พระนามว่าวิปัสสี ก็ทรงกระทำกาละ

เหมือนอย่างนั้นทรงอุบัติในสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงประดิษฐานอยู่ในสวรรค์ชั้น

ดุสิตนั้นตลอด ๕๗ โกฏิปี ยิ่งด้วย ๖ ล้านปี. ก็ในกาลอื่น พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย

ทรงอุบัติในเทวโลกที่สัตว์มีอายุยืน ย่อมไม่ดำรงอยู่ตราบเท่าอายุนั้น. เพราะ

เหตุไร. เพราะทำบารมีให้เต็มได้ยากในที่นั้น. พระโพธิสัตว์เหล่านั้น กระทำ

อธิมุตตกาลกิริยา จึงบังเกิดในถิ่นของมนุษย์นั้นแล. ก็บารมีทั้งหลายของ

พระวิปัสสีโพธิสัตว์นั้น สามารถจะยังพระสัพพัญญุตญาณให้เกิดโดยอัตภาพ

เดียวในบัดนี้ได้ ฉันใด ในครั้งนั้น พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้ดำรงอยู่ในสวรรค์ชั้น

ดุสิตนั้นตราบเท่าอายุเพราะบารมีเต็มแล้วด้วยประการทั้งปวง ฉันนั้น. ก็พวก

เทวดาจักจุติโดย ๗ วัน ด้วยการคำนวณของพวกมนุษย์ ดังนั้น บุพนิมิต ๕

ย่อมเกิดขึ้น คือ ดอกไม้เหี่ยว ผ้าเศร้าหมอง เหงื่อไหลจากรักแร้ทั้งสอง ผิว

พรรณหมอง เทวดาไม่ตั้งอยู่ในเทวอาสน์.

ในบทเหล่านั้น บทว่า มาลา ได้แก่ดอกไม้ที่ประดับในวันถือปฏิสนธิ.

นัยว่าดอกไม้เหล่านั้นไม่เหี่ยวมาตลอด ๕๗ โกฏิปี ยิ่งด้วย ๖ ล้านปี แต่ในตอน

นั้นเหี่ยว. แม้ในผ้าทั้งหลายก็มีนัยนี้แหละ. ก็ตลอดกาลประมาณเท่านี้ พวก

เทวดา ไม่รู้สึกหนาว ไม่รู้สึกร้อน. ในกาลนั้นเหงื่อไหลจากสรีระ เป็นหยด ๆ

ตลอดกาลประมาณเท่านี้ในสรีระของเทวดาเหล่านั้น ย่อมไม่ปรากฏวรรณต่าง

กันด้วยสามารถฟันหักและผมหงอก เป็นต้น. เทพธิดาปรากฏเหมือนมีอายุ

๑๖ เทพบุตร ปรากฏเหมือนมีอายุ ๒๐. แต่ในเวลาตาย อัตภาพของเทพบุตร

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 96

เหล่านั้นทรุดโทรม. อนึ่ง ตลอดกาลประมาณเท่านี้ เทพบุตรเหล่านั้น ไม่มี

ความกระสันในเทวโลก. แต่ในเวลาจะตาย หายใจไม่ออกกระสับกระส่าย ไม่

ยินดี ในอาสนะของตน.

ก็บุพนิมิต ๕ เหล่านี้ ย่อมปรากฏแก่เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่เท่านั้นไม่

ปรากฏแก่เทวดาทั้งปวง เหมือนนิมิตมีอุกกาบาตแผ่นดินไหวและจันทคราส

เป็นต้น ย่อมปรากฏแก่พระราชาและอำมาตย์ของพระราชาเป็นต้น ผู้มีบุญมาก

เท่านั้น ไม่ปรากฏแก่คนทั้งปวง ฉะนั้น. เหมือนอย่างมีนักโหราศาสตร์ ย่อมรู้

บุพนนิมิต ในมนุษย์ทั้งหลาย คนทั้งปวงไม่รู้ ฉันใด ทวยเทพทั้งปวงย่อมไม่รู้

แม้นิมิตเหล่านั้น แต่บัณฑิตเท่านั้นรู้ได้ฉันนั้น. เทพบุตรเหล่าใดเกิดใน

เทวโลกนั้นด้วยกุศลกรรมน้อย เมื่อเทพบุตรเหล่านั้นเกิด เขากลัวว่า บัดนี้ใคร

จะรู้พวกเราเกิดที่ไหน เทพบุตรที่มีบุญมากย่อมไม่กลัวว่า พวกเราอาศัยทาน

ที่เราให้ ศีลที่เรารักษา ภาวนาที่เราเจริญ จักเสวยสมบัติในเทวโลกเบื้องบน.

แม้พระโพธิสัตว์พระนามว่าวิปัสสี ทรงเห็นบุพนิมิตเหล่านั้นแล้วไม่

ทรงกลัวว่า บัดนี้เราจักเป็นพระพุทธเจ้าในอัตภาพถัดไป. เมื่อเป็นเช่นนั้นเมื่อ

นิมิตเหล่านั้น ปรากฏแก่พระองค์ ทวยเทพในหมื่นจักรวาฬพากันมาประชุมทูล

วิงวอนว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมี ๑๐ มิได้ทรงปรารถนา

สักกสมบัติ มารสมบัติ พรหมสมบัติ สมบัติพระเจ้าจักรพรรดิ แต่พระองค์

ทรงปรารถนาความเป็นพุทธะ ทรงบำเพ็ญเพื่อถอนสัตว์ออกจากโลก บัดนี้

กาลนั้นมาถึงพระองค์แล้ว เป็นสมัยเพื่อความเป็นพุทธะแล้ว.

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์มิได้ทรงรับปฏิญญาของเทวดาเหล่านั้น ทรง

ตรวจดูมหาวิโลกนะ ๕ ประการ ด้วยสามารถทรงกำหนด กาล ทวีป ประเทศ

ตระกูล และอายุของพระมารดา. ในมหาวิโลกนะ ๕ นั้น พระมหาสัตว์ทรงตรวจ

ดูกาลก่อนว่า ถึงเวลาหรือยัง. กาลเมื่ออายุของสัตว์เจริญมากกว่าแสนปี ก็ยัง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 97

ไม่ใช่กาล. ถามว่าเพราะเหตุไร. ตอบว่า เพราะในกาลนั้น ชาติชราและมรณะ

จะไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย. ชื่อว่าพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

อันจะทำให้พ้นจากพระไตรลักษณ์ก็จะไม่มี. เมื่อพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตรัสว่า

ทุกฺข อนิจฺจ อนตฺตา ดังนี้ สัตว์ทั้งหลายก็จะพูดว่า พระพุทธเจ้าตรัสอะไร

แล้วไม่สำคัญเพื่อจะฟัง เพื่อจะเชื่อ. แต่นั้นก็จะไม่มีการตรัสรู้ เมื่อไม่มีการตรัสรู้.

คำสอนก็จะไม่นำสัตว์ให้ออกจากทุกข์ เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่กาล แม้กาลเมื่อ

สัตว์มีอายุถอยลงไปกว่า ๑๐๐ ปี ก็ไม่ใช่กาล. ถามว่าเพราะเหตุไร ตอบว่า

เพราะในกาลนั้น สัตว์ทั้งหลายมีกิเลสหนา. โอวาทที่ให้แก่สัตว์ที่มีกิเลสหนา

ย่อมไม่ดำรงอยู่ในฐานะเป็นโอวาท เหมือนไม้เท้าขีดลงไปในน้ำย่อมหายไปทันที

เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่กาล. กาลเมื่ออายุสัตว์ตั้งแต่แสนปี ลงมาถึง ๑๐๐ ปี ชื่อ

ว่ากาล. ก็ในกาลนั้น. มนุษย์ทั้งหลายมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี. ครั้งนั้น พระมหาสัตว์

ทรงเห็นว่าถึงกาลที่ควรจะเกิดแล้ว. จากนั้น พระมหาสัตว์ทรงตรวจดูทวีปทรง

เห็นทวีป ๔ พร้อมด้วยบริวาร ทรงเห็นว่าใน ๓ ทวีป พระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ไม่บังเกิด บังเกิดในชมพูทวีปแห่งเดียว. ชมพูทวีปเป็นทวีปให้ประมาณ

๑๐,๐๐๐ โยชน์ ทรงตรวจดูประเทศต่อไปว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมบังเกิดใน

ประเทศไหนหนอ ทรงเห็นมัชฌิมประเทศ. ท่านกล่าวถึงมัชฌิมประเทศไว้

ในวินัยโดยนัยเป็นต้นว่า ด้านทิศตะวันออกมีนิคมชื่อกชังคละ ประเทศนั้นโดย

ส่วนยาวประมาณ ๓๐๐ โยชน์ โดยส่วนกว้างประมาณ ๑๕๐ โยชน์ โดยรอบ

ประมาณ ๙๐๐ โยชน์. จริงอยู่ ในประเทศนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปัจ-

เจกพุทธะทั้งหลาย พระอัครสาวก พระมหาสาวก ๘๐ พระเจ้าจักรพรรดิและ

กษัตริย์ พราหมณ์ คหบดี เศรษฐี ผู้มีศักดิ์ใหญ่เหล่าอื่นย่อมเกิด. อนึ่ง ใน

ประเทศนี้มีนครชื่อพันธุมดี พระมหาสัตว์ทรงตัดสินพระทัยว่า เราควรไปเกิด

ในนครนั้น. จากนั้นทรงตรวจดูตระกูล ทรงเห็นตระกูลแล้วว่า ธรรมดา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 98

พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมบังเกิดในตระกูลที่ชาวโลกยกย่อง ก็บัดนี้ ตระกูล

กษัตริย์อันชาวโลกยกย่องแล้ว เราจักเกิดในตระกูลนั้น พระราชาพระนามว่า

พันธุมจักเป็นพระบิดาของเรา ดังนี้. จากนั้น ทรงตรวจดูมารดา ทรงเห็น

แล้วว่า ธรรมดาพระพุทธมารดาไม่เป็นหญิงเหลาะแหละ ไม่เป็นนักเลงสุรา

บำเพ็ญบารมีมาแล้วถึง แสนกัป ตั้งแต่เกิดมาศีล ๕ ไม่ขาด ก็หญิง เช่นพระ-

นางพันธุมดีเทวีนี้จักเป็นมารดาของเรา ดังนี้. ทรงรำพึงว่า พระนางพันธุมดีเทวี

จะมีพระชนมายุเท่าไร ทรงเห็นแล้วจักมีพระชนมายุ ๗ วัน ต่อจาก ๑๐ เดือน.

พระโพธิสัตว์ทรงตรวจดูมหาวิโลกนะ ๕ นี้ตรัสว่า ดูกรผู้นิรทุกข์

ทั้งหลาย เป็นกาลอันสมควรของเราเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เมื่อจะทรง

ทำการสงเคราะห์แก่ทวยเทพประทานปฏิญญา ว่าพวกท่านจงพากันกลับไปเถิด

ทรงส่งเทวดาเหล่านั้นแล้ว แวดล้อมด้วยเทวดาชั้นดุสิตเสด็จเข้าไปยังสวน

นันทวันในดุสิตเทวโลก. แม้ในเทวโลกทั้งหมดก็มีสวนนันทวันเหมือนกัน.

เหล่าเทวดาพากันทูลเตือนว่า ขอพระองค์จงจุติจากเทวโลกนี้ไปสู่มนุษยสุคติ

เถิด แล้วทูลให้ระลึกถึงโอกาสที่ทรงบำเพ็ญกุศลกรรมมาในกาลก่อน. พระโพธิ-

สัตว์นั้นแวดล้อมไปด้วยเหล่าเทวดาผู้ให้ระลึกถึงกุศลอย่างนี้ เสด็จไปอยู่ในสวน

นันทวันนั้นทรงจุติแล้ว. ก็ครั้นจุติอย่างนี้แล้วย่อมรู้ว่า เราจุติ ไม่รู้จุติจิตแม้ถือ

ปฏิสนธิแล้วจึงรู้ แต่ไม่รู้ปฏิสนธิจิตอีกนั้นแหละ แต่รู้อย่างนี้ว่าเราถือปฏิสนธิ

ในที่นี้นั่นเอง. แต่พระเถระบางพวกกล่าวว่า ควรได้การนึกคิดโดยปริยาย

พระโพธิสัตว์จักรู้วารจิตที่สองที่สาม.

แต่พระมหาสิวเถระผู้ทรงพระไตรปิฎกกล่าวว่า ปฏิสนธิของพระมหา-

สัตว์ไม่เหมือนปฏิสนธิของสัตว์อื่น ด้วยว่าสติสัมปชัญญะของพระมหาสัตว์

เหล่านั้นถึงที่สุดแล้ว แต่เพราะไม่สามารถกระทำจิตดวงนั้นด้วยจิตดวงนั้นได้

ฉะนั้น จึงไม่รู้จุติจิต แต่ในขณะจุตินั่นเองย่อมรู้ว่าเราจุติไม่รู้ปฏิสนธิจิต รู้เพียง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 99

ว่าเราได้ถือปฏิสนธิ ณ ที่โน้นดังนี้. ในกาลนั้นหมื่นโลกธาตุย่อมหวั่นไหว.

พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะอย่างนี้ เสด็จลงสู่ครรภ์มารดาทรงถือปฏิสนธิด้วย

มหาวิบากจิต เช่นกับกุศลจิตอันเป็นอสังขาริกะ สหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุต

ด้วยญาณอันเป็นส่วนเบื้องต้น แห่งเมตตาในปฏิสนธิจิต ๑๙ ดวง. อนึ่ง พระ-

มหาสิวเถระยังกล่าวว่า จิตลหรคตด้วยอุเบกขา. พระโพธิสัตว์แม้พระองค์นั้น

ก็ได้ถือปฏิสนธิด้วยอุฤกษ์อุตตราสาฬหะในวันเพ็ญเดือน ๘ เหมือนพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าของเราทั้งหลายฉะนั้น.

ได้ยินว่า ในครั้งนั้นจำเดิมแต่วันที่ ๗ แห่งอาสาฬหะบูรณมี พระมารดา

ของพระโพธิสัตว์ทรงเล่นนักขัตตกีฬา ทรงประดับด้วยดอกไม้และของหอม

เป็นต้น ไม่มีการดื่มสุราเสด็จลุกแต่เข้าในวันที่ ๗ ทรงสรงสนานด้วยน้ำหอม

ทรงตกแต่งด้วยเครื่องประดับทุกชนิด เสวยพระกระยาหารเลิศ ทรงอธิษฐาน

องค์อุโบสถ เสด็จเข้าสู่ห้องสิริบรรทมเหนือพระสิริไสยาศน์ ทรงเข้าสู่นิทรา

ได้ทอดพระเนตรเห็นพระสุบินนี้.

ในพระสุบินนั้นว่า ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้ยกพระพุทธมารดาพร้อม

ด้วยพระที่นำไปยังสระอโนดาด ให้สรงสนาน ให้ทรงนุ่งห่มด้วยผ้าทิพย์ ให้ทรง

ลูบไล้ด้วยของหอมทิพย์ ประดับ ดอกไม้ทิพย์ ไม่ไกลจากนั้นมีภูเขาเงิน ภายใน

ภูเขาเงินนั้นมีวิมานทอง ให้พระพุทธมารดาหันพระเศียรไปทางทิศปาจีน

บรรทม ณ วิมานทองนั้น.

ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นช้างเผือกผ่อง ไม่ไกลจากนั้นมีภูเขาทองลูก

หนึ่ง พระโพธิสัตว์เสด็จไปที่ภูเขาทอง นั้นแล้วเสด็จลงจากภูเขาทอง เสด็จขึ้น

ภูเขาเงินแล้วเสด็จเข้าไปยังวิมานทอง กระทำประทักษิณพระมารดาแล้วได้เป็น

คล้ายแหวกพระปรัศเบื้องขวาเสด็จเข้าไปสู่พระครรภ์. ทันทีนั้น พระเทวีทรงตื่น

กราบทูลพระสุบินนั้นแด่พระราชา.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 100

ครั้นสว่างแล้ว พระราชารับสั่งให้เรียกหัวหน้าพราหมณ์ประมาณ ๖๔ คน

ให้ลาดอาสนะอันมีค่ามากบนพื้นฉาบด้วยของเขียว กระทำมงคลสักการะด้วยข้าว

ตอกเป็นต้น เมื่อพราหมณ์ทั้งหลายนั่ง ณ ที่นั้นแล้ว ทรงนำถาดทองถาดเงิน

อันเต็มไปด้วยข้าวปายาสอย่างดี ปรุงด้วยเนยใสน้ำผึ้งและน้ำตาลกรวดครอบด้วย

ถาดทองถาดเงินอีกทีถวาย. ทรงให้พราหมณ์เหล่านั้นอิ่มเอิบด้วยวัตถุอย่างอื่น

มีผ้าใหม่แม่โคแดงและทานเป็นต้น. พระราชาตรัสบอกพระสุบินนั้นแก่พรา-

หมณ์เหล่านั้น ผู้เอิบอิ่มด้วยสิ่งปรารถนาทั้งปวงแล้วรับสั่งถามว่า พระสุบิน

นั้นจักเป็นอย่างไร. พวกพราหมณ์กราบทูลว่า ขอเดชะข้าแต่มหาราช พระองค์

อย่าทรงพระวิตกเลย พระเทวีทรงพระครรภ์แล้ว พระเจ้าข้า อนึ่ง พระครรภ์

นั้นเป็นบุรุษไม่ใช่สตรี พระองค์จักมีพระโอรส พระโอรสนั้นหากครองเรือน

จักเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ประกอบด้วยธรรม เป็นธรรมราชา หากออกบวช

จักเป็นพระพุทธเจ้าผู้เปิดโลก. พึงทราบลำดับการพรรณนาเนื้อความในบทนี้

ว่า พระโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดาดังนี้ก่อน. บทว่า อยเมตฺถ

ธมฺมตา ความว่า ข้อนี้ เป็นธรรมดาในการเสด็จลงสู่พระครรภ์พระมารดานี้.

ท่านอธิบายว่านี้เป็นความเป็นจริง นี้เป็นความแน่นอนดังนี้.

ชื่อว่านิยามนี้มี ๕ อย่าง คือ กรรมนิยาม อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตต-

นิยาม ธรรมนิยาม. ในนิยามทั้ง ๕ นั้น การให้ผลแห่งกุศลที่น่าปรารถนา

การให้ผลแห่งอกุศลที่ไม่น่าปรารถนา นี้ชื่อกรรมนิยาม. เพื่อแสดงกรรมนิยาม

นั้นควรกล่าวถึงเรื่องในคาถาว่า น อนฺตลิกฺเข ดังนี้เป็นต้น. มีเรื่องเล่าว่า หญิง

คนหนึ่งทะเลาะกับสามีประสงค์จะผูกคอตาย จึงสอดคอเข้าไปในบ่วงเชือก. บุรุษ

คนหนึ่งลับมีดอยู่เห็นหญิงนั้นประสงค์จะตัดเชือก จึงวิ่งไปปลอบหญิงนั้นว่า

น้องอย่ากลัว น้องอย่ากลัว. เชือกกลายเป็นอสรพิษรัดคอหญิงอยู่. บุรุษนั้น

กลัวรีบหนีไป. หญิงนั้นตาย ณ ที่นั้นเอง. ควรแสดงถึงเรื่องทั้งหลายเป็นต้น

อย่างนี้ในที่นี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 101

ในชนบทนั้น ๆ ในกาลนั้น ๆ การเก็บดอกไม้และผลไม้เป็นต้นต้น โดย

ตัดครั้งเดียวเท่านั้น ลมพัด ลมไม่พัด แดดกล้า แดอ่อน ฝนตก ฝนไม่

ตก ดอกบัวกลางวันแย้ม กลางคืนหุบ อย่างนี้เป็นต้น เป็นอุตุนิยาม

ผลข้าวสาลีย่อมเป็นผลจากพืชข้าวสาลีอย่างเดียว รสหวานย่อมเป็นผล

จากน้ำหวาน รสขมย่อมเป็นผลจากพืชขม นี้เป็นพีชนิยาม.

ธรรมคือจิตและเจตสิกดวงก่อน ๆ เป็นปัจจัย โดยอุปนิสัยปัจจัยแห่ง

ธรรมคือจิตและเจตสิกดวงหลัง ๆ เพราะฉะนั้น การเกิดขึ้นแห่งสัมปฏิจฉันนะ

เป็นต้นในลำดับแห่งจักขุวิญญาณเป็นต้น นี้ เป็นจิตตนิยาม.

ความเป็นไปแห่งความหวั่นไหวในหมื่นโลกธาตุ ในการเสด็จลงสู่

พระครรภ์พระมารดาแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย นี้ชื่อธรรมนิยาม. ในที่นี้ท่าน

ประสงค์ธรรมนิยาม. เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงความนั้น

จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า กุจฺฉึ โอกฺกมติ นี้มีความว่า พระโพธิสัตว์

เสด็จลงสู่พระครรภ์. ก็เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นเสด็จลงแล้ว ย่อมเป็นอย่างนี้ หาใช่

กำลังเสด็จลงไม่. บทว่า อปฺปมาโณ ความว่า มีประมาณเจริญคือไพบูลย์ บทว่า

อุฬาโร เป็นไวพจน์ของบทนั้น . ท่านกล่าวว่ามีรสอร่อยอย่างยิ่งในบทเป็นต้นว่า

ชนทั้งหลายย่อมเคี้ยวกินของควรเคี้ยวอันมีรสอร่อยอย่างยิ่ง ท่านกล่าวว่า

ประเสริฐอย่างยิ่ง. ในบทมีอาทิว่า ได้ยินมาว่าเหล่ากอแห่งวัจฉะผู้เจริญย่อมสรร

เสริญพระสมณโคดมด้วยความสรรเสริญอันยิ่ง. แต่ในบทนี้ท่านประสงค์เอา

ความไพบูลย์. ในบทว่า เทวาน เทวานุภาว นี้ มีความว่า อานุภาพของเทวดา

ก็คือ ผ้านุ่งมีรัศมีสร้านไป ๑๒ โยชน์ ร่างกายก็เช่นนั้น เครื่องประดับก็เช่นนั้น

วิมานก็เช่นนั้น พระโพธิสัตว์ล่วงเลยเทวานุภาพนั้นดังนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 102

บทว่า โลกนฺตริกา ความว่าช่องว่างอันหนึ่งๆในระหว่างจักรวาลทั้ง

๓ ย่อมมีในที่สุดโลก ดุจช่องว่างในท่ามกลางล้อเกวียน ๓ ล้อ หรือแผ่น ๓

แผ่นที่วางทับกันฉะนั้น. ก็โลกันตรนรกนั้นโดยส่วนกว้างถึง ๘,๐๐๐ โยชน์.

บทว่า อฆา คือ เปิดเป็นนิจ. บทว่า อสวุตา ความว่า แม้ข้างล่างก็ไม่มีตั้งไว้.

บทว่า อนฺธการา คือ มืดมิด. บทว่า อนฺธการติมิสา ความว่า ประกอบด้วย

หมอกอันทำความมืดพ้นจากจักขุวิญญาณ. นัยว่า จักขุวิญญาณย่อมไม่เกิด ณ

ที่นั้น. บทว่า เอวมหิทฺธิกา ความว่า พระจันทร์และพระอาทิตย์ย่อมปรากฏใน

๓ ทวีป โดยส่องแสงครั้งเดียวเท่านั้น อย่างนี้ชื่อว่า พระจันทร์และพระอาทิตย์

มีฤทธิ์มาก. พระจันทร์และพระอาทิตย์กำจัดความมืดตลอดหนึ่งล้านแปดแสน

โยชน์ในทิศหนึ่ง ๆ แล้วส่องแสงสว่าง อย่างนี้ชื่อว่าพระจันทร์และพระอาทิตย์

มีอานุภาพมาก. บทว่า อาภาย นานุโภนฺติ ความว่า แสงสว่างของตนไม่พอ.

นัยว่า พระจันทร์และพระอาทิตย์เหล่านั้นแล่นไปท่ามกลางจักรวาลบรรพต. ก็

โลกันตรนรกเลยจักรวาลบรรพตไป เพราะฉะนั้น พระจันทร์และพระอาทิตย์

เหล่านั้นจึงมีแสงสว่างไม่พอในที่นั้น.

บทว่า เยปิ ตตฺถ สตฺตา ความว่า แม้สัตว์เหล่าใดเกิดแล้วในโลกันตร

มหานรกนั้น. ถามว่าก็สัตว์เหล่านั้นกระทำกรรมอะไรไว้จึงเกิดในโลกันตรมหา

นรกนั้น. ตอบว่าทำกรรมหนักคือหยาบช้า. สัตว์เหล่านั้นกระทำความผิดต่อ

มารดาบิดาและสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรมและกรรมร้ายกาจมีฆ่าสัตว์เป็นต้น

ทุกวัน ๆ ย่อมเกิดในโลกันตรนรกนั้น ดุจอภยโจรและนาคโจรเป็นต้นในตาม-

พปัณณิทวีป ร่างกายของสัตว์เหล่านั้นสูง ๓ คาวุต มีเล็บยาวเหมือนเล็บค้าง-

คาว สัตว์เหล่านั้นเกาะอยู่บนจักรวาลบรรพตด้วยเล็บ เหมือนค้างคาวเกาะอยู่บน

ต้นไม้ฉะนั้น เมื่อใดสัตว์เหล่านั้นคลานไปถูกฝ่ามือของกันและกันเข้า เมื่อนั้นก็

สำคัญว่า เราพบอาหารแล้วจึงวิ่งหมุนไปรอบ ๆ แล้วก็ตกไปบนน้ำหนุนโลก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 103

เมื่อลมปะทะก็ขาดตกลงไปในน้ำเหมือนผลมะทราง พอตกลงไปแล้วก็ละลาย

เหมือนก้อนแป้งตกลงไปในน้ำที่เค็มจัด. บทว่า อญฺเปิ กิร โภ สนฺติ สตฺตา

ความว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมเห็นกันในวันนั้นว่า โอ้โฮแม้สัตว์เหล่าอื่นก็เกิดในที่

นี้ เพื่อเสวยทุกข์เหมือนอย่างพวกเราเสวยทุกข์ยิ่งใหญ่ฉะนั้น. ก็แสงสว่างนี้ไม่

ตั้งอยู่นาน ตั้งอยู่เพียงดื่มข้าวยาคูครั้งเดียว เปล่งออกเหมือนแสงสายฟ้าเพียง

ลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น เมื่อสัตว์ทั้งหลายพูดว่านี้อะไรก็หายไป. บทว่า สกมฺปติ

คือหวั่นไหวไปโดยรอบ. สองบทต่อไปเป็นไวพจน์ของบทก่อนนั้นแล. บทว่า

ปุน อปฺปมาโณ จ เป็นต้น ท่านกล่าวความสรุปต่อไป.

บทว่า จตฺตาโร ในบทนี้ว่า เทวบุตร ๔ องค์ เข้าไปรักษาทิศทั้ง ๔

ท่านกล่าวหมายถึงท้าวมหาราช ๔ องค์. ก็ในหมื่นจักรวาลแบ่งเป็นอย่างละ

๔ ก็เป็นสี่หมื่นจักรวาล. ในสี่หมื่นจักรวาลนั้นในจักรวาลนี้ ท้าวมหาราช

ถือพระขรรค์เข้าไปคอยอารักขาพระโพธิสัตว์ เข้าไปสู่ห้องสิริยังหมู่ยักษ์เป็น

ต้นว่าพวกปีศาจเล่นฝุ่นที่กีดขวาง ตั้งแต่ประตูห้องให้หลีกออกไปแล้ว ถือการ

อารักขาตลอดจักรวาล.

ก็การรักษานี้เพื่อประโยชน์อะไร แม้หากว่าจำเดิมแต่กาลแห่งกลละใน

ขณะปฏิสนธิ พวกมารแสนโกฏิ ยกเขาสิเนรุแม้แสนโกฏิ พึงมาเพื่อทำอันตราย

พระโพธิสัตว์ หรือพระมารดาของพระโพธิสัตว์ อันตรายทั้งหมดพึงหายไปมิใช่

หรือ. แม้เรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสไว้แล้วในทำพระโลหิตให้ห้อว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่พวกมารจะพึงปลงพระชนม์ตถาคตด้วยความพยายาม

ของผู้อื่น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตทั้งหลายไม่

ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงไปตามที่อยู่เถิด

ภิกษุทั้งหลาย ตถาคตทั้งหลายไม่ควรที่จะอารักขา เพราะฉะนั้น อันตรายถึงชีวิต

ของพระตถาคตเหล่านั้นย่อมไม่มีด้วยความเพียรของผู้อื่นอย่างนี้แหละ. พวก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 104

เทพบุตรได้ถืออารักขาเพื่อป้องกันภัยก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี อันพึงเกิดแก่พระ

มารดาของพระโพธิสัตว์ เพราะเห็นรูปหรือฟังเสียงของอมนุษย์ที่มีรูปพิการ

น่าเกลียดน่ากลัวเป็นมฤคปักษี. อีกประการหนึ่ง พวกเทพบุตรเกิดความเคารพ

ด้วยเดชแห่งบุญของพระโพธิสัตว์ แม้ได้ประกาศความเคารพของตน ๆ ก็ได้

กระทำอย่างนี้.

ก็ท้าวมหาราชทั้ง ๔ เหล่านี้ เข้าไปยืนภายในห้องแสดงตนหรือไม่

แสดงตนแก่พระมารดาของพระโพธิสัตว์. ไม่แสดงในเวลาทรงอาบน้ำ ทรงตก

แต่งพระวรกาย ทรงบริโภคพระกระยาหารเป็นต้นและเวลาถ่าย แต่จะแสดงใน

เวลาพระมารดาเสด็จเข้าห้องสิริแล้วบรรทมบนพระที่สิริไสยาศน์. ณ ที่นั่นชื่อ

ว่าการเห็นอมนุษย์ย่อมเป็นภัย เฉพาะหน้าของมนุษย์ก็จริง. แต่ถึงดังนั้น พระ

มารดาของพระโพธิสัตว์เห็นอมนุษย์เหล่านั้นด้วยบุญญานุภาพของตน และของ

พระโอรสจึงไม่ทรงกลัว. พระทัยของพระมารดานั้นย่อมเกิดในอมนุษย์เหล่านั้น

เหมือนผู้ดูแลภายในพระนครตามปกติ.

บทว่า ปกติยา สีลวตี ความว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีลโดยสภาวะนั่น

เอง. ได้ยินว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ทรงอุบัติพวกมนุษย์นั่งกระหย่งไหว้รับศีล

ในสำนักของพวกดาบสและปริพาชก. แม้พระมารดาของพระโพธิสัตว์ของเรา

ทั้งหลายก็ทรงรับศีลในสำนักของฤษีกาลเทวิล. แต่เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จสู่

พระครรภ์ ใคร ๆ อื่นไม่สามารถจะนั่ง ณ บาทมูลได้. แม้นั่งรับศีลบนอาสนะ

เสมอกันก็เป็นอาการดูหมิ่น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระมารดาพระโพธิ-

สัตว์ทรงรับศีลด้วยพระองค์เอง.

บทว่า ปุริเสสุ ความว่า จิตประสงค์ในบุรุษ ในมนุษย์ไรๆ เริ่มด้วย

พระบิดาพระโพธิสัตว์เป็นต้น ย่อมไม่เกิดแก่พระมารดาพระโพธิสัตว์. คนมี

ศิลปะแม้ฉลาด ก็ไม่สามารถจะวาดรูปพระมารดาพระโพธิสัตว์ลงในใบลานเป็น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 105

ต้นได้. อันใครๆ ไม่สามารถจะกล่าวได้ว่า เพราะเห็นรูปนั้น ราคะย่อมไม่เกิด

แก่บุรุษ. ก็หากว่าบุรุษมีจิตกำหนัดประสงค์จะเข้าไปหาพระมารดาพระโพธิสัตว์

นั้น เท้าไม่พาไปย่อมผูกติดดุจโซ่ทิพย์ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวคำเป็นต้นว่า

พระมารดาอันใคร ๆ ล่วงเกินไม่ได้.

บทว่า ปญฺจนฺน กามคุณาน ความว่าในบทก่อนท่านกล่าวถึงการห้าม

วัตถุด้วยสามารถความประสงค์ในบุรุษด้วยบทนี้ว่า กามคุณูปสญฺหิต ในบทนี้

ท่านแสดงถึงการได้อารมณ์. ได้ยินว่า ในกาลนั้นพระราชาทั้งหลายโดยรอบสดับ

ว่า พระโอรสเห็นปานนี้ทรงอุบัติในพระครรภ์ของพระเทวี ทรงส่งบรรณาการ

อันเป็นที่ตั้งแห่งความยินดีในทวารห้า ด้วยสามารถอาภรณ์มีค่ามากและดนตรี

เป็นต้น. ชื่อว่าการกำหนดปริมาณแห่งลาภและสักการะไม่มีแก่พระโพธิสัตว์

และแก่มารดาของพระโพธิสัตว์ เพราะสั่งสมกรรมที่ทำไว้.

บทว่า อกิลนฺตกายา ความว่าพระมารดาพระโพธิสัตว์นั้นมิได้มีความ

ลำบากไร ๆ อย่างที่หญิงทั้งหลายอื่นลำบากด้วยหนักครรภ์ มือและเท้าย่อมถึง

การบวมเป็นต้น.

บทว่า ติโรกุจฺฉิคต คือ เสด็จอยู่ภายในพระครรภ์. บทว่า ปฺสสติ

ความว่า พระมารดาพระโพธิสัตว์ครั้นล่วงกาลมีกลละเป็นต้นทรงเห็นพระโพธิ-

สัตว์เข้าถึงความเป็นผู้มีอวัยวะน้อยใหญ่ และพระอินทรีย์สมบูรณ์เกิดแล้ว.

ถามว่าทรงเห็นเพื่ออะไร. ตอบว่าเพื่ออยู่อย่างสบาย. เหมือนอย่างว่ามารดานั่ง

หรือนอนกับบุตรยกมือหรือเท้าของบุตรนั้นห้อยลงคิดว่า เราจักให้บุตรแข็งแรง

มองดูบุตรเพื่ออยู่อย่างสบายฉันใด แม้พระมารดาของพระโพธิสัตว์ก็ฉันนั้น

คิดว่า ทุกข์ใดเกิดแก่ครรภ์ในขณะที่มารดายืนเดินเคลื่อนไปมาและนั่งเป็นต้น

และในการกลืนอาหารร้อนเย็นเค็มขมเป็นต้นของมารดา ทุกข์นั้นจะมีแก่

บุตรของเราหรือไม่หนอดังนี้ แล้วมองดูพระโพธิสัตว์เพื่ออยู่อย่างสบาย ทรง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 106

เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งขัดสมาธิ. เหมือนอย่างว่าสัตว์เหล่าอื่นอยู่ภายใน

ท้องบีบพุงแขวนกะเพาะทำแผ่นท้องไว้ข้างหลัง. อาศัยกระดูกสันหลังวางคางก้ม

ไว้บนกำมือทั้งสอง นั่งเจ่าเหมืองลิงที่โพรงไม้เมื่อฝนตกฉันใด พระโพธิสัตว์มิได้

เป็นอย่างนั้น. พระโพธิสัตว์กระทำกระดูกสันหลังไว้ข้างหลังนั่งขัดสมาธิ ก็บ่าย

พระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกดุจพระธรรมกถึกนั่งธรรมาสน์. ก็กรรมที่พระ-

องค์ทรงกระทำมาในกาลก่อน จึงทำให้วัตถุของพระโพธิสัตว์บริสุทธิ์. เมื่อวัตถุ

บริสุทธิ์ พระลักษณะคือพระฉวีละเอียดย่อมบังเกิดขึ้น. พระตโจในพระอุทรไม่

สามารถจะปกปิดพระฉวีนั้นได้. เมื่อพระมารดาทรงแลดูย่อมปรากฏเหมือนตั้ง

อยู่ภายนอก. พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงทำเนื้อความนั้นให้แจ่มแจ้งด้วย

อุปมา จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า เสยฺยถาปิ ดังนี้. ก็พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ภาย

ในพระครรภ์ย่อมไม่ทรงเห็นพระมารดา. เพราะจักขุวิญญาณย่อมไม่เกิดขึ้น

ภายในท้อง.

บทว่า กาล กโรติ ความว่า มิใช่โดยสิ้นอายุเพราะการคลอดเป็นปัจจัย

ด้วยว่าที่ที่พระโพธิสัตว์ประทับอยู่เป็นเช่นกับเจดีย์และกุฎี ไม่ควรที่ผู้อื่นจะ

ร่วมใช้สอย. อนึ่ง ใคร ๆ ไม่สามารถจะนำพระมารดาพระโพธิสัตว์ไปดำรงใน

ฐานะเป็นอัครมเหสีผู้อื่นได้ ดังนั้น พระชนมายุของพระมารดาพระโพธิสัตว์

จึงมีประมาณเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระนางจึงเสด็จทิวงคตในกาลนั้น.

ถามว่า ก็พระมารดาพระโพธิสัตว์เสด็จทิวงคตในวัยไหน. ตอบว่า

ในมัชฌิมวัย. เพราะว่าในอัตตภาพของสัตว์ทั้งหลายในปฐมวัย ฉันทราคะย่อม

มีกำลัง. เพราะเหตุนั้น หญิงที่ตั้งครรภ์ในตอนนั้น จึงไม่สามารถจะรักษาครรภ์

ไว้ได้. ครรภ์ย่อมเจ็บมาก. แต่ครั้นเลยส่วนสองของมัชฌิมวัย ในส่วนที่สาม

วัตถุย่อมเป็นของบริสุทธิ์. ทารกที่เกิดในวัตถุบริสุทธิ์ย่อมไม่มีโรค. เพราะ

ฉะนั้น พระมารดาของพระโพธิสัตว์เสวยสมบัติในปฐมวัย ประสูติในส่วนที่สาม

ของมัชฌิมวัยแล้ว เสด็จทิวงคต ดังนั้น ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 107

วาศัพท์ในบทนี้ว่า นว วา ทส วา พึงทราบด้วยสามารถเป็นเครื่อง

กำหนด พึงทราบการสงเคราะห์แม้คำเป็นต้นอย่างนี้ว่า ๗ เดือน ๘ เดือน

๑๑ เดือน หรือ ๑๒ เดือน. ในบทเหล่านั้น ทารกเกิดใน ๘ เดือน ยังมีชีวิต

อยู่แต่ทนหนาวและร้อนไม่ได้ เกิดใน ๗ เดือนย่อมไม่มีชีวิต ที่เหลือยังมีชีวิต

อยู่ได้.

บทว่า เทวา ปม ปฏิคฺคณฺหนฺติ ความว่า พรหมชั้นสุทธาวาส

ผู้เป็นพระขีณาสพย่อมรับ. ถามว่าอย่างไร. ตอบว่าอาจารย์บางพวกกล่าวว่า รับ

เครื่องแต่งตัวในตอนประสูติ. แต่ข้อนั้นถูกคัดค้านแล้วจึงกล่าวข้อนี้ว่า ในกาลนั้น

พระมารดาพระโพธิสัตว์ ทรงนุ่งผ้าประด้วยทองคำ เช่นกับตาปลามีสองชั้นคลุม

ตลอดพระบาทได้พระทับยืน ขณะนั้น พระมารดาพระโพธิสัตว์ได้ประสูติพระ-

โอรสคลองเช่นกับน้ำไหลออกจากธมกรก ลำดับนั้น เหล่าเทวดามีเพศเป็นพรหม

ตามปกติเข้าไปรับด้วยข่ายทองคำก่อน ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้เอาเครื่องลาด

ทำด้วยหนังเสือเหลืองรับจากหัตถ์ของพรหมเหล่านั้น จากนั้นพวกมนุษย์จึงรับ

ด้วยผ้ารองสองชั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่าเทวดาทั้งหลายรับก่อน พวก

มนุษย์รับภายหลัง ดังนี้.

บทว่า จตฺตาโร น เทวปุตฺตา ความว่า มหาราช ๔ องค์. บทว่า

ปฏิคฺคเหตฺวา ความว่า รับด้วยเครื่องลาดทำด้วยหนังเสือเหลือง. บทว่า

มเหสกฺโข ความว่า มีเดชมาก มียศมาก ถึงพร้อมด้วยลักษณะ.

บทว่า วิสุทฺโธว นิกฺขมติ ความว่า ไม่เสด็จออกเหมือนสัตว์เหล่าอื่น

มักติดอยู่ที่ช่องคลอดข่มแล้วข่มอีกจึงคลอด. อธิบายว่า เสด็จออกไม่ติดขัด.

บทว่า อุทฺเทน แปลว่า ด้วยน้ำ. บทว่า เกนจิ อสุจินา ความว่า พระ-

โพธิสัตว์มิเป็นเหมือนสัตว์เหล่าอื่น ถูกลมเบ่งซัดมีเท้าขึ้น มีหัวลงที่ช่องคลอด

เหมือนตกลงไปสู่เหวนรกชั่ว ๑๐๐ บุรุษ เหมือนช้างถูกฉุดออกจากช่องดาล เสวย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 108

ทุกข์ใหญ่ เปรอะเปื้อนด้วยอสุจิต่าง ๆ แล้วคลอด ฉะนั้น. จริงอยู่ ลมเบ่งไม่

สามารถทำพระโพธิสัตว์ให้มีเท้าขึ้น มีหัวลงได้ พระโพธิสัตว์นั้นเหมือนพระ-

ธรรมกถึกลงจากธรรมาศน์ และเหมือนบุรุษลงจากบันได ทรงเหยียด

พระหัตถ์ทั้งสองและพระบาททั้งสอง ประทับยืนไม่เปรอะเปื้อนด้วยอสุจิอย่างใด

อย่างหนึ่งอันมีอยู่ในพระครรภ์ของพระมารดาเสด็จออก.

บทว่า อุทกธารา คือสายน้ำ. ในสายน้ำนั้น น้ำเย็นไหลจากหม้อทอง

น้ำร้อนไหลจากหม้อเงิน. อนึ่ง ท่านกล่าวบทนี้เพื่อแสดงน้ำดื่มและน้ำบริโภค

และสายน้ำเป็นที่เล่นไม่ทั่วไปด้วยน้ำเหล่าอื่นของสายน้ำเหล่านั้น อันไม่เปรอะ-

เปื้อนด้วยอสุจิอย่างใดอย่างหนึ่งบนพื้นดิน. ไม่มีการกำหนดน้ำที่นำมาด้วยหม้อ

ทองและเงินอื่นและน้ำที่ไหลไปสู่สระโบกขรณีมีหังสวฏกะ เป็นต้น.

บทว่า สมฺปติชาโต คือประสูติได้ครู่หนึ่ง. แต่ในบาลีท่านแสดงดู

เหมือนพอเสด็จออกจากพระครรภ์ของพระมารดา แต่ก็ไม่ควรเห็นเป็นอย่างนั้น.

เพราะพรหมทั้งหลายรับพระโพธิสัตว์นั้นพอเสด็จออกด้วยข่ายทองคำก่อน. ท้าว

มหาราชทั้ง ๔ รับด้วยเครื่องลาดทำด้วยหนังเสือเหลืองจากหัตถ์ของพรหมเหล่า

นั้น. มนุษย์ทั้งหลายรับด้วยผ้ารองสองชั้นจากหัตถ์ของท้าวมหาราชทั้ง ๔.

พระโพธิสัตว์พ้นจากมือมนุษย์ทั้งหลายแล้วประดิษฐานบนแผ่นดิน. บทว่า

เสตมฺหิ ฉตฺเต อนุธาริยมาเน ความว่า เมื่อเทวดากั้นเศวตฉัตรทิพย์ตาม

เสด็จอยู่. ในบทนี้แม้เครื่องราชกกุธภัณฑ์ ๕ มีพระขรรค์ เป็นต้น อันเป็น

บริวารของฉัตรนั้นก็ปรากฏขึ้นทันที. แต่ในบาลีท่านกล่าวถึงฉัตรดุจพระราชา

ในขณะเสด็จพระราชดำเนิน. ในเบญจราชกุกกุฏภัณฑ์นั้น ฉัตรเท่านั้นปรากฏ

คนถือฉัตรไม่ปรากฏ. เช่นเดียวกัน พระขรรค์ พัดใบตาล แซ่หางนกยูง พัด

วาลวิชนี และกรอบพระพักตร์ย่อมปรากฏ คนถือไม่ปรากฏ นัยว่าเทวดาทั้ง

หลาย ไม่ปรากฏรูปถือสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด. แม้ข้อนี้ท่านก็กล่าวไว้ว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 109

พวกเทวดากั้นฉัตรมีก้านไม่น้อย มีมณฑลพัน

หนึ่งบนอากาศ ไม้เท้าทองคำ พัดจามรโบกสะบัดไปมา

แต่ไม่เห็นคนถือพัดจามรและฉัตร ดังนี้.

บทว่า สพฺพา จ ทิสา นี้ ท่านกล่าวดุจพระโพธิสัตว์ประทับยืนหลัง

จากเสด็จย่างพระบาท ๗ ก้าวแล้ว ทรงเหลียวมองดูทิศทั้งหมด ไม่ควรเห็นอย่าง

นั้นเลย. ความจริง พระโพธิสัตว์ทรงพ้นจากมือของพวกมนุษย์แล้วประดิษฐาน

บนแผ่นดิน ทรงแลดูทิศตะวันออก. หลายพันจักรวาลได้เป็นเนินเดียวกัน. ณ

ที่นั้น พวกเทวดาและมนุษย์ต่างบูชาด้วยของหอมและดอกไม้ เป็นต้น พากัน

กล่าวว่า ข้าแต่พระมหาบุรุษ ในโลกนี้แม้คนเช่นพระองค์ก็ไม่มี จะหาคนยิ่งกว่า

พระองค์ได้แต่ไหน. พระโพธิสัตว์ทรงเหลียวแลดู ทิศใหญ่ ๔ ทิศน้อย ๔ ทิศ

เบื้องล่างเบื้องบน ไม่ทรงเห็นแม้คนเช่นพระองค์ทรงดำริว่า นี้ทิศเหนือ แล้ว

ทรงบ่ายพระพักตร์ไปทางเหนือได้เสด็จโดยอย่างพระบาท ๗ ก้าว. พึงทราบความ

ในบทนี้อย่างนี้. บทว่า อาสภึ คือ สูงสุด. บทว่า อคฺโค คือ เป็นที่หนึ่งของชน

ทั้งหมดด้วยคุณธรรมทั้งหลาย. อีก ๒ บท เป็นไวพจน์ของบทนี้. พระโพธิ-

สัตว์ทรงพยากรณ์พระอรหัตอันพระองค์พึงบรรลุในอัตตภาพนี้ด้วยบททั้งสองว่า

นี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา บัดนี้ภพใหม่ของเราไม่มีอีกแล้ว ดังนี้.

ก็ในบทนี้พึงทราบว่า การประดิษฐานบนแผ่นดินด้วยพระบาท

เสมอกัน เป็นบุพนิมิต แห่งการได้อิทธิบาท ๔ การบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศ

เหนือ เป็นบุพนิมิต แห่งการเสด็จไปครอบงำปราบปรามมหาชน การเสด็จ

ย่างพระบาท ๗ ก้าว เป็นบุพนิมิต แห่งการได้รตนะคือโพชฌงค์ ๗ การกั้นเศวต-

ฉัตรทิพย์เป็นบุพนิมิต แห่งการได้ฉัตรประเสริฐคือวิมุติ การได้ราชกุกกุฏภัณฑ์

๕ เป็นบุพนิมิต แห่งการพ้นด้วยวิมุติ ๕ การเหลียวแลดูทิศเป็นบุพนิมิต แห่ง

การได้อนาวรณญาณ การเปล่งอาสภิวาจา เป็นบุพนิมิต แห่งการเป็นไปแห่ง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 110

ธรรมจักรที่ยังไม่ได้เป็นไป การเปล่งสีหนาทว่า นี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เป็น

บุพนิมิต แห่งการปรินิพพานโดยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดังนี้. วาระเหล่านี้มา

แล้วในบาลี. แต่หลายวาระยังไม่มา ควรนำมาแสดง.

จริงอยู่ในวันพระมหาบุรุษประสูติ หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว เทวดาใน

หมื่นโลกธาตุ พากันมาประชุมในจักรวาลเดียวกัน. เทวดารับก่อน. พวก

มนุษย์รับภายหลัง. พิณที่ขึงสาย กลองที่ขึงหนัง ไม่มีใครประโคมก็ประโคม

ขึ้นเอง. ป้อมและที่กักขัง เป็นต้น ของพวกมนุษย์พังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย. โรค

ทั้งปวงสงบหมดไปเหมือนสนิมทองแดงที่ล้างด้วยของเปรี้ยว. คนตาบอดโดย

กำเนิด เห็นรูป. คนหนวกโดยกำเนิดได้ยินเสียง. คนพิการได้มีกำลังสมบูรณ์.

สติของตนแม้เลวโดยชาติ คนบ้าน้ำลาย ก็ตั้งมั่นได้. เรือที่แล่นไปต่างประเทศ

ถึงท่าสะดวก. รตนะที่ตั้งอยู่บนอากาศและตั้งอยู่บนพื้น ได้ส่องแสงด้วยความ

ยิ่งใหญ่ของตนเอง. พวกมีเวรก็ได้เมตตาจิตต่อกัน. ไฟในอเวจีดับ. แสงสว่าง

ในโลกันตรนรกก็เกิดขึ้น น้ำในแม่น้ำไม่ไหล. ในมหาสมุทรได้มีน้ำหวาน.

ลมไม่พัด. นกที่บินไปบนอากาศที่อยู่บนภูเขาและต้นไม้ได้ตก-ลงไปบนพื้นดิน.

พระจันทร์สว่างยิ่งนัก. พระอาทิตย์ไม่ร้อนไม่เย็นปราศจากมลทินได้สมบูรณ์

ตามฤดู. พวกเทวดาประดิษฐานอยู่ ณ ประตูวิมานของตน ๆ เล่นกีฬาอย่าง

สนุกสนาน ด้วยการปรบมือ ผิวปาก โบกผ้า เป็นต้น. แม้ฝนจากทิศทั้ง ๔ ก็

ได้ตกลงมา. ความหิว ความกระหาย มิได้บีบคั้นมหาชน. ประตูและหน้าต่าง

ทั้งหลายเปิดเอง. ไม้ดอกไม้ผล ก็ออกดอกออกผล หมื่นโลกธาตุได้มีธงดอกไม้

เป็นอันเดียวกัน.

แม้ในข้อนี้พึงทราบดังนี้ หมื่นโลกธาตุหวั่นไหว เป็นบุพนิมิตของการ

ได้สัพพัญญุตญาณของพระมหาบุรุษนั้น การประชุมในจักรวาฬเดียวกันของ

เทวดาทั้งหลาย เป็นบุพนิมิตแห่งการประชุมโดยทำนองเดียวนี้แลในกาลยัง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 111

ธรรมจักรให้เป็นไปแล้วรับพระธรรม การรับของพวกเทวดาครั้งแรก เป็น

บุพนิมิตแห่งการได้รูปาวจรฌาณ ๔ การรับของพวกมนุษย์ภายหลังเป็นบุพ-

นิมิตแห่งการได้อรูปฌาน ๔ พิณที่ขึงสายดีดเอง เป็นบุพนิมิตแห่งการได้

อนุปุพพวิหารธรรม กลองที่ขึงหนังดังเอง เป็นบุพนิมิตแห่งการได้ยินธรรมเภรี

อันใหญ่หลวง ป้อมและที่กักขังเป็นต้นพังเป็นบุพนิมิต แห่งการตัดขาดอัสมี-

มานะ มหาชนหายจากโรคเป็นบุพนิมิต แห่งการได้อริยสัจ ๔ คนตาบอดโดย

กำเนิดเห็นรูปเป็นบุพนิมิตแห่งการได้ทิพจักษุ คนหูหนวกได้ยินเสียงเป็น

บุพนิมิตแห่งการได้ทิพโสต คนพิการมีกำลังเป็นบุพนิมิตแห่งการได้อิทธิบาท

๔ คนใบ้แต่กำเนิดพูดได้เป็นบุพนิมิตแห่งการได้สติปฏิฐาน ๙ เรือแล่นไป

ต่างประเทศถึงท่าโดยสะดวกเป็นบุพนิมิตแห่งการบรรลุปฏิสัมภิทา ๔ ความที่

รตนะส่องแสงด้วยความยิ่งใหญ่ของตนเอง เป็นบุพนิมิตแห่งแสงธรรมที่พระ-

โพธิสัตว์จักประกาศแก่โลก ผู้มีเวรกันได้เมตตาจิตต่อกันเป็นบุพนิมิตของการ

ได้พรหมวิหาร ๔ ไฟในอเวจีดับ เป็นบุพนิมิตของการดับไฟ ๑๑ ดวง โลกัน-

ตรนรกสว่าง เป็นบุพนิมิตแห่งการกำจัดความมืดคืออวิชชา แล้วเห็นความสว่าง

แห่งญาณ น้ำในแม่น้ำไม่ไหล เป็นบุพนิมิตแห่งการได้เวสารัชชธรรม ๔ มหา-

สมุทรมีรสหวาน เป็นบุพนิมิตแห่งความมีรสเป็นอันหนึ่งด้วยรสคือนิพพานการ

ที่ลมไม่พัด เป็นบุพนิมิตแห่งการทำลายทิฐิ ๖๒ นกทั้งหลายไปบนดิน เป็นบุพ-

นิมิตแห่งมหาชนผู้ฟังโอวาทแล้วถึงสรณะด้วยชีวิต การที่พระจันทร์สว่างไสว

ยิ่ง เป็นบุพนิมิตแห่งความงามของตนเป็นอันมาก การที่พระอาทิตย์เว้นความ

ร้อนและความเย็น เป็นบุพนิมิตแห่งการเกิดสุขทางกายและทางใจ เพราะฤดู

สบาย การที่พวกเทวดาประดิษฐานอยู่ ณ ประตูวิมานรื่นเริงด้วยการปรบมือ

เป็นต้น เป็นบุพนิมิตแห่งการถึงความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วทรงเปล่งอุทาน

การที่ฝนตกทั้ง ๔ ทิศ เป็นบุพนิมิตแห่งการตกของฝนคือพระธรรมอันใหญ่

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 112

หลวง การไม่มีความหิวบีบคั้น เป็นบุพนิมิตแห่งการได้น้ำอมฤตคือกายคตาสติ

การไม่มีความกระหายบีบคั้น เป็นบุพนิมิตแห่งความเป็นผู้ถึงความสุขด้วยวิมุตติ-

สุข การที่ประตูและหน้าต่างเปิดเอง เป็นบุพนิมิตแห่งการเปิดประตูคือมรรคมี

องค์ ๘ การที่ต้นไม้ออกดอกและผล เป็นบุพนิมิตของดอกไม้คือวิมุติบาน และ

ความเป็นผู้เต็มด้วยภาระคือสามัญญผล การที่หมื่นโลกธาตุมีธงดอกไม้เป็น

อันเดียว เป็นบุพนิมิตแห่งความเป็นผู้มีธงดอกไม้คืออริยะ. นี้ชื่อสัมพหุลวาระ.

ในเรื่องนี้ชนทั้งหลายถามปัญหาว่า ตอนที่พระมหาบุรุษประทับยืนบน

แผ่นดินแล้ว ทรงบ่ายพระพักตร์ไปทางทิศเหนือ เสด็จไปได้ทรงเปล่งอาสภิวาจา

เสด็จไปบนแผ่นดินหรือ หรือว่าเสด็จไปทางอากาศ ทรงปรากฏพระองค์เสด็จไป

หรือไม่ปรากฏ เสด็จเปลือยพระองค์ไปหรือตกแต่งพระองค์ เสด็จไปเป็นหนุ่ม

หรือเป็นคนแก่ แม้ภายหลังก็ได้เป็นเช่นนั้นหรือ หรือว่าเป็นทารกอ่อนอีก. ก็

ปัญหานี้ตั้งขึ้นภายใต้โลหปราสาท พระจูฬาภยเถระผู้ทรงพระไตรปิฎกได้แก้

ไว้แล้ว.

มีเรื่องเล่ามาว่า ในเรื่องนี้พระเถระกล่าวถึงข้อนั้นไว้มาก ด้วยสามารถ

การกล่าวถึงโชคดีโชคร้าย กรรมเก่าและการไม่ถือว่าเพราะความเป็นใหญ่แล้ว

ในที่สุดได้พยากรณ์อย่างนี้ว่า พระมหาบุรุษเสด็จไปบนแผ่นดิน แต่ได้ปรากฏ

แก่มหาชนเหมือนเสด็จไปทางอากาศ พระองค์เสด็จไปแต่เหมือนไม่ปรากฏแก่

มหาชน เสด็จเปลือยพระองค์ไปแต่ปรากฏแก่มหาชนเหมือนตกแต่งพระองค์

เสด็จไปเป็นคนหนุ่มแต่ปรากฏแก่มหาชนเหมือนมีพระชนม์ ๑๖ พระพรรษา

แต่ภายหลังได้เป็นทารกอ่อนตามเดิม ไม่เป็นหนุ่มอยู่อย่างนั้นดังนี้. อนึ่ง บริษัท

ของพระเถระนั้นได้พากันชอบใจว่า พระเถระแก้ปัญหาดีเหมือนพระพุทธเจ้า.

โลกันตริกวาระมีนัยดังที่ได้กล่าวไว้แล้วแล. ก็แลธรรมดานี้ท่านกล่าวไว้แล้ว

ตั้งแต่ต้น. พึงทราบว่า ธรรมดาทั้งหมดย่อมมีแด่พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 113

บทว่า อทฺทสาโข ความว่า พระราชาพันธุมได้ทอดพระเนตรเห็นพระ-

กุมารที่นางสนมให้บรรทมบนเครื่องรองสองชั้นนำมาเฝ้า. บทว่า มหาปุริสสฺส

ความว่า แห่งบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ด้วยสามารถ ชาติ โคตร ตระกูลประเทศเป็นต้น.

บทว่า เทฺว คติโย คือความสำเร็จสองอย่าง. ก็ศัพท์ว่าคตินี้ย่อมเป็นไปในคติ

อันสัตว์ทั้งหลายพึงไปโดยประเภทมีนรกเป็นต้น ในบาลีนี้ว่า ดูกรสารีบุตร คติ

๕ เหล่านี้แลดังนี้. ย่อมเป็นไปในอัธยาศัยในบาลีนี้ว่า เราไม่รู้อคติหรืออัธยาศัย

ของภิกษุทั้งหลายผู้ศีลมีกัลยาณธรรมเหล่านี้ได้เลย. ย่อมเป็นไปในที่พึงอาศัย

ในบาลีนี้ว่า พระนิพพานเป็นที่พึงอาศัยของพระอรหัตต์. อีกอย่างหนึ่งย่อมเป็น

ไปในความสำเร็จในบาลีนี้ว่า ดูก่อนพรหม เราย่อมรู้ความสำเร็จจุติและอุปัติ

ของท่าน ท่านเป็นท้าวพกพรหมผู้มีฤทธิ์มากอย่างนี้. พึงทราบคติศัพท์นั้นแม้

ในบทนี้ว่าย่อมเป็นไปในความสำเร็จ. บทว่าอนญฺา ความว่า ชื่อว่าความ

สำเร็จในคติอื่นย่อมไม่มี. บทว่า ธมฺมิโก ความว่า เป็นผู้ประกอบด้วยกุศล

ธรรม ๑๐ เว้นการถึงอคติ. บทว่า ธมฺมราชา นี้เป็นไวพจน์ของบทก่อนนั้น

แล. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าเป็นพระธรรมราชา เพราะได้ราชสมบัติโดยธรรม.

บทว่า จาตุรนฺโต ความว่า ความเป็นผู้มีอิสระในผืนแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔

เป็นขอบเขตด้วยสามารถสมุทร ๔ มีสมุทรด้านทิศตะวันออกเป็นต้น. บทว่า

วิชิตาวี คือมีชัยชนะสงคราม. อธิบายว่า ชนบทถึงความเป็นชนบทที่ยั่งยืน

มั่นคง เพราะฉะนั้น พระกุมารจึงถึงความเป็นผู้มีพระราชอาณาจักรมั่นคง. จริง

อยู่ เมื่อพระราชาดุร้ายเบียดเบียนโลกด้วยเสียภาษีและลงอาชญาเป็นต้น พวก

มนุษย์พากันละทิ้งมัชฌิมชนบทไปอาศัยอยู่ตามภูเขาและฝั่งสมุทรเป็นต้น เลี้ยง

ชีพอยู่ที่ชายแดน. พวกมนุษย์ถูกโจรใจร้ายเบียดเบียนด้วยการปล้นประชาชน

จึงพากันละชายแดน ไปหาเลี้ยงชีพ ณ ท่ามกลางชนบทของมนุษย์ผู้อ่อนโยน.

ชนบทในการปกครองเห็นปานนี้ย่อมไม่ถึงความมั่นคง. ก็เมื่อพระกุมารนี้เสวย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 114

ราชสมบัติ ชนบทของพระองค์จักมั่นคงเหมือนวางแผ่นหินไว้หลังแผ่นดินแล้ว

ล้อมด้วยแผ่นเหล็ก พรหมณ์ผู้ทำนายทั้งหลายเมื่อชี้แจงดังนี้ จึงกล่าวว่า พระ-

กุมารจึงถึงความเป็นผู้มีพระราชอาณาจักรมั่นคงดังนี้. รตนะในบทว่าประกอบ

ด้วยรตนะ ๗ นี้ โดยอรรถคือยังความยินดีให้เกิด. อีกอย่างหนึ่ง

รตนะทำความชื่นชม มีค่ามากหาเปรียบมิได้

หาดูได้ยาก เป็นของใช้ของสัตว์ผู้รู้วิเศษ เพราะฉะนั้น

จึงเรียกว่ารตนะ.

อนึ่ง จำเดิมแต่กาลที่จักรรตนะเกิด ไม่มีเทวสถานอื่น ชนทั้งปวงย่อม

ทำการบูชาจักรรตนะนั้นนั่นแล ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้น และกระทำ

การกราบไหว้เป็นต้น เพราะฉะนั้นรตนะจึงเป็นไปโดยอรรถว่าน่าชื่นชม.

การตีราคาว่าชื่อว่าทรัพย์มีประมาณเท่านี้ ย่อมเป็นค่าของจักรรตนะนั้น

แลดังนี้ไม่มี เพราะฉะนั้น รตนะจึงเป็นไปแม้โดยอรรถว่ามีค่ามาก.

อนึ่งจักรแก้วไม่เหมือนรตนะอย่างอื่นที่มีอยู่ในโลก เพราะฉะนั้น รตนะ

จึงเป็นไปแม้โดยอรรถว่าหาเปรียบมิได้.

ก็เพราะพระเจ้าจักรพรรดิอุบัติในกัปที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายอุบัติ. ก็

แต่ว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลายอุบัติในบางครั้งบางคราว ฉะนั้น รตนะจึงเป็นไปแม้

โดยอรรถว่าหาดูได้ยาก.

รตนะนั้นย่อมเกิดแก่สัตว์ผู้วิเศษ ยิ่งด้วยชาติรูปตระกูลและความเป็น

ใหญ่เป็นต้น ไม่เกิดแก่ผู้อื่น เพราะฉะนั้น รตนะจึงเป็นไปแม้โดยอรรถคือเป็น

ของใช้ของสัตว์ผู้วิเศษ.

อนึ่ง แม้รตนะที่เหลือก็เหมือนจักรแก้วนั่นแล พระมหาบุรุษทรงประ-

กอบด้วยรตนะ ๗ เหล่านี้ โดยความเป็นของสมทบและโดยความเป็นอุปกรณ์

แห่งโภคะทั้งปวง เพราะฉะนั้น พระมหาบุรุษจึงชื่อว่าทรงสมบูรณ์ด้วยรตนะ ๗.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 115

บัดนี้ เพื่อแสดงรตนะเหล่านั้นโดยสรุปจึงตรัสว่า ตสฺสิมานิ เป็นต้น.

ในรตนะเหล่านั้นนี้เป็นอธิบายโดยย่อ ในบทว่า จักรแก้วเป็นต้น

จักรแก้วย่อมปรากฏสามารถยึดสิริสมบัติของทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มี ทวีป ๒,๐๐๐

เป็นบริวารได้. ช้างแก้วเหาะไปบนเวหาสามารถดิ่งลงสู่แผ่นดินมีสาครเป็นที่สุด

ก่อนอาหารทีเดียว. ม้าแก้วก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน. เมื่อความมืดประกอบด้วย

องค์ ๔ แก้วมณีสามารถกำจัดความมืดประมาณโยชน์หนึ่งแล้วเห็นแสงสว่างได้.

นางแก้วผู้มีความประพฤติเป็นที่พอใจเว้นโทษ ๖ อย่าง. คหบดีแก้วสามารถ

เห็นขุมทรัพย์ที่อยู่ภายในแผ่นดินประมาณโยชน์หนึ่งได้. ปริณายกแก้วกล่าวคือ

บุตรผู้เจริญที่สุด สามารถเกิดในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีแล้วครองราช

สมบัติได้ทั้งหมด ย่อมปรากฏ.

บทว่า ปโรสหสฺส คือ พันกว่า. บทว่า สุรา คือ กล้าหาญ. บทว่า

วีรงฺครูปา คือมีรูปทรงสมเป็นวีรบุรุษ. บทนี้ เป็นชื่อของความเพียร. ชื่อ

วีรงฺครูปา เพราะมีรูปทรงสมเป็นวีรบุรุษ. มีรูปทรงสมเป็นวีรบุรุษ คือมี

ความเพียรเป็นที่เกิด มีความเพียรเป็นสภาวะ สำเร็จด้วยความเพียร เป็นผู้ไม่

เกียจคร้าน. ท่านอธิบายว่า แม้รบตลอดวันก็ไม่เหนื่อย.

บทว่า สาครปริยนฺต ความว่า มีมหาสมุทรเป็นที่สุดกระทำภูเขา

จักรวาลให้เป็นเขตแดนตั้งอยู่. บทว่า อทณฺเฑน ความว่า ผู้ใดปรับผู้ไม่ได้

ทำความผิด ๑๐๐ บ้าง ๑,๐๐๐ บ้าง ผู้นั้นชื่อว่าใช้อำนาจด้วยอาชญาคือทรัพย์.

ผู้ใดออกคำสั่งให้ประหารและทิ่มแทง ผู้นั้นชื่อว่า ใช้อำนาจด้วยอาชญาคือ

ศัสตรา. แต่พระราชาพระองค์นี้ทรงละอาชญาแม้ทั้งสองนั้น ทรงปกครองไม่ต้อง

ใช้อาชญา. บทว่า อสตฺเถน ความว่า ผู้ใดใช้ศัสตรามีคมข้างเดียวเป็นต้น

เบียดเบียนผู้อื่น ผู้นั้นชื่อว่าใช้อำนาจด้วยศัสตรา. แต่ก็พระราชาพระองค์นี้

ไม่ทรงทำโลหิตของใคร ๆ เพียงแมลงวันตัวเล็กดื่มได้ให้เกิดขึ้นด้วยศัสตรา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 116

ทรงได้รับการต้อนรับจากพระราชาผู้เป็นศัตรูอย่างนี้ว่า ข้าแต่มหาราช ขอพระ-

องค์จงเสด็จมาโดยธรรมเถิดดังนี้. อธิบายว่า ทรงยึดแผ่นดินดังกล่าวแล้ว ทรง

ปกครอง ทรงปราบปราม จนได้เป็นเจ้าของครอบครอง. ครั้นบอกถึงความ

สำเร็จอย่างที่หนึ่งอย่างนี้แล้ว เพื่อจะบอกความสำเร็จอย่างที่สอง จึงกล่าวคำ

เป็นอาทิว่า สเจ โข ปน ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า พระกุมารนี้มีหลังคา

คือ กิเลสเปิดแล้ว เพราะมีเครื่องปกปิดกีดขวาง กล่าวคือ ราคะ โทสะ โมหะ

มานะทิฐิ กิเลสตัณหาเปิดแล้ว คือกำจัดได้แล้ว. ปาฐะว่า วิวฏฺฏจฺฉโท ดังนี้

บ้าง. อธิบายอย่างนี้เหมือนกัน. ครั้นบอกความสำเร็จอย่างที่สองอย่างนี้แล้ว

เพื่อแสดงลักษณะอันเป็นนิมิตแห่งคติเหล่านั้น จึงกล่าวคำเป็นอาทิว่า อยญฺหิ

เทว กุมาโร ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า สุปติฏฺิตปาโท ความว่า พระกุมารไม่เป็น

เหมือนคนอื่น เมื่อคนอื่นวางเท้าลงบนแผ่นดิน ปลายฝ่าเท้า ส้นเท้า หรือข้างเท้า

ย่อมจดก่อน ก็แต่ว่ายังปรากฏช่องในตอนกลาง แม้เมื่อยกขึ้นส่วนหนึ่งในปลาย

ฝ่าเท้าเป็นต้นนั่นแหละก็ยกขึ้นก่อน. ฝ่าพระบาททั้งสิ้นของพระกุมารนั้น ย่อม

จดพื้นโดยทรงเหยียบพระบาทครั้งหนึ่ง ดุจพื้นรองเท้าทองคำฉะนั้น ทรงยก

พระบาทขึ้นจากพื้นก็โดยทำนองเดียวกันนั่นแหละ เพราะฉะนั้น พระกุมารนี้

จึงเป็นผู้มีพระบาทเรียบเสมอกัน.

บทว่า จกฺกานิ ท่านกล่าวไว้ในบาลีว่า ณ พื้นพระบาททั้ง ๒ มีจักร

๒ เกิดขึ้น จักรเหล่านั้นมีซี่มีกงและดุม. ก็พึงทราบความวิเศษนี้ด้วยบทนี้ว่า

บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง. ได้ยินว่า ดุมของจักรเหล่านั้นปรากฏ ณ ท่ามกลาง

พื้นพระบาท. ลวดลายวงกลมกำหนดด้วยดุมย่อมปรากฏ วงกลมล้อมหน้าดุม

ปรากฏ ท่อน้ำปรากฏ ซี่ปรากฏ ลวดลายวงกลมในซี่ทั้งหลายปรากฏ กงปรากฏ

กงแก้วมณีปรากฏ. นี้มาในบาลีก่อนแล้ว. แต่สัมพหุลวาระยังไม่มา. สัมพหุ-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 117

วาระนั้น พึงทราบอย่างนี้. รูปหอก รูปแว่นส่องพระฉาย รูปดอกพุดซ้อน

รูปสายสร้อย รูปสังวาล รูปถาดทอง รูปมัจฉาคู่ รูปตั่ง รูปขอ รูปปราสาท

รูปเสาระเนียด รูปเศวตฉัตร รูปพระขรรค์ รูปพัดใบตาล รูปหางนกยูง

รูปพัดวาลวิชนี รูปมงกุฎ รูปแก้วมณี รูปบาตร รูปพวงดอกมะลิ รูปดอก

บัวขาบ รูปดอกบัวแดง รูปดอกบัวขาว รูปดอกปทุม รูปดอกบุณฑริก รูป

หม้อเต็มด้วยน้ำ รูปถาดเต็มด้วยน้ำ รูปมหาสมุทร รูปเขาจักรวาล รูปป่า

หิมพานต์ รูปเขาสิเนรุ รูปพระจันทร์พระอาทิตย์ รูปดาวนักษัตร รูปทวีป

ใหญ่ทั้ง ๔ รูปทวีปน้อย ๒,๐๐๐ ทั้งหมด โดยที่สุดหมายถึงบริวารของพระเจ้า

จักรพรรดิด้วย เป็นบริวารขุองจักรลักษณะนั่นเอง.

บทว่า อายตปณฺหิ ความว่า มีส้นพระบาทยาวคือ มีส้นพระบาท

บริบูรณ์. อธิบายว่า ส้นพระบาทของพระมหาบุรุษไม่เป็นเหมือนปลายเท้าของ

คนอื่นที่ยาว ลำแข้งตั้งอยู่สุดส้นเท้าเป็นเหมือนตัดส้นเท้าตั้งอยู่ ฉะนั้น. แต่ของ

พระมหาบุรุษ พระบาทมี ๔ ส่วน ปลายพระบาทมี ๒ ส่วน ลำพระชงฆ์ตั้งอยู่

ในส่วนที่ ๓ ส้นพระบาทในส่วนที่ ๔ เป็นเช่นกับลูกคลีหนัง ทำด้วยผ้ากัมพล

สีแดง ดุจม้วนด้วยปลายเข็มแล้วตั้งไว้.

บทว่า ทีฆงฺคุลิ ความว่า นิ้วพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษไม่เป็นเหมือน

นิ้วของคนอื่นที่บางนิ้วยาว บางนิ้วสั้น. แต่ของพระมหาบุรุษนิ้วพระหัตถ์และ

พระบาทยาวเหมือนของวานร ข้างโคนใหญ่แล้วเรียวไปโดยลำดับ ถึงปลายนิ้ว

เช่นเดียวกับแท่งหรดาลที่ขยำด้วยน้ำมันยางแล้วปั้นไว้. เพราะฉะนั้น ท่านจึง

กล่าวว่า มีนิ้วพระหัตถ์ยาวดังนี้.

บทว่า มุทุตลุนหตฺถปาโท ความว่า มีพระหัตถ์และพระบาทอ่อน

ดุจปุยฝ้ายที่ยีได้ ๑๐๐ ครั้ง เอารวมตั้งไว้ในเนยใส. แม้ในเวลาพระชนม์เจริญ

พระหัตถ์และพระบาทก็จักอ่อนนุ่มเหมือนเมื่อพอประสูติ. พระหัตถ์และพระ-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 118

บาทของพระโพธิสัตว์นุ่ม อ่อนนุ่ม เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์จึงมีพระหัตถ์และ

พระบาทอ่อนนุ่ม.

บทว่า ชาลหตฺถปาโท ความว่า ระหว่างพระองคุลีหนังไม่ติดกัน.

เพราะผู้มีมือติดกันเป็นพืดเช่นนี้ ถูกกำจัดโดยบุรุษโทษ แม้บวชก็ไม่ได้.

ก็พระมหาบุรุษมีนิ้วพระหัตถ์ ๔ นิ้ว พระบาท ๕ ชิดสนิทเป็นอันเดียวกัน.

ก็เพราะพระองคุลีทั้งหลายชิดสนิทเป็นอันเดียวกัน พระองคุลีทั้งหลายจึงติดกัน

และกัน มีลักษณะเป็นข้าวเหนียวตั้งอยู่. พระหัตถ์และพระบาทของพระโพธิสัตว์

นั้นเป็นเช่นกับหน้าต่างตาข่ายอันช่างผู้ฉลาดดีประกอบแล้ว. เพราะฉะนั้น ท่าน

จึงกล่าวว่า มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจตาข่าย.

เพราะข้อพระบาทตั้งอยู่เบื้องบน พระบาทของพระโพธิสัตว์นั้น จึง

เหมือนสังข์คว่ำ เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์จึงมีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ.

จริงอยู่ ข้อเท้าของคนอื่นอยู่ที่หลังเท้า เพราะฉะนั้น เท้าของคนเหล่านั้นจึงติดกัน

เหมือนติดด้วยสลักกลับกลอกไม่ได้ตามสะดวก เมื่อเดินไปฝ่าเท้าไม่ปรากฏ.

แต่ข้อพระบาทของพระมหาบุรุษขึ้นไปตั้งอยู่เบื้องบน. เพราะฉะนั้น พระวรกาย

ท่อนบนของพระมหาบุรุษ ตั้งแต่พระนาภีขึ้นไปจึงมิได้หวั่นไหวเลย ดุจพระ

สุวรรณปฏิมาประดิษฐานอยู่ในเรือ. พระวรกายท่อนเบื้องล่างย่อมไหว. พระ-

บาทกลอกกลับได้สะดวก. เมื่อชนทั้งหลายยืนอยู่ข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง

แม้ในข้างทั้งสองก็เห็น ฝ่าพระบาทย่อมปรากฏ. แต่ไม่ปรากฏเหมือนยืนอยู่

ข้างหลังช้าง.

บทว่า เอณิชงฺโฆ คือ มีพระชงฆ์เรียวดุจเนื้อทราย. อธิบายว่า

มีพระชงฆ์บริบูรณ์ด้วยหุ้มพระมังสะเต็ม ไม่ใช่เนื้อตะโพกติดโดยความเป็นอัน

เดียว ประกอบด้วยพระชงฆ์เช่นกับท้องข้าวสาลีท้องข้าวเหนียว อันมังสะที่ตั้ง

อยู่เสมอกันโดยรอบล้อมอยู่แล้วกลมกล่อมดีแล้ว.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 119

บทว่า อโนนมนฺโต คือไม่น้อมลง. ท่านแสดงความที่พระมหาบุรุษ

นั้นไม่ค่อมไม่แคระด้วยบทนี้. ก็คนที่เหลือเป็นคนค่อมหรือเป็นคนแคระ.

คนค่อมกายส่วนบนไม่บริบูรณ์ คนแคระกายส่วนล่างไม่บริบูรณ์ คนเหล่านั้น

เพราะกายไม่บริบูรณ์เมื่อก้มลงจึงไม่สามารถลูบคลำเข่าได้. แต่พระมหาบุรุษ

เพราะพระวรกายทั้งส่วนบนส่วนล่างบริบูรณ์ จึงสามารถลูบคลำได้.

บทว่า โกโสหิตวตฺถคุยฺโห ความว่า พระมหาบุรุษมีพระคุยหะซ่อน

อยู่ในฝัก ดุจฝักบัวทอง ดุจคุยหะแห่งโคและช้างเป็นต้น เพราะเหตุนั้น พระ-

มหาบุรุษจึงมีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก. บทว่า วตฺถคุยฺห ท่านกล่าวองคชาต

ควรปกปิดด้วยผ้า.

บทว่า สุวณฺณวณฺโณ ความว่า พระมหาบุรุษเช่นกับรูปทองแท่งที่

คลุกเคล้าด้วยสีแดงชาดแล้วขัดด้วยเขี้ยวเสือ แล้วระบายด้วยดินสอแดงตั้งไว้.

ด้วยบทนี้เพื่อแสดงความที่พระวรกายของพระมหาบุรุษนั้น แน่นสนิทละเอียด

แล้วจึงแสดงพระฉวีวรรณ ท่านจึงกล่าวว่า พระมหาบุรุษมีพระฉวีคล้ายกับทอง

คำดังนี้. อีกอย่างหนึ่งบทนี้เป็นไวพจน์ของบทก่อน.

บทว่า รโชชลฺล คือ ธุลีหรือมลทิน. บทว่า น อุปลิมฺปติ ความ

ว่าไม่ติด คือ กลิ้งเหมือนหยาดน้ำกลิ้งจากใบบัว. ก็พระพุทธเจ้าทั้งปวงทรงกระทำ

การชำระพระหัตถ์เป็นต้น เพื่อกำหนดฤดูและเพื่อผลบุญของพวกทายก. อนึ่ง

ทรงกระทำแม้โดยหลักปฏิบัตินั้นเอง. ข้อนี้ท่านกล่าวไว้ว่า ก็ภิกษุผู้จะเข้าไปสู่

เสนาสนะควรชำระเท้าแล้วจึงเข้าไป.

บทว่า อุทฺธคฺคโลโม ความว่า พระมหาบุรุษมีพระโลมชาติมีปลาย

ช้อยขึ้นเบื้องบน ตอนปลายเวียนเป็นทักษิณาวัฏ ตั้งอยู่มองดูพระพักตร์งาม

เพราะฉะนั้น พระมหาบุรุษมีพระโลมชาติมีปลายช้อนขึ้นเบื้องบน.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 120

บทว่า พฺรหฺมุชุคตฺโต ความว่า พระมหาบุรุษมีพระวรกายตรงเหมือน

กายพรหม คือจักมีพระวรกายสูงตรงขึ้นไปทีเดียว. ความจริงโดยมากสัตว์ทั้ง

หลายย่อมน้อมไปในที่ทั้งสามคือที่คอที่สะเอวที่เข่าทั้งสอง. สัตว์เหล่านั้นเมื่อ

น้อมไปที่สะเอวย่อมไปข้างหลัง. ในที่ทั้งสองพวกนั้นย่อมน้อมไปข้างหน้า. ก็

สัตว์บางพวกมีร่างกายสูง มีข้างคดบางพวกแหงนหน้าเที่ยวไปเหมือนจะนับ

ดวงดาว. บางพวกมีเนื้อและเลือดน้อยเป็นเช่นคนเป็นโรคเสียดท้อง. บางพวก

ง้อมไปข้างหน้าเดินตัวสั่น. อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ก็พระมหาบุรุษนี้ทรง

ดำเนินพระวรกายตรงทีเดียวมีประมาณเท่าส่วนสูง จักเป็นดุจเสาทองที่ยกขึ้น

ในเทพนคร. อนึ่ง พึงทราบว่าข้อนี้ท่านกล่าวหมายถึงข้อที่มหาปุริสลักษณะของ

พระมหาบุรุษ ซึ่งพอประสูติยังไม่บริบูรณ์ด้วยประการทั้งปวงจะเจริญในโอกาส

ต่อไป.

บทว่า สตฺตุสฺสโท ความว่า พระมหาบุรุษมีพระมังสะฟูบริบูรณ์ด้วย

ดีในที่ ๗ สถาน คือ หลังพระหัตถ์ทั้งสอง หลังพระบาททั้งสอง จะงอยพระ

อังสาทั้งสอง และพระศอ เพราะฉะนั้น พระมหาบุรุษจึงชื่อว่ามีพระมังสะเต็ม

ในที่ ๗ สถาน. แต่ของคนเหล่าอื่นที่หลังมือและหลังเท้าเป็นต้น ปรากฏเส้น

เลือดเป็นตาข่ายที่จะงอยบ่าและคอปรากฏปลายกระดูก. มนุษย์เหล่านั้นย่อม

ปรากฏเหมือนเปรต. พระมหาบุรุษไม่ปรากฏเหมือนอย่างนั้น. ก็พระมหาบุรุษ

มีพระศอเช่นกับกลองทองคำที่เขากลึงด้วยหลังพระหัตถ์เป็นต้น มีเส้นเลือด

เป็นตาข่ายซ่อนไว้เพราะมีพระมังสาฟูบริบูรณ์ในที่ ๗ สถาน ย่อมปรากฏเหมือน

รูปศิลาและรูปปั้น.

บทว่า สีหปุพฺพฑฺฒกาโย ความว่า พระมหาบุรุษมีกึ่งกายท่อนบน

เหมือนกึ่งกายท่อนหน้าของราชสีห์ เพราะฉะนั้น พระมหาบุรุษจึงชื่อว่ามีส่วน

พระวรกายเบื้องหน้าเหมือนกึ่งกายเบื้องหน้าแห่งราชสีห์ เพราะว่ากายเบื้องหน้า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 121

ของราชสีห์บริบูรณ์ กายเบื้องหลังไม่บริบูรณ์. ก็พระวรกายทั้งหมดของพระ

มหาบุรุษบริบูรณ์ดุจกายเบื้องหน้าของราชสีห์. แม้พระวรกายของมหาบุรุษก็

เหมือนกายของราชสีห์ย่อมไม่ตั้งอยู่สูง ๆ ต่ำ ๆ ด้วยสามารถแห่งความฟูและ

แฟบเป็นต้น แต่ยาวในที่ควรยาวย่อมเป็นอย่างนั้น ในที่ควรสั้น ควรล่ำ ควร

เรียว ควรกว้าง ควรกลมเป็นต้น. ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

พระมหาบุรุษทรงปลื้มพระทัยนักแล เมื่อผลกรรมปรากฏทรงงดงามเพราะอวัยวะ

ส่วนใดยาว อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่ยาว ทรงงดงามเพราะอวัยวะส่วนใดสั้น

อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่สั้น ทรงงดงามเพราะอวัยวะส่วนใดล่ำ อวัยวะส่วน

นั้นย่อมตั้งอยู่ล่ำ ทรงงดงามเพราะอวัยวะส่วนใดเรียว อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้ง

อยู่เรียว ทรงงดงามเพราะอวัยวะส่วนใดกว้าง อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่กว้าง

ทรงงดงามเพราะอวัยวะส่วนใดกลม อวัยวะส่วนนั้นย่อมตั้งอยู่กลมดังนี้. อัตตภาพ

ของพระมหาบุรุษสะสมไว้ด้วยทานจิต บุญจิต ตระเตรียมไว้ด้วยบารมี ๑๐

ด้วยประการฉะนี้. ศิลปินทั้งปวงหรือผู้มีฤทธิ์ทั้งปวงในโลก ไม่สามารถสร้าง

รูปเปรียบได้.

บทว่า ปิตนฺตรโส ความว่า ในระหว่างส่วนทั้งสองท่านกล่าวว่า

อนฺตรโส. พระมหาบุรุษมีพระอังสาเต็มคือบริบูรณ์ เพราะเหตุนั้น พระมหา

บุรุษจึงมีระหว่างพระอังสาเต็ม. อันที่จริงฐานะนั้นของคนพวกอื่นบุ๋ม หลังและ

ท้องทั้งสองปรากฏเฉพาะตัว. แต่ของพระมหาบุรุษพื้นพระมังสาตั้งแต่บั้น

พระองค์จนถึงพระศอขึ้นไปปิดพระปฤษฎางศ์ ตั้งอยู่เหมือนแผ่นกระดานทองที่

ยกขึ้นตั้งไว้.

บทว่า นิโครฺธปริมณฺฑโล คือ พระมหาบุรุษมีปริมณฑลดุจต้น

นิโครธ. อธิบายว่าพระมหาบุรุษแม้โดยพระวรกาย แม้โดยพยามประมาณเท่า

กันดุจต้นนิโครธลำต้นและกิ่งเสมอกัน เพราะจะเป็น ๕๐ ศอกก็ตาม ๑๐๐

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 122

ศอกก็ตาม ย่อมมีประมาณเท่ากันทั้งส่วนยาวทั้งส่วนกว้าง. กายหรือวาของคน

อื่นยาวไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้นแล ท่านจึงกล่าวว่า ยาวตกฺวสฺส กาโย เป็น

อาทิ. ยาวตกฺวสฺส ตัดบทเป็น ยาวตโก อสฺส ความว่า พระวรกายของ

พระมหาบุรุษเท่ากับวาของพระมหาบุรุษเท่ากับกายของพระมหาบุรุษ.

บทว่า สมวฏฺฎกฺขนฺโธ คือพระมหาบุรุษมีลำพระศอเท่ากัน. คน

บางคนมีลำคอยาว คด หนา เหมือนนกกะเรียน เหมือนนกยาง เหมือนหมู่

เวลาพูด เอ็นเป็นตาข่ายย่อมปรากฏเสียงออกมาแหบฉันใด ของพระมหาบุรุษไม่

เหมือนอย่างนั้น. ก็ลำพระศอของพระมหาบุรุษเป็นเช่นกับกลองทองที่เขากลึง

ดีแล้ว ในเวลาตรัส เอ็นเป็นตาข่ายไม่ปรากฏพระสุรเสียงดังก้องดุจเสียงเมฆ

กระหึ่ม.

ในบทว่า รสคฺคสคฺคี มีวิเคราะห์ว่า เส้นประสาทนำไปซึ่งรสชื่อว่า

รสัคคสา. บทนี้เป็นชื่อของเส้นประสาทนำรสอาหารไป. เส้นประสาทนำรส

อาหารของพระมหาบุรุษนั้นเลิศ เพราะเหตุนั้น พระมหาบุรุษจึงเป็นผู้มีปลาย

เส้นประสาทสำหรับนำรสอาหารอันเลิศ. ได้ยินว่า พระมหาบุรุษมีเส้นประสาท

สำหรับนำรสอาหารประมาณ ๗๐๐๐ เส้น มีปลายขึ้นเบื้องบนแล้วรวมเข้าที่ลำ

พระศอนั่นเอง. พระกระยาหารแม้เพียงเมล็ดงาตั้งอยู่ ณ ปลายพระชิวหาย่อม

แผ่ไปทั่วพระวรกายทุกส่วน. ด้วยเหตุนั้นแล เมื่อพระมหาบุรุษทรงเริ่มตั้งความ

เพียรอันยิ่งใหญ่ ได้ยังพระวรกายให้เป็นไปอยู่ได้ ด้วยข้าวสารเมล็ดเดียวเป็นต้น

บ้าง ด้วยเพียงผักดองฟายมือหนึ่งบ้าง. แต่ของคนอื่นเพราะไม่มีอย่างนั้น รส

โอชาจึงไม่แผ่ไปทั่วกาย. เพราะเหตุนั้น ชนเหล่านั้นจึงมีโรคมาก.

บทว่า สีหหนุ มีวิเคราะห์ว่า พระหนุของพระมหาบุรุษดุจคางของ

ราชสีห์ เพราะเหตุนั้น พระมหาบุรุษจึงมีพระหนุดุจคางราชสีห์. ในบทนั้น

อธิบายว่า ราชสีห์มีคางท่อนล่างบริบูรณ์ท่อนบนไม่บริบูรณ์. แต่พระมหาบุรุษ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 123

บริบูรณ์แม้ทั้งสองดุจคางเบื้องล่างของราชสีห์ เป็นเช่นกันพระจันทร์ในวันขึ้น

๑๒ ค่ำ. ลำดับนั้น พราหมณ์ผู้พยากรณ์ทั้งหลายมองดูปลายพระหนุสังเกตว่าที่

พระหนุเหล่านี้ พระทนต์ ๔๐ องค์คือ ข้างล่าง ๒๐ ข้างบน ๒๐ จักตั้งอยู่

เสมอกันไม่ห่าง จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ พระกุมารนี้มีพระทนต์

๔๐ องค์ พระเจ้าข้า ดังนี้เป็นต้น. ในบทนั้นมีอธิบายดังต่อไปนี้. คนเหล่าอื่น

แม้มีฟันครบบริบูรณ์ก็มี ๓๒ ซี่. แต่พระกุมารนี้จักมี ๔๐ องค์ อนึ่ง ของคน

เหล่าอื่น ฟันบางซี่สูง บางซีต่ำ บางซี่ไม่เสมอกัน. แต่ของพระกุมารนี้จักเสมอ

กันดุจเครื่องหุ้มสังข์ที่ช่างเหล็กตัดฉะนั้น. ฟันของพวกคนอื่นห่างเหมือนฟัน

จรเข้ เมื่อเคี้ยวปลาและเนื้อย่อมเต็มระหว่างฟันหมด. แต่พระทนต์ของพระกุมาร

นี้ จักไม่ห่างดุจแถวแก้ววิเชียรที่เขาตั้งไว้บนแผ่นกระดานทอง จักเป็นดุจตอน

ที่เขาแสดงด้วยดินสอสี อนึ่ง ฟันของคนพวกอื่น เป็นฟันเสียขึ้น เพราะเหตุนั้น

เขี้ยวบางซี่ดำบ้าง ไม่มีสีบ้าง. แต่พระกุมารนี้ มีพระทาฒะขาวสะอาด จักเป็น

พระทาฒะประกอบด้วยรัศมีรุ่งเรืองยิ่งกว่าแม้ดาวประกายพฤกษ์.

บทว่า ปหุตชิวฺโห คือพระกุมารมีพระชิวหาใหญ่. อธิบายว่า ลิ้นของ

คนเหล่าอื่น หนาบ้าง เล็กบ้าง สั้นบ้าง กระด้างบ้าง ไม่เสมอบ้าง. แต่พระชิวหา

ของพระมหาบุรุษ อ่อน ยาว ใหญ่ สมบูรณ์ด้วยสี. พระกุมารนั้นเพื่อปลดเปลื้อง

ความสงสัยของผู้ที่มาเพื่อแสวงหาลักษณะนั้น เพราะพระชิวหาอ่อนจึงทรงแลบ

พระชิวหานั้นดุจของแข็งที่สะอาดแล้วลูบช่องพระนาสิกทั้งสองได้ เพราะพระ-

ชิวหายาวจึงทรงลบช่องพระกรรณทั้งสองได้ เพราะพระชิวหาใหญ่จึงทรงปิด

พระนลาฏแม้ทั้งสิ้นถึงสุดปลายพระเกษา ทรงประกาศความที่พระชิวหานั้น

อ่อน ยาว และใหญ่อย่างนี้ จึงทรงปลดเปลื้องความสงสัยของพราหมณ์ผู้พยากรณ์

เหล่านั้นได้. บทว่า ปหุตชิโวฺห ท่านกล่าวหมายถึงพระชิวหาที่สมบูรณ์ด้วย

ลักษณะทั้ง ๓ อย่างนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 124

บทว่า พฺรหฺมสฺสโร ความว่า แม้คนพวกอื่นย่อมมีเสียงขาดบ้าง แตก

บ้าง. เสียงเหมือนกาบ้าง. แต่พระกุมารนี้จักทรงประกอบด้วยเสียงเช่นกับเสียง

ของท้าวมหาพรหม. ด้วยว่า ท้าวมหาพรหมมีเสียแจ่มใสเพราะไม่กลั้วด้วยน้ำดี

และเสมหะ. กรรมแม้อันพระมหาบุรุษทรงกระทำแล้วย่อมชำระวัตถุของเสียง

นั้น. เพราะวัตถุบริสุทธิ์เสียงปรากฏขึ้นตั้งแต่พระนาภีเป็นเสียงบริสุทธิ์ ประ-

กอบด้วยองค์ ๘ ย่อมปรากฏชัด. พระกุมารตรัสดุจเสียงนกการเวก เพราะเหตุ

นั้น พระกุมารจึงตรัสมีสำเนียงดุจเสียงนกการเวก. อธิบายว่า พระกุมารมีพระ

สุรเสียงก้องไพเราะดุจเสียงนกการเวกอันน่าชื่นชม.

บทว่า อภินีลเนตฺโต ความว่า พระกุมารมีพระเนตรไม่ดำทั้งหมด.

พระเนตรของพระกุมารนั้นประกอบด้วยสีเขียวบริสุทธิ์ยิ่งนัก เช่นกับดอกสาม

หาวในที่ที่ควรเขียว. ในที่ที่ควรเหลืองก็มีสีเหลือง เช่นกับดอกกรรณิกา. ในที่

ที่ควรแดงก็มีสีแดงเช่นกับดอกชบา. ในที่ที่ควรขาวก็มีสีเช่นกับดาวประกาย

พฤกษ์ ในที่ควรดำก็มีสีดำเช่นกับลูกประคำดีควาย พระเนตรย่อมปรากฏ เช่น

กับสีหบัญชรแก้วอันเผยออกแล้วในวิมานทอง.

บทว่า ปขุม ในบทว่า โคปขุโม นี้ ท่านประสงค์ดวงพระเนตร

ทั้งหมด. ดวงตานั้นของลูกโคดำเป็นธาตุหนา ของลูกโคแดงผ่องใส อธิบายว่า

พระกุมารมีดวงเนตรเช่นกับพระโคแดงอ่อนซึ่งเกิดได้ครู่เดียว. จริงอยู่ ดวงตา

ของคนอื่นไม่บริบูรณ์ ประกอบด้วยตาถลนออกมาบ้างลึกลงไปบ้าง เช่นกับตา

สัตว์มีช้างและหนู เป็นต้น. แต่พระเนตรของพระมหาบุรุษสะสมไว้ด้วยความ

อ่อนสนิทดำละเอียดดุจแก้วมณีกลมที่เขาล้างแล้วขัดตั้งไว้.

บทว่า อุณฺณา คือ พระอุณณาโลม. บทว่า ภมุกนฺตเร ความว่า

พระอุณณาโลม เกิดในที่สุดพระนาสิกท่ามกลางพระขนงทั้งสองและก็ขึ้นไปเกิด

ในท่ามกลางพระนลาฏ. บทว่า โอทาตา ความว่า บริสุทธิ์คือมีสีเสมอด้วยดาว

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 125

ประกายพฤกษ์. บทว่า มุทุ ความว่า พระอุณณาโลมเช่นกับไยฝ้ายที่ชี* ได้

๑๐๐ ครั้ง ซึ่งเขาใส่ลงไปในเนยใสตั้งไว้. บทว่า ตูลสนฺนิภา คือ เสมอด้วย

นุ่นไม้งิ้วและนุ่นเคลือ. นี้เป็นข้อเปรียบเพราะความขาวของนุ่น. ก็เมื่อจับปลาย

เส้นพระโลมาแล้วดึงออกจะได้ประมาณครึ่งพระพาหา ครั้นปล่อยเส้นพระโลมา

ก็จะม้วนเป็นทักษิณาวัฏมีปลายในเบื้องบนตั้งอยู่ พระอุณณาโลมนั้น ย่อม

รุ่งเรืองไปด้วยสิริเป็นที่จับใจยิ่งนักดุจฟองน้ำเงินตั้งอยู่ ณ ท่ามกลางแผ่นกระ-

ดานทอง ดุจสายน้ำนมไหลออกจากหม้อทองและดุจดาวประกายพฤกษ์บน

ท้องฟ้าย้อมด้วยแสงอรุณ.

บทว่า อุณฺหีสสีโส นี้ท่านกล่าวอาศัยอำนาจประโยชน์ ๒ อย่าง คือ

ความที่พระนลาฏบริบูรณ์และความที่พระเศียรบริบูรณ์. อธิบายว่า เพราะว่าพื้น

พระมังสะของพระมหาบุรุษนูนขึ้นตั้งเเต่หมวกพระกรรณเบื้องขวาปกพระนลาฏ

ทั้งสิ้นเต็มบริบรูณ์ไปจดหมวกพระกรรณเบื้องซ้าย. งดงามเหมือนแผ่นอุณหิส

เครื่องประดับของพระราชา. ได้ยินว่า ชนทั้งหลายเห็นลักษณะนี้ของพระมหา-

บุรุษได้กระทำทำแผ่นพระอุณหิสสำหรับพระราชาทั้งหลาย. นี้เป็นใจความ

ข้อหนึ่งก่อน. ก็ชนเหล่าอื่นมีศีรษะไม่บริบูรณ์. บางคนมีศีรษะเหมือนลิง

บางคนมีศรีษะเหมือนผลไม้ บางคนมีศีรษะเหมือนช้าง บางคนมีศีรษะ

เหมือนหม้อ บางคนมีศีรษะเหมือนเงื้อมภูเขา. แต่พระมหาบุรุษมีพระเศียร

เช่นกับฟองน้ำบริบูรณ์ดีดุจม้วนด้วยปลายเข็มตั้งไว้. ในสองนัยนั้น ในนัยแรก

พระกุมารมีพระเศียรดุจพระเศียรประดับด้วยกรอบพระพักตร์ เพราะเหตุนั้น

พระกุมารจึงชื่อว่ามีพระเศียรดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์. ในนัยที่สอง

พระกุมารมีพระเศียรเป็นปริมณฑลในที่ทั้งปวงดุจอุณหีส เพราะเหตุนั้นจึงชื่อ

ว่ามีพระเศียรเป็นปริมณฑลดุจอุณหีส.

* ชี หมายถึง ทำสิ่งของที่เป็นปุย เช่น สำลีให้กระจายออก.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 126

บทว่า สพฺพกาเมหิ นี้ ท่านกล่าวเหมือนว่าพระราชาพันธุมให้พวก

พราหมณ์ดูลักษณะแล้วเลี้ยงดูในภายหลัง. แต่ไม่ควรเห็นอย่างนั้น. พึงทราบ

ว่าพระราชาพันธุมโปรดเลี้ยงดูพวกพราหมณ์พยากรณ์ จนอิ่มหนำก่อนแล้วจึง

ให้ตรวจลักษณะภายหลัง. ความพิสดารของเรื่องนั้นท่านกล่าวไว้แล้วในการก้าว

ลงสู่พระครรภ์. บทว่า ปาเยนฺติ คือให้ดื่มน้ำนม. ได้ยินว่า พระราชาพันธุม

โปรดให้นางนม ๖๐ นาง ปรุงน้ำนมมีรสหวานปราศจากโทษบำรุงพระโพธิสัตว์.

แม้นางนมที่เหลือล้วนเป็นผู้ฉลาดในการงานนั้น ๆ ก็แผนกละหกสิบเหมือนกัน.

โปรดให้ชาย ๖๐ คน ทำหน้าที่รับใช้นางนมเหล่านั้น. โปรดให้ตั้งอมาตย์

๖๐ คน คอยดูการกระทำและไม่กระทำของชายนั้น ๆ. ด้วยประการฉะนี้

ได้มีแก่อุปฐาก ๓๖๐ คน คือของหญิง ๒๔๐ คน ของชาย ๑๒๐ คน.

บทว่า เสตจฺฉตฺต คือ ทิพยเศวตฉัตร. ก็ทิพยเศวตฉัตรเป็นของที่ตระกูลให้

ตั้งอยู่ในห้องสิรินั้นแล. พึงทราบความว่า อย่าครอบงำเลย ในบทเป็นต้นว่า

มา น สีต วา ดังนี้.

บทว่า สฺวาสฺสุสุท ตัดบทเป็น โส อสฺสุ สุท บทว่า องฺเกเนว

องฺก ความว่า พระกุมารนั้นอันบุคคลผลัดเปลี่ยนกันอุ้มผลัดเปลี่ยนกันแบก.

บทว่า ปริหริยติ ความว่า นำไป คือ อุ้มไป.

บทว่า มญฺชุสฺสโร คือพระกุมารมีพระสุรเสียงไม่กระด้าง. บทว่า

วคฺคุสฺสโร คือพระกุมารมีพระสุรเสียงเต็มไปด้วยความฉลาด. บทว่า มธุรสฺ-

สโร คือพระกุมารมีพระสุรเสียงน่าพอใจ. บทว่า เปมนียสฺสโร คือพระกุมาร

มีพระสุรเสียงทำให้เกิดความรัก. ข้อนี้เป็นอธิบายในบทนั้น เพราะนกการเวก

มีเสียงเพราะ ได้ยินมาว่า เมื่อนกการเวกจิกมะม่วงสุกมีรสอร่อยด้วยจะงอยปาก

แล้วดื่มรสที่ไหลออกมาแล้วกระพือปีกร้อง บรรดาสัตว์ ๔ เท้า เริ่มเยื้องย่าง

เหมือนเมา. บรรดาสัตว์ ๔ เท้า แม้กำลังหาอาหารก็ทิ้งหญ้าที่เข้าไปในปากฟัง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 127

เสียงนั้น. บรรดาเนื้อร้ายที่กำลังติดตามพวกเนื้อน้อย ๆ ก็ไม่วางเท้าที่ยกขึ้นยืน

นิ่งอยู่. และบรรดาเนื้อที่ถูกติดตามก็ละความกลัวตายยืนนิ่ง. แม้บรรดานก

กำลังบินไปบนอากาศก็เหยียดปีกหยุดฟังเสียง. แม้บรรดาปลาในน้ำกระดิกแผ่น

หูหยุดฟังเสียงนั้น. นกการเวกมีเสียงเพราะถึงอย่างนี้. แม้พระนางอสันธิมิตตา

พระเทวีของพระเจ้าธรรมาโศกราช ก็ยังตรัสถามพระสงฆ์ว่า พระคุณเจ้า

เสียงของใคร ๆ เช่นกับเสียงของพระพุทธเจ้ายังมีอยู่หรือหนอ. พระสงฆ์ถวาย

พระพรว่า ถวายพระพรมีเสียงของนกการเวก. พระคุณเจ้านกเหล่านั้นอยู่ที่ไหน

เจ้าคะ ถวายพระพรว่าอยู่ในป่าหิมพานต์ พระเทวีทูลพระราชาว่า ข้าแต่เทวะ

หม่อมฉันประสงค์จะเห็นนกการเวกเพคะ. พระราชาทรงอธิษฐานว่า นกการเวก

จงมาเกาะในกรงนี้แล้วปล่อยกรงทองไป. กรงทองได้ไปตั้งอยู่ข้างหน้านกการ-

เวกตัวหนึ่ง. นกการเวกนั้นคิดว่า กรงทองมาตามพระดำรัสสั่งของพระราชา

ไม่อาจขัดขืนได้แล้วจับเฉยอยู่ ณ ที่นั้น. กรงทองได้มาตั้งอยู่เบื้องพระพักตร์

ของพระราชา อำมาตย์ทั้งหลายไม่สามารถให้นกการเวกทำเสียงได้. ลำดับนั้น

พระราชาตรัสว่า ดูก่อนพระนายทั้งหลาย นกการเวกเหล่านี้ทำเสียงอย่างไร.

พวกอมาตย์กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ นกการเวกเหล่านี้เห็นพวกญาติจึงจะ

ทำเสียง. ลำดับนั้น พระราชารับสั่งให้เอากระจกล้อมนกการเวกนั้น. นกการเวก

นั้นครั้นเห็นเงาของตนสำคัญว่า ญาติของเรามาแล้ว จึงกระพือปีกร้องดุจเป่า

แก้วมณีวงศ์ด้วยเสียงอันอ่อน. พวกมนุษย์ในสกลนครเยื้องกรายดุจคนเมา

พระนางอสันธิมิตตาดำริว่า เสียงของสัตว์เดียรัจฉานนี้ยังเพราะถึงอย่างนี้ พระ

สุรเสียงของพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงบรรลุสิริ คือ พระสัพพัญญุตญาณจะเป็น

เช่นไรหนอ ยังพระปีติให้เกิดไม่ทรงละพระปีตินั้น ทรงดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล

พร้อมด้วยบริวาร ๗๐๐ พึงทราบว่าเสียงนกการเวกยังเพราะถึงอย่างนี้ แต่

พระสุรเสียงของพระวิปัสสีราชกุมารได้ไพเราะกว่านั้นร้อยส่วนพันส่วน.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 128

บทว่า กมฺมวิปากช คือไม่สำเร็จด้วยภาวนา. ก็มังสจักขุได้เป็น

เช่นกับจักษุของเทวดาทั้งหลายด้วยอำนาจผลของกรรม โดยที่แม้เมล็ดงาเมล็ด

เดียวทำเครื่องหมายไว้แล้ว ใส่ลงไปในหม้องาก็สามารถยกขึ้นให้ได้ฉะนี้.

ในบทว่า วิปสฺสี นี้ เป็นอรรถของคำพูด. ชื่อว่าวิปัสสีเพราะเห็น

ชัดเจนโดยเว้นจากการหลับตา ความจำและความมืดและเห็นด้วยตาที่ลืม. ใน

วาระที่สอง. ชื่อวิปัสสีเพราะเลือกดู. อธิบายว่าสอดส่องดู. บทว่า อตฺเถปนายติ

ความว่า รู้เห็นแนะนำหรือพิจารณาอรรถคดี. ได้ยินว่า วันหนึ่ง เมื่อพระราชา

ประทับนั่งบนศาลสำหรับวินิจฉัยทรงสอดส่องพิจารณาคดี แม่นมนำพระมหา-

บุรุษซึ่งประดับตกแต่งพระองค์แล้วมาวางไว้บนพระหัตถ์ เมื่อพระราชานั้นทรง

รับพระกุมารวางบนพระเพลาแล้วทรงกอดจูบ พวกผู้พิจารณาได้ตัดสินคนที่

เป็นเจ้าของไม่ให้เป็นเจ้าของ พระโพธิสัตว์ทรงเปล่งพระสุรเสียงแสดงความไม่

พอพระทัย. พระราชาตรัสว่า พวกเจ้าพิจารณาคดีนี้อย่างไร. พวกอำมาตย์

มองดูไม่เห็นคนอื่นเพราะตนวินิจฉัยคดีผิด คิดว่า เราจักตัดสินอย่างนี้. พวก

ผู้พิพากษาตัดสินผู้เป็นเจ้าของโดยแท้ให้เป็นเจ้าของใหม่แล้ว พิจารณาดูว่า

พระกุมารทรงทราบหรือไม่หนอ จึงทรงกระทำอย่างนี้ ได้ตัดสินผู้เป็นเจ้าของ

ไม่ให้เป็นเจ้าของอีก. พระโพธิสัตว์ทรงเปล่งพระสุรเสียงอย่างนั้นอีก. ทีนั้น

พระราชาทรงดำริว่า พระกุมารผู้เป็นมหาบุรุษย่อมรู้ ตั้งแต่นั้นมามิได้ทรง

ประมาทเลย. ท่านกล่าวว่าพระกุมารทรงสอดส่องพิจารณาคดี หมายถึงข้อนี้.

ในบทว่า วสฺสิก เป็นต้น ความว่า สถานที่เพื่ออยู่อย่างมีความสุข

ในฤดูฝน ชื่อว่า วสฺสิก. ปราสาทสำหรับประทับในฤดูฝนนอกนี้มีนัยนี้

เหมือนกัน. ก็ข้อนี้ในบทนี้มีอรรถเป็นคำพูด. การอยู่ในฤดูฝนชื่อ วัสสะ

ผู้สมควรซึ่งฤดูฝนนั้นชื่อ วัสสิกะ. แม้ในบทนอกนี้ก็มีนัยนี้แล. ในปราสาท ๓

หลังนั้น ปราสาทที่ประทับให้ฤดูฝน ไม่สูงนัก ไม่ต่ำนัก แม้ประตูและ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 129

หน้าต่างของปราสาทนั้น ก็ไม่มากนัก ไม่น้อยนัก. อนึ่ง เครื่องปูพื้น เครื่อง

ลาดของเคี้ยวและของบริโภคในปราสาทนี้ควรรวมกัน. ในปราสาทสำหรับ

ประทับในฤดูหนาว แม้เสา แม้ฝา ก็ต่ำ. แม้ประตูและหน้าต่างน้อยก็มีช่อง

สะดวก. เพื่อเข้าไปหาความอบอุ่นควรนำฝาและหิ้งออก ก็ในปราสาทหลังนี้

เครื่องปูพื้น เครื่องลาดพื้น ผ้านุ่ง ผ้าห่ม ควรเป็นผ้ากัมพลเป็นต้น ช่วยให้

เกิดความอบอุ่น. ของเคี้ยวและของบริโภคอร่อยและเจือเผ็ด. ในปราสาท

สำหรับประทับในฤดูร้อน แม้เสาแม้ฝาก็สูง. ก็ในปราสาทหลังนี้ประตูและ

หน้าต่างมีตาข่ายมากมาย. เครื่องลาดพื้นเป็นต้นควรสำเร็จด้วยผ้าสองชั้น. ของ

เคี้ยวและของบริโภคควรเป็นของเย็นมีรสอร่อย. อนึ่ง ในปราสาทหลังนี้ ชน

ทั้งหลายตั้งตุ่มใหม่ไว้ในที่ใกล้หน้าต่าง ใส่น้ำจนเต็มแล้วปลูกบัวเขียวเป็นต้น.

สายน้ำไหลเหมือนฝนตกโดยท้องที่ที่ชนทั้งหลายทำท่อน้ำไว้. บทว่า นิปฺปุริ-

เสหิ คือไม่มีผู้ชาย. อธิบายว่า ก็ที่ปราสาทนี้มิใช่ดนตรีอย่างเดียวเท่านั้นที่

ไม่มีผู้ชาย. แม้สถานที่ทั้งหมดก็ไม่มีผู้ชายเหมือนกัน. แม้คนเฝ้าประตูก็เป็น

ผู้หญิง. แม้คนทำบริการมีอาบน้ำเป็นต้น ก็เป็นผู้หญิงทั้งนั้น. ได้ยินว่า

พระราชาทรงดำริว่า ความรังเกียจบุรุษ เพราะเห็นบุรุษย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้เสวย

อิสริยสมบัติและสุขสมบัติเห็นปานนั้น ความรังเกียจบุรุษนั้นอย่าได้มีแก่บุตร

ของเราเลยดังนี้ จึงทรงตั้งสตรีเท่านั้นในกิจการทั้งหมด.

จบอรรถกถาภาณวารที่หนึ่ง

พึงทราบในภาณวารที่สอง. บทว่า โคปานสิวงฺก คือมีซี่โครงคด

ดุจกลอน. บทว่า ภคฺค ความว่า มีหลังงอในที่ทั้ง ๓ คือที่ลำคอ สะเอว

และเข่าทั้ง ๒. บทว่า ทณฺฑปรายน คือ ไปด้วยไม้เท้า มีไม้เท้าเป็นที่พึ่ง.

บทว่า อาตุร คือ กระสับกระส่ายเพราะชรา. บทว่า คตโยพฺพน คือ ล่วง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 130

วัยหนุ่ม ตั้งอยู่ในปัจฉิมวัย. บทว่า ทิสฺวา ความว่า พระกุมารแวดล้อมด้วย

หมู่พลประมาณกึ่งโยชน์ได้จัดอารักขาเป็นอย่างดี เสด็จไปทอดพระเนตรเห็น

บุรุษนั้นอันพรหมชั้นสุทธาวาส และพรหมผู้เป็นขีณาสพแสดงปรากฏข้างหน้า

รถด้วยอานุภาพของพระองค์ในโอกาสที่รถอยู่ข้างหน้าหมู่พลอยู่ข้างหลัง. นัยว่า

มหาพรหมชั้นสุทธาวาสดำริว่า พระมหาบุรุษทรงติดในกามคุณทั้ง ๕ ดุจช้าง

ติดหล่ม เราจักยังสติให้เกิดแก่พระมหาบุรุษนั้นดังนี้ จึงได้แสดงบุรุษนั้น.

อนึ่ง ทั้งพระโพธิสัตว์และสารถีก็ทอดพระเนตรเห็นและเห็นบุรุษที่ท้าวมหา-

พรหมแสดงไว้แล้วอย่างนี้นั้น. จริงอยู่ แม้พรหมทั้งหลายได้แสดงบุรุษนั้นก็เพื่อ

ความไม่ประมาทของพระโพธิสัตว์ และเพื่อการสนทนาของสารถี. พระกุมาร

ตรัสถามว่า ก็คนนี้เป็นอะไร. สารถีทูลว่า คนนี้เป็นคนแก่พระเจ้าข้า ท่าน

กล่าวไว้อย่างไร. พระกุมารตรัสถามว่า นี้แน่เราไม่เคยเห็นบุรุษเห็นปานนี้

มาก่อนเลย. บทว่า เตนหิ ความว่า ถ้าเช่นนั้น แม้เราก็จะพึงมีผมเห็นปานนี้

มีกายเห็นปานนี้. หลายบทว่า ถ้าเช่นนั้นสหายสารถี วันนี้พอแล้วสำหรับภาค

พื้นสวน ความว่า พระกุมารตรัสว่า วันนี้เราพอแล้วสำหรับภาคพื้นสวนที่เรา

เห็น เรากลับกันเถิดดังนี้ ทรงสลดพระทัยตรัสอนุรูปแก่ความสังเวช. บทว่า

อนฺเตปุร คโต ความว่า พระกุมารทรงสละสตรีประทับนั่งพระองค์เดียวใน

ห้องสิริ. บทว่า ยตฺร หิ นาม ความว่า เมื่อมีชาติ ชราย่อมปรากฏ จงตำหนิ

เกลียดชังชาติ ชาติ ชื่อว่าเป็นสิ่งนี้เกลียด เพราะเหตุนั้น พระกุมารประทับนั่ง

ขุดรากของชาติ ดุจถูกศรลูกแรกแทงพระทัยฉะนั้น.

บทว่า สารถึ อามนฺตาเปตฺวา ความว่า นัยว่า พระราชาตั้งแต่พวก

พราหมณ์นักพยากรณ์กราบทูล ทรงเงี่ยพระโสตสดับอยู่ตลอดเวลา. พระราชา

ทรงสดับว่า พระกุมารนั้นเสด็จประพาสพระอุทยาน เสด็จกลับในระหว่างทาง

จึงรับสั่งให้เรียกสารถีมา. ในบทว่า มาเหวโข เป็นต้น ความว่า พระราชาทรง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 131

ดำริอย่างนี้ว่า กุมารโอรสของเรา จงครองราชสมบัติ จงอย่าบวช ถ้อยคำ

ของพวกพราหมณ์จงอย่าเป็นจริงดังนี้.

บทว่า อทฺทสา โข ความว่า กุมารได้ทอดพระเนตรเห็นบุรุษที่ท้าว

สุทธาวาสมหาพรหมแสดงโดยนัยที่กล่าวแล้วในตอนต้นนั้นแล. บทว่า อาพาธิก

ความว่า มีความเจ็บป่วยด้วยอาพาธต่างกันอันทำลายอิริยาบถ. บทว่า ทุกฺขิต คือ

ถึงทุกข์ด้วยทุกข์คือโรค. บทว่า พาฬฺหคิลาน คือไข้หนัก. บทว่า ปลิปนฺน

คือจม. แม้ในบทนี้ว่าชราจักปรากฏ พยาธิจักปรากฏ ความว่า เมื่อมีชาติ ชรา

พยาธิทั้งสองนี้ย่อมปรากฏ ชาติน่ารังเกียจไม่มีชาติจะปลอดโปร่ง เพราะเหตุ

นั้น พระกุมารประทับนั่งขุดรากของชาติ ดุจถูกศรลูกที่สองแทง.

บทว่า วิลาต คือวอ. บทว่า เปต คือละไปจากโลกนี้. บทว่า กาลกต

คือตาย. อธิบายว่าอันคนเรากระทำสิ่งทั้งปวงตลอดกาล ที่เป็นอยู่ ครั้นเสร็จแล้ว

ก็ตาย. พรหมทั้งหลายแสดงแม้เรื่องนี้แก่พระกุมารโดยนัยก่อนนั้นแล. แม้ใน

บทว่า ยตฺร หิ นาม นี้ก็มีอธิบายว่า เมื่อมีชาติ ชราพยาธิมรณะทั้ง ๓ นี้ ย่อม

ปรากฏ ชาติเป็นสิ่งน่ารังเกียจ เมื่อไม่มีชาติก็ปลอดโปร่ง เพราะเหตุนั้น

พระกุมารประทับนั่งขุดรากของชาติดุจถูกศรลูกที่ ๓ แทง.

บทว่า ภณฺฑุ คือโล้น. พรหมทั้งหลายแสดงแม้เรื่องนี้แก่พระกุมาร

โดยนัยก่อนนั้นแล.

ในบทว่า สาธุ ธมฺมจริยา เป็นต้น ความว่า สารถีทูลพระกุมารว่า

ข้าแต่เทวะ ความเป็นผู้ประพฤติธรรมนี้เป็นความดีดังนี้ พึงทราบการประกอบ

บทหนึ่ง ๆ อย่างนี้ว่า ปพฺพชิโต ดังนี้. อนึ่งบททั้งหมดนี้เป็นไวพจน์ของกุศล

กรรมบถ ๑๐ นั้นเอง. ก็ในที่สุดบทว่า อวิหึสา เป็นส่วนเบื้องต้นของกรุณา.

บทว่า อนุกมฺปา เป็นส่วนเบื้องต้นของเมตตา. บทว่า เตนหิ เป็นนิบาตใน

ความว่าเร่งเร้า. เพราะพระกุมารทอดพระเนตรเห็นบรรพชิตแล้วมีพระทัยน้อม

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 132

ไปในบรรพชา. ลำดับนั้น พระกุมารมีพระประสงค์จะตรัสกับสารถีนั้น เมื่อจะ

ทรงส่งสารถีกลับจึงตรัสคำเป็นอาทิว่า เตนหิ ดังนี้.

บทว่า อถโข ภิกฺขเว ความว่า พระกุมารีทรงสดับคำเป็นต้นว่า การ

ประพฤติธรรมเป็นความดีของบรรพชิต และคำอื่นอีกมากอันเป็นธรรมกถา

ประกอบด้วยโทษของผู้อยู่ครองเรือนอันคับแคบด้วยบุตรและภรรยาที่หมู่มหา-

ชนรักษาอยู่และประกอบด้วยอานิสงส์แห่งวิเวก ของบรรพชิตผู้อยู่ในป่าตาม

สบาย มีใจเป็นเช่นมฤคแล้วมีพระประสงค์จะบรรพชา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้ง

นั้นแล วิปัสสีกุมารจึงได้เรียกสารถีมา. ชื่อว่าการเห็นเทวทูตทั้ง ๒ เหล่านี้

แล้วบวชเป็นวงศ์ เป็นแบบแผน เป็นประเพณีของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์.

อนึ่งพระโพธิสัตว์แม้เหล่าอื่นก็ย่อมเห็นสิ้นกาลนานเหมือนพระวิปัสสีกุมารพระ-

องค์นี้ทรงเห็นแล้วตลอดกาลนาน. แต่พระโพธิสัตว์ของเราทั้งหลายทรงเห็น

เทวทูตทั้ง ๔ วันเดียวเท่านั้น ก็เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ทรงบรรพชาที่ฝั่ง

แม่น้ำอโนมา จากนั้นเสด็จถึงกรุงราชคฤห์ ณ ที่นั้นพระราชาพิมพิสารทูลถาม

ว่า ท่านบัณฑิต ท่านบวชเพื่ออะไร ตรัสว่า

มหาพิตรอาตมาเห็นคนแก่คนเจ็บ

ได้รับทุกข์ และคนตายถึงอายุขัย

กับได้เห็นบรรพชิตนุ่งห่มผ้ากาสายะ

เพราะฉะนั้นจึงบวช ถวายพระพร

บทว่า สุตฺวาน เตส ความว่า มหาชน ๘๔,๐๐๐ คนนั้น ได้สดับแล้ว

ได้มีดำริดังนี้. บทว่า โอรโก คือพร่อง ลามก. บทว่า อนุปพฺพชึสุ คือ

บวชตาม. ก็เพราะเหตุใดในที่นี้ท่านจึงไม่กล่าวเหมือนที่ท่านกล่าวไว้ข้างต้นว่า

พระกุมารเสด็จออกจากราชธานีพันธุมดี โดยท่านขัณฑะและท่านติสสะออก

บวชตาม. เพราะออกไปแล้วจึงได้สดับ. ได้ยินว่า มหาชนแม้ทั้งหมดเหล่านี้

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 133

เป็นบุรุษอุปฐากของพระวิปัสสีกุมาร. มหาชนเหล่านั้นมาอุปฐากแต่เช้าตรู่

ครั้นไม่เห็นพระกุมาร จึงพากันกินอาหารเช้า ครั้นกินอาหารเช้าเสร็จแล้วจึงมา

ถามว่า พระกุมารไปไหน ครั้นสดับว่าพระกุมารเสด็จไปพระอุทยานจึงพากัน

ออกไปด้วยคิดว่า พวกเราจักเฝ้าพระกุมารในพระอุทยานนั้น ครั้นเห็นสารถีกลับ

ได้สดับคำของสารถีนั้นว่า พระกุมารทรงบรรพชาแล้วจึงเปลื้องอาภรณ์ทุก

อย่างไว้ในที่ที่ได้สดับแล้วนั่นเอง ให้คนนำผ้ากาสายะสีเหลืองจากตลาดมาแล้ว

ปลงผมและหนวดบวชแล้ว. ด้วยเหตุดังนี้ ในที่นี้จึงไม่กล่าวว่าออกจากราชธานี

พันธุมดี เพราะออกจากนครแล้วจึงได้สดับนอกนคร.

บทว่า จาริก จรติ ความว่า พระวิปัสสีโพธิสัตว์สร้างมณฑปใหญ่

ในที่ที่ไปแล้ว ตระเตรียมทานมารับนิมนต์ในวันรุ่งขึ้นรับภิกษาที่มหาชนขอ

ร้องไว้ เที่ยวจาริกไปตลอด ๔ เดือน. บทว่า อากิณฺโณ คือถูกแวดล้อมด้วย

คณะนี้. ก็ความวิตกนี้เกิดขึ้นแก่พระโพธิสัตว์เมื่อไร. ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เพราะ

วันพรุ่งนี้จักเป็นวันเพ็ญเดือน ๖. ได้ยินว่า ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า

พวกนี้เมื่อก่อนแวดล้อมเราผู้เป็นคฤหัสถ์เที่ยวไปอย่างใด แม้เดี๋ยวนี้ก็เป็น

อย่างนั้นอยู่อีก ประโยชน์อะไรด้วยคณะนี้ ทรงรังเกียจด้วยการปะปนอยู่กับคณะ

ทรงดำริว่า เราจะไปวันนี้แหละ แล้วทรงดำริต่อไปว่า วันนี้ยังไม่ถึงเวลา หาก

เราจักไปเดี๋ยวนี้ พวกนี้ทั้งหมดก็จะรู้ เราจักไปวันพรุ่งนี้. อนึ่ง ในวันนั้น

ชาวบ้านในหมู่บ้านเช่นกับหมู่บ้านอุรุเวลาได้นิมนต์พระโพธิสัตว์เพื่อฉันในวัน

รุ่งขึ้น. ชาวบ้านเหล่านั้นตระเตรียมข้าวปายาสสำหรับบรรพชิต ๘๔,๐๐๐ รูป

และสำหรับพระมหาบุรุษ. ขณะนั้น พระมหาบุรุษได้ฉันอาหารกับบรรพชิต

เหล่านั้นในบ้านนั้น ในวันรุ่งขึ้นแล้วได้ไปที่อยู่. ณ ที่นั้นพวกบรรพชิตได้

ปรนนิบัติพระมหาบุรุษเสร็จแล้วเข้าไปที่พักกลางคืนและกลางวันของตน ๆ.

แม้พระโพธิสัตว์ก็เสด็จเข้าไปประทับนั่ง ณ บรรณศาลา ทรงรำพึงว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 134

เมื่อถึงเวลาเที่ยง นกทั้งหลายมารวมกัน

ป่าใหญ่จะมีเสียงอึกกะทึก ภัยนั้นจะส่องถึงเรา

ในคราวมีภัยแก่ผู้ยินดีในความสงัด ในคราวมีความวุ่นวายแก่สัตว์

ทั้งปวง เห็นปานนี้ พระโพธิสัตว์ทรงดำริว่า นี้ถึงเวลาแล้วจึงเสด็จออกปิดประตู

บรรณศาลา บ่ายพระพักตร์สู่โพธิมัณฑะ. แม้ในกาลอื่นพระโพธิสัตว์เที่ยวไปใน

ที่นั้น ทรงเห็นโพธิมัณฑ์. แต่พระทัยพระโพธิสัตว์นั้นไม่เคยน้อมไปเพื่อประทับ

นั่งเลย. แต่วันนั้นพระญาณของพระโพธิสัตว์ถึงความแก่กล้า เพราะฉะนั้น

เกิดจิตเพื่อทอดพระเนตรโพธิมัณฑะที่ตกแต่งแล้วเสด็จขึ้นไป. พระโพธิสัตว์นั้น

เสด็จเข้าไปโดยส่วนทิศใต้ทรงกระทำปทักษิณปูบัลลังก์กว้าง ๑๔ ศอกในส่วน

ทิศตะวันออก ทรงอธิษฐานความเพียรประกอบด้วยองค์ ๔ ประทับนั่งทรงตั้ง

ปฏิญญาว่า เราจะไม่ลุกจากที่นี้ตลอดเวลาที่เรายังมิได้เป็นพุทธะ. ท่านกล่าว

บทนี้ว่า พระโพธิสัตว์พระองค์เดียวหลีกออกจากคณะอยู่ หมายถึงการหลีก

ออกจากพระโพธิสัตว์พระองค์นี้.

บทว่า อญฺเเนว ตานิ ความว่า นัยว่า บรรพชิตเหล่านั้นมาอุปฐาก

พระโพธิสัตว์ตอนเย็นแล้วนั่งล้อมบรรณศาลากล่าวว่า เกินเวลาไปมากแล้ว

พวกท่านจงเข้าไปสังเกตการณ์ ครั้นเปิดบรรณศาลา แม้เมื่อไม่เห็นพระโพธิ-

สัตว์นั้น ก็มิได้ติดตามให้รู้ว่า พระโพธิสัตว์เสด็จไปไหน. พวกบรรพชิตคิดว่า

พระมหาบุรุษทรงเบื่อในการอยู่ร่วมคณะ เห็นจะมีพระประสงค์จะประทับอยู่

พระองค์เดียว พวกเราจักเห็นพระโพธิสัตว์ตอนได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วนั่น

แหละ แล้วพากันมุ่งหน้าไปภายในชมพูทวีปหลีกออกจาริกไป.

บทว่า วาสูปคตสฺส ความว่า เข้าไปอยู่ราตรีหนึ่ง ณ โพธิมัณฑะ.

บทว่า รโหคตสฺส คือไปในที่ลับ. บทว่า ปฏิสลฺลีนสฺส คือเร้นอยู่ด้วย

สามารถแห่งความเป็นผู้เดียว. บทว่า กิจฺฉ คือ ยาก. ก็ทั้งสองบทนี้คือ จวติ จ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 135

อุปปชฺชสิ จ ท่านกล่าวหมายถึงจุติและปฏิสนธิต่อ ๆ ไป. ในบทว่า ชรา-

มรณสฺส นี้ความว่า เพราะพระโพธิสัตว์เมื่อทรงผนวชทอดพระเนตรเห็น คน

แก่ คนเจ็บ และคนตายนั่นแลจึงทรงผนวช ฉะนั้น ชราและมรณะนั้นแลย่อม

ปรากฏแก่พระโพธิสัตว์นั้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วว่า ชรา

มรณสฺส ดังนี้.

ด้วยประการดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ความปริวิตกนี้ได้

มีแก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ผู้กระทำชราและมรณะ ให้เป็นข้อมูลตั้งมั่นเฉพาะแล้ว

ดุจหยั่งลงจากภวัคคพรหม. บทว่า โยนิโสมนสิการา ความว่า กระทำไว้ใน

ใจโดยอุบาย คือ ทำทางไว้ในใจ. อธิบายว่า จริงอยู่ เมื่อกระทำไว้ในใจซึ่ง

ลักษณะมีความไม่เที่ยง เป็นต้น โดยลักษณะมีความไม่เที่ยง เป็นต้น ชื่อว่า

ผู้กระทำไว้ในใจโดยอุบายแยบคาย. อนึ่ง โยนิโสมนสิการ นี้ย่อมเป็นอย่างใด

อย่างหนึ่งของบรรดาอภิสมัยเหล่านั้น เพราะความเป็นไปด้วยสามารถแห่งปรีชา

คำนึงเห็นทั้งความเกิดทั้งความดับว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติเป็นต้นย่อมมี เมื่อ

อะไรไม่มีชาติ เป็นต้นย่อมไม่มีดังนี้ เพราะฉะนั้น การตรัสรู้ด้วยปัญญาได้มีแก่

พระโพธิสัตว์นั้น เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคายจากนี้ คือด้วยการกระทำไว้

ในใจโดยอุบายนี้ ดังนั้นเมื่อสิ่งใดมี ชรามรณะย่อมมี การรวมกันเข้ากับเหตุ คือ

ชราและมรณะนั้นได้มีด้วยพระปัญญาของพระโพธิสัตว์. ก็ชราและมรณะนั้นมี

เพราะอะไร. เพราะชาติ. เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่าเมื่อชาติมี

ชรามรณะจึงมีการรวมกันเข้ากับปัญญากำหนดเหตุแห่งชราและมรณะได้มีแก่

พระโพธิสัตว์นี้เป็นอธิบายในข้อนี้. พึงทราบบททั้งหมดโดยทำนองนี้.

ก็ในบทว่า เมื่อนามรูปมีวิญญาณจึงมีนี้ ความว่า ควรจะกล่าวว่า เมื่อ

สังขารมี วิญญาณจึงมี และเมื่ออวิชชามี สังขารจึงมี แม้ทั้งสองนั้น เชื่อถือไม่ได้.

เพราะอะไร. เพราะอวิชชากับสังขารเป็นอดีตภพ. วิปัสสนานี้ไม่ต่อกับ อวิชชา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 136

และสังขารเหล่านั้น. จริงอยู่ พระมหาบุรุษทรงตั้งมั่นอยู่แล้วด้วยสามารถแห่ง

ปัจจุบัน. อันผู้ไม่เห็นอวิชชาและสังขารไม่อาจเป็นพระพุทธเจ้าได้มิใช่หรือ.

จริงไม่อาจเป็นได้. แต่ธรรมเหล่านั้น อันพระมหาบุรุษนี้เห็นแล้วด้วย สามารถ

แห่งภพ อุปาทานและตัณหา. ก็ในที่นี้ควรกล่าวถึงปฏิจจสมุปบาทโดยพิสดาร.

ปฏิจจสมุปบาทนั้นท่านกล่าวไว้แล้วในวิสุทธิมรรค.

บทว่า ปจฺจุทาวตฺตติ คือกลับเวียนมา. ก็ในบทนี้วิญญาณกลับเวียน

มาเป็นไฉน. วิญญาณนั้นได้แก่ ปฏิสนธิวิญญาณบ้าง วิปัสสนา. วิญญาณบ้าง

ในวิญญาณทั้งสองนั้น ปฏิสนธิวิญญาณกลับเวียนมาแต่ปัจจัย. วิปัสสนาวิญญาณ

กลับเวียนมาแต่อารมณ์. แม้ทั้งสองก็ไม่พ้นนามรูป อื่นจากนามรูปย่อมไปไม่ได้.

ในบททั้งหลายมีอาทิว่า เอตฺตาวตา ชาเยถ วา ความว่า ท่านแสดงบททั้ง

๕ พร้อมด้วยจุติและปฏิสนธิอื่นๆ อย่างที่ว่า เมื่อวิญญาณเป็นปัจจัย แก่นามรูป

และเมื่อนามรูปเป็นปัจจัย แก่วิญญาณ แม้เมื่อทั้งสองก็เป็นปัจจัยของกันและกัน

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ สัตว์โลกพึงเกิดบ้าง พึงแก่บ้าง พึงตายบ้าง พึงจุติบ้าง พังอุบัติ

บ้าง ก็นอกจากนี้อย่างอื่นยังมีอีกหรือ สัตว์พึงเกิดบ้าง ฯลฯ พึงอุบัติบ้าง นี้

เท่านั้นมิใช่หรือสัตว์ย่อมเกิด ฯลฯ และย่อมอุบัติ เมื่อจะขยายความที่ท่านกล่าว

คำนั้นอีกว่า เอตฺตาวตา จึงกล่าวว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีรูปนาม ต่อจากนั้นเพื่อจะแสดงชาติชราและมรณะ

แม้ต่อไป อันมีนามรูปเป็นรากเหง้า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ด้วยสามารถ

ปัจจยาการโดยอนุโลม จึงกล่าวคำเป็นอาทิว่า เพราะนามรูปเช่นปัจจัย จึงมี

สฬายตนะ. ในบททั้งหลายเหล่านั้น บทว่า เกวลสฺส ทุกฺขกฺขนฺธสฺส สมุท-

โย โหติ ความว่า ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลมีประเภทเป็นต้นว่า ชาติ

ชรามรณะโสกะปริเทวะทุกข์ โทมนัสและอุปายาส ย่อมมีได้. พระมหาบุรุษได้

เห็นความเกิดแห่งวัฏฏทุกข์ ทั้งมวลด้วยประการฉะนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 137

บทว่า สมุทโย สมุทโยติ โข ความว่า เกิดขึ้นเกิดขึ้นดังนี้แล. บทว่า

อนนุสฺสุเตสุ ความว่า ไม่ได้สดับมาแล้วคือไม่เคยฟังมาแล้ว. ในบททั้งหลาย

ว่า จักษุเกิดขึ้นแล้ว เป็นต้น ความว่า ก็ปัญญาเห็นความเกิดนี้ท่านกล่าวว่า

เป็นจักษุ ด้วยอรรถว่าเห็น เป็นญาณด้วยอรรถว่าทำให้รู้ เป็นปัญญาด้วยอรรถ

ว่ารู้ทั่ว เป็นวิชชาด้วยอรรถว่ารู้แจ้ง แทงตลอดเกิดขึ้นแล้ว เป็นอาโลกะ ด้วย

อรรถว่าเป็นแสงสว่างดังนี้. เหมือนอย่างท่านกล่าวแล้วว่า จักษุเกิดขึ้นแล้ว

โดยอรรถว่าเห็นญาณเกิดขึ้นแล้วโดยอรรถว่ารู้แล้ว ปัญญาเกิดขึ้นแล้วโดยอรรถ

ว่ารู้ทั่ว วิชชาเกิดขึ้นแล้วโดยอรรถว่า แทงตลอด อาโลกะเกิดขึ้นแล้วโดยอรรถ

ว่าแสงสว่าง จักษุเป็นเหตุ อรรถว่าเห็นเป็นผล ญาณเป็นเหตุ อรรถว่า รู้แล้ว

เป็นผล ปัญญาเป็นเหตุ อรรถว่ารู้ชัดเป็นผล วิชชาเป็นเหตุ อรรถว่าแทง

ตลอดเป็นผล อาโลกะเป็นเหตุ อรรถว่าแสงสว่างเป็นผลดังนี้. ท่านกล่าวด้วย

บทเพียงเท่านี้หรือ. ท่านกล่าวเพียงให้กำหนดรู้ปัจจัยว่า เมื่อสิ่งนี้มีอยู่ สิ่งนี้ย่อม

มีดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง. ท่านกล่าวถึง ตรุณวิปัสสนา อันเป็นแนวทางปฏิบัติ.

บทว่า อธิคโต โข มยาย ความว่า มรรคนี้อันเราบรรลุแล้ว. บท

ว่า มคฺโค คือ วิปัสสนามรรค. บทว่า โพธาย ความว่า เพื่อรู้อริยสัจ ๔ หรือ

เพื่อรู้นิพพาน. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อ โพธิเพราะรู้. นี้เป็นชื่อของอริยมรรค.

เป็นอันท่านกล่าวว่าเพื่อประโยชน์แก่อริยมรรคนั้นบ้าง. เพราะอริยมรรคมี

วิปัสสามรรคเป็นมูล. บัดนี้เมื่อจะขยายความมรรคนั้นจึงกล่าวคำเป็นอาทิว่า

ยทิท นามรูปนิโรธา ดังนี้. อนึ่งในบทนี้ท่านกล่าวถึงนิพพานเท่านั้นด้วยบท

ปฐมาวิภัตติ์ว่า วิญฺาณนิโรโธ เป็นต้น ด้วยประการฉะนี้ พระมหาบุรุษ

ได้ทรงเห็นการดับคือความไม่เกิดขึ้นแห่งวัฏฏทุกข์ทั้งมวล.

บทว่า นิโรโธ นิโรโธติ โข ความว่า ไม่เกิด ไม่เกิดแล. บทว่า

จกฺขุ เป็นต้น มีความอันท่านกล่าวไว้แล้วนั่นแล. แต่ในที่นี้ ด้วยบททั้งหมดนี้

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 138

ท่านกล่าวเพียงให้รู้ถึงความดับเท่านั้นว่า เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ ย่อมไม่มี ดังนี้.

อีกอย่างหนึ่ง. ท่านกล่าวถึงวิปัสสนาแก่กล้าอันจะให้ถึงความพ้นไป.

บทว่า อปเรน สมเยน ความว่า พระโพธิสัตว์ทรงรู้ปัจจัยและความ

ดับแห่งปัจจัยอย่างนี้ในสมัยอื่นจากนั้น. บทว่า อุปาทานกฺขนเธสุ คือในขันธ์

อันเป็นปัจจัยแห่งอุปาทาน. บทว่า อุทยพฺพยานุปสฺสี ความว่า พิจารณาเห็น

ความเกิดและความเสื่อมที่เห็นแล้วครั้งแรกนั่นแหละ. บทว่า วิหาสิ ความว่า

พระโพธิสัตว์ทรงเจริญวิปัสสนาอันเป็นเหตุให้ถึงความพ้นสุดยอดอยู่. ท่าน

กล่าวข้อนี้ไว้เพราะเหตุไร. เพราะพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทรงบำเพ็ญบารมี

ในปัจฉิมภพเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ในวันพระโอรสประสูติทรงผนวชทรง

ประกอบความเพียรเสด็จขึ้นโพธิบัลลังก์ทรงกำจัดมารและเสนามารในยามต้นทรง

ระลึกถึงขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยใจภพก่อน ในยามที่สองทรงชำระทิพยจักขุ ในยามที่

สามทรงพิจารณาปัจจยาการ ทรงออกจากจตุตถฌานกำหนดลมหายใจเข้าออก

ทรงเพ่งพินิจในขันธ์ ๕ ทรงเห็นลักษณะ ๕๐ ถ้วน ด้วยสามารถความเกิดและความ

เสื่อมทรงเจริญวิปัสสนา จนกระทั่งถึงโคตรภูญาณแล้วทรงแทงตลอดพุทธคุณ

ทั้งสิ้นด้วยอริยมรรค. อนึ่ง พระมหาบุรุษแม้พระองค์นี้ก็ได้บำเพ็ญบารมีแล้ว.

พระองค์ทรงกระทำตามลำดับ ทั้งหมดดังที่กล่าวแล้วในปัจฉิมยาม ทรงออกจาก

จตุตถฌานกำหนดลมหายใจเข้าออก ทรงเพ่งพินิจในขันธ์ ๕ ทรงปรารภการ

เห็นแจ้งความเกิดและความเสื่อมมีประการดังที่กล่าวแล้ว. ท่านกล่าวถึงความ

เห็นแจ้งอันจะให้ถึงความพ้นนี้ เพื่อแสดงถึงความเห็นแจ้งความเกิดและความ

เสื่อมนั้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อิติรูป ความว่า รูปนี้ รูปมีประมาณเท่านี้

รูปเบื้องบนจากนี้ย่อมไม่มี เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวถึงการกำหนดรูปอันไม่มี

ส่วนเหลือด้วยสามารถแห่งลักษณะรสปัจจุปัฏฐานและปทัฏฐาน กระทำสภาวะ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 139

แห่งการสลายไป และประเภทแห่งการอาศัยเกิดเป็นอาทิ. ท่านกล่าวความเห็น

เหตุเกิดแห่งรูปที่กำหนดไว้อย่างนี้ ด้วยบทนี้ว่า อิติ รูปสฺส สมุทโย ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อิติ ความว่า อย่างนี้เป็นเหตุเกิด. พึงทราบความ

พิสดารของบท สมุทโย นั้นอย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาเกิด รูปจึงเกิด เพราะ

ตัณหาเกิด รูปจึงเกิด เพราะกรรมเกิด รูปจึงเกิด เพราะอาหารเกิด รูปจึงเกิด

เพราะเหตุนั้น แม้เห็นลักษณะแห่งการเกิดอยู่ก็ย่อมเห็นเหตุเกิดของรูปขันธ์.

แม้ในความดับก็พึงทราบความพิสดารอย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาดับ รูปจึงดับ

ฯลฯ แม้เห็นลักษณะแห่งความเปลี่ยนแปลงอยู่ก็ย่อมเห็นความดับแห่งรูปขันธ์.

แม้ในบททั้งหลายว่า อิติ เวทนา เป็นต้น ก็มีความว่า เวทนานี้ เวทนามี

ประมาณเท่านี้ เวทนาเบื้องบนจากนี้ย่อมไม่มี สัญญานี้ สังขารเหล่านี้ วิญญาณนี้

วิญญาณมีประมาณเท่านี้ วิญญาณเบื้องบนจากนี้ย่อมไม่มีดังนี้ ท่านกล่าว

กำหนด เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณไม่เหลือด้วยสามารถแห่งลักษณะรส

ปัจจุปัฎฐานและปทัฎฐานกระทำสภาพแห่งความเสวยอารมณ์ ความรู้สึก การปรุง

และความเข้าใจ และประเภทแห่งสุขเป็นต้น รูปสัญญาเป็นต้น ผัสสะเป็นต้น

จักขุวิญญาณเป็นต้น ให้เป็นอาทิ. ก็แต่ว่าท่านกล่าวถึงความเห็นเหตุเกิดแห่ง

เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณทั้งหลายที่กำหนดไว้อย่างนี้ด้วยบทว่า อิติ

เวทนาย สมุทโย เป็นต้น. บทว่า อิติ แม้ในบทนั้นก็มีความว่า อย่างนี้เป็น

เหตุเกิดดังนี้. ความพิสดารแม้ของบทเหล่านั้นว่า เพราะอวิชชาเกิด เวทนาจึง

เกิด พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในรูปนั้นและ. แต่มีความแปลกออกไปดังนี้.

ในขันธ์ ๓ ไม่ควรกล่าวว่า เพราะอาหารเกิด ควรกล่าวว่า เพราะผัสสะเกิด.

ในวิญญาณขันธ์ ควรกล่าวว่า เพราะนามรูปเกิด. แม้บทว่าความดับพึง

ประกอบด้วยสามารถแห่งบทเหล่านั้นนั่นแล. นี้เป็นสังเขปในบทนี้. ข้อวินิจฉัย

ความเกิดและความเสื่อมอย่างพิสดารบริบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง ท่านกล่าวไว้

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 140

แล้วในวิสุทธิมรรค. บทว่า เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นทรงพิจารณาเห็นความเกิด

และความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ ความว่า เมื่อพระวิปัสสีโพธิสัตว์นั้น

พิจารณาเห็นความเกิดและความเสื่อมด้วยสามารถลักษณะ ๕๐ ถ้วน ในอุปา-

ทานขันธ์ ๕ มีรูปเป็นต้นเหล่านี้อยู่ เมื่อวิปัสสนาญาณเจริญแล้วตามลำดับ

จิตไม่ยึดมั่นเพราะไม่เกิด ย่อมพ้นจากกิเลสทั้งหลายกล่าวคือ อาสวะดับสนิท

ด้วยอนุปาทนิโรธ. จิตนั้นชื่อว่าย่อมพ้นในขณะมรรค ชื่อว่าพ้นแล้วในขณะผล

หรือว่าพ้นแล้วและจะพ้นในขณะมรรค เป็นอันพ้นแล้วในขณะผลนั่นเอง.

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล พระมหาบุรุษทรงพ้นแล้วจากเครื่องผูกมัดทั้งปวง มีพระ-

สันดานเบิกบานดุจประทุมต้องแสงอาทิตย์ฉะนั้น มีพระดำริบริบูรณ์ประทับนั่ง

ณ โพธิบัลลังก์ ทรงกระทำมรรคญาณ ๔ ผลญาณ ๔ ปฏิสัมภิทา ๔ ญาณ

กำหนดกำเนิด ๔ ญาณกำหนด ๕ อสาธารณญาณ ๖ และพระพุทธคุณ

ทั้งมวลให้อยู่ในเงื้อมพระหัตถ์. ทรงกระทำไว้ในพระทัยอย่างนี้ว่า

เราแล่นไปสิ้นสงสารหลายชาติ แสวงหา

ช่างทำเรือนไม่พบ การเกิดบ่อย ๆ เป็นทุกข์

ดูก่อนช่างทำเรือน เราพบท่านแล้ว ท่าน

จะไม่ทำเรือนอีก เราหักซี่โครงของท่านหมดแล้ว

เรารื้อเรือนยอดเสียแล้ว จิตของเราไม่ได้

ปรุงแต่งแล้ว เราได้บรรลุความสิ้นตัณหาแล้ว

ไม่มีคติเพื่อประกาศแก่ผู้ที่พ้นโดยชอบ

ผู้ข้ามโอฆะอันผูกมัดด้วยกาม ผู้บรรลุ

สุขอันไม่หวั่นไหว เหมือนอันใคร ๆ ไม่รู้

คติของผู้ทำลายท่อนเหล็กอันรุ่งเรือง

ด้วยพระเวท เป็นผู้สงบโดยลำดับฉะนั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 141

ทรงรุ่งเรืองดุจพระอาทิตย์ในสารทกาลและดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญ.

จบภาณวารกถาที่ ๒

พึงทราบในภาณวารที่ ๓. บทว่า ยนฺนูนาห ธมฺม เทเสยฺย ความว่า

ไฉนหนอ เราจะพึงแสดงธรรม. ก็วิตกนี้เกิดขึ้นแล้วเมื่อไร. เกิดขึ้นในสัปดาห์

ที่ ๘ ของผู้เป็นพระพุทธเจ้า.

ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า วิปัสสีนั้นเป็นพระพุทธเจ้า

แล้วประทับนั่ง ณ โพธิบัลลังก์ตลอดสัปดาห์ ประทับยืนเพ่งดูโพธิบัลลังก์ตลอด

สัปดาห์ เสด็จจงกรม ณ เรือนแก้วตลอดสัปดาห์ ประทับนั่งเฟ้นพระธรรม

ณ เรือนแก้วตลอดสัปดาห์ ประทับนั่ง ณ อชปาลนิโครธตลอดสัปดาห์ ประทับ

นั่ง ณ โคนมุจลินท์ตลอดสัปดาห์ ประทับนั่ง ณ ราชายตนะตลอดสัปดาห์

เสด็จลุกจากราชายตนะนั้น พอพระองค์เสด็จมาในสัปดาห์ที่ ๘ ประทับนั่ง ณ

อชปาลนิโครธอีก ความวิตกนี้และความวิตกนอกเหนือจากนี้ที่พระพุทธเจ้า

ประพฤติและพระพฤติมาอย่างสม่ำเสมอเกิดขึ้นแล้วแก่พระพุทธเจ้าทั้งปวง.

ในบททั้งหลายเหล่านั้น บทว่า อธิคโต คือแทงตลอดแล้ว. บทว่า

ธมฺโม ได้แก่ ธรรมคืออริยสัจ ๔. บทว่า คมฺภีโร นี้ เป็นชื่อของการปฏิเสธ

ความเป็นของตื้น. บทว่า ทุทฺทโส ความว่า เป็นธรรมที่เห็นได้ยาก คือเป็น

ธรรมอันบุคคลเห็นโดยยาก คือไม่สามารถเห็นง่าย เพราะเป็นธรรมลึกซึ้ง.

เพราะเป็นธรรมที่เห็นได้ยาก จึงเป็นธรรมที่รู้ตามยากอันบุคคลพึงตรัสรู้โดยยาก

คือไม่สามารถตรัสรู้ได้โดยง่าย. บทว่า สนฺโต คือดับสนิทแล้ว. บทว่า

ปณีโต คือไม่เร่าร้อน ทั้งสองบทนี้ท่านกล่าวหมายถึง โลกุตตระนั่นเอง.

บทว่า อตกฺกาวจโร ความว่า ไม่ควรคาดคะเน คือไม่ควรหยั่งลงด้วยการ

ตรึก ควรคาดคะเนด้วยญาณเท่านั้น. บทว่า นิปุโณ คือละเอียด. บทว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 142

ปณฺฑิตเวทนีโย ความว่า อันบัณฑิตผู้ปฏิบัติปฏิปทาชอบพึงรู้ได้. บทว่า

อาลยรามา ความว่า สัตว์ทั้งหลายย่อมติดในกามคุณ ๕ เพราะฉะนั้น สัตว์

เหล่านั้นท่านกล่าวว่า อาลยา. สัตว์ทั้งหลายย่อมอยู่กับความพัวพันวิปริตของ

ตัณหา ๑๐๘ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อาลยา. สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดีด้วย

อาลัยเหล่านั้น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อาลยรามา คือมีอาลัยเป็นที่ยินดี. สัตว์

ทั้งหลายยินดีแล้วในอาลัย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อาลยรตา คือยินดีแล้วใน

อาลัย. สัตว์ทั้งหลายเบิกบานแล้วด้วยดีในอาลัยทั้งหลาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า

อาลยสมฺมุทิตา คือเบิกบานแล้วในอาลัย. สัตว์ทั้งหลายย่อมยินดีด้วยอาลัย

ในกามและอาลัยในตัณหาแม้เหล่านี้ เป็นผู้เบิกบานกระสันในสังสารวัฏอยู่

เหมือนพระราชาเสด็จประพาสพระราชอุทยาน อันสมบูรณ์ด้วยรุกขชาติที่เต็ม

ไปด้วยดอกและผลเป็นต้น ซึ่งตกแต่งไว้เป็นอย่างดี ทรงรื่นรมย์เบิกบานชื่นชม

เพลิดเพลินด้วยสมบัตินั้น ๆ ไม่ทรงเบื่อหน่าย ไม่ทรงพระประสงค์จะเสด็จกลับ

แม้เย็นแล้วฉะนั้น. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงความอาลัย

แม้ ๒ อย่าง ดุจภาคพื้นอุทยานแก่สัตว์เหล่านั้น จึงตรัสว่า อาลยรามา คือ

มีอาลัยเป็นที่ยินดีดังนี้เป็นต้น. บทว่า ยทิท เป็นนิบาต. พึงทราบความอย่างนี้

ว่า บทว่า ย อิท หมายถึงฐานะของบทนั้น. บทว่า โย อย หมายถึง

ปฏิจุจสมุปบาท. ปัจจัยของบททั้งสองนี้ว่า อิทปฺปจฺจยตา ปฏิจฺจสมุปฺปาโท

ชื่อ อิทัปปัจจยา คือสิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้. ชื่อว่า อิทปฺปจฺจยตา และ

ปฏิจฺจสมุปฺปาโท เพราะความที่สิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้ และปัจจัยอันเป็นที่

อาศัยกันเกิดขึ้น. บทนี้เป็นชื่อของ อวิชฺชา เป็นต้น อันเป็นปัจจัยแห่งสังขาร

เป็นต้น. บททั้งหมดว่า สพฺพสงฺขารสมโถ เป็นต้น เป็นนิพพานอย่างเดียว.

เพราะความดิ้นรนของสังขารทั้งปวงอาศัยนิพพานนั้นย่อมสงบย่อมระงับ ฉะนั้น

ท่านจึงกล่าวว่า สพฺพสงฺขารสมโถ คือ เป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวงดังนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 143

อนึ่ง เพราะกิเลสทั้งปวงเป็นอันสลัดทิ้งไปได้ ตัณหาทั้งปวงสิ้นไป กิเลสราคะ

ทั้งปวงคลายไป ทุกข์ทั้งปวงดับไป เพราะอาศัยนิพพานนั้น ฉะนั้น ท่านจึง

กล่าวว่า สพฺพูปธิปฏินิสฺสคฺโค คือ เป็นที่สลัดกิเลสทั้งปวง ตณฺหกฺขโย

เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา วิราโค คลายความกำหนัด นิโรโธ ดับทุกข์ ดังนี้.

ก็ตัณหานั้นย่อมนำไป คือร้อยรัดภพด้วยภพหรือกรรมกับด้วยผลกรรม เพราะ

ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ตัณหาการทำการร้อยรัด. ชื่อนิพพานเพราะออกจาก

เครื่องร้อยรัดนั้น บทว่า โส มมสฺส กิลมโถ ความว่า การแสดงธรรมแก่

ผู้ไม่รู้พึงเป็นความลำบากของเรา. เป็นอันท่านกล่าวว่า พึงเป็นความลำบาก

ทางกาย และพึงเป็นการเบียดเบียนทางกาย. ก็แต่ว่าทั้งสองนี้มิได้มีในดวงจิต

ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

บทว่า อปิสฺสุ เป็นนิบาตในอรรถว่า พอกพูน. นิบาตนั้น แสดงว่า

มิใช่ได้มีความวิตกนี้อย่างเดียว แม้คาถาเหล่านี้ก็แจ่มแจ้งแล้ว. ในบททั้งหลาย

ว่า วิปสฺสึ เป็นอาทิความว่า พระวิปัสสีพระผู้มีพระภาค เป็นพระอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้า.

บทว่า อนจฺฉริยา คือ อัศจรรย์น้อย. บทว่า ปฏิภสุ ความว่า

ธรรมเป็นโคจรทั้งหลายได้เกิดแก่ญาณกล่าวคือปฏิภาน ถึงซึ่งความเป็นธรรม

พึงปริวิตก.

บทว่า กิจฺเฉน ความว่า โดยยาก คือ มิใช่เพื่อปฏิบัติยาก. เพราะ

แม้มรรค ๔ ก็ย่อมเป็นข้อปฏิบัติง่ายของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. บทนี้ท่านกล่าว

หมายถึงการปฏิบัติเพื่อได้คุณวิเศษมาของท่านที่ยังมีราคะ มีโทสะ และมีโมหะ

ในเวลาบำเพ็ญบารมีนั้นเองให้สิ่งเป็นต้น อย่างนี้ คือ ตัดศรีษะที่ประดับ

ตกแต่งแล้ว เอาเลือดออกจากคอ ควักดวงตาทั้งสองข้างที่หยอดยาไว้อย่างดี

สละบุตรผู้จะดำรงวงศ์ตระกูล สละภรรยา ผู้มีความประพฤติเป็นที่พอใจ แก่

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 144

ผู้ขอทั้งหลายที่พากันมา และถึงอย่างอื่นมีการตัดและทำลายในอัตภาพ เช่น กับ

ขันติวาทีดาบสเป็นต้น. ห อักษรในบทว่า หล นี้เป็นเพียงนิบาต แปลว่า ควร.

บทว่า ปกาสิตุ คือเพื่อแสดง คือเมื่อคนบรรลุธรรมได้ยากอย่างนี้ ก็ไม่

ควรแสดง คือควรแสดงกับคนฉลาด ท่านอธิบาย่ว่า ประโยชน์อะไรด้วยการ

แสดง. บทว่า ราคโทสปเรเตหิ คือถูกราคะโทสะครอบงำ หรือราคะโทสะ

ติดตามไป. บทว่า ปฏิโสตคามึ ความว่าสัจจธรรม ๔ อันถึงแล้วอย่างนี้ว่า

เป็นธรรมทวนกระแสแห่งความเที่ยงเป็นต้น คือ ความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่

มีตัวตนและไม่งาม. บทว่า ราครตฺตา ความว่า ถูกกามราคะ ภวราคะและ

ทิฐิราคะย้อมไว้. บทว่า น ทกฺขนฺติ ความว่า สัตว์ทั้งหลายจักไม่เห็น

ตามความเป็นจริงนี้ว่า เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตนไม่งามดังนี้

ใครเล่าจักอาจเพื่อให้ผู้ที่ไม่เห็นเหล่านั้น ถือเอาอย่างนี้ได้. บทว่า ตโมกฺขนฺ

เธน อาวุฏา ความว่า ถูกกองอวิชชาหุ้มห่อไว้.

บทว่า อปฺโปสฺสุกฺกตาย ความว่า เพราะไม่ประสงค์จะทรงแสดง

โดยความเป็นผู้ไม่มีความขวนขวาย. ก็เพราะเหตุไร พระทัยของพระองค์จึงน้อม

ไปอย่างนี้เล่า พระองค์ทรงการทำความปรารถนาไว้ว่า เรานั่นพ้นแล้ว

จักปลดเปลื้องสัตว์ เราข้ามได้แล้วจักให้สัตว์ข้ามบ้าง

จะได้ประโยชน์อะไร ด้วยเราผู้รู้แจ้งธรรมในโลกนี้แล้วจะ

ไม่ให้ผู้อื่นรู้บ้าง เราบรรลุสัพพัญญุตญาณแล้ว จักยังสัตว์พร้อมด้วย

เทวดาให้ข้ามพ้นไป ดังนี้ มิใช่หรือ แล้วทรงบำเพ็ญบารมีจนได้บรรลุ

พระสัพพัญญุตญาณ. ข้อนั้นเป็นความจริง แต่จิตของพระองค์ทรงน้อมไป

อย่างนั้นด้วยอานุภาพแห่งการพิจารณา. จริงอยู่เมื่อพระองค์บรรลุสัพพัญญุตญาณ

แล้ว ทรงพิจารณาถึงความที่สัตว์ทั้งหลายยังยึดกิเลสอยู่ และความที่พระธรรม

เป็นธรรมลึกซึ้ง ความที่สัตว์ทั้งหลายยังยึดถือกิเลสอยู่ และความที่พระธรรม

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 145

เป็นธรรมลึกซึ้ง ปรากฏโดยอาการทั้งปวง. เมื่อเป็นเช่นนั้น เมื่อพระองค์

ทรงดำริว่า สัตว์เหล่านี้แลเต็มไปด้วยกิเลสเศร้าหมองยิ่งหนัก ถูกราคะย้อม ถูก

โทสะครอบงำ ลุ่มหลงไปด้วยโมหะ ดุจน้ำเต้าเต็มไปด้วยน้ำส้ม ดุจถาดเต็มไป

ด้วยเปรียง ดุจผืนผ้าขี้ริ้วชุ่มไปด้วยมันเหลวและน้ำมัน ดุจมือเปื้อนไปด้วยยา

หยอดตา เขาเหล่านั้นจักรู้แจ้งแทงตลอดไปได้อย่างไร ดังนี้ จิตจึงน้อมไป

อย่างนั้น ด้วยอานุภาพแห่งการยึดถือกิเลสและการพิจารณา. อนึ่ง พระธรรมนี้

ลึกซึ้งดุจลำน้ำหนุนแผ่นดินไว้ เห็นได้ยาก ดุจเมล็ดผักกาดที่ถูกภูเขากำบังไว้

ตั้งอยู่ และรู้ตามได้ยาก ดุจการแยกปลายด้วยปลายของขนสัตว์ที่ผ่าออก ๑๐๐

ส่วน. จริงอยู่ เราพยายามเพื่อรู้แจ้งแทงตลอด ธรรมนี้ไม่มีทานที่ไม่ได้ให้

ไม่มีศีลที่ไม่ได้รักษา ไม่มีบารมีที่ไม่ได้บำเพ็ญมิใช่หรือ แม้เมื่อเรากำจัดมาร

และเสนามารดุจไร้ความอุตสาหะ แผ่นดินก็ไม่หวั่นไหว แม้เมื่อเราระลึกถึง

ขันธ์ที่เคยอยู่อาศัยในชาติก่อนในปฐมยามได้ก็ไม่หวั่นไหว แม้เมื่อเราชำระ

ทิพพจักษุในมัชฌิมยาม ก็ไม่หวั่นไหว แต่เมื่อเรารู้แจ้งแทงตลอดปฏิจจสมุป-

บาทในปัจฉิมยาม แผ่นดินหมื่นโลกธาตุได้หวั่นไหวแล้ว ด้วยประการดังนี้

แม้ชนเช่นเรายังรู้แจ้งแทงตลอดธรรมนี้ด้วยญาณอันกล้าได้โดยยากถึงเพียงนี้

แล้ว มหาชนชาวโลกจักรู้แจ้งแทงตลอด ธรรมนั้นได้อย่างไร เพราะเหตุนั้น

พึงทราบว่า จิตของพระองค์น้อมไปแล้วอย่างนั้น แม้ด้วยอานุภาพแห่งความที่

พระธรรมเป็นธรรมลึกซึ้งและด้วยการพิจารณาดังนี้. อีกอย่างหนึ่ง เมื่อพระ-

พรหมทูลวิงวอน จิตของพระองค์ก็น้อมไปอย่างนี้ เพราะมีพระประสงค์จะแสดง.

จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบว่า เมื่อจิตของเราน้อมไปเพราะความที่

เราเป็นผู้มีความปรารถนาน้อย มหาพรหมวิงวอนเราเพื่อขอให้แสดงธรรม

ก็สัตว์เหล่านี้เป็นผู้เคารพพรหม เมื่อรู้ว่ามีข่าวว่า พระศาสดาไม่มีพระประสงค์

จะแสดงธรรมแก่พวกเรา ทีนั้น มหาพรหมทูลวิงวอนพระองค์ให้แสดงแล้ว

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 146

ผู้เจริญทั้งหลาย พระธรรมสงบหนอ ประณีตหนอดังนี้ จักตั้งใจฟัง ดังนี้.

พึงทราบว่า อาศัยเหตุนี้ จิตของพระองค์จึงน้อมไป เพื่อความที่พระองค์เป็น

ผู้มีความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อจะทรงแสดงธรรม.

ในบทว่า อญฺตรสฺส นี้ ท่าวกล่าวว่า อญฺตโร ก็จริง ถึงดังนั้น

พึงทราบว่า นั่นคือมหาพรหมผู้ใหญ่ในจักรวาลนี้. บทว่า นสฺสติ วต โภ โลโก

ความว่า นัยว่ามหาพรหมนั้นเปล่งเสียงนี้ โดยที่หมู่พรมใน หมื่นโลกธาตุ

สดับแล้ว ทั้งหมดประชุมกัน. บทว่า ยตฺร หิ นาม คือในโลกชื่อใด. บทว่า

ปุรโต ปาตุรโหสิ ความว่า มหาพรหมได้ปรากฏพร้อมกับพรหมหนึ่งหมื่น

เหล่านั้น. บทว่า อปฺปรชกฺขชาติกา ความว่า ธุรี คือราคะโทสะและโมหะ

เบาบาง คือนิดหน่อย ในดวงตาอันสำเร็จด้วยปัญญา สภาพอย่างนี้ของสัตว์

ทั้งหลายเหล่านั้นยังมีอยู่ เพราะเหตุนั้น สัตว์ทั้งหลายชื่อว่า อปฺปรชกฺขชาติกา

คือ มีกิเลศเพียงดังธุลีในจักษุเบาบาง. บทว่า อสฺสวนตา คือเพราะมิได้ฟัง.

บทว่า ภวิสฺสนฺติ ความว่า ท่านแสดงว่า สัตว์ทั้งหลายผู้สร้างสมบุญไว้แล้ว

ถึงความแก่กล้าในพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ด้วยสามารถบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ หวัง

พระธรรมเทศนาอย่างเดียวเหมือนประทุมชาติหวังแสงอาทิตย์ เป็นผู้ควรหยั่ง

ลงสู่อริยภูมิ ในเมื่อจบคาถา ๔ บท ไม่ใช่คนเดียว ไม่ใช่สองคน มีหลายแสน

จักเป็นผู้รู้ธรรม ดังนี้.

บทว่า อชฺเฌสน คือวิงวอนอย่างนี้ ๓ ครั้ง. บทว่า พุทฺธจกฺขุนา

ความว่า ด้วยปรีชากำหนดรู้ความหย่อนและยิ่ง แห่งอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย

และด้วยอาสยานุสยญาณ. บทว่า พุทฺธจกฺขุ เป็นชื่อแห่งญาณทั้งสองนี้. บทว่า

สมนฺตจกฺขุ เป็นชื่อแห่งพระสัพพัญญุตญาณ. บทว่า ธมฺมจกฺขุ เป็นชื่อแห่ง

มรรคญาณ ๓. ในบทว่า อปฺปรชกฺเข เป็นต้น ความว่า สัตว์ที่มีธุลีมีราคะ

เป็นต้น ในปัญญาจักษุน้อยโดยนัยที่กล่าวนั้นแล. ชื่อว่า อปฺปรชกฺขา คือมี

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 147

กิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อย. สัตว์ที่มีธุลีมีราคะเป็นต้นนั้นในปัญญาจักษุมาก

ชื่อว่ามหารชกฺขา คือมีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุมาก. สัตว์ที่มีอินทรีย์มีศรัทธา

เป็นต้น แก่กล้า ชื่อว่า ติกฺขินฺทฺริยา คือ มีอินทรีย์แก่กล้า. สัตว์ที่มีอินทรีย์

เหล่านั้นอ่อน ชื่อว่า มุทุนฺทฺริยา คือ มีอินทรีย์อ่อน. สัตว์ที่มีอาการมีศรัทธา

เป็นต้น เหล่านั้นดี ชื่อ สฺวาการา คือมีอาการดี. สัตว์ที่กำหนดเหตุที่กล่าว

สามารถให้รู้ได้ง่าย ชื่อว่า สุวิญฺาปยา คือให้รู้แจ้งได้ง่าย. สัตว์ที่เห็นปรโลก

และโทษโดยความเป็นภัยชื่อว่า ปรโลกวชฺชภยทสิสาวิโน คือมักเห็นปรโลก

และโทษโดยความเป็นภัย.

ก็ในเรื่องที่มีบาลีดังนี้ บุคคลที่มีศรัทธามีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อย

บุคคลผู้ไม่มีศรัทธามีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุมาก บุคคลผู้ปรารภความเพียรมี

กิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อย บุคคลผู้เกียจคร้านมีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุมาก

บุคคลผู้มีสติตั้งมั่นมีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อย บุคคลผู้มีสติลุ่มหลง มีกิเลส

เพียงดังธุลีในจักษุมาก บุคคลผู้มีจิตตั้งมั่น มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อย บุคคล

ผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นมีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุมาก บุคคลผู้มีปัญญามีกิเลสเพียงดังธุลี

ในจักษุน้อย บุคคลผู้มีปัญญาทราบมีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุมาก เช่นเดียวกัน

บุคคลผู้มีศรัทธามีอินทรีย์แก่กล้า ฯลฯ บุคคลผู้มีปัญญามักเห็นโลกอื่นและโทษ

ด้วยความเป็นภัย บุคคลผู้มีปัญญาทรามมักไม่เห็นโลกอื่นและโทษโดยความ

เป็นภัย.

บทว่า โลโก ได้แก่ ขันธโลก ธาตุโลก อายตนโลก สมบัติภวโลก

วิบัติภวโลก สมบัติและวิบัติภวโลก วิบัติสัมปัติภวโลก โลกหนึ่ง คือ สัตว์

ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ได้ด้วยอาหาร โลก ๒ คือ นามและรูป โลก ๓ คือ เวทนา ๓

โลก ๔ คืออาหาร ๔ โลก ๕ คือ อุปาทานขันธ์ ๕ โลก ๖ คืออายตนะภายใน

๖ โลก ๗ คือภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ ๗ โลก ๘ คือ โลกธรรม ๘ โลก ๙ คือ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 148

ภพเป็นที่อยู่ของสัตว์ ๙ โลก ๑๐ คือ อายตนะ ๑๐ โลก ๑๒ คือ อายตนะ ๑๒

โลก ๑๘ คือ ธาตุ ๑๘.

บทว่า วชฺช ได้แก่ กิเลสทุกชนิด เป็นโทษทุจริตทุกชนิดเป็นโทษ

อภิสังขารทุกชนิดเป็นโทษ กรรมคือการไปสู่ภพทุกชนิดเป็นโทษ ด้วยประการ

ฉะนี้ ทั้งในโลกนี้ทั้งโทษนี้ เป็นอันปรากฏความหมายรู้โดยความเป็นภัยอย่าง

แรงกล้าเหมือนเพชฌฆาตเงื้อดาบ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงรู้

ทรงเห็น ทรงรู้ยิ่ง ทรงแทงตลอดอินทรีย์ ๕ เหล่านี้ ด้วยอาการ ๕๐ เหล่านี้

นี้เป็นพระปรีชากำหนดรู้ความหย่อนและยิ่งของอินทรีย์ทั้งหลายของพระตถาคต.

บทว่า อุปฺปลินิย คือ ในกอบัว. แม้ในบทนอกนี้ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า อนฺโตนิมุคฺคโปสีนิ คือ ดอกบัวแม้เหล่าอื่นใดจมอยู่ในน้ำอันน้ำเลี้ยงไว้.

บทว่า อุทก อจฺจุคฺคมฺม ติฏฺนฺติ คือบัวบางเหล่าตั้งขึ้นพ้นน้ำ. ในบทนั้น

อธิบายว่า บัวบางเหล่าที่ตั้งขึ้นพ้นน้ำคอยรอสัมผัสแสงอาทิตย์แล้วบานใน

วันนี้. บางเหล่าตั้งอยู่เสมอน้ำจักบานในวันพรุ่งนี้. บางเหล่ายังจมอยู่ภายในน้ำ

อันน้ำเลี้ยงไว้จักบานในวันที่ ๓. แต่ว่ายังมีดอกบัวเป็นต้นที่มีโรคแม้เหล่าอื่น

ไม่ขึ้นพ้นจากน้ำแล้ว ดอกบัวเหล่าใด จักไม่บาน จักเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า

อย่างเดียว ดอกบัวเหล่านั้น ท่านไม่ควรนำขึ้นสู่บาลีได้แสดงไว้ชัดแล้ว.

บุคคล ๔ จำพวก คือ อุคฆฏิตัญญู วิปจิตัญญู เนยยะ ปทปรมะ

ก็เปรียบเหมือนดอกบัว ๔ เหล่านั้นแล.

ในบุคคล ๔ จำพวกนั้น บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมพร้อมกับเวลาที่ท่านยก

ขึ้นแสดง ชื่อ อุคฆฏิตัญญู. บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมเมื่อท่านแจกความแห่งคำย่อ

โดยพิสดาร ชื่อว่า วิปจิตัญญู. บุคคลที่ตรัสรู้ธรรมโดยลำดับด้วยความ

พากเพียรท่องจำ ด้วยการไต่ถาม ด้วยทำไว้ในใจโดยแยบคาย ด้วยคบหา

สมาคมกับกัลยาณมิตร ชื่อว่า เนยยะ. บุคคลที่ไม่ตรัสรู้ธรรมได้ในชาตินั้น

แม้เรียนมาก ทรงไว้มาก สอนเขามาก ชื่อว่า ปทปรมะ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 149

ในบทนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดู หมื่นโลกธาตุ เช่นกับ

ดอกบัว เป็นต้น ได้ทรงเห็นแล้วว่า บุคคลจำพวก อุคฆฏิตัญญู ดุจดอกบัว

จะบานในวันนี้ บุคคลจำพวก วิปจิตัญู ดุจดอกบัวจักบานในวันพรุ่งนี้

บุคคลจำพวกเนยยะ ดุจดอกบัวจักบานในวันที่ ๓ บุคคลจำพวกปทปรมะ ดุจ

ดอกบัวอันเป็นภักษาแห่งปลาและเต่า. อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงตรวจดู

ได้ทรงเห็นโดยอาการทั้งปวงอย่างนี้ว่า สัตว์มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุน้อย มี

ประมาณเท่านี้ สัตว์มีกิเลสเพียงดังธุลีในจักษุมากมีประมาณเท่านี้ แม้ในสัตว์

เหล่านั้นจำพวกที่เป็น อุคฆฏิตัญญู มีประมาณเท่านี้ ดังนี้. ในสัตว์ ๔ จำพวก

นั้น การแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่บุคคล ๓

จำพวกในอัตภาพนี้แล. พวกปทปรมะจะมีวาสนาเพื่อประโยชน์ในอนาคต.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศพระธรรมเทศนา อันนำมา

ซึ่งประโยชน์แก่บุคคล ๔ จำพวกเหล่านี้แล้ว ยังความเป็นผู้มีพระประสงค์จะ

ทรงแสดงให้เกิดขึ้น ได้ทรงจัด สัตว์แม้ทั้งปวงในภพ ๓ ใหม่ ให้เป็นสองส่วน

ด้วยสามารถแห่งภัพสัตว์ และอภัพสัตว์ สัตว์ที่ท่านกล่าวหมายถึงนั้นคือ

สัตว์เหล่าใดประกอบด้วย กัมมาวรณะ วิปากาวรณะ กิเลสาวรณะ ไม่มี

ศรัทธา ไม่มีความพยายาม มีปัญญาทราม เป็นผู้ไม่ควรก้าวลงสู่ความชอบ

ในธรรมทั้งหลาย ที่เป็นกุศลอย่างแน่นอน สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้นั้นเป็นอภัพสัตว์

ภัพสัตว์เป็นไฉน สัตว์เหล่าใดไม่ประกอบด้วย กัมมาวรณะ ฯลฯ สัตว์ทั้งหลาย

เหล่านี้นั้นเป็นภัพสัตว์ ดังนี้. ในบทนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงละ อภัพบุคคล

แม้ทั้งหมด ทรงกำหนดภัพบุคคลอย่างเดียวด้วยพระญาณ ได้ทรงจัดให้เป็น

๖ ส่วน คือ สัตว์จำพวกราคจริตประมาณเท่านี้ สัตว์จำพวกโทสจริต โมหจริต

วิตักกจริต ศรัทธาจริต พุทธิจริต มีประมาณเท่านี้. ครั้นทรงจัดอย่างนี้แล้ว

จึงทรงพระดำริว่า เราจักแสดงธรรม ดังนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 150

พรหมครั้นทราบดังนั้นแล้ว เกิดโสมนัส ได้กราบทูลพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าด้วยคาถาหลายคาถา.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อถโข โส ภิกฺขเว มหาพฺรหฺมา

เป็นต้น ทรงหมายถึงข้อนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า อชฺฌภาสิ ตัดบทเป็นอธิ

อภาสิ. อธิบายว่า ได้กราบทูลปรารภยิ่งในรูป.

บทว่า เสเล ยถา ปพฺพตมุทฺธนิฏิโต คือเหมือนคนยืนอยู่บน

ภูเขาหินล้วน. จริงอยู่ เมื่อคนยืนอยู่บนยอดภูเขานั้นก็ไม่มีกิจเป็นต้นว่า ยก และ

ยึดคอ แม้เพื่อจะดู. บทว่า ตถูปม ความว่า เปรียบด้วยสิ่งนั้น คือ เปรียบ

ด้วยภูเขาหินล้วน. ก็ความสังเขปในเรื่องนี้มีดังนี้. บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บน

ยอดเขาหินล้วนพึงเห็นหมู่ชนโดยรอบฉันใด ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์

เป็นผู้มีปัญญาดี มีจักษุโดยรอบด้วยพระสัพพัญญุตญาณก็ฉันนั้น เสด็จขึ้นสู่

ปราสาทสำเร็จด้วยธรรมสำเร็จด้วยปัญญา เป็นผู้ปราศจากความโศกด้วยพระองค์

เอง ทรงพิจารณา ทรงใคร่ครวญ ทรงตรวจตรา หมู่ชนผู้เกลือกกลั้วไปด้วย

ความโศก ถูกชาติชราครอบงำแล้ว.

ในบทนี้มีอธิบายดังนี้ เหมือนอย่างว่า มนุษย์ทั้งหลาย กระทำที่ดิน

ผืนใหญ่โดยรอบเชิงภูเขา แล้วปลูกกระท่อมในแนวพื้นที่เหมาะแก่การเพาะปลูก

ณ ที่ดินผืนนั้น จุดไฟในเวลากลางคืน อนึ่ง ที่ดินนั้นพึงมีความมืดประกอบ

ด้วยองค์ ๔ ขณะนั้น เมื่อบุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่บนยอดภูเขานั้น มองดูพื้นที่

ที่ดิน ไม่ปรากฏ แนวพื้นที่เพาะปลูก ไม่ปรากฏ กระท่อม ไม่ปรากฏ

พวกมนุษย์ที่นอนในกระท่อมนั้น ไม่ปรากฏ แต่ปรากฏเพียงเปลวไฟในกระท่อม

ทั้งหลาย เท่านั้น ฉันใด เมื่อพระตถาคตเสด็จขึ้นสู่ธรรมปราสาททรงตรวจดู

หมู่สัตว์ สัตว์ทั้งหลายที่ไม่ได้ทำความดี แม้นั่ง ณ ข้างพระชานุเบื้องขวา ใน

ในที่อยู่แห่งเดียวกัน ก็ฉันนั้น ก็ไม่มาถึงคลองแห่งพุทธจักษุ ย่อมเป็นเหมือน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 151

ลูกศรที่ซัดไปในเวลากลางคืน แต่สัตว์ทั้งหลายที่ทำความดี เป็นเวไนยบุคคล

แม้ยืนอยู่ไกลพระตถาคตนั้น ย่อมมาสู่คลองได้. สัตว์เหล่านั้นย่อมเป็นดุจไฟ

และดุจภูเขาหิมพานต์. สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า

สัตบุรุษทั้งหลายย่อมปรากฏ ที่ไกล

เหมือนภูเขาหิมพานต์ อสัตบุรุษทั้งหลาย

ย่อมไม่ปรากฏ ณ ที่นี้ เหมือนลูกศร

ที่เขาซัดไปในเวลากลางคืน ฉะนั้น.

บทว่า อุฏฺเหิ ความว่า พรหมกราบทูลวิงวอนถึงการเสด็จจาริก

เพื่อโปรดแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พึงทราบในบทว่า วีร เป็นต้นว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่า วีระ เพราะพระองค์มีความเพียร ชื่อว่าเป็นผู้ชนะ

สงครามเพราะพระองค์ทรงชนะ เทวบุตรมาร มัจจุมาร และกิเลสมาร ชื่อว่า

เป็นผู้นำพวก เพระพระองค์ทรงข้ามชาติกันดารเป็นต้นได้ คือ เพราะพระองค์

สามารถแนะนำแล้วนำพวกไปได้ ชื่อว่า เป็นผู้ไม่มีหนี้ เพราะไม่มีหนี้ คือ

กามฉันทะ ดังนี้.

บทว่า อปารุตา คือ เปิดเผย. บทว่า ประตูอมตะ ได้แก่

อริยมรรค. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ว่า เพราะเราได้เปิดประตูนิพพาน

กล่าวคือ อมตะ ตั้งไว้แล้ว. บทว่า ปมุญฺจนฺต สทฺธ ความว่า ผู้มีโสต

ทั้งปวง จงปล่อย คือ สละศรัทธาของตนเถิด. ในสองบทหลังมีเนื้อความว่า

ด้วยว่า เราเป็นผู้มีความรู้สึกลำบากด้วยกายและวาจา จึงมิได้กล่าวธรรมอัน-

ประณีต คือสูงสุดนี้ ซึ่งตนทำให้คล่องแคล่ว คือ เป็นไปด้วยดีแล้ว ก็บัดนี้

ชนทั้งปวง จงน้อมนำภาชนะคือศรัทธาเข้าไปเถิด เราจักยังความดำริของชน

เหล่านั้นให้บริบูรณ์ ดังนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 152

บทว่า โพธิรุกฺขมูเล ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า

วิปัสสี ได้หายพระองค์ที่ต้นอชปาลนิโครธไม่ไกลโพธิพฤกษ์. บทว่า เขเม

มิคทาเย ความว่า อิสิปตนมฤคทายวัน โดยสมัยนั้นเป็นสวนชื่อว่า เขมะ

ก็สวนนั้นท่านให้ชื่อว่า มฤคทายวัน เพราะเป็นที่ที่ท่านให้เพื่ออยู่โดยปลอดภัย

แก่เนื้อทั้งหลาย. ท่านกล่าวว่า เขเม มิคทาเย หมายถึงสวนนั้น.

แม้พระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ ก็เหมือนพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนาม

วิปัสสี เสด็จไปเพื่อทรงแสดงธรรมเป็นครั้งแรก ได้เสด็จไปทางอากาศแล้ว

เสด็จลง ณ ที่นั้นเหมือนกัน. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย ทอด-

พระเนตรเห็นอุปนิสัยของอุปกาชีวก ทรงทราบว่า อุปกะเดินมาทางนี้ เห็นเรา

จักสนทนากับเราแล้วไป แต่แล้วอุปกะเบื่อหน่ายจักมาหาเราอีก แล้วจักทำให้

แจ้งซึ่งพระอรหัต ดังนี้ ได้เสด็จด้วยพระบาทเปล่าสิ้นทาง ๑๘ โยชน์.

บทว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสเรียกคนเฝ้ามฤคทายวัน ความว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทอดพระเนตรดูคนเฝ้าสวนมฤคทายวันหลายครั้งแล้ว

ตรัสเรียกให้เข้าไปหา ตรัสสั่งให้ไปบอกขัณฑราชบุตรและติสสบุตรปุโรหิตว่า

ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าของเราทั้งหลายเสด็จมาแล้ว.

บทว่า อนุปุพฺพีกถ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกถาตาม

ลำดับอย่างนี้ คือ ทานกถา ศีล ในลำดับทาน สวรรค์ ในลำดับศีล มรรค

ในลำดับสวรรค์. กถาปฏิสังยุตด้วยคุณของทานมีอาทิอย่างนี้ว่า ในบทเหล่านั้น

บทว่า ทานกถ ความว่า ชื่อว่า ทานนี้เป็นเหตุของความสุขทั้งหลาย เป็น

บ่อเกิดแห่งสมบัติทั้งหลาย เป็นที่ตั้งแห่งโภคะทั้งหลาย เป็นความต้านทานเป็น

ที่อาศัย เป็นคติ เป็นเครื่องค้ำจุนของผู้ที่ถึงความสงบวิเศษ ที่พึ่ง ที่ตั้งอารมณ์

ความต้านทาน ที่อาศัยคติการค้ำจุน เช่นกับทานย่อมไม่มีในโลกนี้ และใน

โลกหน้า. จริงอยู่ ทานนี้ชื่อว่า เช่นกับ สีหาศน์ สำเร็จด้วยแก้วเพราะอรรถว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 153

เป็นที่พึ่ง ชื่อว่า เช่นกับ แผ่นดินใหญ่ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้ง ชื่อว่า เช่นกับ

เชือกรัด เพราะอรรถว่า เป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ชื่อว่า เช่นกับ เรือ เพราะ

อรรถว่า ข้ามไปจากทุกข์ ชื่อว่า เช่นกับ ความกล้าในสงคราม เพราะอรรถว่า

เป็นเครื่องปลอบใจ ชื่อว่า เช่นกับ นครที่ปรับปรุงดีแล้วเพราะอรรถว่า

ป้องกันภัย ชื่อว่า เช่นกับ ประทุม เพราะอรรถว่า ไม่ติดด้วยมลทิน คือ

ความตระหนี่เป็นต้น ชื่อว่า เช่นกับ ไฟ เพราะอรรถว่า เผากิเลสเหล่านั้น

ชื่อว่า เช่นกัน อสรพิษ เพราะอรรถว่า เข้าไปใกล้ได้ยาก ชื่อว่า เช่นกับ

สีหะ เพราะอรรถว่า ไม่สะดุ้ง ชื่อว่า เช่นกับ ช้าง เพราะอรรถว่า มีกำลัง

ชื่อว่า เช่นกับ วัวผู้เผือก เพราะอรรถว่า เห็นเป็นมงคลยิ่ง ชื่อว่า เช่นกับ

พญาม้าวลาหก เพราะอรรถว่า ให้ถึงภาคพื้นแห่งความปลอดภัย จริงอยู่

ท่านย่อมให้สักกสมบัติในโลก ย่อมให้มารสมบัติ พรหมสมบัติ จักรพรรดิ-

สมบัติ สาวกปารมีญาณ ปัจเจกโพธิญาณ อภิสัมโพธิญาณ. ก็เพราะเมื่อให้

ทาน จึงสามารถสมาทานศีลได้ ฉะนั้น พระองค์จึงตรัส สีลกถา ในลำดับ

ทานนั้น.

บทว่า สีลกถ ความว่า กถาปฏิสังยุต ด้วยคุณของศีล มีอาทิ

อย่างนี้ว่า ชื่อว่าศีลนี้ เป็นที่พึ่ง เป็นที่ตั้ง เป็นอารมณ์ เป็นเครื่องป้องกัน

เป็นที่อาศัย เป็นคติ เป็นเครื่องค้ำจุน จริงอยู่ ที่พึ่ง ที่ตั้ง อารมณ์ เครื่อง

ป้องกัน ที่อาศัย คติ เครื่องค้ำจุน เช่นกับศีล ย่อมไม่มี แก่สมบัติในโลก

นี้และโลกหน้า เครื่องประดับเช่นกับศีล ย่อมไม่มี ดอกไม้ เช่นกับ ดอกไม้

คือศีล ย่อมไม่มี กลิ่น เช่นกับกลิ่นศีล ย่อมไม่มี จริงอยู่ โลกพร้อมด้วย

เทวโลก แลดูการประดับด้วยเครื่องประดับคือศีล การตกแต่งด้วยดอกไม้

คือศีล การลูบไล้ด้วยกลิ่นคือศีล ย่อมไม่ถึงความอิ่ม. เพื่อจะแสดงว่า คนได้

สวรรค์ เพราะอาศัยศีลนี้ พระองค์จึงตรัส สัคคกถา ในลำดับศีล.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 154

บทว่า สคฺคกถ ความว่า กถาปฏิสังยุต ด้วยสวรรค์มีอาทิอย่าง

นี้ว่า ชื่อว่า สวรรค์นี้ น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ กีฬาอันเป็นทิพย์-

สมบัติ ย่อมได้ในสวรรค์นี้เป็นนิจ เหล่าเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกา ย่อมได้

ทิพยสุขและทิพยสมบัติตลอดเก้าล้านปี เหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ ย่อมได้ทิพยสุข

และทิพยสมบัติตลอดสามโกฏิปี และหกล้านปี. จริงอยู่ เมื่อพระพุทธเจ้า

ทั้งหลายตรัสถึงสมบัติสวรรค์ยังไม่พอปาก. ดังที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย เราพึงกล่าว สัคคกถา โดยปริยายไม่น้อยแล ดังนี้เป็นต้น. พระผู้มี

พระภาคเจ้าทรงล่อด้วยตรัสถึงสวรรค์อย่างนี้แล้ว เพื่อทรงแสดงว่า แม้สวรรค์นี้

ก็ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่ควรทำความกำหนัดด้วยความพอใจในสวรรค์นี้ เหมือน

ประดับช้างแล้วตัดงวงช้างนั้น จึงตรัสถึงโทษ ความเลวทราม ความเศร้าหมอง

ของกามทั้งหลาย โดยนัยเป็นต้นว่า กามทั้งหลายมีความชื่นชมน้อย มีทุกข์มาก

มีความดับใจมาก โทษในกามนี้ยอดยิ่งนัก ดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อาทีนโว คือ โทษ. บทว่า โอกาโร คือ

ความเลวทราม ความลามก. บทว่า สกิเลโส ความว่า ความเศร้าหมอง

ในสงสารของสัตว์ทั้งหลาย มีขึ้นด้วยกามทั้งหลายนั้น. เหมือนอย่างที่ท่าน

กล่าวว่า ผู้เจริญทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายจักเศร้าหมอง ดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงคุกคามด้วยโทษของกามอย่างนี้แล้ว ทรงประกาศอานิสงส์ในเนกขัมมะ

อธิบายว่า ทรงประกาศคุณของบรรพชา. บทที่เหลือมีดังกล่าวแล้วใน

อรรถกถาอัมพัฎฐสูตร และมีใจความง่าย.

บทว่า อลตฺถุ คือ ได้แล้วอย่างไร. ได้แล้วโดยความเป็นเอหิภิกขุ.

ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูการสั่งสมบาตรและจีวรสำเร็จด้วยฤทธิ์

ทรงเห็นการถวายจีวรเป็นต้น ในชาติไม่น้อยของหมู่ชนเหล่านั้นจึงตรัสคำเป็น

อาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จงมาเถิด ดังนี้. หมู่ชนเหล่านั้นมีศีรษะโล้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 155

นุ่งห่มผ้ากาสายะ มีภิกขุบริขาร ๘ สวมในร่างกาย นั่งถวายนมัสการพระผู้มี

พระภาคเจ้าดุจพระเถระมีพรรษา ๒๐.

ในบทว่า สนฺทสฺเสสิ เป็นต้น ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

แสดงถึงประโยชน์ในโลกนี้และประโยชน์ในโลกหน้า. เมื่อทรงแสดงถึงประ-

โยชน์ในโลกนี้ทรงแสดงว่า อนิจฺจ ทุกฺข อนตฺตา ดังนี้ ทรงแสดง ขันธ์

ทั้งหลาย ธาตุทั้งหลาย อายตนะทั้งหลายปฏิจจสมุปบาท เมื่อทรงแสดงความ

เกิดขึ้นแห่งรูปขันธ์ทรงแสดงถึงลักษณะ ๕ เมื่อทรงแสดงความเสื่อมแห่งเวทนา

ขันธ์เป็นต้น ก็อย่างนั้น เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแสดงลักษณะ

๕๐ ด้วยสามารถความเกิดขึ้นและความเสื่อม. เมื่อทรงแสดงถึงประโยชน์ใน

โลกหน้า ทรงแสดงถึงนรกกำเนิดเดียรัจฉาน เปรตวิสัย อสุรกาย ทรงแสดง

อันเป็นวิบากแห่งกุศล ๓ อย่าง สมบัติแห่งเทวโลก ๖ ชั้น พรหมโลก ๙ ชั้น.

บทว่า สมาทเปสิ ความว่า ให้ถือกัลยาณธรรมมีปาริสุทธิศีล ๔ ธุดงค์

กถาวัตถุ ๑๐ เป็นต้น.

บทว่า สมุตฺเตเชสิ คือ ให้อาจหาญด้วยดี ให้อุตสาหะยิ่ง ๆ ขึ้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้หวาดสะดุ้งให้หวาดกลัวประโยชน์ในโลกนี้และประ-

โยชน์ในโลกหน้าตรัสทำดุจบรรลุแล้ว. ก็เมื่อพระพุทธเจ้าผู้มีพระภาคทรงทำ

ให้สัตว์หวาดสะดุ้งหวาดกลัวแล้วตรัสถึงประโยชน์โลกนี้ อันมีประเภท เช่น

กัมมกรณ์ ๓๒ และมหาภัย ๒๕ ย่อมทำให้เกิดความหวาดสะดุ้ง ดุจถูกมัดแขน

ไพล่หลังจนแน่นแล้วโบย ๑๐๐ ครั้ง ที่ทาง ๔ แพร่ง นำออกไปทางประตู

ทิศใต้ ดุจวางศีรษะที่ระฆังสำหรับประหาร ดุจเสียบบนหลาวและดุจถูกช้าง

ซับมันเหยียบ. และเมื่อทรงกล่าวถึงประโยชน์ในโลกหน้าย่อมเป็นดุจเกิดใน

นรกเป็นต้นและดุจเสวยสมบัติในเทวโลก.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 156

บทว่า สมฺปหเสติ คือให้รื่นเริงด้วยคุณที่ตนได้แล้ว. อธิบายว่า ทรง

กล่าวทำให้มีอานิสงส์มาก.

บทว่า สขาราน อาทีนว ความว่า ตรัสถึงโทษของกามทั้งหลายเพื่อ

บรรลุปฐมมรรคขึ้นต่ำ. แต่ในบทนี้เพื่อบรรลุมรรคเบื้องสูงพระองค์จึงทรง

ประกาศโทษของสังขารทั้งหลาย และความที่สังขารทั้งหลายลามกและความ

ลำบากอันมีสังขารเป็นปัจจัยโดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สังขาร

ทั้งหลาย ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่ปลอดโปร่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อันนี้เพียงพอ

เพื่อความเบื่อหน่ายในสังขารทั้งหลาย เพียงพอเพื่อคลายกำหนัด เพียงพอเพื่อ

ความหลุดพ้นดังนี้. ทรงประกาศอานิสงส์ในนิพพานโดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่านิพพานนี้มีอยู่ในเนกขัมมะเหมือนกัน เป็นสิ่งประณีต

เป็นเครื่องป้องกัน เป็นที่อาศัยดังนี้.

บทว่า มหาชนกาโย ความว่า หมู่มหาชนผู้เป็นอุปฐากของกุมาร

ทั้งสองนั้นนั่นแล. บทว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระ-

ธรรมเป็นที่พึ่งดังนี้ ความว่า หมู่ชนเหล่านั้นได้กล่าววาจาสองหน [คือกล่าว

ถึงพระพุทธเจ้าหนหนึ่งพระธรรมหนหนึ่ง] เป็นสรณะ เพราะยังไม่ครบพระ-

สงฆ์. บทว่า อลตฺถุ คือ ได้แล้วโดยความเป็นเอหิภิกขุ โดยนัยที่กล่าวแล้ว

ในตอนก่อน. แม้ในคราวที่บวชแล้วในลำดับจากนี้ก็มีนัยนี้แล.

บทว่า ปริวิตกฺโก อุทปาทิ ความว่า ความปริวิตกเกิดขึ้นเมื่อไร.

เกิดขึ้นเมื่อล่วง ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน จากการตรัสรู้.

ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทำการสงเคราะห์พระชนกอยู่

แล้ว. แม้พระราชาก็ทรงดำริว่า โอรสคนโตของเราออกบวชเป็นพระพุทธเจ้า

แล้ว โอรสคนที่สองของเราออกบวชเป็นอัครสาวก บุตรปุโรหิตเป็นสาวกรูปที่

สอง อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายที่เหลือเหล่านี้แม้ในเวลาเป็นคฤหัสถ์ก็ได้แวดล้อมโอรส

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 157

ของเราเที่ยวไป ภิกษุเหล่านั้น เมื่อก่อนเป็นภาระของเราแม้เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นภาระ

ของเราอยู่นั่นเอง เราจักบำรุงภิกษุเหล่านั้นด้วยปัจจัย ๔ เราจักไม่ให้โอกาส

แก่ผู้อื่นดังนี้. พระราชารับสั่งให้สร้างกำแพงทำด้วยไม้ตะเคียนทั้งสองข้างตั้งแต่

ซุ้มประตูพระวิหารจนถึงพระทวารเมืองราชคฤห์ คลุมด้วยเสื่อลำแพนมุงด้วยผ้า

และปกปิดในเบื้องบนทรงให้ทำเพดานมีพวงดอกไม้หลายชนิดประมาณเท่าลำตาล

ห้อยย้อยลงมาวิจิตรด้วยดวงทอง ข้างล่างพื้นลาดด้วยเครื่องลาดอันสวยงาม รับ

สั่งให้จัดดอกไม้ในลำดับกลิ่น และกลิ่นในลำดับดอกจนเต็มหม้อน้ำ ในสวนดอก

ไม้ ในข้างทั้งสองภายในเพื่อให้อยู่ในทางเดียวกันทั้งสิ้น แล้วรับสั่งให้กราบทูล

เวลาแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าแวดล้อมด้วยหมู่ภิกษุเสด็จไป

เมืองราชคฤห์ ภายในม่านนั่นเองเสวยพระอาหารเสร็จแล้วเสด็จกลับพระวิหาร.

ใคร ๆ อื่น ย่อมไม่ได้แม้แต่เห็น ก็การถวายภิกษาก็ดี การทำการบูชาก็ดี การ

ฟังธรรมก็ดีจะมีแต่ไหนเล่า. ชาวเมืองคิดกันว่า วันนี้เมื่อพระศาสดาทรงอุบัติ

ขึ้นในโลกแล้ว พวกเราไม่ได้แม้เพื่อเห็นตลอด ๗ ปี ๗ เดือน จะกล่าวไปไยถึง

การถวายภิกษา การทำการบูชา หรือการฟังธรรม พระราชาทรงรักใคร่หวงแหน

ว่า พระพุทธเจ้าของเราผู้เดียว พระธรรมของเราผู้เดียว พระสงฆ์ของเราผู้

เดียวแล้ว ทรงบำรุงเพียงองค์เดียวก็พระศาสดาเมื่อทรงอุบัติได้อุบัติเพื่อประ-

โยชน์เพื่อเกื้อกูลแก่โลกพร้อมทั้งเทวโลก จริง อยู่นรกของพระราชาไม่พึงร้อน

ของคนเหล่าอื่นเช่นกับกอบัวขาบ เพราะฉะนั้น พวกเราจะกราบทูลพระราชา

หากพระราชาไม่ทรงให้พระศาสดาแก่พวกเรา ก็ดีละ หากไม่ทรงให้

พวกเราแม้ต้องรบกับพระราชาก็จะพาสงฆ์ไปแล้วทำบุญมีทาน เป็นต้น แต่ชาว

เมืองผู้บริสุทธิ์คงไม่อาจทำอย่างนั้น พวกเราจะยึดถือบุรุษผู้เจริญคนหนึ่งดังนี้.

ชาวเมืองเหล่านั้นเข้าไปหาเสนาบดีบอกความนั้นแก่เสนาบดีแล้ว กล่าวว่า นาย

ฝ่ายของพวกเรายังมีอยู่หรือ หรือจะมีแด่พระราชา. เสนาบดีนั้นกล่าวว่า เรา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 158

เป็นฝ่ายของพวกท่าน ก็แต่ว่า วันแรกควรให้เราก่อน ภายหลังจึงถึงวาระของ

พวกท่าน. พวกชาวเมืองเหล่านั้นรับคำ. เสนาบดีนั้นเข้าไปเฝ้าพระราชาทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ ชาวเมืองเขาพากันโกรธพระองค์ พระเจ้าข้า. พระราชาตรัสถาม

ว่า โกรธเรื่องอะไรเล่าพ่อ. กราบทูลว่า นัยว่า พระองค์เท่านั้นทรงบำรุงพระ-

ศาสดา พวกข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้เลย หากว่าชาวเมืองได้ในบัดนี้บ้าง พวก

เขาก็จะไม่โกรธ เมื่อไม่ได้พวกเขาประสงค์จะรบกับพระองค์ พระเจ้าข้า. ตรัสว่า

นี่แน่เจ้า เราจะรบ เราจะไม่ให้หมู่สงฆ์. ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ชาวเมืองเป็น

ทาสของพระองค์ พวกข้าพระองค์จะรบกับพระองค์. ตรัสว่า พวกเจ้าจักจับใครรบ.

เจ้าเป็นเสนาบดีมิใช่หรือ. กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ข้าพระองค์เว้นชาวเมือง

เสียแล้วไม่สามารถจะรบได้ พระเจ้าข้า. แต่นั้น พระราชาทรงทราบว่า ชาวเมือง

มีกำลังมากแม้เสนาบดีก็เป็นฝ่ายพวกชาวเมืองเสียแล้ว แล้วตรัสว่า พวกชาว

เมืองจงให้หมู่ภิกษุแก่เราตลอด ๗ ปี ๗ เดือนต่อไป พวกชาวเมืองไม่ยอมรับ

พระราชาทรงลดมา ๖ ปี ๕ ปี ๓ ปี ๒ ปี ๑ ปี. แม้ให้ลดอย่างนี้ชาวเมือง

ก็ไม่ยอมรับ. พระราชาทรงขอ ๗ วันอื่น. พวกชาวเมืองคิดกันว่า บัดนี้พวก

เราไม่ควรทำความรุนแรงกับพระราชาจึงอนุญาต. พระราชาทรงตระเตรียม

ทานมุขที่พระองค์ตระเตรียมไว้แล้วถึง ๗ ปี ๗ เดือน เหลือเพียง ๗ วันเท่านั้น

ตลอด ๖ วัน ทรงให้ทานแก่คนบางพวกผู้ยังไม่เห็นเท่านั้น ในวันที่ ๗ ตรัส

เรียกชาวเมืองมาตรัสว่า พวกท่านจักสามารถให้ทานเห็นปานนี้ได้หรือ. แม้

พวกชาวเมืองก็พากันกราบทูลว่า ทานนั้นอาศัยพวกข้าพระองค์นั่นแหละจึงเกิด

ขึ้นแด่พระองค์แล้วมิใช่หรือ กราบทูลว่า พวกข้าพระองค์จักสามารถพระเจ้าข้า.

พระราชาทรงเช็ดพระอัสสุชลด้วยหลังพระหัตถ์ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า

แล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดแล้วว่า ข้าพระองค์จักไม่ทำ

ภิกษุหกล้านแปดแสนรูปให้เป็นภาระของผู้อื่น จักบำรุงด้วยปัจจัย ๔ จนตลอด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 159

ชีวิต บัดนี้ ข้าพระองค์อนุญาตแก่ชาวเมืองแล้ว เพราะชาวเมืองพากันโกรธว่า

พวกเราไม่ได้เพื่อถวายทาน ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ พวกพระคุณเจ้าทั้งหลายจงกระทำ

อนุเคราะห์แก่ชาวเมืองเหล่านั้นเกิด. ครั้นถึงวันที่สอง เสนาบดีตระเตรียมมหาทาน

แล้วกล่าวว่า วันนี้พวกท่านจงรักษาโดยที่คนอื่นบางคนจะไม่ถวายแม้ภิกษา

อย่างเดียวได้ ได้ตั้งบุรุษไว้โดยรอบ. ในวันนั้นภรรยาเศรษฐีร้องให้พูดกะลูก

สาวว่า ลูกเอ๋ย หากบิดาของลูกยังมีชีวิตอยู่ วันนี้แม่คงจะยังพระทศพลให้เสวย

ก่อน. ลูกสาวพูดกะแม่ว่า แม่จ๋าอย่าคิดไปเลย ลูกจักกระทำโดยที่หมู่ภิกษุมี

พระพุทธเจ้าเป็นประมุขจักเสวยภิกษาของพวกเราก่อน. แต่นั้นในถาดทองคำมี

ค่าประมาณหนึ่งแสน เต็มไปด้วยข้าวปายาสไม่มีน้ำ นางได้ปรุงเนยใส่น้ำผึ้ง

น้ำตาลกรวดเป็นต้น เอาถาดใบอื่นครอบถาดทองคำล้อมถาดนั้นด้วยสายพวง

ดอกมะลิกระทำคล้ายเชือกร้อยดอกไม้ ในเวลาพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าสู่บ้าน

นางยกขึ้นเอง แวดล้อมด้วยหมู่พี่เลี้ยงออกจากเรือน. ในระหว่างทางพวกคนใช้

ของเสนาบดีกล่าวว่า ดูก่อนแม่นาง เจ้าอย่ามาทางนี้. ธรรมดาหญิงผู้มีบุญมาก

ย่อมมีคำพูดน่าพอใจ. เมื่อคนใช้ของเสนาบดีเหล่านั้นพูดบ่อย ๆ ก็ไม่อาจห้าม

ถ้อยคำของนางได้. นางกล่าวว่า อาจ๋า ลุงจ๋า น้าจ๋า เพราะเหตุไร พวกท่านจึง

ไม่ให้ฉันไปเล่า. คนรับใช้เหล่านั้นกล่าวว่า เสนาบดีตั้งเราไว้ว่า พวกท่านจง

อย่าให้ใคร ๆ อื่นถวายของเคี้ยวของบริโภคได้. นางกล่าวว่า ก็พวกท่านเห็น

ของเคี้ยวของบริโภคในมือของฉันหรือ. คนใช้ตอบว่า พวกเราเห็นพวงดอกไม้.

นางถามว่า เสนาบดีของพวกท่านไม่ให้เพื่อทำแม้การบูชาด้วยพวงดอกไม้ดอก

หรือ. คนใช้ตอบว่า ให้ซิแม่นาง. นางกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงหลีกไป

เถิด แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า

ขอพระองค์ทรงให้รับพวงดอกไม้นี้เถิด พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแล

ดูคนใช้ของเสนาบดีคนหนึ่งให้รับพวงดอกไม้. นางถวายบังคมพระผู้มีพระภาค

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 160

เจ้าแล้ว ตั้งความปรารถนาว่า เมื่อข้าพเจ้ามีอันต้องเกิดในภพน้อยภพใหญ่ ขอจง

อย่ามีชีวิตหวาดสะดุ้งเลย ขอให้ข้าพเจ้าจงเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจ และขอให้ชื่อ

ว่าสุมนาในที่ที่เกิด ดุจพวงดอกมะลิเถิด แล้วพระศาสดาตรัสว่า ขอนางจงมี

ความสุขเถิด แล้วนางถวายบังคมกระทำประทักษิณหลีกไป. พระผู้มีพระภาค

เจ้าเสด็จไปเรือนเสนาบดีประทับนั่ง ณ อาศนะที่เขาปูไว้ เสนาบดีถือข้าวยาคู

เข้าไปถวาย. พระศาสดาทรงปิดบาตร. เสนาบดีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ หมู่ภิกษุนั่งแล้ว พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า พวกเรามีบิณฑบาตอย่าง

หนึ่งซึ่งได้ในระหว่าง. เสนาบดีนำพวงดอกไม้ออก ได้เห็นบิณฑบาตแล้ว จุฬุป-

ฐากกล่าวว่า มาตุคามกล่าวกะข้าพเจ้าว่า นาย ดอกไม้ได้หลอกลวงเสียแล้ว. ข้าว

ปายาสเพียงพอแก่ภิกษุทั้งหมด ตั้งแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นต้น. แม้เสนาบดี

ก็ได้ถวายไทยธรรมของตน. พระศาสดาเสวยภัตตาหารเสร็จแล้ว ตรัสมงคล

เสด็จกลับ. เสนาบดีถามว่า หญิงถวายบิณฑบาตนั้นชื่ออะไร. เป็นลูกสาว

เศรษฐีจ๊ะนาย. เสนาบดีคิดว่า หญิงนั้นมีปัญญา เมื่อหญิงเห็นปานนี้อยู่ในเรือน

ชื่อว่าสมบัติคือสวรรค์ของบุรุษจะหาได้ไม่ยาก จึงนำหญิงนั้นมาตั้งไว้ในตำแหน่ง

พี่ใหญ่.

วันรุ่งขึ้น ชาวเมืองพากันถวายทาน ได้ปรารภเพื่อถวายโดยสลับกันไป

อย่างนี้ ว่าแม้พระราชาก็จะทรงถวายในวันรุ่งขึ้น. พระราชาทรงตั้งจารบุรุษ

ไว้แล้ว ทรงถวายให้ยิ่งกว่าทานที่ชาวเมืองถวาย. แม้ชาวเมืองก็กระทำอย่างนั้น

เหมือนกัน ถวายยิ่งกว่าทานที่พระราชาทรงถวาย.

หญิงฟ้อนทั้งหลายในเมืองราชคฤห์ กล่าวกะสามเณรหนุ่มว่า พ่อสาม-

เณรทั้งหลาย นิมนต์รับทานที่ไม่ได้กระทำด้วยมือที่เช็ดที่ผ้าเช็ดตัวของคฤหบดี

ทั้งหลายแล้วชำระล้างน้ำลายและน้ำมูกเป็นต้นของเด็กอ่อน กระทำให้เป็นทาน

สะอาดประณีต. วันรุ่งขึ้น แม้ชาวเมืองทั้งหลายก็กล่าวกะสามเณรหนุ่มทั้งหลาย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 161

ว่า พ่อสามเณรทั้งหลาย นิมนต์รับทาน ที่ไม่ทำด้วยข้าวสารน้ำนมน้ำส้มและเนย

ใสที่คร่ามาในเมืองในบ้านและนิคมเป็นต้น ไม่ได้ทำด้วยการทำลายแข้งศีรษะ

และหลังของผู้อื่นแล้วนำมาถวาย กระทำด้วยเนยใสและน้ำนมอย่างแท้เป็นต้น

ทีเดียว. ครั้นเมื่อล่วงไป ๗ ปี ๗ เดือนและ ๗ วัน อย่างนี้แล้ว ทีนั้นความ

วิตกนี้ได้เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ล่วงไป ๗ ปี ๗

เดือน ๗ วัน จากวันตรัสรู้ ความวิตกได้เกิดขึ้นแล้วดังนี้.

บทว่า อญฺตโร มหาพฺรหฺมา ความว่า พรหมทูลวิงวอนให้ทรง

แสดงธรรม. บทว่า จตุราสีติ อาวาสสหสฺสานิ คือ วิหาร ๘๔,๐๐๐ หลัง.

วิหารเหล่านั้นทั้งหมดเป็นวิหารใหญ่รับภิกษุได้ถึงหนึ่งล้านสองแสนรูป ได้เป็น

เช่นกับมหาวิหารอภัยคีรี เจดียบรรพตและจิตตลบรรพต.

บทว่า ขนฺตี ปรม ตโป ความว่า ขันติคือความอดกลั้นเป็นตบะ

อย่างยิ่ง. บทว่า ตีติกฺขา เป็นไวพจน์ของขันตินั้นแหละ. อธิบายว่า อธิวาสน-

ขันติ กล่าวคือความอดกลั้นเป็นตบะอย่างสูงสุด. บทว่า นิพฺพาน ปรม ความ

ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า นิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่งโดยอาการทั้งปวง.

บทว่า น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี ความว่า ผู้ใดเข้าไปทำร้ายรบกวนและ

เบียดเบียนผู้อื่น เพราะเว้นจากอธิวาสนขันติ ผู้นั้นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต.

ก็บาทที่ ๔ เป็นไวพจน์ของบทนั้นนั่นเอง. บทว่า น สมโณ โหติ เป็นไวพจน์

ของบทนี้ว่า น หิ ปพฺพชิโต. บทว่า ปรวิเหยนฺโต เป็นไวพจน์ของบท

นี้ว่า ปรุปฆาตี. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปรูปฆาตี คือ ทำลายศีล. เพราะ

ศีลท่านกล่าวว่า ปร โดยอรรถว่าสูงสุด อธิบายว่า ก็ผู้ใดเป็นสมณะเบียด

เบียนสัตว์อื่นอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่า เข้าไปทำร้ายผู้อื่น คือ ทำศีลของตนให้

พินาศ ผู้นั้นไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต. อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใดเข้าไปทำร้ายผู้อื่น เพราะ

ไม่มีอธิวาสนขันติฆ่าสัตว์อื่นโดยที่สุดแม้เหลือบและยุง ผู้นั้นไม่ชื่อว่าเป็น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 162

บรรพชิต. เพราะเหตุไร. เพราะยังเว้นมลทินไม่ได้. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า

เพราะเว้นมลทินของตนได้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่าบรรพชิตดังนี้ นี้คือ

ลักษณะของบรรพชิต.

แม้ผู้ใด ไม่ทำร้าย ไม่ฆ่า แต่เบียดเบียนด้วยอาชญาเป็นต้น ผู้นั้นยัง

เบียดเบียนผู้อื่นอยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ. เพราะเหตุไร. เพราะไม่สงบจากการ

เบียดเบียน. ดังที่ท่านกล่าวว่า ผู้ที่เรียกว่า สมณะ เพราะบาปสงบดังนี้ นี้คือ

ลักษณะของสมณะ.

พึงทราบในคาถาที่สอง. บทว่า สพฺพปาปสฺส ได้แก่อกุศลทุกชนิด.

บทว่า อกรณ คือไม่ให้เกิดขึ้น. บทว่า กุสลสฺส ได้แก่กุศลอันมีในภูมิ ๔.

บทว่า อุปสมฺปทา คือได้เฉพาะ. บทว่า สจิตฺตปริโยทปน คือยังจิตของ

ตนให้สว่าง. ก็บทนั้นย่อมมีได้โดยความเป็นพระอรหันต์ ด้วยประการดังนี้

บรรพชิตควรละบาปทั้งปวงด้วยศีลสังวร ยังกุศลให้ถึงพร้อมด้วยสมถะและ

วิปัสสนาทั้งหลาย ยังจิตให้ผ่องแผ้วด้วยอรหัตผล นี้เป็นคำสอน คือ เป็นโอวาท

คือ เป็นคำตักเตือนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

พึงทราบในคาถาที่สาม บทว่า อนูปวาโท คือ ไม่เข้าไปกล่าวร้าย

แก่ใคร ๆ ด้วยวาจา. บทว่า อนูปฆาโต คือไม่ทำร้ายด้วยกาย. บทว่า

ปาฏิโมกฺเข แยกศัพท์เป็น ป อติ โมกฺข แปลว่า การพ้นทั่วยิ่ง คือศีลสูงสุด

ย่อมรักษาด้วยความวิเศษคือสุคติและย่อมให้พ้นจากภัยคือทุคติ หรือย่อม

รักษาสุคติ ย่อมให้พ้นทุคติ เพราะฉะนั้น ศีลนั้นท่านเรียกว่า ปาฏิโมกฺข

ผู้สำรวมในปาฏิโมกข์นั้น.

บทว่า มตฺตญฺญุตา คือ รู้ประมาณด้วยสามารถการรับและการบริโภค.

บทว่า ปนฺตญฺจ สยนาสน ความว่า เว้นการเบียดเสียดที่นอนและที่นั่ง. ใน

บทนั้นพึงทราบว่า เป็นอันท่านแสดงถึงความสันโดษในปัจจัย ด้วยปัจจัย ๒

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 163

เท่านั้น. บทว่า เอตพุทฺธาน สาสน ความว่า การไม่เข้าไปว่าร้าย ไม่เข้าไป

ทำร้ายผู้อื่น การสำรวมในปาฏิโมกข์ ความเป็นผู้รู้จัก ประมาณในการรับและ

การบริโภค การเสพเสนาสนะอันสงัด เพราะความเป็นผู้ชำนาญในสมบัติ ๘ นี้

เป็นคำสอน เป็นโอวาท เป็นคำตักเตือนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. ก็พึงทราบ

คาถาเหล่านี้เป็นคาถาแสดงหัวข้อธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง. ก็ด้วย

เหตุมีประมาณเท่านี้ เพื่อทรงประกาศถึงความที่พระองค์ทรงรู้แจ้งแทงตลอด

ธรรมธาตุ ที่พระองค์ตรัสไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตรู้แจ้งแทง

ตลอดธรรมธาตุนี้แล้วดังนี้แล้ว จึงทรงประกาศการวิงวอนของเทวดาที่ท่าน

กล่าวไว้ว่า บัดนี้ แม้เทวดาทั้งหลายก็ได้กราบทูลความนี้แด่พระตถาคตดังนี้

จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า เอกมิทาห ดังนี้ โดยกล่าวพิสดารตามความเป็นไปของ

เรื่องราว ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสีนี้.

ในบทเหล่านั้นบทว่า สุภวเน ในป่าชื่ออย่างนั้น. บทว่า สาลราช-

มูเล ได้แก่ควงไม้ใหญ่เป็นไม้เจ้าป่า. คำว่า คลายความพอใจในกาม

ความว่า คลายด้วยสามารถถอนรากออกด้วยอนาคามิมรรค ก็พวกเทวดาผู้ประ-

พฤติธรรมอันประเสริฐอยู่แล้วในพระศาสนาได้พากันกราบทูล แม้แก่พระ

พุทธเจ้าที่เหลือเหมือนกราบทูลแด่พระวิปัสสี. แต่บาลีมาด้วยสามารถแห่งพระ

วิปัสสี และแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลาย.

ในเทวดาเหล่านั้น เทวดาชื่อว่า อาวิหา เพราะไม่ละ คือไม่เสื่อมจาก

สมบัติของตน. เทวดาชื่อ อตัปปา เพราะไม่เผาสัตว์ไร ๆ. ชื่อ สุทัสสา

เพราะดูงามสวยน่าเลื่อมใส. ชื่อว่า สุทัสสี เพราะน่าดูของผู้พบเห็น. ชื่อ

อกนิฏฐา เพราะเป็นใหญ่ด้วยคุณทั้งปวงและด้วยสมบัติในภพ ไม่มีความน้อย

ในภพนี้. ควรประชุมภาณวารทั้งหลายไว้ในที่นี้. ก็ในสูตรนี้ท่านกล่าว ๓

ภาณวารด้วยสามารถเรื่องราวของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ท่าน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 164

กล่าวด้วยสามารถเรื่องราว แม้ของพระสิขีเป็นต้น, ก็เหมือนของพระวิปัสสี.

แต่บาลีย่อไป. พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายตรัส ๒๑ ภาณวาร ด้วย

สามารถพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ด้วยประการฉะนี้ เทวดาชั้นอวิหา อตัปปา

สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา ก็กล่าวเหมือนอย่างนั้น. แม้ทั้งหมดก็เป็น ๒๖๐๐

ภาณวาร. พระสูตรอื่นในพุทธวจนะอันเป็นไตรปิฎก ไม่มีจำนวน ๒๖๐๐

ภาณวาร. พึงทราบว่า พระสูตรนี้ชื่อว่าสุตตันตราชสูตร. พระผู้มีพระภาคเจ้า

เมื่อจะทรงกำหนดแม้อนุสนธิทั้งสองต่อจากนี้ จึงตรัสว่า อิติโข ภิกฺขเว ดังนี้

เป็นอาทิ. บททั้งหมดนั้นมีใจความง่ายอยู่แล้ว.

จบอรรถกถามหาปทานสูตรในทีฆนิกาย ซึ่ง สุมังคลวิลาสินีด้วย

ประการฉะนี้.

จบสูตรที่ ๑

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 165

๒. มหานิทานสูตร

เรื่อง พระอานนทเถระ

[๕๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ กุรุชนบท มีนิคมของชาว

กุรุนามว่า กัมมาสทัมมะ ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่

ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค แล้วนั่ง ณ ที่ควร

ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นท่านพระอานนท์นั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กราบทูลความข้อนี้

กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมา ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ ปฏิจจสมุบาทนี้ลึกซึ้งสุดประมาณ และปรากฏเป็นของลึก ก็

แหละถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังปรากฏแก่ข้าพระองค์ เหมือนเป็นของตื้นนัก.

ปฏิจจสมุปปาทกถา

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เธออย่าพูดอย่างนั้น อานนท์ เธออย่าพูด

อย่างนั้น อานนท์ ปฏิจจสมุบาทนี้ ลึกซึ้งสุดประมาณและปรากฏเป็นของลึก ดูกร

อานนท์ เพราะไม่รู้จริง เพราะไม่แทงตลอด ซึ่งธรรมอันนี้ หมู่สัตว์นี้ จึงเกิด

เป็นผู้ยุ่งประดุจด้ายของช่างหูก เกิดเป็นปมประหนึ่งกระจุกด้าย เป็นผู้เกิดมา

เหมือนหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง จึงไม่พ้นอบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร

ดูกรอานนท์ เมื่อเธอถูกถามว่า ชรามรณะ มีสิ่งนี้เป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบ

ว่า มี ถ้าเขาถามว่า ชรามรณะมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีชาติเป็น

ปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า ชาติมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขา

ถามว่า ชาติมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีภพเป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 166

ภพมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า ภพมีอะไรเป็นปัจจัย

เธอพึงตอบว่า มีอุปาทานเป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า อุปาทานมีสิ่งนี้เป็น

ปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า อุปาทานมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึง

ตอบว่า มีตัณหาเป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า ตัณหามีสิ่งนี้เป็นปัจจัยหรือ เธอ

พึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า ตัณหามีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีเวทนา

เป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า เวทนามีสิ่งนี้เป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี

ถ้าเขาถามว่า เวทนามีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มี พึงตอบว่า มีผัสสะเป็น

ปัจจัย เมื่อเธอถูกถามว่า ผัสสะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้า

เขาถามว่า ผัสสะมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีนามรูปเป็นปัจจัย เมื่อ

เธอถูกถามว่า นามรูปมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า

นามรูปมีอะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีวิญญาณเป็นปัจจัย เมื่อเธอถูกถาม

ว่า วิญญาณมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยหรือ เธอพึงตอบว่า มี ถ้าเขาถามว่า วิญญาณมี

อะไรเป็นปัจจัย เธอพึงตอบว่า มีนามรูปเป็นปัจจัย ดูกรอานนท์ เพราะนาม

รูปเป็นปัจจัยดังนี้แล จึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิดนามรูป

เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา

เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดอุปทาน

เพราะอุปทานเป็นปัจจัย จึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาติ เพราะชาติ

เป็นปัจจัย จึงเกิดชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส.

ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ย่อมมีด้วยประการฉะนี้.

[๕๘] ก็คำนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิดชรามรณะ เรากล่าว

อธิบายดังต่อไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เรา

ได้กล่าวไว้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงเกิดชรามรณะ ดูกรอานนท์ ก็แลถ้าชาติ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 167

มิได้มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ มิได้มีเพื่อความเป็นเทพ

แห่งพวกเทพ เพื่อความเป็นคนธรรพ์แห่งพวกคนธรรพ์ เพื่อความเป็นยักษ์

แห่งพวกยักษ์ เพื่อความเป็นภูตแห่งพวกภูต เพื่อความเป็นมนุษย์แห่งพวก

มนุษย์ เพื่อความเป็นสัตว์สี่เท้าแห่งพวกสัตว์สี่เท้า เพื่อความเป็นปักษีแห่งพวก

ปักษี เพื่อความเป็นสัตว์เลื้อยคลานแห่งพวกสัตว์เลื้อยคลาน ดูกรอานนท์ ก็

ถ้าชาติมิได้มีเพื่อความเป็นอย่างนั้น ๆ แห่งสัตว์พวกนั้น ๆ เมื่อชาติไม่มีโดย

ประการทั้งปวง เพราะชาติดับไป ชราและมรณะจะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลยพระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งชรามรณะ

ก็คือชาตินั่นเอง.

ก็คำนี้ว่า เพราะภพเป็นปัจจัย จึงเกิดชาตื เรากล่าวอธิบายดังต่อไปนี้.-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบข้อความนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เรา

ได้กล่าวไว้ว่าเพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าภพมิได้มีแก่ใครๆ

ในภพไหนๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ เมื่อภพไม่มีโดย

ประการทั้งปวง เพราะภพดับไป ชาติจะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งชาติ ก็

คือภพนั่นเอง.

ก็คำนี้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดภพ เรากล่าวอธิบายดังต่อ

ไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เรา

ได้กล่าวไว้ว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงเกิดภพ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าอุปาทานมิ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 168

ได้มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ กามุปาทาน ทิฏฐุปาทาน

สีลัพพตุปาทาน อัตตวาทุปาทาน เมื่ออุปาทานไม่มีโดยประการทั้งปวง เพราะ

อุปาทานดับไป ภพจะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งภพก็คือ

อุปาทานนั่งเอง.

ก็คำนี้ว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงเกิดอุปทาน เรากล่าวอธิบายดังต่อ

ไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้

กล่าวไว้ว่า เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน ดูกรอานนท์ ก็ถ้าตัณหามิได้

มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือรูปตัณหา สัททตัณหา คันธ-

ตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธรรมตัณหา เมื่อตัณหาไม่มีโดยประการทั้ง

ปวง เพราะตัณหาดับไป อุปาทานจะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งอุปาทาน

ก็คือตัณหานั่นเอง.

ก็คำนี้ว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เรากล่าวอธิบายไว้ดัง

ต่อไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เรา

ได้กล่าวไว้ว่า เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าเวทนา

มิได้มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ เวทนาที่เกิดเพราะจักษุ

สัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส เมื่อเวทนา

ไม่มี โดยประการทั้งปวง เพราะเวทนาดับไป ตัณหาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 169

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งตัณหาก็

คือเวทนานั่นเอง.

[๕๙] ดูกรอานนท์ ก็ด้วยประการดังนี้แล คำนี้ คือ เพราะอาศัย

เวทนาจึงเกิดตัณหา เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เพราะอาศัยการแสวง

หาจึงเกิดลาภ เพราะอาศัยลาภจึงเกิดการตกลงใจ เพราะอาศัยการตกลงใจจึง

เกิดการรักใคร่พึงใจ เพราะอาศัยการรักใคร่พึงใจ จึงเกิดการพะวง เพราะ

อาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่

เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน เพราะอาศัยการป้องกันจึงเกิดเรื่อง

ในการป้องกันขึ้น อกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด

การทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด

และการพูดเท็จ ย่อมเกิดขึ้น คำนี้เรากล่าวไว้ด้วยประการฉะนี้แล ดูกรอานนท์

เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้กล่าวว่า เรื่องในการ

ป้องกันอกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ

การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการ

พูดเท็จ ย่อมเกิดขึ้น ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการป้องกันมิได้มีแก่ใครๆ ในภพไหนๆ

ทั่วไปทุกแห่งหนเมื่อไม่มีการป้องกันโดยประการทั้งปวง เพราะหมดการป้อง

กัน อกุศลธรรนอันชั่วช้าลามกมิใช่น้อย คือการถือไม้ ถือมีด การทะเลาะ

การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การพูดคำส่อเสียด และการ

พูดเท็จ จะพึงเกิดขึ้นได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการ

เกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรมอันชั่วช้าลามกเหล่านี้ คือ การถือไม้ ถือมีด การ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 170

ทะเลาะ การแก่งแย่ง การวิวาท การกล่าวว่า มึง มึง การกล่าวคำส่อเสียด

และการพูดเท็จก็คือการป้องกันนั่นเอง.

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน เรากล่าวอธิบาย

ดังต่อไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เรา

ได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความตระหนี่จึงเกิดการป้องกัน ดูกรอานนท์ ก็ถ้า

ความตระหนี่มิได้มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความ

ตระหนี่โดยประการทั้งปวง เพราะหมดความตระหนี่ การป้องกันจะพึงปรากฏ

ได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการ

ป้องกัน ก็คือความตระหนี่นั่นเอง.

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่ เรากล่าวอธิบาย

ดังต่อไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เรา

ได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความยึดถือจึงเกิดความตระหนี่ ดูกรอานนท์ ก็ถ้า

ความยึดถือมิได้มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีความยึด

ถือโดยประการทั้งปวง เพราะดับความยึดถือเสียได้ ความตระหนี่จะพึงปรากฏได้

บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั่นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความ

ตระหนี่ ก็คือความยึดถือนั้นเอง.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 171

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ เรากล่าวอธิบายดัง

ต่อไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เรา

ได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยการพะวงจึงเกิดความยึดถือ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการ

พะวงมิได้มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีการพะวงโดย

ประการทั้งปวง เพราะดับการพะวงเสียได้ ความยึดถือจะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความ

ยึดถือ ก็คือการพะวงนั่นเอง.

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง เรากล่าว

อธิบายดังต่อไปนี้-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้

กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยความรักใคร่พึงใจจึงเกิดการพะวง ดูกรอานนท์ ก็ถ้า

ความรักใคร่พึงใจมิได้มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มี

ความรักใคร่พึงใจโดยประการทั้งปวง เพราะดับความรักใคร่พึงใจเสียได้ การ

พะวงจะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งการ

พะวงก็คือความรักใคร่พึงใจนั่นเอง.

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยความตกลงใจจึงเกิดความรักใคร่พึงใจ เรากล่าว

อธิบายดังต่อไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้

กล่าวไว้ว่าเพราะอาศัยความตกลงใจจึงเกิดความรักใคร่พึงใจ ดูกรอานนท์ ก็

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 172

ถ้าความตกลงใจมิได้มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มี

ความตกลงใจโดยประการทั้งปวง เพราะดับความตกลงใจเสียได้ความรักใคร่

พึงใจจะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยความรัก

ใคร่ พึงใจ ก็คือความตกลงใจนั่นเอง.

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ เรากล่าวอธิบายดังต่อ

ไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้

กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยลาภจึงเกิดความตกลงใจ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าลาภมิได้มี

แก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีลาภโดยประการทั้งปวง

เพราะหมดลาภ ความตกลงใจจะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งความ

ตกลงใจ ก็คือลาภนั่นเอง.

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ เรากล่าวอธิบายดังต่อ

ไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้ โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เรา

ได้กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยการแสวงหาจึงเกิดลาภ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าการแสวง

หามิได้มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน เมื่อไม่มีการแสวงหาโดย

ประการทั้งปวง เพราะหมดการแสวงหา ลาภจะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 173

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยของลาภ

ก็คือ การแสวงหานั่นเอง.

ก็คำนี้ว่า เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา เรากล่าวอธิบายดัง

ต่อไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนเราได้

กล่าวไว้ว่า เพราะอาศัยตัณหาจึงเกิดการแสวงหา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าตัณหามิ

ได้มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือ กามตัณหา ภวตัณหา

วิภวตัณหา เมื่อไม่มีตัณหาโดยประการทั้งปวง เพราะดับตัณหาโดยประการทั้ง

ปวง เพราะดับตัณหาเสียได้ การแสวงหาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

ไม่ได้ พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยของการแสวง

หาก็คือตัณหานั่นเอง.

[๖๐] ดูกรอานนท์ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับ

เวทนาโดยส่วนสองด้วยประการดังนี้แล.

ก็คำนี้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เรากล่าวอธิบายดังต่อ

ไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้

กล่าวไว้ว่า เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา ดูกรอานนท์ ก็ถ้าผัสสะมิได้

มีแก่ใคร ๆ ในภพไหน ๆ ทั่วไปทุกแห่งหน คือจักษุสัมผัส โสตสัมผัส ฆาน-

สัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส เมื่อไม่มีผัสสะโดยประการทั้งปวง

เพราะดับผัสสะเสียได้ เวทนาจะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 174

เพราะเหตุนั่นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งเวทนาก็

คือผัสสะนั่นเอง.

ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เรากล่าวอธิบายดังต่อ

ไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้

กล่าวไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ ดูกรอานนท์ การบัญญัตินาม

กายต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต และอุเทศ

นั้น ๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกายจะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

ดูกรอานนท์ การบัญญัติรูปกาย ต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต

อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้น ๆ ไม่มี การสัมผัสโดยการกระทบ จะ

พึงปรากฏในนามกายได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามก็ดี รูปกายก็ดี ต้องพร้อมด้วยอาการ

เพศ นิมิต อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้น ๆ ไม่มี การสัมผัสเพียงแต่

ชื่อก็ดี การสัมผัสโดยการกระทบก็ดี จะพึงปรากฏได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

ดูกรอานนท์ การบัญญัตินามรูปต้องพร้อมด้วยอาการ เพศ นิมิต

อุเทศ เมื่ออาการ เพศ นิมิต อุเทศนั้น ๆ ไม่มี ผัสสะจะพึงปรากฏได้บ้าง

ไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งผัสสะก็

คือนามรูปนั่นเอง.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 175

ก็คำนี้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เรากล่าวอธิบายดัง

ต่อไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้

กล่าวไว้ว่า เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป ดูกรอานนท์ ก็วิญญาณ

จักไม่หยั่งลงในท้องแห่งมารดา นามรูปจักขาดในท้องแห่งมารดาได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณหยั่งลงในท้องแห่งมารดาแล้วจักล่วงเลยไป

นามรูปจักบังเกิดเพื่อความเป็นอย่างนี้ได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ ของกุมารก็ดี ของกุมาริกาก็ดี ผู้ยังเยาว์

วัยอยู่จักขาดความสืบต่อ นามรูปจักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั่นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งนามรูป

ก็คือวิญญาณนั่นเอง.

ก็คำนี้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เรากล่าวอธิบาย

ดังต่อไปนี้ :-

ดูกรอานนท์ เธอพึงทราบความข้อนี้โดยปริยายแม้นี้ เหมือนที่เราได้

กล่าวไว้ว่า เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ ดูกรอานนท์ ก็ถ้าวิญญาณ

จักไม่ได้อาศัยในนามรูปแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งชาติชรามรณะและกองทุกข์ พึง

ปรากฏต่อไปได้บ้างไหม.

ไม่ได้เลย พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัยแห่งวิญญาณ

ก็คือนามรูปนั่นเองด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้แหละ อานนท์ วิญญาณและนามรูปจึง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 176

ยิ่งเกิด. แก่ ตาย จุติ หรืออุบัติทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุตติ ทางแห่งบัญญัติ

ทางทีกำหนดรู้ด้วยปัญญาและวัฏฏสังขาร ย่อมเป็นไปด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ๆ

ความเป็นอย่างนี้ ย่อมมีเพื่อบัญญัติ คือนามรูปกับวิญญาณ.

อัตตบัญญัติกถา

[๖๑] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตา ย่อมบัญญัติด้วยเหตุ

ประมาณเท่าไร ก็เมื่อบุคคลจะบัญญัติอัตตามีรูปเป็นกามาวจร ย่อมบัญญัติว่า

อัตตาของเรามีรูปเป็นกามาวจร เมื่อบัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อมบัญญัติ

ว่า อัตตาของเรามีรูปหาที่สุดมิได้ เมื่อบัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาจีวร ย่อม

บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปเป็นกามาวจร เมื่อบัญญัติอัตตาไม่มีรูปหาที่สุด

มิได้ ย่อมบัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปหาที่สุดมิได้.

ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น ๔ อย่างนั้น ผู้ที่บัญญัติอัตตามีรูปเป็น

กามาวจรนั้น. ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น

หรือมีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพ

ที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่าอัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติดสันดานผู้

มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย.

ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น ๔ อย่างนั้น ผู้มีบัญญัติอัตตามีรูปหา

ที่สุดมิได้นั้น ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น

หรือมีความเห็นว่า เราจักยังสภาพที่ไม่เที่ยงแท้อันมีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็น

สภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่า อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมติดสันดาน

ผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย.

ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น ๔ อย่างนั้น ผู้ที่บัญญัติอัตตาไม่มีรูป

เป็นกามาวจรนั้น ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติสภาพที่เป็นอย่างนั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 177

หรือมีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็น

สภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่า อัตตาเป็นกามาวจร ย่อมติด

สันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย.

ดูกรอานนท์ บรรดาความเห็น ๔ อย่างนั้น ส่วนผู้ที่บัญญัติอัตตาไม่มี

รูปทั้งหาที่สุดมิได้นั้น ย่อมบัญญัติในกาลบัดนี้ หรือบัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่าง

นั้น หรือมีความเห็นว่า เราจักยังสภาพที่ไม่เที่ยงแท้อัน มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็น

สภาพที่เทียงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่า อัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมติดสันดาน

ผู้มีอรูป เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย.

ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อจะบัญญัติอัตตา ย่อมบัญญัติด้วยเหตุมีประมาณ

เท่านี้แล.

กถาว่าด้วยการไม่บัญญัติอัตตา

[๖๒] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา ย่อมไม่บัญญัติด้วย

เหตุมีประมาณเท่าไร อานนท์ ก็เมื่อบุคคลไม่บัญญัติอัตตามีรูปเป็นกามาวจร

ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปเป็นกามาวจร เมื่อไม่บัญญัติอัตตามีรูปอัน

หาที่สุดมิได้ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเรามีรูปหาที่สุดมิได้ หรือเมื่อไม่บัญญัติ

อัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจร ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มีรูปเป็นกามาวจร

เมื่อไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปหาที่สุดมิได้ ย่อมไม่บัญญัติว่า อัตตาของเราไม่มี

รูปหาที่สุดมิได้ อานนท์ บรรดาความเห็น ๔ อย่างนั้น ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตามี

รูปเป็นกามาวจรนั้น ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้ หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็น

อย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ

เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความเห็นว่า อัตตาเป็นกามาวจร ย่อม

ไม่ติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 178

ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตามีรูปหาที่สุดมิได้นั้น ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้

หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพ

อันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความ

เห็นว่าอัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น

จึงควรกล่าวไว้ด้วย.

ส่วนผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปเป็นกามาวจรนั้น ย่อมไม่บัญญัติใน

กาลบัดนี้ หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เรา

จักยังสภาพอันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์

การลงความเห็นว่าอัตตาเป็นกามาวจร ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้น จึงควรกล่าวไว้ด้วย.

ผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปหาที่สุดมิได้นั้น ย่อมไม่บัญญัติในกาลบัดนี้

หรือไม่บัญญัติซึ่งสภาพที่เป็นอย่างนั้น หรือไม่มีความเห็นว่า เราจักยังสภาพ

อันไม่เที่ยงแท้ที่มีอยู่ให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้ อานนท์ การลงความ

เห็นว่าอัตตาหาที่สุดมิได้ ย่อมไม่ติดสันดานผู้มีอรูปที่เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น

จึงควรกล่าวไว้ด้วย.

ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อไม่บัญญัติอัตตา ย่อมไม่บัญญัติด้วยเหตุมี

ประมาณเท่านี้แล.

อัตตสมนุปัสสนากถา

[๖๓] ดูกรอานนท์ บุคคลเมื่อเล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นด้วยเหตุมี

ประมาณเท่าไร ก็บุคคลเมื่อเล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นว่า เวทนา

เป็นอัตตาของเรา ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวย

เวทนา อานนท์ หรือเล็งเห็นอัตตา ดังนี้ว่า เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 179

จะว่าอัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่

เพราะฉะนั้น อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา อานนท์ บรรดาความเห็น ๓

อย่างนั้น ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา เขาจะพึงถูกซักถาม

อย่างนี้ว่า อาวุโส เวทนามี ๓ อย่างนี้ คือ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุก-

ขมสุขเวทนา บรรดาเวทนา ๓ ประการนี้ ท่านเล็งเห็นอันไหนโดยความเป็น

อัตตา อานนท์ ในสมัยใด อัตตาเสวยสุขเวทนา ในสมัยนั้น ไม่ได้เสวย

ทุกขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา คงเสวยแต่สุขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น

ในสมัยใด อัตตาเสวยทุกขเวทนาไม่ได้เสวยสุขเวทนา ไม่ได้เสวยอทุกขมสุขเวทนา

คงเสวยแต่ทุกขเวทนาอย่างเดียวเท่านั้น ในสมัยใด อัตตาเสวยอทุกขมสุขเวทนา

ในสมัยนั้นไม่ได้เสวยสุขเวทนาไม่ได้เสวยทุกขเวทนาเลย เสวยแต่อทุกขมสุข-

เวทนาอย่างเดียวเท่านั้น.

ดูกรอานนท์ เวทนาแม้ที่เป็นสุขก็ดี แม้ที่เป็นทุกข์ก็ดี แม้ที่เป็น

อทุกขมสุขก็ดี ล้วนไม่เที่ยงปัจจัยปรุงแต่งขึ้น เกิดขึ้นเพราะอาศัยปัจจัย มี

ความสิ้นความเสื่อม ความคลาย และความดับไปเป็นธรรมดา เมื่อเขาเสวย

สุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่านี้เป็นอัตตาของเรา ต่อสุขเวทนาอันนั้นดับไป

จึงมีความเห็นว่า อัตตาของเราดับไปแล้ว เมื่อเสวยทุกขเวทนา ย่อมมีความ

เห็นว่า นี้เป็นอัตตาของเรา ต่อทุกขเวทนาอันนั้นแลดับไป จึงมีความเห็นว่า

อัตตาของเราดับไปแล้ว เมื่อเสวยอทุกขมสุขเวทนา ย่อมมีความเห็นว่า นี้

เป็นอัตตาของเรา ต่ออทุกขมสุขเวทนาอันนั้นแลดับไป จึงมีความเห็นว่า

อัตตาของเราดับไปแล้ว ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรานั้น เมื่อ

เล็งเห็นอัตตา ย่อมเล็งเห็นเวทนาอันไม่เที่ยงเกลื่อนกล่นไปด้วยสุขและทุกข์ มี

ความเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เป็นอัตตาในปัจจุบันเท่านั้น เพราะเหตุ

นั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า เวทนาเป็นอัตตาของเรา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 180

แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้ ผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า ถ้าเวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว

อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา เขาจะพึงถูกซักอย่างนี้ว่า ในรูปขันธ์ล้วน ๆ

ก็ยังมิได้มีความเสวยอารมณ์อยู่ทั้งหมด ในรูปขันธ์นั้น ยังจะเกิดอหังการว่า

เป็นเราได้หรือ.

ไม่ได้ พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า ถ้า

เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราก็ไม่ต้องเสวยเวทนา แม้ด้วยคำ

ดังกล่าวแล้วนี้ ส่วนผู้ที่กล่าวอย่างนี้ว่า เวทนาไม่เป็นอัตตาของเราเลย อัตตา

ของเราไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ อัตตาของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่า

อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา เขาจะพึงถูกซักอย่างนี้ว่า อาวุโส ก็เพราะ

เวทนาจะต้องดับไปทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่เหลือเศษ เมื่อเวทนาไม่มีโดยประการ

ทั้งปวง เพราะเวทนาดับไปยังจะเกิดอหังการว่า เป็นเราได้หรือ ในเมื่อขันธ์

นั้น ๆ ดับไปแล้ว.

ไม่ได้ พระเจ้าข้า.

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะเล็งเห็นว่า เวทนา

ไม่เป็นอัตตาของเราแล้ว อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนาเลยก็ไม่ใช่ อัตตา

ของเรายังต้องเสวยเวทนาอยู่ เพราะว่าอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา แม้

ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้.

วิมุตตจิตตตา

[๖๔] ดูกรอานนท์ คราวใดเล่า ภิกษุไม่เล็งเห็นเวทนาเป็นอัตตา

ไม่เล็งเห็นอัตตาว่าไม่ต้องเสวยเวทนาก็ไม่ใช่ ไม่เล็งเห็นว่าอัตตายังต้องเสวย

เวทนาอยู่ เพราะว่า อัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดา ภิกษุนั้น เมื่อเล็ง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 181

เห็นอยู่อย่างนี้ย่อมไม่ยึดมั่นอะไร ๆ ในโลก และเมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะทก

สะท้าน เมื่อไม่สะทกสะท้านย่อมปรินิพพานได้เฉพาะตน ทั้งรู้ชัดว่า ชาติสิ้น

แล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น

อย่างนี้มิได้มี อานนท์ ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า ทิฐิว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์ยังมี

อยู่ ว่าเบื้องหน้าแต่ตายสัตว์ไม่มีอยู่ ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์มีอยู่ด้วย ไม่มี

อยู่ด้วย ว่าเบื้องหน้าแต่ตาย สัตว์มีอยู่ก็หามิได้ ไม่มีอยู่ก็หามิได้ ดังนี้ กะ

ภิกษุผู้หลุดพ้นแล้วอย่างนี้ การกล่าวของบุคคลนั้นไม่สมควร.

ข้อนั้น เพราะเหตุไร.

ดูกรอานนท์ ชื่อ ทางแห่งชื่อ ทางแห่งนิรุตติ บัญญัติ ทางแห่ง

บัญญัติการแต่งตั้ง ทางที่กำหนดรู้ด้วยปัญญา วัฏฏะยังเป็นไปอยู่ตราบใด

วัฏฏสงสารยังคงหมุนเวียนอยู่ตราบนั้น เพราะรู้ยิ่ง วัฏฏสงสารนั้น ภิกษุจึง

หลุดพ้น ข้อที่มีทิฐิว่า ใคร ๆ ย่อมไม่รู้ ย่อมไม่เห็นภิกษุผู้หลุดพ้น เพราะ

รู้ยิ่งวัฏฏสงสารนั้น ข้อนั้นไม่สมควร.

สัตตวัญญาณัฎฐิกถา ทวายตนกถา

[๖๕] ดูกรอานนท์ วิญญาณฐิติ ๗ อายตนะ ๒ เหล่านี้ วิญญาณฐิติ

๗ เป็นไฉน คือ-

๑. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์ และพวก

เทพบางพวก พวกวินิบาตบางพวก นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๑

๒. สัตว์มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพผู้นับเนื่อง

ในชั้นพรหมผู้บังเกิดด้วยปฐมฌาน และสัตว์ผู้เกิดในอบาย ๔ นี้เป็นวิญญาณ-

ฐิติที่ ๒

๓. สัตว์มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกเทพชั้น

อาภัสสร นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๓

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 182

๔. สัตว์ที่มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน ได้แก่พวกเทพ

ชั้นสุภกิณหะ นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๔

๕. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่

สุดมิได้ เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงนานัตต-

สัญญาโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๕

๖. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นวิญญาณัญจายตนะด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่

สุดมิได้ เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณ-

ฐิติที่ ๖

๗. สัตว์ที่เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร

เพราะล่วงชั้นวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิญญาณฐิติที่ ๗

ส่วนอายตนะอีก ๒ คือ อสัญญีสัตตายตนะ (ข้อที่ ๑) และข้อที่ ๒ คือ

เนวสัญญานาสัญญายตนะ

ดูกรอานนท์ บรรดาวิญญาณฐิติทั้ง ๗ ประการนั้น วิญญาณฐิติข้อที่

๑ มีว่า สัตว์มีกายต่างกันมีสัญญาต่างกัน ได้แก่พวกมนุษย์และพวกเทพบาง

พวก พวกวินิบาตบางพวก ผู้ที่รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความ

ดับ รู้คุณและโทษ แห่งวิญญาณฐิติข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจาก

วิญญาณฐิติข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ.

ไม่ควร พระเจ้าข้า. ฯลฯ

วิญญาณฐิติที่ ๗ มีว่า สัตว์ผู้เข้าถึงชั้นอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิ-

การว่า ไม่มีอะไร เพราะล่วงชั้นวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง ผู้ที่

รู้ชัดวิญญาณฐิติข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษ แห่งวิญญาณ-

ฐิติข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติข้อนั้น เขายังจะควร

เพลิดเพลินวิญญาณฐิตินั้นอีกหรือ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 183

ไม่ควร พระเจ้าข้า.

ดูกรอานนท์ ส่วนบรรดาอายตนะทั้ง ๒ นั้นเล่า ข้อที่ ๑ คือ อสัญญี-

สัตตายตนะ ผู้ที่รู้ชัดอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณ

และโทษ แห่งอสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจาก

อสัญญีสัตตายตนะข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินอสัญญีสัตตยตนะนั้นอีก

หรือ.

ไม่ควร พระเจ้าข้า.

ส่วนข้อที่ ๒ คือ เนวสัญญานาสูญญายตนะ ผู้ที่รู้ชัดเนวสัญญานา

สัญญายตนะข้อนั้น รู้ความเกิดและความดับ รู้คุณและโทษแห่งเนวสัญญานา

สัญญายตนะข้อนั้น และรู้อุบายเป็นเครื่องออกไปจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ

ข้อนั้น เขายังจะควรเพื่อเพลิดเพลินเนวสัญญานาสัญญายตนะข้อนั้นอีกหรือ.

ไม่ควร พระเจ้าข้า.

ดูกรอานนท์ เพราะภิกษุมาทราบชัดความเกิดและความดับทั้งคุณและ

โทษและอุบายเป็นเครื่องออกไปจากวิญญาณฐิติ ๗ และอายตนะ ๒ เหล่านี้ ตาม

เป็นจริงแล้ว ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นได้ เพราะไม่ยึดมั่น อานนท์ ภิกษุนี้เราเรียก

ว่า ปัญญาวิมุตติ.

อัฏฐวิโมกขกถา

[๖๖] ดูกรอานนท์ วิโมกข์ ๘ ประการเหล่านี้ ๘ ประการเป็นไฉน คือ

๑. ผู้ได้รูปฌานย่อมเห็นรูป นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๑

๒. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปในภายใน ย่อมเห็นรูปในภายนอก นี้

เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๒

๓. ผู้ที่น้อมใจเชื่อว่า กสิณเป็นของงาม นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๓

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 184

๔. ผู้บรรลุอากาสานัญจายตนะด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้

เพราะล่วงรูปสัญญา เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่ใส่ใจถึงมานัตตสัญญา

โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๔

๕. ผู้ที่บรรลุวิญญาณัญจายตนะ ด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิ

ได้เพราะล่วงชั้นอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๕

๖. ผู้ที่บรรลุอากิญจัญญายตนะ ด้วยมนสิการว่า ไม่มีอะไร เพราะ

ล่วงวิญญาณัญจายตนะโดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๖

๗. ผู้ที่บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะล่วงอากิญจัญญายตนะ

โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๗

๘. ผู้ที่บรรลุสัญญาวเทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนะ

โดยประการทั้งปวง นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ ๘

ดูกรอานนท์ เหล่านี้แล วิโมกข์ ๘ ประการ ภิกษุเข้าวิโมกข์ ๘

เป็นอนุโลมบ้าง เป็นปฏิโลมบ้าง เข้าทั้งอนุโลมและปฏิโลมบ้าง เข้าบ้างออก

บ้าง ตามคราวที่ต้องการตามสิ่งที่ปรารถนา และตามกำหนดที่ต้องประสงค์

จึงบรรลุเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้เพราะอาสวะสิ้นไป เพราะ

ทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบัน อานนท์ ภิกษุนี้ เราเรียกว่า

อุภโตภาควิมุตติ อุภโตภาควิมุตติอื่นจากอุภโตภาควิมุตตินี้ที่จะยิ่งหรือประณีต

ไปกว่าไม่มี พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ท่านพระอานนท์ยินดี

ชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล.

จบมหานิทานสูตรที่ ๒

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 185

อรรถกถามหานิทานสูตร

มหานิทานสูตรมีบทเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ว่า สมัยหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กุรุชนบท ดังนี้.

ต่อไปนี้เป็นการพรรณนาบทที่ยากในพระสูตรนั้น บทว่า กุรูสุ วิหรติ

ความว่า พระราชกุมารชาวชนบท ชื่อว่า กุรุ ที่ประทับของพระราชกุมารนั้น

เป็นชนบทหนึ่ง ท่านกล่าวว่า กุรูสุ ด้วยศัพท์ที่เพิ่มขึ้นมา ในชนบทชื่อกุรูสุนั้น

ก็พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ว่า ในรัชกาลพระเจ้ามันธาตุ พวกมนุษย์

ใน ๓ ทวีปได้ยินมาว่า ชมพูทวีปเป็นที่เกิดของบุรุษผู้สูงสุด นับแต่พระพุทธเจ้า

พระปัจเจกพุทธเจ้า พระมหาสาวก และพระเจ้าจักรพรรดิ เป็นทวีปอุดม

น่ารื่นรมย์ยิ่งนัก จึงพากันมากับพระเจ้าจักรพรรดิมันธาตุราช ผู้ปล่อยจักรแก้ว

แล้วมุ่งติดตามไปยังทวีปทั้ง ๔ ลำดับนั้น พระราชาตรัสถามปริณายกแก้วว่า

ยังมีที่รื่นรมย์กว่ามนุษยโลกหรือไหมหนอ ปริณายกแก้วกราบทูลว่า ข้าแต่

พระองค์ เพราะเหตุไร พระองค์จึงตรัสอย่างนั้นเล่า พระเจ้าข้า พระองค์ไม่ทรง

เห็นอานุภาพของพระจันทร์และพระอาทิตย์ หรือ ฐานะของพระจันทร์ และ

พระอาทิตย์เหล่านั้น น่ารื่นรมย์กว่านี้มิใช่หรือ พระเจ้าข้า พระราชาได้ทรง

ปล่อยจักรแก้วไป ณ ที่นั้น.

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ได้สดับว่า พระเจ้ามันธาตุราชเสด็จมาแล้ว คิดว่า

พระราชาทรงฤทธิ์มาก เราไม่สามารถจะห้ามการรบได้ จึงมอบราชสมบัติของตน

ให้ พระเจ้ามันธาตุราชทรงรับราชสมบัตินั้นแล้วตรัสถามต่อไปว่า ยังมีที่น่า

รื่นรมย์ยิ่งกว่านี้อีกไหม ลำดับนั้น ท้าวมหาราชเหล่านั้น กราบทูลถึงภพดาวดึงส์

แก่พระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ ภพดาวดึงส์น่ารื่นรมย์กว่านี้ มหาราชทั้ง ๔

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 186

เหล่านี้เป็นผู้รับใช้ของท้าวสักกเทวราช ณ พิภพนั้น ยืนอยู่ ณ พื้นของผู้รักษา

ประตู ท้าวสักกเทวราชมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ท้าวสักกเทวราชนั้นมีสถานที่

สำหรับบำรุงบำเรอเหล่านี้ คือ เวชยันตปราสาทสูง ๑,๐๐๐ โยชน์ เทวสภา

ชื่อสุธัมมาสูง ๕๐๐ โยชน์ เวชยันตรถสูง ๑๕๐ โยชน์ ช้างเอราวัณก็เหมือนกัน

สวนนันทวัน จิตรลดาวัน ปารุสกวัน มิสสกวันประดับด้วยต้นไม้ทิพย์ ๑,๐๐๐ ต้น

ต้นทองหลาง ต้นทองกวาวสูง ๑๐๐ โยชน์ ภายใต้ต้นไม้นั้นมีแท่นปัณฑุกัมพล

ศิลาอาสน์ยาว ๖๐ โยชน์ กว้าง ๕๐ โยชน์ สูง ๑๕ โยชน์ มีสีเหมือนดอก

ชัยพฤกษ์ เพราะความอ่อนของบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์นั้น เมื่อท้าวสักกะประทับ

นั่ง พระวรกายครึ่งหนึ่งฟุบลงไป พระราชาทรงสดับดังนั้นแล้ว มีพระประสงค์

จะเสด็จไป ณ สักกเทวโลกนั้น จักรแก้วได้พุ่งขึ้นไปแล้ว จักรแก้วนั้นตั้งอยู่

บนอากาศพร้อมกับเสนาประกอบด้วยองค์ ๔ ต่อแต่นั้น จักรแก้วก็ได้ลง

ท่ามกลางเทวโลกทั้งสอง ประดิษฐานอยู่บนแผ่นดิน พร้อมกับเสนาประกอบ

ด้วยองค์ ๔ มีปริณายกแก้วเป็นหัวหน้า พระราชาพระองค์เดียวเท่านั้นได้เสด็จ

ไปสู่ภพดาวดึงส์.

ท้าวสักกเทวราชสดับว่า พระเจ้ามันธาตุราชเสด็จมาแล้ว กระทำการ

ต้อนรับพระเจ้ามันธาตุราชนั้น ตรัสว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์เสด็จมาดีแล้ว

ข้าแต่มหาราช สมบัติเป็นของพระองค์ ข้าแต่มหาราช ขอพระองค์จงทรง

ปกครองเถิด แล้วทรงแบ่งราชสมบัติพร้อมด้วยนางระบำให้เป็นสองส่วน ได้

ประทานให้ส่วนหนึ่ง เมื่อพระราชามันธาตุราชพอเสด็จประทับอยู่บนภพดาว-

ดึงส์เท่านั้น ความเป็นมนุษย์ได้หายไปแล้ว ความเป็นเทพได้ปรากฏทันที

ได้ยินว่า เมื่อพระราชาประทับนั่ง ณ บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์กับท้าวสักกะ

พวกเทวดามิได้สังเกตพระราชานั้นว่า ความต่างกันย่อมปรากฏโดยเพียงหลับตา

ย่อมหลงลืมในความต่างกันของท้าวสักกะ และของพระราชานั้น พระราชา-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 187

มันธาตุราชทรงเสวยทิพยสมบัติ ณ ภพดาวดึงส์นั้นทรงครองราชสมบัติ จน

ท้าวสักกะทรงอุบัติแล้วจุติแล้วถึง ๓๖ องค์ ไม่ทรงอิ่มด้วยกาม ครั้นจุติจาก

ภพดาวดึงส์แล้วตกลงในพระอุทยานของพระองค์ พระวรกายถูกลมและแดด

สัมผัสได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว.

ก็เมื่อจักรแก้วตั้งอยู่บนแผ่นดิน ปริณายกแก้วให้เขียนรองพระบาท

ของพระเจ้ามันธาตุราชที่แผ่นทองคำ แล้วประกาศราชสมบัติว่า นี่คือราชสมบัติ

ของพระเจ้ามันธาตุราช แม้พวกมนุษย์ที่มาจากทวีปทั้ง ๓ เหล่านั้น ก็ไม่

สามารถจะกลับไปได้ จึงเข้าไปหาปริณายกแก้ววิงวอนว่า ข้าแต่ท่าน พวกข้าพเจ้า

มาด้วยอานุภาพของพระราชา บัดนี้ไม่สามารถกลับไปได้ ขอท่านได้โปรดให้

ที่อยู่แก่พวกข้าพเจ้าเถิด ปริณายกแก้วได้ให้ชนบทหนึ่ง ๆ แก่มนุษย์เหล่านั้น

ในประเทศเหล่านั้น ประเทศที่พวกมนุษย์มาจากบุพพวิเทหะทวีปอาศัยอยู่ได้

ชื่อว่า วิเทหรัฐ ตามความหมายเดิมนั้นนั่นเอง ประเทศที่พวกมนุษย์มาจาก

อมรโดยานทวีปอาศัยอยู่ได้ชื่อว่า อปรันตชนบท ประเทศที่พวกมนุษย์มาจาก

อุตตรกุรุทวีปได้ชื่อว่า กุรุรัฐ ท่านกล่าวโดยเป็นพหูพจน์ประสงค์เอาบ้านและ

นิคมเป็นต้นมาก เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าว กุรูสุ วิหรติ ประทับอยู่ ณ

กุรูชนบท.

ในบทว่า กมฺมาสธมฺม นี้ อาจารย์บางพวกพรรณนาความด้วยแปลง

ธ เป็น ท. ชื่อว่า กมฺมาสธมฺม เพราะ กัมมาสะ ถูกทรมานในเพราะ

เหตุนี้. บทว่า กมฺมาโส ท่านกล่าวว่า กมฺมาสบาท เป็นมนุษย์กินคน.

เล่ากันมาว่า แผลพุขึ้นที่เท้าของกัมมาสบาทนั้น ในที่ที่ถูกตอตำได้พุขึ้นเป็น

เช่นกับไม้เจตมูลเพลิง เพราะฉะนั้น กัมมาสะได้ปรากฏชื่อว่า กมฺมาสบาท.

ก็กัมมาสบาทถูกทรมานในโอกาสนั้น จึงได้เลิกจากการเป็นมนุษย์กินคน. ใคร

ทรมาน. พระมหาสัตว์. กล่าวไว้ในชาดกไหน. อาจารย์บางพวกกล่าวว่าใน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 188

มหาสุตตโสมชาดก. แต่พระเถระเหล่านี้กล่าวว่า ในชยทิสชาดก. ก็ครั้งนั้น

กัมมาสบาทได้ถูกพระมหาสัตว์ทรมาน ดังที่พระโพธิสัตว์ตรัสไว้ว่า

เราเป็นโอรสของพระเจ้าชยทิสะผู้เป็นใหญ่

ในแคว้นปัญจาล เราได้สละชีวิตให้กัมมาส-

บาทปล่อยพระชนก และเราได้ให้แม้กัมมาส-

บาทเลื่อมใสแล้ว ดังนี้.

แต่อาจารย์บางพวกพรรณนาด้วย ธ อักษรเท่านั้น ได้ยินว่า กุรุธรรม

ของชาวแคว้นกุรุ เกิดด่างพร้อยขึ้นแล้วในแคว้นนั้น เพราะฉะนั้น ที่นั้นเป็น

ที่มีธรรมด่างพร้อยเกิดขึ้นแล้ว ท่านจึงเรียกว่า กัมมาสธัมมะ กัมมาสธัมมะ

นี้เป็นชื่อของนิคมที่ชาวกุรุอาศัยอยู่ ณ ที่นั้น เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่กล่าว

ด้วยสัตตมีวิภัตติ์ เพราะไม่ใช่โอกาสเป็นที่อยู่ นัยว่า โอกาสเป็นที่อยู่ในนิคมนั้น

ของพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้เป็นพระวิหารแต่อย่างไร แต่ถอยออกไปจากนิคม

ได้มีดงป่าใหญ่ ในภาคพื้นอันน่ารื่นรมย์สมบูรณ์ด้วยน่าอย่างใดอย่างหนึ่ง

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ ที่นั้นทรงกระทำนิคมนั้นให้เป็นโคจรคาม

เพราะฉะนั้น พึงทราบความในบทนี้อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่

ณ กุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ ชื่อว่า กัมมาสธัมมะ ทรงกระทำนิคมนั้นให้

เป็นโคจรคาม.

บทว่า อายสฺมา นี้ เป็นคำกล่าวด้วยความรัก เป็นคำกล่าวด้วย

ความเคารพ. บทว่า อานนฺโท เป็นชื่อของพระเถระเจ้าองค์นั้น. บทว่า

เอกมนฺต แสดงถึงความเป็นนปุงสกลิงค์ ดุจในบทมีอาทิว่า พระจันทร์และ

พระอาทิตย์ทั้งหลายย่อมเดินไม่สม่ำเสมอดังนี้ เพราะฉะนั้น พึงทราบความใน

บทนี้อย่างนี้ว่า พระอานนท์ นั่งแล้ว โดยอาการที่พระอานนท์นั่ง ย่อมเป็น

นั่งแล้ว ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง หรือว่า บทนี้เป็นทุติยาวิภัตติ์ลงในอรรถแห่ง

สัตตมีวิภัตติ์.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 189

บทว่า นิสีทิ คือเข้าไปอยู่แล้ว จริงอยู่ บัณฑิตทั้งหลายเข้าไปหาผู้ที่อยู่

ในฐานะอันเป็นที่เคารพ ย่อมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เพราะความเป็นผู้

ฉลาดในการนั่ง ก็พระอานนท์นี้เป็นบัณฑิตรูปหนึ่งของบรรดาบัณฑิตเหล่านั้น

เพราะฉะนั้น จึงนั่งแล้ว ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ก็นั่งอย่างไรจึงเป็นอันนั่ง ณ ที่

ควรส่วนข้างหนึ่ง นั่งเว้นโทษของการนั่ง ๖ อย่าง คือ ไกลเกินไป ๑

ใกล้เกินไป ๑ เหนือลม ๑ สูงไป ๑ ตรงหน้าเกินไป ๑ หลังเกินไป ๑

เพราะนั่งไกลเกินไป หากประสงค์จะถาม ก็จะต้องพูดด้วยเสียงดัง นั่งใกล้เกิน

ไปก็จะเบียดเสียด นั่งเหนือลมย่อมรบกวนด้วยกลิ่นตัว นั่งสูงไปย่อมแสดง

ความไม่เคารพ นั่งตรงหน้าเกินไป หากประสงค์จะมองดู ย่อมเป็นการจ้องตา

ต่อตาดูกัน นั่งหลังเกินไป หากประสงค์จะมองดู ก็จะต้องยืดคอดู เพราะฉะนั้น

แม้พระอานนท์นี้ ก็กระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาคเจ้า ๓ ครั้ง แล้วถวาย

บังคมด้วยความเคารพเว้นโทษของการนั่ง ๖ อย่างเหล่านี้ เข้าไปภายในของ

พระพุทธรัศมี มีวรรณ ๖ อย่าง ในที่เฉพาะเบื้องหน้าของมณฑลพระชานุข้าง

ขวา ท่านพระอานนท์ผู้เป็นภัณฑาคาริกของพระธรรมได้นั่งแล้ว ดุจลงสู่รส

ครั่งที่ผ่องใส ดุจห่มแผ่นทองคำ และดุจเข้าไปสู่ท่ามกลางเพดานแห่งดอกอุบล

สีแดง เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระอานนท์นั่งแล้ว ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

ก็พระอานนท์นี้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลาไร ด้วยเหตุไร ในเวลาเย็น

ด้วยเหตุคือการถามปัญหาเรื่องปัจจยาการ ในวันนั้น ท่านพระอานนท์เที่ยวไปยัง

บ้านกัมมาธัมมะเพื่อบิณฑบาต ดุจเข้าไปสู่บ้านอันมีภัณฑะ ๑,๐๐๐ ณ ประตู

เรือนเพื่อสงเคราะห์ตระกูลกลับจากบิณฑบาตแล้ว ดูแลปรนนิบัติพระศาสดา

เมื่อพระศาสดาเสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฏี ถวายบังคมพระศาสดาแล้วไปสู่ที่พัก

กลางวันของตน เมื่อลูกศิษย์ทั้งหลายดูแลปรนนิบัติแล้วกลับไปแล้ว ได้กวาด

ที่พักกลางวันปูแผ่นหนัง ตักน้ำจากตุ่มน้ำเอาน้ำชำระมือและเท้าให้เย็นนั่งขัด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 190

สมาธิ เข้าสมาบัติขั้นโสดาปัตติผล ครั้นออกจากสมาบัติตามกาลเวลาที่กำหนดไว้แล้ว

หยั่งลงสู่ญาณในปัจจยาการ.

พระอานนท์นั้น ถึงบทที่สุดตั้งแต่บทต้นว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

มีสังขารดังนี้ บทต้นตั้งแต่บทที่สุด บทท่ามกลางตั้งแต่บทที่สุดทั้งสอง บทที่

สุดทั้งสองตั้งแต่บทท่ามกลาง พิจารณาปัจจยาการ ๑๒ บท ๓ ครั้ง เมื่อพิจารณา

อยู่อย่างนี้ ปัจจยาการแจ่มแจ้งยิ่งนัก ปรากฏดุจง่ายแสนง่าย จากนั้นพระอานนท์

ดำริว่า ปัจจยาการนี้พระพุทธเจ้าทั้งปวงตรัสว่าลึกซึ้งและปรากฏเป็นของลึกซึ้ง

ก็เมื่อเราผู้เป็นสาวกตั้งอยู่แล้วในความรู้เรื่อง พื้นที่ความง่ายยังปรากฏชัดแจ้ง

ความง่ายนั้นเป็นความง่ายปรากฏแก่เราเท่านั้นหรือ หรือแม้แก่ผู้อื่นด้วย ลำดับ

นั้น พระเถระได้มีความดำริว่า ถ้ากระไร เราจะนำปัญหานี้ไปทูลถามพระผู้มีพระ

ภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงทำเรื่องนี้เป็นเหตุเกิดขึ้นแล้ว จักตรัสพระ

สุตตันตหมวดหนึ่ง จักทรงแสดงแก่เราแน่นอนดุจทรงยกเขาสาลินทสิเนรุขึ้น

ฉะนั้น จริงอยู่ พระญาณที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงถึงฐานะ ๔ อย่างเหล่านี้

คือ การบัญญัติพระวินัย ลำดับพื้นที่ ปัจจยาการ ลำดับสมัยเป็นญาณที่กึกก้อง

โกลาหลยิ่งใหญ่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าถึงพระญาณ ย่อมปรากฏความ

เป็นพุทธญาณอันยิ่งใหญ่ เทศนาเป็นความลึกซึ้งกำจัดด้วยพระไตรลักษณ์

ปฏิสังยุตด้วยความเป็นของสูญดังนี้ พระอานนท์นั้นตามปกติในวันหนึ่งเมื่อ

เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ๑๐๐ ครั้งบ้าง ๑,๐๐๐ บ้าง ก็จริง ย่อมไม่เข้าไป

เฝ้าโดยไม่มีเหตุการณ์ แต่วันนั้น พระอานนท์นำปัญหานี้ไปแล้วคิดว่า เราจัก

นั่งใกล้พระพุทธเจ้าดุจคันธหัตถี แล้วฟังพระสุรเสียงกึกก้องด้วยพระญาณ

จักนั่งใกล้พระพุทธเจ้าดุจสีหะ ฟังการบันลือพระสุรเสียงดุจสีหะด้วยพระญาณ

จักนั่งใกล้พระพุทธเจ้าดุจสินธพ แล้วจักเห็นการก้าวไปสู่ทางแห่งพระญาณดังนี้

แล้วลุกจากที่พักกลางวันพับแผ่นหนัง ถือไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในเวลาเย็น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 191

เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า พระอานนท์เข้าไปเฝ้าด้วยเหตุคือการถามปัญหา

เกี่ยวกับปัจจยาการในเวลาเย็นดังนี้.

ยาวศัพท์ในบทว่า ยาว คมฺภีโร นี้ เป็นไปในความว่า เกินประมาณ

อธิบายว่า ล่วงประมาณ ลึกซึ้งยิ่งนัก. บทว่า คมฺภีราวภาโส ความว่า

ปรากฏคือเห็นเป็นของลึก เพราะว่าข้อหนึ่งง่ายโดยแท้แต่เป็นของลึกซึ้ง เหมือน

น้ำเก่ามีสีดำด้วยอำนาจรสของใบไม้เน่า ก็น้ำนั้นแม้แค่เข่า ก็ปรากฏดุจ ๑๐๐

ชั่วคน บทหนึ่งลึกซึ้งปรากฏเป็นของง่ายดุจน้ำใสในมณิคงคา ด้วยว่าน้ำนั้น

แม้ชั่ว ๑๐๐ บุรุษ ก็ปรากฏเหมือนแค่เข่า บทหนึ่งง่ายปรากฏเป็นของง่ายเหมือน

น้ำในภาชนะมีตุ่มเป็นต้น บทหนึ่งง่ายปรากฏเป็นของลึกซึ้ง ย่อมเห็นเหมือน

น้ำในมหาสมุทรเชิงเขาสิเนรุ น้ำนั่นแหละย่อมได้ชื่อ ๔ อย่าง อย่างนี้ แต่ข้อ

นี้ไม่มีในปฏิจจสมุปบาท เพราะปฏิจจสมุปบาทนี้ย่อมได้ชื่ออย่างเดียวเท่านั้นว่า

ลึกซึ้ง และปรากฏเป็นของลึกซึ้งดังนี้ ปฏิจจสมุปบาทแม้มีอยู่เห็นปานนี้ ก็

แต่ว่าปรากฏแก่เราเหมือนง่ายแสนง่าย พระอานนท์เมื่อจะประกาศความประ-

หลาดใจของตนอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระองค์ผู้

เจริญ ไม่เคยมีมาก่อน ดังนี้ จึงทูลถามปัญหาแล้วนั่งนิ่ง.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำของพระอานนท์นั้นแล้วทรงดำริว่า

อานนท์กล่าวปัญหาอันเป็นพุทธวิสัยว่าเป็นของง่ายของตน ดุจเหยียดมือเพื่อ

จับภวัคคพรหม ดุจพยายามเพื่อทำลายเขาสิเนรุแล้วนำเยื่อออก ดุจประสงค์

จะข้ามมหาสมุทรโดยไม่มีเรือ และดุจพยายามพลิกแผ่นดินถือเอาโอชะของ

แผ่นดินดังนี้ แล้วตรัสว่า มา เหว เป็นอาทิ ห อักษรในบทว่า มา เหว นั้น

เป็นเพียงนิบาต อธิบายว่า เธออย่ากล่าวอย่างนั้น อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อ

จะยังท่านพระอานนท์ให้เลิกละบ้าง ให้หมดความพอใจบ้าง จึงตรัสว่า มา เหว

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 192

ดังนี้ ในบทนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เมื่อจะยังพระอานนท์ให้เลิกละจึงตรัสว่า

ดูก่อนอานนท์ เธอเป็นผู้มีปัญญามากมีความฉลาด เพราะเหตุนั้นปฏิจจสมุปบาท

ลึกซึ้งและปรากฏเป็นของลึกซึ่ง เธอไม่ควรเข้าใจว่า ปฏิจจสมุปบาทแม้ลึกซึ้ง

ก็ปรากฏเป็นของง่ายแก่เธอ ทั้งเป็นของง่ายแก่ผู้อื่นด้วยดังนี้.

ในเรื่องนั้นอาจารย์ทั้งหลายย่อมกล่าวถึงอุปมา ๔ ข้อ ชนทั้งหลายมองดู

หินของนักมวยปล้ำ ในระหว่างนักมวยปล้ำใหญ่ผู้สูงใหญ่ ผู้สัมผัสกับรสอาหาร

ที่ดีตลอด ๖ เดือน กระทำการออกกำลังสะสมหินของนักมวยปล้ำซึ่งแสดง

คราวมีมหรสพ ผู้ไปสู่ยุทธภูมินักมวยปล้ำกล่าวว่า นี่อะไร หินของนักมวยปล้ำ

พวกท่านจงนำหินนั้นมา เมื่อชนทั้งหลายพูดว่า พวกเราไม่สามารยกขึ้นได้ เขาไป

ด้วยตนเอง กล่าวว่าที่หนักของหินนี้อยู่ที่ไหน แล้วยกหิน ๒ แผ่นขึ้นด้วยมือ

ทั้ง ๒ แล้วเหวี่ยงไปดุจเล่นลูกกลมแล้วก็ไป ในเรื่องนั้นควรพูดได้ว่า หินของ

นักมวยปล้ำ เป็นของเบาแก่นักมวยปล้ำไม่เบาแก่คนพวกอื่น จริงอยู่ ท่านพระ-

อานนท์ถึงพร้อมแล้วด้วยอภินิหารตลอดแสนกัป ดุจนักมวยปล้ำผู้สัมผัสกับรส

อาหารที่ดีตลอด ๖ เดือน หินของนักมวยปล้ำเป็นของเบาเพราะนักมวยปล้ำ

เป็นผู้มีกำลังมากฉันใด ปฏิจจสมุปบาทเป็นของง่าย เพราะพระเถระเป็นผู้มี

ปัญญามากฉันนั้น ไม่ควรกล่าวว่าปฏิจจสมุปบาทง่ายแก่คนเหล่าอื่นด้วย.

อนึ่ง ในมหาสมุทร ปลาชื่อติมิใหญ่ ๒๐๐ โยชน์ ชื่อติมิงคลใหญ่ ๓๐๐

โยชน์ ชื่อติมิติมิงคลใหญ่ ๔๐๐ โยชน์ ชื่อติมิรมิงคลใหญ่ ๕๐๐ โยชน์ ปลา

๔ ชนิดนี้คือ ปลาอานันทะ ปลาติมินทะ ปลาอัชฌาโรหะ ปลามหาติมิใหญ่

๑,๐๐๐ โยชน์ ในบทนั้น อาจารย์ทั้งหลายแสดงถึงปลาชื่อติมิรมิงคละอย่างเดียว

เล่ามาว่า เมื่อปลาติมิรมิงคละนั้นกระดิกหูขวา น้ำกระเพื่อมไปถึง ๕๐๐ โยชน์

กระดิกหูซ้าย หาง หัว ก็เหมือนกัน แต่ถ้าปลาชื่อติมิรมิงคละนั้นกระดิกหู

ทั้งสองข้าง เอาหางฟาดน้ำ ส่ายหัวไปมาปรารภเพื่อจะเล่นน้ำในที่ ๗-๘ ร้อย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 193

โยชน์ ย่อมเดือดพล่านเหมือนน้ำที่ใส่ในภาชนะแล้วยกขึ้นบนเตา ฉะนั้น น้ำ

ในที่ประมาณ ๓๐๐ โยชน์ ไม่สามารถจะท่วมหลังได้ เขาพึงกล่าวอย่างนี้ว่า

ชนทั้งหลายพากันพูดว่า มหาสมุทรนี้ ลึก ลึก แต่ไหนแต่ไรมา พวกเรา

ไม่ได้น้ำ แม้แค่ท่วมหลัง เพราะมหาสมุทรนั้นลึกมาก ในข้อนั้นควรกล่าวว่า

สำหรับปลาชื่อติมิรมิงคละจมไปทั้งตัว มหาสมุทรตื้น สำหรับปลาเล็ก ๆ เหล่า

อื่น มหาสมุทรไม่ตื้น ควรกล่าวว่า สำหรับ พระเถระผู้เข้าถึงญาณปฏิจจสมุปบาท

เป็นของตื้น สำหรับคนเหล่าอื่นไม่ตื้น อย่างนั้นเหมือนกัน.

อนึ่ง พญาครุฑ ใหญ่ประมาณ ๑๕๐ โยชน์ ปีกขวาของพญาครุฑ

ประมาณ ๕๐ โยชน์ ปีกซ้ายกะเหมือนกัน แผ่นหางประมาณ ๖๐ โยชน์ คอ

ประมาณ ๓๐ โยชน์ ปาก ๙ โยชน์ เท้าทั้งสองประมาณ ๑๒ โยชน์ เมื่อ

พญาครุฑนั้นแสดงลมของพญาครุฑ ที่ ๗-๘ ร้อยโยชน์ไม่เพียงพอ เขาพึง

กล่าวอย่างนี้ว่า เขาทั้งหลายพูดกันว่า อากาศนี้ไม่มีที่สุด อากาศนี้ไม่มีที่สุด

แต่ไหนแต่ไรมา พวกเราไม่ได้ แม้โอกาสที่จะกระพือปีก เพราะอากาศนั้นไม่มี

ที่สุด ในข้อนั้นพึงกล่าวว่า อากาศของพญาครุฑตัวเข้าไปถึงทั้งตัวนิดหน่อย ของ

นกเล็ก ๆ เหล่าอื่น ไม่นิดหน่อย พึงกล่าวว่า ปฏิจจสมุปบาทของพระเถระ

ผู้เข้าถึงญาณนั่นแล ตื้น แม้ของพวกอื่นไม่ตื้นอย่างนั้นเหมือนกัน.

อนึ่ง อสุรินทราหู จากเส้นผมถึงปลายเท้า ๔,๘๐๐ โยชน์ ระหว่าง

แขนทั้งสองข้างของอสุรินทราหู ๑,๒๐๐ โยชน์ โดยส่วนหนา ๖๐๐ โยชน์ ฝ่ามือ

ฝ่าเท้าโดยส่วนหนา ๒๐๐ โยชน์ จมูก ๓๐๐ โยชน์ ปากก็เหมือนกัน ข้อนิ้ว

มือข้อหนึ่ง ๆ ๕๐ โยชน์ ระหว่างคิ้วก็เหมือนกัน หน้าผาก ๓๐๐ โยชน์

ศีรษะ ๙๐๐ โยชน์ เมื่ออสุรินทราหูนั้นหยั่งลงไปสู่มหาสมุทร น้ำลึกประมาณ

แค่เข่า เขาพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ชนทั้งหลายพากันกล่าวว่า มหาสมุทรนี้ลึก ลึก

แต่ไหนแต่ไรมา พวกเราไม่ได้น้ำแม้แค่ปิดเข่า เพราะมหาสมุทรนั้นลึกสำหรับ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 194

ราหูผู้ลงไปทั้งตัว ในมหาสมุทรนั้นตื้น สำหรับคนเหล่าอื่นไม่ตื้น พึงกล่าวว่า

ปฏิจจสมุปบาทของพระเถระผู้เข้าถึงญาณเป็นของง่าย แม้ของคนอื่นไม่ง่าย

ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เธออย่าได้กล่าวนั้น ดูก่อน

อานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ดังนี้ ทรงหมายถึงความนั้น.

จริงอยู่ ปฏิจจสมุปบาท แม้ลึกซึ้งปรากฏว่าเป็นของง่ายแก่พระเถระ

ด้วยเหตุ ๔ ประการ เหตุ ๔ ประการเป็นไฉน ด้วยการถึงพร้อมด้วยอุปนิสัย

ในชาติก่อน ด้วยการอยู่ในสำนักครู ด้วยความเป็นพระโสดาบัน ด้วยความเป็น

พหูสูต ได้ยินว่า จากนี้ไปแสนกัป พระศาสดาพระนามว่า ปทุมุตตระ ทรงอุบัติ

ขึ้นในโลก ได้มีนครของพระองค์ชื่อหังสวดี พระราชบิดาพระนามว่าอานันทะ

พระราชมารดาพระนามว่า สุเมธาเทวี พระโพธิสัตว์ได้มีพระนามว่าอุตตรกุมาร

พระโพธิสัตว์นั้นในวันที่พระโอรสประสูติเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ทรงผนวช

ทรงประกอบความเพียรบรรลุพระสัพพัญญุตญาณโดยลำดับ ทรงเปล่งอุทานว่า

อเนชาติสสาร ดังนี้เป็นต้น ยังสัปดาห์หนึ่งให้ล่วงไป ณ โพธิบัลลังก์แล้ว

ทรงดำริว่า เราจักเหยียบบนแผ่นดินดังนี้แล้วทรงย่างพระบาท ทันใดนั้น

ประทุมใหญ่ทำลายแผ่นดินผุดขึ้นแล้ว กลีบของประทุมนั้น ๙๐ ศอก เกสร ๓๐

ศอก ฝักบัว ๑๒ ศอก ละอองประมาณ ๙ หม้อน้ำ ก็พระศาสดาได้มีโดย

ส่วนสูง ๕๘ ศอก ระหว่างพระพาหาทั้งสองของพระองค์ ๑๘ ศอก พระนลาฏ

๕ ศอก พระหัตถ์และพระบาท ทั้งสอง ๑๑ ศอก เมื่อพระศาสดาพอทรง

เหยียบที่ฝักบัว ๑๒ ศอก ด้วยพระบาท ๑๑ ศอก ละอองประมาณ ๙ หม้อน้ำ

ผุดพุ่งขึ้นสู่ที่อยู่ประมาณ ๕๘ ศอก เรี่ยรายดังผงของมโนสิลาที่เรี่ยราย อาศัย

เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงปรากฏพระนามว่า พระปทุมุตตระ.

พระองค์ได้มีอัครสาวก ๒ รูป คือ พระเทวิละและพระสุชาตะ อัคร-

สาวิกา ๒ คือ นางอมิตาและนางอสมา อุปฐากชื่อ พระสุมนะ พระผู้มีพระ-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 195

ภาคเจ้า พระนามว่าปทุมุตตระ มีภิกษุแสนรูป เป็นบริวาร ทรงกระทำการ

สงเคราะห์พระชนกประทับอยู่ ณ ราชธานีหังสวดี.

ส่วนพระกนิฏฐาของพระปทุมุตตระนั้น พระนามว่า สุมนกุมาร พระ

ราชาได้พระราชทานบ้านส่วยแก่พระราชกุมาร ในท้องที่ประมาณ ๒,๐๐๐ โยชน์

จากหังสวดีนคร พระสุมนกุมารนั้น บางครั้งบางคราวเสด็จมาเฝ้าพระชนก

และศาสดา อยู่มาวันหนึ่ง ชายแดนกำเริบ สุมนกุมารทรงส่งข่าวให้พระราชบิดา

ทรงทราบว่า ชายแดนกำเริบ พระราชบิดาทรงส่งกลับไปว่า เราตั้งเธอไว้ ณ

ที่นั้นเพราะอะไร พระราชกุมารนั้นเสด็จออกปราบโจรจนสงบ แล้วจึงทรงส่ง

ข่าวให้พระราชบิดาทรงทราบว่า โจรสงบแล้ว พระเจ้าข้า พระราชบิดาทรง

พอพระทัย ตรัสว่า โอรสของเราจงมาโดยเร็วเถิด พระโอรสนั้นได้มีอำมาตย์

ประมาณ ๑,๐๐๐ ในระหว่างทาง พระองค์ได้ทรงปรึกษากับอำมาตย์เหล่านั้นว่า

พระชนกของเราทรงพอพระทัย หากพระชนกจะพระราชประทานพรแก่เรา

เราจะเอาอะไรดี ลำดับนั้น อำมาตย์บางพวกทูลว่า ขอพระองค์จงรับ ช้าง ม้า

ชนบท แก้ว ๗ ประการเถิด อีกพวกหนึ่งทูลว่า พระองค์เป็นโอรสของผู้

เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ทรัพย์ของพระองค์ก็หาได้ไม่ยาก อนึ่ง แม้พระองค์ได้

ทรัพย์แล้วก็ควรสละทรัพย์ทั้งหมดนั้นไป พระองค์ควรทรงถือเอาบุญเท่านั้น

ไป เพราะฉะนั้น เมื่อพระราชาพระราชประทานพร ขอพระองค์จงทรงรับพร

เพื่อบำรุงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ ตลอด ๓ เดือนเถิด

พระเจ้าข้า พระราชกุมารนั้น ตรัสว่า พวกท่านเป็นกัลยาณมิตรของเรา

เรามิได้มีความคิดนี้เลย ก็พวกท่านทำให้เราเกิดความคิด เราจักทำอย่างนั้น

แล้วเสด็จไปกราบบังคมพระชนก พระชนกทรงกอด แล้วจุมพิตที่พระเศียร

ตรัสว่า ลูกรัก พ่อจะให้พรแก่ลูก ดังนี้ ทูลว่า ข้าแต่พระทูลกระหม่อมดีแล้ว

พระเจ้าข้า ข้าพระองค์จะบำรุงพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยปัจจัย ๔ ตลอด ๓ เดือน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 196

ปรารถนากระทำชีวิตไม่ให้เป็นหมัน ขอพระองค์จงพระราชประทานพรนี้แก่

ข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า พระราชบิดาตรัสว่า พ่อไม่อาจให้พรนั้นได้ดอกลูก

พ่อจะให้พรอื่น พระสุมนราชกุมารทูลว่า ข้าแต่พระบิดา ธรรมดากษัตริย์

ทั้งหลาย ไม่มีพระดำรัสเป็นสอง ขอทูลกระหม่อมพระราชทานพรนั้นแก่

ข้าพระองค์เถิด พระเจ้าข้า ข้าพระองค์ ไม่ต้องการพรอย่างอื่น พระราชบิดา

ตรัสว่า ลูกรัก ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระทัยรู้ได้ยาก หากพระผู้มี

พระภาคเจ้าจักไม่ทรงปรารถนา แม้เราให้พรจักมีได้อย่างไร พระสุมนราชกุมาร

นั้นทูลว่า ข้าแต่พระบิดา ดีละ ข้าพระองค์ จักทราบพระทัยของพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้า ดังนี้ แล้วเสด็จไปสู่พระวิหาร.

ก็โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเสวยพระกระยาหารแล้วได้

เสด็จเข้าคันธกุฏี พระสุมนราชกุมารนั้นได้ไปยังสำนักของภิกษุทั้งหลาย ซึ่งนั่ง

อยู่ ณ ปะรำ ภิกษุเหล่านั้นกล่าวกะพระสุมนราชกุมารว่า ท่านราชบุตร

พระองค์เสด็จมาเพื่ออะไร พระสุมนราชกุมารตรัสว่า เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค

เจ้า ขอพระคุณเจ้าทั้งหลาย จงแสดงพระผู้มีพระภาคเจ้าแก่ข้าพเจ้าเถิด ภิกษุ

ทั้งหลายกล่าวว่า ท่านราชบุตร พวกอาตมาไม่ได้เห็นพระศาสดา ในขณะที่

ปรารถนาแล้วปรารถนาอีก พระสุมนราชกุมารตรัสว่า พระคุณเจ้า ก็ใครเล่าได้

เพื่อจะเห็น ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่านราชบุตร พระสุมนเถระได้เพื่อจะเห็น

พระสุมนราชกุมารตรัสถามว่า พระคุณเจ้า พระเถระอยู่ที่ไหนขอรับ แล้วตรัส

ถามถึงที่พระเถระนั่งได้เสด็จไปไหว้ แล้วตรัสว่า พระคุณเจ้าขอรับ ข้าพเจ้า

ปรารถนาจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระคุณเจ้าโปรดแสดงแก่ข้าพเจ้าเถิด

พระเถระกล่าวว่า มาเถิด ท่านราชบุตร แล้วพาพระสุมนราชกุมารไปพัก

ที่บริเวณพระคันธกุฎี ตัวท่านขึ้นไปสู่พระคันธกุฏี ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค-

เจ้าตรัสถามว่า สุมนะ เธอมาเพราะอะไร กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 197

ราชโอรสมาเฝ้าพระองค์ พระเจ้าข้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ถ้าเช่นนั้นเธอจงปูอาสนะ

เถิด พระเถระได้ปูอาสนะแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะที่ปู

แล้ว พระราชโอรสถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ทรงได้กระทำการปฏิ-

สันถาร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า เธอมาเมื่อไรเล่า ราชบุตรกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์เสด็จเข้าคันธกุฏี แต่ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า

พวกเราก็ไม่ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า ในขณะที่ปรารถนาแล้วปรารถนาอีก

แล้ว ส่งข้าพระองค์ไปหาพระเถระ แต่พระเถระได้ชี้แจงเพียงคำเดียวเท่านั้น

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระเถระเห็นจะเป็นผู้โปรดปรานในศาสนาของพระองค์

กระมัง พระเจ้าข้า ตรัสว่า ถูกแล้ว กุมาร ภิกษุนั้น เป็นผู้โปรดปรานในศาสนา

ของเรา กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุทั้งหลายกระทำอะไร จึงเป็น

ผู้โปรดปรานในศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ตรัสว่า ราชกุมาร บุคคลให้ทาน

สมาทานศีล รักษาอุโบสถ จะเป็นผู้โปรดปรานในศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ประสงค์จะเป็นผู้โปรดปราน

ในพระพุทธศาสนาดุจพระเถระ ขอพระองค์จงทรงรับนิมนต์อยู่จำพรรษา

ตลอด ๓ เดือน แก่ข้าพระพุทธเจ้าเถิด พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

ตรวจดูว่า การไป ณ ที่นั้นจะมีประโยชน์หรือหนอ ทรงเห็นว่ามี จึงตรัสว่า

ราชกุมาร พระตถาคตทั้งหลายย่อมยินดีในสุญญาคาร พระกุมารกราบทูลว่า

ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ทราบแล้ว ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์

ทราบแล้ว. แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะกลับไปก่อน

แล้วสร้างที่ประทับ เมื่อข้าพระองค์ส่งข่าวมาแล้ว ขอพระองค์จงเสด็จมาพร้อม

ด้วยภิกษุแสนรูป ครั้นรับปฏิญญาแล้วจึงเสด็จไปเฝ้าพระชนกกราบทูลว่า

ข้าแต่พระบิดา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้ปฏิญญาแก่ข้าพระองค์แล้ว เมื่อข้า

พระองค์ส่งข่าวมา ขอพระบิดาพึงส่งพระผู้มีพระภาคเจ้าไปเถิด พระเจ้าข้า ดังนี้

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 198

แล้วถวายบังคมพระชนกเสด็จออกไปสร้างพระวิหารในที่โยชน์หนึ่ง โยชน์หนึ่ง

เสด็จไปทางไกลถึง ๒,๐๐๐ โยชน์ ทรงเลือกสถานที่สร้างวิหารในพระนครของ

พระองค์ ทอดพระเนตรเห็นสวนของกุฏุมพีชื่อโสภะ ทรงซื้อหนึ่งแสน ทรงสละ

หนึ่งแสน สร้างพระวิหาร ณ พระวิหารนั้น พระสุมนราชกุมารทรงสร้าง

คันธกุฏีแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า และกุฏิที่เร้นลับและมณฑป เพื่อเป็นที่พัก

กลางคืนและกลางวันของภิกษุที่เหลือทำกำแพงล้อม และสร้างซุ้มประตูสำเร็จ

แล้ว จึงส่งข่าวให้พระชนกทรงทราบว่า กิจของข้าพระองค์สำเร็จแล้ว ขอพระ

บิดาจงทรงส่งพระศาสดาไปเถิด พระเจ้าข้า.

พระราชาทรงอังคาสพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มี

พระภาคเจ้า กิจของสุมนะสำเร็จแล้ว เธอหวังการเสด็จไปของพระองค์ดังนี้

พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุหนึ่งแสนเป็นบริวาร ประทับอยู่ในพระวิหารทั้งหลาย

ในที่โยชน์หนึ่ง โยชน์หนึ่งได้เสด็จไปแล้ว พระกุมารทรงสดับว่าพระศาสดา

กำลังเสด็จมา จึงเสด็จไปต้อนรับสิ้นทางโยชน์หนึ่ง ทรงบูชาด้วยของหอมและ

ดอกไม้เป็นต้น ทูลอัญเชิญพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จเข้าไปสู่พระวิหารแล้ว

กราบทูลว่า

ข้าแต่พระมหามุนี ขอพระองค์จงทรงรับ

สวนชื่อโสภนะ ซึ่งข้าพระองค์ซื้อมาด้วยทรัพย์

หนึ่งแสน สร้างอีกด้วยทรัพย์หนึ่งแสน พระเจ้าข้า

แล้วถวายมอบพระวิหาร.

สุมนราชกุมารนั้น ในวันเข้าพรรษาถวายทานแล้ว ตรัสเรียก

โอรสและชายาของพระองค์ และอำมาตย์ทั้งหลายมาแล้ว ตรัสว่าพระศาสดา

พระองค์นี้มาสู่สำนักของเราแต่ไกลทีเดียว อนึ่ง ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

เป็นผู้หนักในธรรมไม่เพ่งต่ออามิส เพราะฉะนั้น เราจะนุ่งห่มผ้าสาฏก ๒ ผืน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 199

สมาทานศีลแล้วอยู่ ณ ที่นี้แหละตลอด ๓ เดือนนี้ พวกท่านทั้งหลายจงถวาย

ทาน แก่พระขีณาสพหนึ่งแสนรูป โดยทำนองนี้แลตลอด ๓ เดือน.

สุมนราชกุมารนั้น ประทับนั่งอยู่ ณ ที่อันมีส่วนเสมอกันกับที่อยู่ของ

พระสุมนเถระ ทรงเห็นข้อวัตรปฏิบัติที่พระเถระกระทำแด่พระผู้มีพระภาค

ทั้งหมด จึงทรงดำริว่า พระเถระนี้เป็นผู้โปรดปรานโดยส่วนเดียวในที่นี้ ณ ที่

ควรปรารถนาฐานันดรของพระเถระนี้เถิด เมื่อใกล้ถึงวันปวารณาเสด็จเข้าไป

สู้บ้านทรงบริจาคทานใหญ่ตลอด ๗ วัน ในวันที่ ๗ ทรงตั้งไตรจีวรไว้ ณ ที่

ใกล้เท้าของภิกษุหนึ่งแสนรูป ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุญอันใดที่ข้าพระองค์กระทำแล้ว จำเดิมแต่การสร้างพระ

วิหาร อันมีในระหว่างโยชน์หนึ่ง ๆ ในหนทางบุญอันนั้น ข้าพระองค์มิได้

ปรารถนา สัคคสมบัติ มารสมบัติ และพรหมสมบัติ แต่ปรารถนาความเป็น

อุปฐากของพระพุทธเจ้าจึงได้กระทำ เพราะฉะนั้น จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้

มีพระภาคเจ้า แม้ข้าพระองค์ก็จะพึงเป็นอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า ในอนาคต

ดุจพระสุมนเถระ แล้วหมอบถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ พระผู้มีพระ

ภาคเจ้าทรงตรวจดูว่า จิตยิ่งใหญ่ของกุลบุตรจักสำเร็จหรือไม่หนอ ทรงทราบว่า

ในอนาคตในกัปที่แสนจากนี้ไป พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดมจักทรงอุบัติ

สุมนะนี้จักเป็นอุปฐากของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จึงทรงประทานพรว่า

ขอความปรารถนาที่ตั้งไว้นั้นทั้งหมดแล

จงสำเร็จแก่ท่าน ขอความดำริทั้งหลายทั้ง

ปวงจงเต็ม เหมือนดวงจันทร์ในวันเพ็ญ

ฉะนั้นเถิด ดังนี้.

พระกุมารทรงสดับดังนั้นจึงดำริว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อม

มีพระดำรัสไม่เป็นสองดังนี้ ในวันที่สองนั่นเอง ทรงรับบาตรและจีวรของพระ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 200

ผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นแล้ว ได้ทำเป็นดุจทรงดำเนินไปข้างหลัง ๆ พระ

กุมารนั้นถวายทานในพุทธุปบาทนั้นตลอดหนึ่งแสนปี ทรงไปบังเกิดในสวรรค์

แม้ในครั้งศาสนาของพระพุทธกัสสปก็ได้ถวายผ้าสาฎกเนื้อดี เพื่อรับบาตรของ

พระเถระผู้เที่ยวไปบิณฑบาตแล้วได้ทรงทำการบูชา ได้ไปบังเกิดบนสวรรค์อีก

จุติจากนั้นแล้วได้เป็นพระเจ้าพาราณสี ทรงสร้างบรรณศาลาแด่พระปัจเจก

พุทธเจ้า ๘ องค์ ตั้งหม้อน้ำใสดุจแก้วมณีไว้ ได้ทรงกระทำการบำรุงด้วย

ปัจจัย ๔ ตลอดหมื่นปี เหตุเหล่านี้เป็นที่ปรากฏชัดแล้ว.

ก็พระสุมนราชกุมารนั้นทรงบริจาคทานอย่างเดียว ตลอดหนึ่งแสนกัป

ทรงบังเกิดในภพดุสิตพร้อมกับพระโพธิสัตว์ของเรา ครั้นจุติจากภพดุสิตนั้น

ได้ถือปฏิสนธิในพระตำหนักของเจ้าศากยะพระนามว่า อมิโตทนะ. เมื่อพระผู้มี

พระภาคเจ้าเสด็จออกทรงผนวชโดยลำดับ ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว

เสด็จสู่กรุงกบิลพัสดุ์โดยเสด็จไปเป็นครั้งแรก แล้วเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์

เมื่อพระราชกุมารทั้งหลายพากันทรงผนวช เพื่อเป็นบริวารของพระผู้มีพระ

ภาคเจ้าได้เสด็จออกพร้อมกับเจ้าศากยะทั้งหลายมีท่านภัททิยะเป็นต้น ทรง

ผนวชในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่นานนัก ได้สดับธรรมกถาในสำนัก

ของท่านปุณณมันตานีบุตรแล้วตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล ท่านพระเถระนี้เป็นผู้ถึง

พร้อมด้วยอุปนิสัยในชาติก่อนด้วยประการฉะนี้ ปฏิจจสมุปบาทแม้ลึกซึ้งก็

ปรากฏดุจเป็นของง่าย เพราะความถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยในชาติก่อนของพระเถระ

นั้น.

เกจิอาจารย์กล่าวถึงการเรียน การฟัง การสอบถาม และการทรงไว้ใน

สำนักครูทั้งหลายบ่อย ๆ ด้วยบทว่า ติตฺถวาโส คือการอยู่ในสำนักครู การอยู่

ในสำนักครูนั้นของพระเถระบริสุทธิ์อย่างยิ่ง แม้ด้วยเหตุนั้น ปฏิจจสมุปบาทนี้

แม้ลึกซึ้ง ก็ปรากฏแก่พระเถระเป็นดุจเป็นของง่าย อนึ่ง ปัจจยาการปรากฏ

เป็นของง่ายของผู้เป็นโสดาบัน ก็พระเถระนี้ได้เป็นพระโสดาบันแล้ว.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 201

การกำหนดนามรูป ย่อมปรากฏแก่ท่านผู้เป็นพหูสูตดุจเตียงและตั่งย่อม

ปรากฏ เมื่อดวงประทีปส่องสว่างในห้องนอนประมาณ ๔ ศอก ก็ท่านพระเถระ

นี้เป็นผู้เลิศของผู้เป็นพหูสูตทั้งหลาย ปัจจยาการแม้ลึกซึ้งก็ปรากฏแก่พระเถระ

นั้น ดุจเป็นของง่ายด้วยอานุภาพแห่งความเป็นพหูสูตด้วยประการฉะนี้.

ในความง่ายและความลึกซึ้งของปฏิจจสมุปบาทนั้น ปฏิจจสมุปบาท

ชื่อว่าเป็นของลึกซึ้งด้วยอาการ ๔ อย่างคือ ด้วยความลึกซึ้งโดยอรรถ ด้วย

ความลึกซึ้งโดยธรรม ด้วยความลึกซึ้งโดยเทศนา ด้วยความลึกซึ้งโดยปฏิเวธ

ในความลึกซึ้ง ๔ อย่างนั้น ปฏิจจสมุปบาทเป็นของลึกซึ้ง มีอรรถว่า มีและ

เกิดขึ้น เพราะชาติเป็นปัจจัยแห่งชราและมรณะเป็นของลึกซึ้ง มีอรรถว่า มีและ

เกิดขึ้นเพราะอวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น นี้คือความที่

ปฏิจจสมุปบาทมีความลึกซึ้ง โดยอรรถปฏิจจสมุปบาทเป็นของลึกซึ้ง มีอรรถคือ

อวิชชาเป็นปัจจัยแห่งสังขารทั้งหลาย เป็นของลึกซึ้ง มีอรรถคือชาติเป็นปัจจัย

แห่งชราและมรณะ เพราะเหตุนั้น นี้ชื่อว่าความที่ปฏิจจสมุปบาทมีความลึกซึ้ง

โดยธรรม ในบางสูตรท่านแสดงปฏิจจสมุปบาทโดยอนุโลม ในบางสูตรโดย

ปฏิโลม ในบางสูตรทั้งโดยอนุโลมและปฏิโลม ในบางสูตรโดยอนุโลมหรือโดย

ปฏิโลมตั้งแต่ตอนกลาง ในบางสูตรโดยอนุโลมหรือโดยปฏิโลมตั้งแต่ตอนท้าย

ในบางสูตรมีสนธิ ๓ สังเขป ๔ ในบางสูตรมีสนธิ ๒ สังเขป ๓ ในบางสูตร

มีสนธิ ๑ สังเขป ๒ เพราะเหตุนั้น นี้ชื่อว่าความที่ปฏิจจสมุปบาทมีความลึกซึ้ง

โดยเทศนา อนึ่ง ปฏิจจสมุปบาทเป็นของลึกซึ้ง มีอรรถว่า ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่แทง

ตลอดสัจจธรรมแห่งอวิชชา เป็นของลึกซึ้ง มีอรรถว่า ปรุงแต่งรวบรวมสังขาร

ทั้งหลายมีกำหนัดและคลายความกำหนัด มีอรรถว่า ความเป็นของสูญ ความไม่

ขวนขวาย ความไม่เคลื่อนที่และความปรากฏแห่งปฏิสนธิของวิญญาณ มีอรรถ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 202

ว่า เกิดหนเดียว การแยกกัน การไม่แยกกัน การน้อมไป การทำลายของนาม

รูป มีอรรถว่า เป็นใหญ่เป็นทวาร และเขตของโลก และความเป็นธรรมมี

อารมณ์ของอายตนะ ๖ มีอรรถว่า สัมผัส เสียดสีไปร่วมและประชุมของผัสสะ

มีอรรถว่า การเสวยอารมณ์และรส และการเสวยสิ่งไร้ชีวิตคือความเป็นสุข เป็น

ทุกข์และกลางๆ ของเวทนา มีอรรถว่า ยินดียิ่ง พะวงยิ่ง สายน้ำ แม้น้ำคือตัณหา

มหาสมุทรคือตัณหา เต็มได้ยากของตัณหา มีอรรถว่า ถือรับยึดถูกต้องล่วงไป

ได้ยากของอุปาทาน มีอรรถว่า ประมวลปรุงแต่งการซัดไปใน โยนิ คติ ฐิติ

และนิวาสสถานทั้งหลายของภพ มีอรรถว่า ความปรากฏชาติสัญชาติความก้าว

ลงการเกิดขึ้นของชาติ มีอรรถว่า สิ้นไป เสื่อมไป แตกไป และแปรปรวน ของ

ชราและมรณะด้วยประการอย่างนี้ สภาวะแห่งอวิชชาเป็นต้นใด ธรรมทั้งหลาย

มีอวิชชาเป็นต้น เป็นอันรู้แจ้งแทงตลอดโดยลักษณะอันมีรสด้วยปฏิเวธใด

สภาวะและปฏิเวธนั้นเป็นของลึกซึ้ง เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่านี้คือความที่

ปฏิจจสมุปบาท มีความลึกซึ้งโดยปฏิเวธ.

ปฏิจจสมุปบาทแม้ทั้งหมดนั้น ปรากฏแก่พระเถระดุจเป็นของง่าย

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะยังท่านพระอานนท์ให้คลายความคิด

จึงตรัสว่า มา เหว ดังนี้เป็นต้น ก็ในข้อนี้มีอธิบายว่า ดูก่อนอานนท์ เธอเป็น

ผู้มีปัญญามาก มีปัญญาเฉลียวฉลาด ด้วยเหตุนั้น ปฏิจจสมุปบาท แม้เป็นของ

ลึกซึ้งย่อมปรากฏแก่เธอดุจเป็นของง่าย เพราะฉะนั้น เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า

ปฏิจจสมุปบาทนี้ปรากฏเป็นของง่ายแก่เราเท่านั้นหรือ หรือว่าแม้แก่ผู้อื่นด้วย

ในบทที่ท่านกล่าวว่า อปสาเทนฺโต นั้นมีอธิบายว่า ดูก่อนอานนท์ เธออย่า

ได้กล่าวอย่างนี้ว่า ก็เมื่อเป็นเช่นนั้น ปฏิจจสมุปบาทนี้ย่อมปรากฏแก่เราดุจเป็น

ของง่าย ๆ ก็ผิว่าปฏิจจสมุปบาทนี้ ย่อมปรากฏแก่เธอดุจเป็นของง่าย ๆ ไซร้

เพราะเหตุไร เธอจึงมิได้เป็นโสดาบันตามธรรมดาของตน เธอตั้งอยู่ในนัยที่เรา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 203

ให้แล้วจึงบรรลุโสดาปัตติมรรค ดูก่อนอานนท์ นิพพานนี้เท่านั้นเป็นของลึกซึ้ง

แต่ปัจจยาการเป็นของง่ายของท่าน เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร เธอถอน

กิเลส ๔ เหล่านี้คือ กามราคสังโยชน์ (การผูกจิตด้วยกามราคะ) ปฏิฆสัง-

โยชน์ (การผูกจิตด้วยความแค้น) อย่างหยาบ กามราคานุสัย (กิเลสอันนอน

เนื่องอยู่ในสันดานคือกามราคะ) ปฏิฆานุสัยอย่างหยาบ (กิเลสอันนอนเนื่อง

อยู่ในสันดานคือความแค้น) ได้แล้ว จึงไม่ทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เธอถอน

กิเลส ๔ อันเกี่ยวเนื่องเหตุนั้นได้แล้ว ไม่ทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล เธอถอน

กิเลส ๘ อย่างเหล่านี้คือ สังโยชน์ ๕ มีรูปราคะ (ความกำหนัดในรูป) เป็นต้น

ภวราคานุสัย (กิเลสอันนอนเนื่องในสันดานคือความกำหนัดในภพ) มานานุสัย

(กิเลสอันนอนเนื่องในสันดานคือมานะ) อวิชชานุสัย (กิเลสอันนอนเนื่องใน

สันดานคืออวิชชา) ได้แล้ว ไม่ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัต อนึ่ง เพราะเหตุไร

เธอจึงไม่บรรลุสาวกปารมีญาณ ดุจพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะผู้บำเพ็ญ

บารมีตลอดอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป และเธอไม่บรรลุปัจเจกโพธิญาณดุจพระ

ปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายผู้บำเพ็ญบารมีตลอด ๒ อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ก็หรือ

ผิว่าปฏิจจสมุปบาทนั้นปรากฏเป็นของง่าย โดยประการทั้งปวงแก่เธอ เมื่อเป็น

เช่นนั้น เพราะเหตุไร เธอจึงไม่ทำให้แจ้งซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ ดุจพระพุทธ-

เจ้าทั้งหลายผู้บำเพ็ญบารมีมาแล้วตลอด ๔ อสงไขย ๘ อสงไขยหรือ ๑๖ อสง-

ไขยยิ่งด้วยแสนกัป เธอเป็นผู้ไม่มีประโยชน์อะไรด้วยการบรรลุคุณวิเศษ

เหล่านี้ เธอจงมองดูความผิดพลาดของเธอโดยตลอด สาวกเช่นเธอตั้งอยู่ใน

ความรู้พื้น ๆ ย่อมพูดถึงปัจจยาการอันลึกซึ้งยิ่งนักว่าปรากฏเป็นของง่ายแก่เรา

ดังนี้ คำพูดนี้ของเธอนั้นเป็นคำพูดตรงกันข้ามกับพระดำรัสของพระพุทธเจ้า

ทั้งหลาย ถ้อยคำอันภิกษุเช่นเธอจะพึงกล่าวตรงกันข้ามกับพระดำรัสของพระ

พุทธเจ้าทั้งหลายไม่สมควรดังนี้ ดูก่อนอานนท์ เมื่อเราเพียรเพื่อบรรลุปัจจยา-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 204

การนี้ล่วงไปถึง ๔ อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัป ก็และชื่อว่าทานอันเราไม่ให้แล้ว

เพื่อบรรลุปัจจยาการไม่มี ชื่อว่าบารมีอันเราไม่บำเพ็ญแล้วไม่มี ก็และเมื่อเรา

กำจัดมารและเสนามาร ดุจไม่หายใจด้วยคิดว่า วันนี้เราจักบรรลุปัจจยาการ

แผ่นดินผืนใหญ่นี้ ไม่หวั่นไหวแม้แค่ ๒ นิ้ว เมื่อเราบรรลุบุพเพนิวาส (ขันธ-

ปัญจกที่อยู่อาศัยในชาติก่อน) ในปฐมยาม บรรลุทิพยจักษุในมัชฌิมยามก็เหมือน

กัน แต่ในปัจฉิมยามตอนใกล้รุ่ง พอเราเห็นว่าอวิชชาเป็นปัจจัยของสังขาร

ทั้งหลายโดยอาการ ๙ อย่างดังนี้เท่านั้น หมื่นโลกธาตุเปล่งเสียงร้องก้องกังวาน

เป็นพัน ๆ เสียง ดุจกังสดาลถูกเคาะด้วยท่อนเหล็ก หวั่นไหวดุจหยาดน้ำที่

ใบบัวเมื่อต้องลมฉะนั้น ดูก่อนอานนท์ ก็ปฏิจจสมุปบาทนี้ เป็นของลึกซึ้งถึง

อย่างนี้และปรากฏว่าเป็นของลึกซึ้ง ดูก่อนอานนท์ การไม่รู้ตาม ไม่บรรลุ

ธรรมนี้ ย่อมไม่ล่วงพ้นสงสารไปได้ดังนี้.

บทว่า เอตสฺส ธมฺมสฺส คือแห่งปัจจยธรรมนั้น. บทว่า อนนุโพธา

คือไม่รู้ตาม ด้วยสามารถญาตปริญญา (การกำหนดรู้ว่ารู้แล้ว). บทว่า

อปฏิเวธา คือไม่แทงตลอดด้วยสามารถแห่งการพิจารณาการละและการกำหนด

รู้. บทว่า ตนฺตากุลกชาตา คือเกิดเป็นผู้ยุ่งดุจด้าย อธิบายว่า สัตว์ทั้งหลาย

พลาดในปัจจยาการนี้ ย่อมเป็นผู้วุ่นวายยุ่งเหยิง ไม่อาจทำปัจจยาการให้ตรง

ได้เหมือนด้ายของช่างหูกเก็บไว้ไม่ดีถูกหนูกัด ย่อมยุ่งในที่นั้น ๆ จึงเป็นการ

ยากที่จะทำปลายให้เสมอปลาย ทำต้นให้เสมอต้นได้ เพราะไม่รู้นี้ปลายนี้ต้น

ฉะนั้น ในความยุ่งของด้ายนั้นบุคคลวางด้ายไว้ในการงานของบุรุษเฉพาะตัว

ก็พึงสามารถทำให้ตรงได้ ก็สัตว์ทั้งหลายอื่นเว้นพระโพธิสัตว์ทั้งสองเสียชื่อว่า

สามารถจะกระทำปัจจยาการให้ตรงได้ตามธรรมดาของตนย่อมไม่มี สัตว์ทั้ง

หลายเหล่านี้พลาดในปัจจัยทั้งหลายไม่สามารถทำปัจจัยให้ตรงได้ ย่อมยุ่งเหยิง

ผูกเป็นปมด้วยสามารถทิฐิ ๖๒ เหมือนด้ายยุ่งผสมน้ำข้าวบุคคลทุบด้วยหวาย ย้อม

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 205

มะเกลือผูกเป็นปมในที่นั้นๆ ฉะนั้น ก็สัตว์พวกใดพวกหนึ่ง อาศัยทิฐิทั้งหลาย

ทั้งหมด ไม่สามารถทำปัจจยาการให้ตรงได้แน่แท้. บทว่า คุณคณฺิกชาตา

คือด้ายผสมน้ำข้าวของช่างหูก ท่านกล่าวว่า เป็นปมดุจกลุ่มด้าย อาจารย์

พวกหนึ่งกล่าวว่า รังของสกุณีนั้นชื่อคุณะ (เครื่องผูก) ดังนี้บ้าง ของยุ่งแม้

ทั้งสองอย่างนั้นพึงประกอบโดยนัยก่อนนั้นแลว่า เป็นการยากที่จะทำปลายให้

เสมอปสาย ท่านให้เสมอต้นได้ ดังนี้. บทว่า มุญฺชปพฺพชภูตา คือ เป็น

ดุจหญ้ามุงกระต่ายและดุจหญ้าปล้อง หมู่สัตว์นี้ไม่สามารถทำปัจจยาการให้ตรงได้

เป็นผู้มีปมด้วยอำนาจของทิฐิ ย่อมไม่พ้น อบาย ทุคติ วินิบาต สงสาร เหมือน

ถือเชือกที่เขาทุบหญ้าเหล่านั้นแล้วทำเป็นเชือก ครั้นถึงคราวเชือกเก่าก็จะตกลง

ในที่ไหนๆ จึงเป็นการยากที่จะทำให้ปลายเสมอปลาย ทำโคนให้เสมอโคนได้

เพราะไม่รู้ว่า นี้ปลาย นี้โคน ของเชือกเหล่านั้น ฉะนั้น บุคคลวางเชือก

แม้นั้นไว้ในการงานของบุรุษเฉพาะตัว พึงสามารถทำให้ตรงได้ ก็สัตว์เหล่าอื่น

เว้นพระโพธิสัตว์ทั้งสององค์เสีย ชื่อว่าสามารถจะทำปัจจยาการให้ตรงตาม

ธรรมดาของตน ย่อมไม่มี.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อปาโย ได้แก่ นรก กำเนิดเดียรัจฉาน

เปรตวิสัย และอสูรกายทั้งหลาย จริงอยู่ แม้ทั้งหมดเหล่านั้นท่านกล่าวว่า อบาย

เพราะไม่มีความเจริญกล่าวคือ วุฒิ อนึ่ง ชื่อว่าทุคติ เพราะเป็นทางไปแห่งทุกข์

ชื่อว่าวินิบาต เพราะตกจากการตั้งขึ้นแห่งความสุข. ส่วนท่านนอกนี้กล่าวว่า

ลำดับแห่งขันธ์ ธาตุ และอายตนะ

ยังเป็นไปไม่ขาดสาย ท่านกล่าวว่า สงสาร.

หมู่สัตว์ย่อมไม่พ้น คือไม่ก้าวล่วง แม้ทั้งหมดนั้น ลำดับนั้นแล

หมู่สัตว์ ถือจุติและปฏิสนธิบ่อยๆ อย่างนี้ คือ จากจุติ ถึง ปฏิสนธิ จากปฏิ

สนธิถึงจุติ ย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนไปในภพทั้งหลาย ๓ ในกำเนิดทั้งหลาย ๔

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 206

ในคติทั้งหลาย ๕ ในวิญญานฐิติทั้งหลาย ๗ ในสัตตาวาสทั้งหลาย ๙ ดุจเรือ

ถูกลมซัดไปในมหาสมุทรและดุจโคที่ถูกเทียมในเครื่องยนต์ ด้วยประการดังนี้

พึงทราบทั้งหมดนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะยังท่านพระอานนท์ให้คลาย

ความคิดจึงตรัสแล้ว.

บัดนี้ เพราะสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มด้วยบททั้งสองนี้แลว่า

ดูก่อนอานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นของลึกซึ้งและสัตว์ทั้งหลายเกิดเป็นผู้ยุ่ง

ดุจด้ายของช่างหูก ดังนี้ ฉะนั้น เมื่อทรงปรารภเทศนาเพื่อเห็นความลึกซึ้งของ

ปัจจยาการโดยสืบเนื่องนี้ก่อนว่า ดูก่อนอานนท์ ปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นของลึกซึ้ง

จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า ชราและมรณะมีสิ่งนี้เป็นปัจจัยดังนี้.

ปัจจัยแห่งชราและมรณะนี้ ชื่อ อิทัปปัจจัย (มีสิ่งนี้เป็นปัจจัย)

เพราะฉะนั้น ชราและมรณะจึงมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย ดูก่อนอานนท์ มีบุคคลผู้เป็น

บัณฑิตถามแล้วอย่างนี้ว่า ปัจจัยของชราและมรณะมีอยู่หรือ ชราและมรณะ

พึงมีสิ่งใดเป็นปัจจัย ไม่ควรปฏิบัติโดยอาการที่พึงเป็นผู้นิ่งต่อปัญหา เพราะ

เมื่อมีผู้กล่าวว่า นั่นชีวะ นั่นสรีระ แล้วควรกำหนดไว้ หรือควรจะกล่าวว่า

ข้อนี้พระตถาคตไม่ทรงพยากรณ์ ดังนี้ ฉะนั้น ควรกล่าวแก่เขาว่า มีโดยส่วน

เดียวเท่านั้น เหมือนอย่างเมื่อมีผู้กล่าวว่า จักษุเที่ยง หรือไม่เที่ยง ควรกล่าว

โดยส่วนเดียวเท่านั้นว่าไม่เที่ยง เมื่อมีผู้กล่าวอีกว่า ชราและมรณะมีอะไรเป็น

ปัจจัย ชราและมรณะ ย่อมมีเพราะปัจจัยอะไร ดังนี้ ควรกล่าวแก่เขาดังนี้ว่า

ชราและมรณะมีชาติเป็นปัจจัย อธิบายว่า ควรกล่าวอย่างนี้ ในบททั้งหมด

มีนัยอย่างนี้ ก็บทนี้ว่า ผัสสะ มีนามรูปเป็นปัจจัย เพราะเมื่อกล่าวว่ามี

สฬายตนะเป็นปัจจัย เป็นอันรับสัมผัสอันเป็นผล ๖ มีจักษุสัมผัส เป็นต้น แต่

ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะแสดงความวิเศษของปัจจัยที่เกิดขึ้น

รับบ้าง ไม่รับบ้าง ด้วยบทนี้ว่ามี สฬายตนะ เป็นปัจจัย ดังนี้ และปัจจัย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 207

อันวิเศษ แม้อย่างอื่นของผัสสะ มากเกินกว่า สฬายตนะ ฉะนั้น พึงทราบว่า

พระองค์ตรัสไว้แล้ว ถามว่า ก็ด้วยวาระนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอะไรไว้

ตอบว่า ตรัสเหตุแห่งปัจจัยทั้งหลายไว้ จริงอยู่ พระสูตรนี้ท่านกล่าวว่า มหา-

นิทาน เพราะกระทำปัจจัยทั้งหลาย ให้ไม่มีปัจจัย ไม่ให้มีความพัวพัน ไม่

ให้มีกอแล้ว จึงกล่าวไว้ บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงความเป็นปัจจัยเหล่านั้น เป็น

ปัจจัยแท้จริง ไม่เป็นอย่างอื่น จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า ชราและมรณะ มีชาติ

เป็นปัจจัย เรากล่าวอธิบายคำนี้ไว้ด้วยประการดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ปริยาเยน คือโดยเหตุ. บทว่า สพฺเพน สพฺพ

สพฺพถา สพฺพ (ทั่วทุกหนแห่ง) ทั้งสองบทนี้เป็นนิบาต อธิบายบทนั้นว่า

ผิว่า ชื่อว่าชาติทั้งหมด ไม่พึงมีโดยอาการทั้งหมด ไม่พึงมีโดยสภาวะทั้งหมด

ดังนี้ แม้ในภพเป็นต้น พึงทราบโดยนัยนี้แล. บทว่า กสฺสจิ นี้ เป็นคำ

ไม่แน่นอน คือ แก่ใครๆ ในเทวโลกเป็นต้น แม้บทนี้ว่า กิมฺหิจิ ก็เป็นคำ

ไม่แน่นอนเหมือนกัน คือ ในที่ไหน ๆ ในภพทั้ง ๙ มี กามภพเป็นต้น. บทว่า

เสยฺยถีท เป็นนิบาต ในอรรถว่า กำหนดในความไม่แน่นอน และขยาย

ความย่อออกไป บทนั้นมีอธิบายว่า เราจักขยายความแห่งบทที่เรากล่าวไว้แก่

ใครๆ ในที่ไหนๆ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขยายความนั้น จึงตรัสคำเป็น

อาทิว่า เพื่อความเป็นเทวดาแห่งพวกเทวดา.

ในบทเหล่านั้น บทว่า เพื่อความเป็นเทวดาแห่งเทวดาทั้งหลาย พวก

เทวดาท่านกล่าวว่า เทวา โดยกำเนิดของขันธ์เพื่อความเป็นเทวดาแห่งเทวดา

ทั้งหลาย พึงทราบความในบททั้งปวงโดยนัยนี้แลว่า ก็หากว่า ชาติจักไม่มี

ทั่วไปทุกหนแห่ง ดังนี้ ก็ในบทเหล่านี้บทว่า เทวา คืออุปปัตติเทพ (ผุด

เกิดขึ้น). บทว่า คนฺธพฺพา คือเทวดาที่สิ่งอยู่ตามโคนไม้และต้นไม้ เป็นต้น.

บทว่า ยกฺขา คือ พวกอมนุษย์. บทว่า ภูตา คือสัตว์ที่เกิดแล้ว พวกใด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 208

พวกหนึ่ง. บทว่า ปกฺขิโน คือ นกพวกใดพวกหนึ่ง มีกระดูกเป็นปีกก็ดี

มีหนังเป็นปีกก็ดี มีขนเป็นปีกก็ดี. บทว่า สิรึสปา คือสัตว์พวกใดพวกหนึ่ง

เลื้อยคลานไปบนแผ่นดิน. บทว่า เตส เตส คือ บรรดาเทวดาและคนธรรพ์

เป็นต้นเหล่านั้นๆ. บทว่า ตถตฺตาย คือ เพื่อความเป็นเทวดาและคนธรรพ์

เป็นต้น. บทว่า ชาตินิโรธา ความว่า เพราะปราศจากชาติ เพราะไม่มีชาติ.

แม้บททั้งหมดมีอาทิว่า เหตุดังนี้เป็นไวพจน์ของเหตุนั้นแล จริงอยู่

เพราะเหตุ ย่อมปรารถนา ย่อมเป็นไป เพื่อต้องการผลของตน ฉะนั้น ท่านจึง

กล่าวว่า เหตุดังนี้ เพราะมอบผลนั้นให้ดุจมอบให้ด้วยคำว่า ท่านทั้งหลายจงรับ

ผลนี้นั้นเถิด ดังนี้ ฉะนั้น ท่านจึงกล่าวนิทาน เพราะผลย่อมตั้งขึ้น คือ ย่อม

เกิดขึ้นจากเหตุนั้นและอาศัยเหตุนั้น ย่อมถึง คือ ย่อมเป็นไป ฉะนั้น ท่านจึง

กล่าวว่า สมุทัย และ ปัจจัย ดังนี้ ในบททั้งหมดมีนัยนี้ อีกอย่างหนึ่ง บทว่า

ยทิท ในบทนี้ว่า ยทิท ชาติ ดังนี้เป็นนิบาต พึงทราบความแห่งนิบาตนั้น

โดยอนุรูปแก่ลิงค์ในบททั้งหมด ก็ในที่นี้มีอธิบายบทนี้อย่างที่ว่า ยา เอสา

ดังนี้ จริงอยู่ ความเกิดแห่งชราและมรณะ ย่อมเป็นปัจจัยแห่งที่สุดของอุปนิสัย

ท่านกระทำการกำหนดโอกาสในบทแห่งภพด้วยบทนี้ว่า กิมฺหิจิ (ในภพ

ไหน ๆ) ในบทนั้นพึงทราบว่า กามภพ ในภายใน กระทำที่สุดอเวจีใน

เบื้องต่ำ กระทำเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัตตีในเบื้องบน ในอุปปัตติภพก็มีนัยนี้

แต่ในบทนี้ควรเป็นกรรมภพ เพราะกรรมภพนั้นเป็นปัจจัยแห่งที่สุดของ

อุปนิสัยของชาติ แม้ในบทแห่งอุปาทานเป็นต้น พึงทราบว่าท่านกระทำการ

กำหนดโอกาสด้วยบทนี้ว่า กิมฺหิจิ ดังนี้

ในบทว่า เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพนี้ ความว่า กามุปาทาน

เป็นปัจจัยแห่งกรรมภพ ๓ และอุปปัตติภพ ๓ แม้บทที่เหลือก็อย่างนั้น พึง

ทราบภพ ๒๔ มีอุปาทานเป็นปัจจัย กรรมภพ ๑๒ ย่อมได้ในบทนี้โดยตรง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 209

อุปาทานแห่งกรรมภพเหล่านั้น เป็นปัจจัยแห่งที่สุดของสหชาตบ้าง แห่งที่สุด

ของอุปนิสัยบ้าง.

บทว่า รูปตณฺหา คือความอยากในรูปารมณ์ ในสัททตัณหาเป็นต้น

ก็มีนัยนี้ ก็ตัณหานี้นั้นย่อมเป็นปัจจัย แห่งที่สุดของสหชาตบ้าง แห่งที่สุดของ

อุปนิสัยบ้าง ของอุปาทาน.

ในบทว่า ปัจจัยแห่งตัณหา ก็คือเวทนานี้ ความว่า วิบากเวทนา ย่อม

เป็นปัจจัยแห่งที่สุดของอุปนิสัยของตัณหา เวทนาอย่างอื่นก็เป็นปัจจัยแม้โดย

ประการอื่น.

ก็ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงตัณหาเบื้องต้นอัน

มีวัฏฏะเป็นมูล บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงถึงตัณหาอันเป็นความฟุ้งซ่าน ด้วยบท

ทั้งหลาย ๙ ดุจบุคคลทุบที่หลัง หรือจับที่ผมแล้วผลักคนที่กำลังร้องขอชีวิต

ออกจากทาง จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า ดูก่อนอานนท์ ก็ด้วยประการดังนี้แล คำนี้

คือเพราะอาศัยเวทนาจึงเกิดตัณหาดังนี้.

ในบทเหล่านั้น บทว่า ตณฺหา ความว่าตัณหามี ๒ อย่างคือ เอสนาตัณหา

และ เอสิตตัณหา บุคคลเดินไปสู่ทางแพะและทางขวากเป็นต้นแล้ว เสาะแสวง

หาโภคะทั้งหลายด้วยตัณหาใด ตัณหานี้ชื่อเอสนาตัณหา ตัณหาใดแม้เมื่อ

บุคคลเสาะแสวงหาได้แล้ว ตัณหานี้ก็ชื่อว่าเอสิตตัณหา แม้ทั้งสองคำนั้นก็เป็นชื่อ

ของตัณหาอันเป็นความฟุ้งซ่านนั้นเอง เพราะฉะนั้น ตัณหา ๒ อย่างนี้ อาศัย

เวทนาจึงชื่อว่าเกิดตัณหา. บทว่า ปริเยสนา คือการแสวงหาอารมณ์มีรูปเป็น

ต้น เพราะว่าการแสวงหานั้นย่อมเป็นการระลึกถึงตัณหา. บทว่า ลาโภ คือ

การได้อารมณ์มีรูปเป็นต้น เพราะว่าการได้นั้นย่อมเป็นการระลึกด้วยการแสวง

หา.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 210

วินิจฉัยมี ๔ อย่างคือ ญาณ ตัณหา ทิฐิและวิตก. ในวินิจฉัยเหล่านั้น

พึงรู้วินิจฉัย อันเป็นความสุข ครั้นรู้วินิจฉัย อันเป็นสุขแล้วพึงเพียรหาความสุข

ในภายใน นี้คือญาณวินิจฉัย. ความวิปริตแห่งตัณหา ๑๐๘ มาแล้วอย่างนี้ว่า

บทว่าวินิจฉัย ได้แก่วินิจฉัย ๒ อย่างคือตัณหาวินิจฉัยและทิฐิวินิจฉัย ชื่อว่า

ตัณหาวินิจฉัย. ทิฐิ ๖๒ ชื่อว่าทิฏฐิวินิจฉัย. วิตกที่ท่านกล่าวว่าวินิจฉัย ในที่นี้มา

แล้วในสักกปัญหสูตรนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้เป็นใหญ่กว่าทวยเทพ ฉันทะ คือความ

พอใจแล มีวิตกเป็นเหตุดังนี้ ก็คนทั้งหลายได้ลาภแล้วย่อมตัดสินว่า น่าพอใจ

และไม่น่าพอใจ ดีและไม่ดีด้วยวิตกอย่างเดียว บุคคลดำริว่า เราจักมีลาภเท่านี้

เพื่อต้องการรูปารมณ์ เราจักมีลาภเท่านี้เพื่ออารมณ์มีสัททารมณ์เป็นต้น จักมี

แก่เราเท่านี้ จักมีแก่ผู้อื่นเท่านี้ เราจักใช้สอยเท่านี้ เราจักเก็บเท่านี้ดังนี้

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสวา อาศัยลาภ จึงตัดสิน.

บทว่า ฉนฺทราโค ความว่า ราคะอย่างอ่อนและราคะอย่างแรง ย่อม

เกิดขึ้นในวัตถุที่ตรึกแล้ว ด้วยอกุศลวิตกก็บทนี้เป็นตัณหาในที่นี้. บทว่า

ฉนฺโท เป็นชื่อของราคะอย่างอ่อน. บทว่า อชฺโฌสาน คือการลงความ

เห็นอย่างแรงว่า เราของเราดังนี้. บทว่า ปริคฺคโห คือทำการยึดถือด้วยสามารถ

ตัณหาและทิฐิ. บทว่า มจฺฉริย ความว่า เพราะทนไม่ได้ต่อความเป็นของ

ทั่วไปด้วยคนอื่น ด้วยเหตุนั้นนั่นเอง ท่านโบราณาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวอรรถ

แห่งคำของบทนั้นอย่างนี้ว่า ท่านกล่าวว่า มจฺฉริย เพราะความที่ตั้งใจว่าสิ่ง

อัศจรรย์นี้จงเป็นของเราผู้เดียว จงอย่าเป็นของผู้อื่นเลยดังนี้. บทว่า อารกฺโข

คือ การป้องกัน อย่างดีด้วยสามารถการปิดประตูและใส่ไว้ในหีบเป็นต้น.

ชื่อว่าอธิกรณาเพราะอรรถว่าทำให้ยิ่ง บทนี้เป็นชื่อของเหตุ. บทว่า

อารกฺขาธิกรณ (เรื่องราวในการป้องกัน) เป็นภาวนปุงสกะ (ไม่มีเพศ)

อธิบายว่า เหตุแห่งการป้องกัน ในการถือไม้เป็นต้น การถือท่อนไม้ เพื่อห้าม

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 211

ผู้อื่น ชื่อ ทณฺฑาทาน การถือมีดมีคมข้างเดียวเป็นต้น ชื่อ สตฺถาทาน. บทว่า

กลโห คือทะเลาะทางกายบ้าง ทะเลาะทางวาจาบ้าง ความพิโรธมีมาก่อน ๆ

ชื่อว่า วิคคหะ (ความทะเลาะกัน) มีมาตอนหลัง ๆ ชื่อ วิวาท (การโต้เถียง

กัน). บทว่า ตุว ตุว เป็นคำไม่เคารพ คือพูด มึงมึง.

บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อทรงแสดงตัณหาอันเป็นความฟุ้งเฟ้อนั้น

แม้โดยนัยปฏิโลมจึงทรงปรารภ บทว่า อารกฺขาธิกรณ (เหตุแห่งการป้อง

กัน) ทรงกลับการแสดง. ในบทเหล่านั้น บทว่า กามตณฺหา ได้แก่ความอยาก

ในรูปเป็นต้น อันเกิดขึ้นแล้วด้วยสามารถราคะอันประกอบด้วยกามคุณ ๕.

บทว่า ภวตณฺหา คือราคะสหรคต ด้วยสัสสตทิฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง). บทว่า

วิภวตณฺหา คือราคะสหรคตด้วยอุจเฉททิฐิ (ความเห็นว่าสูญ).

บทว่า อิเม เทฺว ธมฺมา คือธรรม ๒ อย่างเหล่านี้ คือ ตัณหามีวัฏฏะ

เป็นราก และตัณหาอันฟุ้งเฟ้อ. บทว่า ทฺวเยน ความว่า ธรรม ๒ อย่างเหล่านี้

แม้ถึงความเป็นอันเดียวกันโดยลักษณะของตัณหา ก็ย่อมเป็นการรวมเป็น

อันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วน ๒ ด้วยสามารถตัณหามีวัฏฏะเป็นราก และ

ตัณหาอันฟุ้งเฟ้อ อธิบายว่า ธรรมทั้งหลายเหล่านี้มีปัจจัยร่วมกันโดยมีเวทนา

เป็นปัจจัย จริงอยู่ การรวมกันมี ๓ อย่างคือ การประชุมรวมกัน การรวมสหชาต

การรวมปัจจัย ในบทเหล่านั้น บทนี้ว่า ครั้งนั้นแล การรวมชาวบ้านเหล่านั้น

ทั้งหมดย่อมมีขึ้นดังนี้ ชื่อว่า การประชุมรวมกัน ถ้อยคำนี้ว่า ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย

ธรรมเหล่านี้ มีฉันทะเป็นราก มีผัสสะเป็นที่เกิด มีเวทนาเป็นที่รวม ชื่อรวม

สหชาต ก็พึงทราบบทนี้ว่า การรวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนาโดย ๒ ส่วน ชื่อ

ว่ารวมปัจจัย.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 212

ผัสสะทั้งหมดมีจักขุสัมผัสเป็นต้น เป็นผัสสะอันเป็นผลอย่างเดียวใน

ผัสสะเหล่านั้น เว้นผัสสะอันเป็นผลแห่งโลกุตตระ ๔ ที่เหลือย่อมเป็นผัสสะ

๓๒ ก็ในบทว่า ยทิท ผสฺโส นี้ โดยมากผัสสะย่อมเป็นปัจจัยแห่งเวทนา.

ท่านกล่าวอาการทั้งหลาย ในบทว่า เยหิ อานนฺท อากาเรหิ เป็น

ต้น เป็นสภาพไม่ใช่เช่นเดียวกัน และกันแห่งเวทนาเป็นต้น ท่านแสดงอาการ

เหล่านั้นไว้ด้วยดี ชื่อว่าลิงค์ (เพศ) เพราะถึงความเสื่อมโทรม ชื่อว่านิมิต

เพราะเหตุคือรู้เรื่องนั้น ๆ ชื่ออุทเทส เพราะควรแสดงอย่างนั้น ๆ เพราะฉะนั้น

ในบทนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ ดูก่อนอานนท์ การบัญญัตินามกาย อันเป็นที่ประชุม

ของนามย่อมมีได้ด้วยอาการเพศ นิมิต อุเทศ เมื่อมีอุเทศแห่งเวทนาว่าเวทนา

ในอาการรู้สึก ในเพศรู้สึก ในนิมิตรู้สึก เมื่อมีอุเทศแห่งสัญญาว่า สัญญาใน

อาการรู้พร้อม ในเพศรู้พร้อม ในนิมิตรู้พร้อม เมื่อมีอุเทศแห่งสังขารทั้ง

หลายว่า เจตนาแห่งสังขารทั้งหลาย ในอาการแห่งเจตนา ในเพศแห่งเจตนา

ในนิมิตแห่งเจตนา เมื่อมีอุเทศแห่งวิญญาณว่า วิญญาณในอาการรู้แจ้ง ใน

เพศรู้แจ้ง ในนิมิตรู้แจ้งดังนี้ ย่อมเป็นการบัญญัตินามกายว่านี้เป็นนามกาย

เมื่อไม่มีอาการเป็นต้น ในเวทนาเป็นต้น อันเป็นเหตุให้บัญญัตินามกาย การ

สัมผัสเพียงแต่ชื่อในรูปกาย จึงพึงปรากฏได้บ้างไหม มโนสัมผัสอันใดที่เป็น

ไวพจน์ของการสัมผัสเพียงแต่ชื่อในมโนทวาร กระทำขันธ์ ๔ ให้เป็นวัตถุแล้ว

จึงเกิดขึ้น มโนสัมผัสนั้นจะพึงปรากฏในรูปกาย พึงกระทำประสาททั้ง ๕ ให้

เป็นวัตถุแล้วพึงเกิดขึ้นได้บ้างไหมดังนี้ ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เมื่อไม่ยอม

รับการเกิดขึ้นแห่งสัมผัสนั้นจากรูปกาย ดุจเมื่อไม่มีต้นมะม่วงก็ไม่รับการเกิดขึ้น

ของผลมะม่วงสุกจากต้นชมพู ฉะนั้น จึงกราบทูลว่า โน เหต ภนฺเต ดังนี้.

ในปัญหาที่ ๒ พึงทราบความแห่งอาการเป็นต้น ด้วยสามารถอาการ

แห่งความสลาย เพศแห่งความสลาย นิมิตแห่งความสลาย และด้วยสามารถ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 213

แห่งการยกขึ้นว่ารูปดังนี้. บทว่า ปฏิฆสมฺผสฺโส คือ การสัมผัสการทำรูป

ขันธ์อันเป็นไปกับด้วยความกระทบให้เป็นวัตถุแล้วเกิดขึ้น แม้ในบทนี้พระเถระ

เมื่อไม่รับการเกิดขึ้นแห่งสัมผัสนั้นจากนามกาย ดุจเมื่อไม่มีต้นชมพูก็ไม่รับการ

เกิดขึ้นแห่งผลชมพุสุก จากต้นมะม่วง ฉะนั้น จึงกราบทูลว่า โน เหต ภนฺเต

ดังนี้.

ในปัญหาที่ ๓ ท่านกล่าวไว้เหมือนปัญหาทั้งสองนั่นแล ในปัญหาที่

๓ นั้น พระเถระเมื่อจะไม่รับความเกิดขึ้นแห่งผัสสะแม้ทั้งสอง ในความไม่มี

แห่งนามรูป ดุจไม่รับการเกิดขึ้นของผลมะม่วงสุก และผลชมพูสุกบนอากาศ

ฉะนั้น จึงกราบทูลว่า โน เหต ภนฺเต ดังนี้ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงปัจจัย

แต่ละอย่าง ๆ แห่งผัสสะทั้งสองอย่างนี้ บัดนี้ เพื่อทรงแสดงความที่ผัสสะแม้

ทั้งสองเหล่านั้น เป็นปัจจัยแห่งนามรูปโดยไม่ต่างกัน จึงทรงปรารภปัญหาที่ ๔

ว่า เยหิ อานนฺท อากาเรหิ (ดูก่อนอานนท์ด้วยอาการเหล่าใด) ดังนี้.

บทว่า ยทิท นามรูป คือ นามรูปนี้ใด อธิบายว่า นามรูปในทวาร

แม้ทั้ง ๖ นี้ใด นี้แล เป็นเหตุ นี้แล เป็นปัจจัย ดังนี้ จริงอยู่ จักษุเป็นต้น

และรูปารมณ์เป็นต้น ในจักขุทวารเป็นต้น เป็นรูป ธรรมที่ประกอบกันเป็น

นาม ผัสสะนั้นแม้ ๕ อย่าง อย่างนี้ด้วยประการดังนี้ เพราะนามรูปเป็นปัจจัย

จึงมีผัสสะ แม้ในมโนทวาร หทยวัตถุและรูปย่อมเป็นอารมณ์เป็นรูป สัมป-

ยุตธรรม และสิ่งไม่มีรูปย่อมเป็นอารมณ์เป็นนาม ด้วยประการฉะนี้อย่างนี้

แม้มโนสัมผัสก็พึงทราบว่า เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิดสัมผัส ก็แต่ว่า

นามรูปโดยมากย่อมเป็นปัจจัยแห่งผัสสะนั้น.

บทว่า น โอกฺกมิสฺสถ ความว่า วิญญาณจักไม่เป็นไปด้วยสามารถ

แห่งปฏิสนธิ ดุจเข้าไปแล้วเป็นไปอยู่. บทว่า สมุจฺฉิสฺสถ ความว่า เมื่อ

ปฏิสนธิวิญญาณไม่มี นามรูปส่วนที่เหลือบริสุทธิ์เป็นนามรูปที่ตัดขาดเจือปน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 214

จักเป็นไปด้วยความเป็นกลละเป็นต้น ภายในท้องของมารดาได้บ้างไหม. บทว่า

โอกฺกมิตฺวา โอกฺกมิสฺสถ ความว่า วิญญาณจักหยั่งลงด้วยสามารถปฏิสนธิ

แล้วล่วงเลยไปคือดับไปด้วยสามารถจุติ. ก็ความดับแห่งวิญญาณนั้น ย่อมไม่มี

ด้วยความดับแห่งจิตนั่นแล จากนั้นวิญญาณย่อมไม่มีด้วยความดับแห่งจิตดวง

ที่ ๒ และที่ ๓. จริงอยู่ กรรมชรูป ครบ ๓๐ อันตั้งขึ้นพร้อมกับปฏิสนธิจิตย่อม

เกิด เมื่อกรรมชรูปเหล่านั้นตั้งอยู่นั่นเอง ภวังคจิต ๑๖ เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป.

ไม่มีอันตรายแก่ทารกผู้ถือปฏิสนธิในระหว่างนั้น หรือแก่มารดาของทารกนั้น

เพราะอันตรายนี้ชื่อว่ายังไม่มีโอกาส. ก็หากว่ารูปที่ปรากฏขึ้นพร้อมกับปฏิสนธิจิต

สามารถเพื่อให้ปัจจัยแก่ภวังคจิตดวงที่ ๑๗ ได้ ความเป็นไปย่อมดำเนินต่อไป

ประเวณีย่อมสืบต่อ. ก็หากว่าไม่สามารถ ความเป็นไปย่อมไม่ดำเนินต่อไป

ประเวณีย่อมไม่สืบต่อ ชื่อว่าล่วงเลยไป. ท่านหมายถึง การล่วงเลยไปนั้น จึง

กล่าวว่า โอกฺกมิตฺวา โอกฺกมิสฺสถ (หยั่งลงแล้วล่วงเลยไป) ดังนี้. บทว่า

อิตฺถตฺตาย คือเพื่อความเป็นอย่างนี้ อธิบายว่า เมื่อความเป็นขันธ์ ๕

บริบูรณ์แล้วอย่างนี้.

บทว่า ทหรสฺเสว สโต คือยังอ่อนนั่นเอง. บทว่า โวจฺฉิชฺชิสฺสติ

คือขาดความสืบต่อ. บทว่า วุฑฺฒึ วิรุฬฺหึ เวปุลฺล (ความเจริญงอกงาม

ไพบูลย์) ความว่า เมื่อวิญญาณขาดความสืบต่อ นามรูปบริสุทธิ์จักตั้งขึ้น

แล้วถึงความเจริญในปฐมวัย ความงอกงามในมัชฌิมวัย ความไพบูลย์ใน

ปัจฉิมวัยบ้างได้ไหม อธิบายว่า นามรูปจักถึงความเจริญ ความงอกงาม ความ

ไพบูลย์ โดยมีอายุถึง ๑๐ ปี ๒๐ ปี ฯลฯ ๑,๐๐๐ ปี ได้บ้างไหม.

บทว่า ตสฺมาติหานนฺท ความว่า เพราะวิญญาณนั้นแลเป็นปัจจัย

แห่งนามรูปนั้น ในการถือปฏิสนธิในท้องมารดาบ้าง ในขณะอยู่ในท้องบ้าง

ในขณะออกจากท้องบ้าง ในเวลามีอายุ ๑๐ ปี ในการเป็นไปบ้าง ฉะนั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 215

นี้เป็นเหตุ. นี้เป็นปัจจัยแห่งนามรูป คือ วิญญาณ วิญญาณย่อมเป็นปัจจัย

แห่งนามรูป ดุจบุคคลกล่าวถึงนามรูปอย่างนี้โดยความว่า ท่านชื่อนาม ท่านชื่อ

รูป ท่านชื่อนามรูปดังนี้ ใครทำนามรูปนั้น เราทำมิใช่หรือ ก็หากว่า เมื่อเรา

เป็นปุเรจาริกไม่ถือปฏิสนธิในท้องของมารดา ท่านพึงเป็นนาม พึงเป็นรูป

หรือพึงเป็นนามรูป พวกเราพึงรู้กำลังของท่านเหมือนอย่างว่า พระราชาเมื่อ

จะทรงข่มขู่บริษัทของพระองค์ พึงตรัสว่า เจ้าเป็นอุปราช เจ้าเป็นเสนาบดี

ดังนี้ ใครตั้งเจ้า เราตั้งเจ้ามิใช่หรือ ก็หากว่าเมื่อเราไม่ตั้งเจ้า เจ้าจะพึงเป็น

อุปราชหรือพึงเป็นเสนาบดี ตามธรรมดาของตน เราพึงรู้กำลังของเจ้า ฉะนั้น

ก็วิญญาณนี้นั้นโดยมากย่อมเป็นปัจจัยแห่งนามรูป.

บทว่า ทุกฺขสมุทยสมฺภโว คือความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์. บทว่า

ยทิท นามรูป ความว่า นามรูปนี้ใด นี้เป็นเหตุ นี้เป็นปัจจัย แม้นามรูป

ก็ดุจบุคคลกล่าวถึงวิญญาณอย่างนี้โดยความว่า ท่านเป็นปฏิสนธิวิญญาณ ใคร

ทำปฏิสนธิวิญญาณ เราทำมิใช่หรือ ก็หากท่านไม่อาศัยขันธ์ ๓ และหทยวัตถุ

จะพึงชื่อว่าปฏิสนธิวิญญาณ เราพึงเห็นความที่ท่านเป็นปฏิสนธิวิญญาณ ดังนี้

เหมือนอย่างว่า ราชบุรุษทั้งหลายพึงทูลกะพระราชาผู้ทรงข่มขู่ว่า พระองค์เป็น

พระราชา ใครตั้งพระองค์ พวกข้าพระพุทธเจ้าพระองค์มิใช่หรือ ก็หากว่า

เมื่อข้าพระพุทธเจ้าไม่ดำรงอยู่ในตำแหน่งอุปราช ในตำแหน่งเสนาบดี

พระองค์พึงเป็นพระราชาพระองค์เดียวเท่านั้น พวกข้าพระพุทธเจ้าพึงเห็นความ

เป็นพระราชาของพระองค์ ดังนี้ ฉะนั้น ก็และนามรูปนี้นั้น โดยมากย่อม

เป็นปัจจัยแห่งวิญญาณ. บทว่า เอตฺตาวตา โข ความว่า เมื่อวิญญาณเป็น

ปัจจัยแห่งนามรูป เมื่อนามรูปเป็นปัจจัยแห่งวิญญาณ เมื่อทั้งสองเป็นไปด้วย

สามารถแห่งความเป็นปัจจัยของกันและกัน ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ วิญญาณและ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 216

นามรูป จึงยังเกิด แต่ ตาย จุติหรืออุบัติ ชาติเป็นต้น หรือจุติปฏิสนธิอื่นๆ

พึงปรากฏ.

บทว่า อธิวจนปโถ (ทางแห่งชื่อ) ความว่า ทางแห่งโวหาร ซึ่งไม่

เห็นความของคำเป็นต้นว่า สิริวัฑฒกะ ธนวัฑฒกะ ตั้งขึ้นไว้เพียงเรียก

ชื่อเท่านั้น. บทว่า นิรุตฺติปโถ (ทางแห่งนิรุติ) ความว่า เป็นทางแห่ง

โวหารซึ่งเป็นไปด้วยสามารถการอ้างเหตุแห่งคำเป็นต้นว่า ผู้มีสติเพราะระลึกได้

ผู้มีสัมปชัญญะเพราะรู้ตัว. บทว่า ปญฺตฺติปโถ (ทางแห่งบัญญัติ) ความว่า

ทางแห่งโวหารซึ่งเป็นไปด้วยสามารถแห่งการให้รู้โดยประการต่าง ๆ ของคำเป็น

อาทิว่า ผู้รู้ ผู้ฉลาด ผู้มีปัญญา ผู้ชำนาญ ผู้คัดค้าน แม้ขันธ์ทั้งหลาย

อันเป็นวัตถุแห่งชื่อเป็นต้น ท่านก็กล่าวด้วยบททั้ง ๓ ด้วยประการฉะนี้. บทว่า

ปญฺาวจร (การคาดคะเนด้วยปัญญา) ความว่า พึงคาดคะเนคือพึงรู้. บทว่า

ปัญญา. บทว่า วฏฺฏ วฏฺฏติ คือ สังสารวัฏ ย่อมเป็นไป. บทว่า อิตฺถตฺต

คือความเป็นอย่างนี้ คำนี้เป็นชื่อของขันธบัญจก (หมวด ๕ แห่งขันธ์). บทว่า

ปญฺาปนาย คือเพื่อบัญญัติ ชื่อ อธิบายว่า แม้ขันธปัญจกก็ย่อมปรากฏ

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เพื่อต้องการบัญญัตินาม ด้วยบทว่า เวทนา สญฺา

เป็นต้น. บทว่า ยทิท นามรูป สหวิญฺาเณน ความว่า นี้คือนามรูปกับ

วิญญาณย่อมเป็นไป เพราะเป็นปัจจัยของกันและกัน ท่านอธิบายว่าด้วยเหตุ

เพียงเท่านี้ดังนี้ นี้เป็นคำที่ถูกนำออกไปในบทนี้.

ด้วยประการดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงอนุสนธิแห่งบทว่า

ดูก่อนอานนท์ ก็ปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นของลึกซึ้ง และปรากฏเป็นของลึกซึ้ง ดังนี้

แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงอนุสนธิแห่งบทว่า ตนฺตากุลกชาตา (ยุ่งดุจด้าย

ของช่างหูก) ดังนี้ ทรงปรารภเทศนามีอาทิว่า กิตฺตาวตา จ (ด้วยเหตุมี

ประมาณเท่าใด) ดังนี้ ในบทเหล่านั้น ในบทว่า รูปึ วา หิ อานนฺท ปริตฺต

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 217

อตฺตาน ดังนี้ ความว่า ผู้ที่บัญญัติอัตตามีรูปนิดหน่อย ย่อมถือว่า กสิณนิมิต

ที่ยังไม่เจริญเป็นอัตตา ดังนี้ อนึ่ง ผู้ที่บัญญัติอัตตานั้นว่า บางคราวเขียว

บางคราวเหลือง ดังนี้ ย่อมเป็นผู้มีปกติได้กสิณต่าง ๆ ผู้ที่บัญญัติอัตตามี

รูปหาที่สุดมิได้ ย่อมถือว่า กสิณนิมิต ที่เจริญแล้วเป็นอัตตา ดังนี้ ก็หรือ

ผู้ที่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปนิดหน่วย เพิกถอนกสิณนิมิตที่ยังไม่เจริญแล้วถือโอกาส

ที่นิมิตสัมผัสแล้ว หรือขันธ์ ๔ อันเป็นไปในนิมิตนั้น หรือเพียงวิญญาณใน

ขันธ์ ๔ เหล่านั้นเท่านั้นว่า เป็นอัตตาดังนี้ ผู้ที่บัญญัติอัตตาไม่มีรูปไม่มีที่สุด

เพิกถอนกสิณนิมิตที่เจริญแล้ว ย่อมถือโอกาสที่นิมิตสัมผัสแล้ว หรือขันธ์อัน

เป็นไปในนิมิตนั้น หรือเพียงวิญญาณในขันธ์ ๔ เหล่านั้นเท่านั้น ว่าเป็นอัตตา

ดังนี้.

บทว่า ตตฺร ในบทว่า ตตฺรานนฺท นี้ คือในทิฏฐิ ๔ อย่างนั้น. บท

ว่า เอตรหิวา คือ ในบัดนี้มิใช่อื่นจากนี้ ท่านกล่าวคำนี้ด้วยสามารถอุจเฉท

ทิฏฐิ. บทว่า ตถาภาวึ วา คือสภาพที่เป็นอยู่ในโลกที่อยู่อย่างนั้น ท่านกล่าว

คำนี้ด้วยสามารถสัสสตทิฏฐิ. บทว่า อตถ วา ปน สนฺต คือ หรือสภาวะอัน

ไม่เที่ยงแท้ มีอยู่ มีอยู่. บทว่า ตถตฺตาย คือเพื่อความเที่ยงแท้. บทว่า อุป-

กปฺเปสฺสามิ คือเราจักให้ถึงพร้อม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงการแย้ง

แม้ด้วยบทนี้ เพราะผู้มีวาทะว่า สูญ คิดแล้วว่า เราจักยังอัตตาที่ไม่เที่ยงแท้

แม้ความจริงไม่สูญของผู้มีวาทะว่าเที่ยงให้สำเร็จ เพื่อเป็นสภาพที่เที่ยงแท้ คือ

มีสภาพสูญ เเละเราจักให้ผู้มีวาทะว่าเที่ยงรู้แล้วจักให้เขาถือวาทะว่าสูญอย่าง

เดียว แม้ผู้มีวาทะว่าเที่ยงก็คิดแล้วว่าเราจักยังอัตตาอันไม่เที่ยงแท้ แม้ความ

จริงไม่เที่ยงให้สำเร็จเพื่อเป็นสภาพที่แท้ คือเพื่อความเป็นสภาพที่เที่ยง และ

จักยังผู้มีวาทะว่าสูญให้รู้แล้วให้เขาถือวาทะว่าเที่ยงอย่างเดียวดังนี้. บทว่า เอว-

สนฺตโข ความว่า ให้บัญญัติอัตตาอันมีรูปนิดหน่อยมีอยู่อย่างนี้. บทว่า รูปึ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 218

คือมีปกติ ได้รูปเป็นกสิณ. บทว่า ปริตฺตตฺตานุทิฏฺิ อนุเสติ ความว่า

ความเห็นนี้ว่าอัตตานิดหน่อย ย่อมนอนเนื่องในสันดาน ก็พึงทราบความเห็น

นั้นว่า ความเห็นนั้นย่อมไม่นอนเนื่องดุจเถาวัลย์และลดา คือชื่อว่าย่อมนอน

เนื่องในสันดานโดยอรรถว่าละไม่ได้. บทว่า อิจฺจาล วจนาย ความว่า ควร

เพื่อจะกล่าวว่าความเห็นเห็นปานนี้ ย่อมนอนเนื่องในบุคคลนั้น ในบททั้งหมด

มีนัยนี้ ก็ในบทว่า อรูปึ นี้ คือมีปกติ ได้อรูปเป็นกสิณ พึงทราบความอย่าง

นี้ว่า หรือมีอรูปขันธ์เป็นโคจร.

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เป็นอันท่านแสดงพวกถือทิฐิ ๑๖ จำพวกโดยเนื้อ

ความว่า พวกมีลาภ ๔ พวกลูกศิษย์ของผู้มีลาภ ๔ พวกมีความเห็นผิด ๔ ลูก

ศิษย์ของพวกมีความเห็นผิด ๔ พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงถึงผู้ที่

บัญญัติอัตตาอย่างนี้แล้ว บัดนี้เพื่อทรงแสดงถึงผู้ที่ไม่บัญญัติอัตตาจึงตรัสคำ

เป็นอาทิว่า กิตฺตาวตา จ อานนฺท ดังนี้ ถามว่า ก็พวกไหนไม่บัญญัติ ตอบว่า

โดยที่แท้พระอริยบุคคลทั้งหมดเท่านั้นไม่บัญญัติ อนึ่ง พระอริยบุคคลผู้ที่

เป็นพหูสูต ทรง ๓ ปิฎก ๒ ปิฎก ๑ ปิฎก โดยที่สุดวินิจฉัยแม้นิกายเดียว

ด้วยดี บุคคลผู้แสดงธรรมตามที่ได้เรียนบ้าง ผู้ปรารภวิปัสสนาบ้าง ย่อมไม่

บัญญัติ เพราะท่านเหล่านั้นมีสัญญาอยู่ว่า กสิณที่มีส่วนเปรียบเทียบในกสิณที่

มีส่วนเปรียบเทียบดังนี้ อธิบายว่า อรูปขันธ์ในอรูปขันธ์นั้นแล พระผู้มีพระ

ภาคเจ้าทรงแสดงถึงผู้ที่ไม่บัญญัติอย่างนี้แล้วบัดนี้ เพราะผู้ที่พิจารณาเห็นด้วย

อำนาจทิฐิย่อมบัญญัติ ก็การพิจารณาเห็นนี้นั้นย่อมมีได้ เพราะยังไม่ละสักกาย

ทิฐิมีวัตถุ ๒๐ ฉะนั้นเพื่อทรงแสดงถึงสักกายทิฐิมีวัตถุ ๒๐ นั้น จึงตรัสอีกว่า

กตฺตาวตา จ อานนฺท ดังนี้เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้นท่านกล่าวสักกายทิฐิอันมีเวทนาขันธ์เป็นวัตถุ ด้วยบทว่า

ว่า เวทน วา หิ ดังนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 219

ท่านกล่าวสักกายทิฐิอันมีรูปขันธ์เป็นวัตถุด้วยบทนี้ว่า อปฺปฏิสเวท-

โน เม อตฺตา อัตตาของเราไม่ต้องเสวยเวทนา ๆ ดังนี้ ท่านกล่าวสักกาย

ทิฐิอันมี สัญญาสังขารวิญญาณเป็นวัตถุด้วยบทนี้ว่า อัตตาของเรายังเสวยเวทนา

อยู่เพราะอัตตาของเรามีเวทนาเป็นธรรมดาดังนี้ ก็ขันธ์ทั้ง ๓ หมวดนี้ยังเสวย

เวทนาอยู่เพราะสัมปยุตด้วยเวทนา อนึ่ง อัตตามีเวทนาเป็นธรรมดาคือ ไม่มี

การประกอบเป็นสภาวะย่อมมีแก่ขันธ์ทั้ง ๓ นั้น บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อ

จะทรงแสดงโทษ ในความเห็นเหล่านั้น จึงตรัสดำเป็นอาทิว่า ตตฺรานนฺท

ดังนี้.

บทว่า ตตฺถ ตตฺร คือในทิฐิ ๓๐ เหล่านั้น ท่านกล่าวบทเป็นต้นว่า

ยสฺมึ อานนฺท สมเย ดังนี้ เพื่อชี้โทษเป็นต้นอย่างนี้ว่า บางครั้งมี บางครั้ง

ไม่มี แห่งอัตตาของผู้ที่พิจารณาเห็นว่าเวทนาเป็นอัตตา.

ในบทว่า อนิจฺจา เป็นต้น ความว่า เวทนาชื่อว่าเป็นของไม่เที่ยง

เพราะมีแล้วไม่มี ชื่อว่าอันปัจจัยปรุงแต่ง เพราะปรุงแต่งขึ้นด้วยเหตุนั้น ๆ ชื่อ

ว่าอาศัยกันเกิดขึ้น เพราะอาศัยปัจจัยนั้น ๆ แล้วเกิดขึ้นด้วยเหตุอันชอบ บท

ทั้งหมดมีอาทิว่า ขโย เป็นไวพจน์ของการทำลาย จริงอยู่สิ่งใดย่อมแตก สิ่งนั้น

ย่อมสิ้นไปบ้าง เสื่อมไปบ้าง คลายไปบ้าง ดับไปบ้าง เพราะฉะนั้น ท่านจึง

กล่าวคำเป็นอาทิว่า ขยธมฺมา ดังนี้. บทว่า พฺยคา เม อธิบายว่า อัตตาของ

เราถึงความเสื่อมโทรม คือ ปราศจากไปดับไปดังนี้.

พุทธพจน์ว่า นั่นตนของเราย่อมมีแก่คนคนเดียวเท่านั้น ในกาลแม้

ทั้ง ๓ หรือ จักไม่มีแก่คนที่มีทิฐิหรือ เพราะธรรมดาเถาวัลย์ย่อมไม่มีเป็น

นิจแก่ตอไม้ที่เขาเก็บไว้ในกองแกลบ ดุจลิงป่าย่อมถือเอาสิ่งอื่นย่อมปล่อยสิ่ง

อื่น. บทว่า อนิจฺจ สุข ทุกฺข โวกิณฺณ ความว่า บุคคลเมื่อพิจารณาเห็น

เวทนานั้น ๆ โดยวิเศษว่าเป็นอัตตา ย่อมพิจารณาเห็นอัตตาไม่เที่ยงเป็นสุข

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 220

และเป็นทุกข์ เมื่อพิจารณาเห็นเวทนาโดยไม่วิเศษว่าเป็นอัตตาย่อมพิจารณา

เห็นอัตตาเกลื่อนกล่นมีเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา จริงอยู่ เวทนามี ๓

อย่างและมีเกิดขึ้นมีเสื่อมไปเป็นธรรมดา ก็เขาย่อมพิจารณาเห็นเวทนานั้นว่า

เป็นอัตตา ด้วยประการฉะนี้ อัตตาของเขาจึงไม่เที่ยง และความเกิดขึ้นแห่ง

เวทนาทั้งหลายมากย่อมถึงในขณะเดียวกัน แต่เขาย่อมรู้ตามอัตตานั้นแลว่าไม่

เที่ยง ไม่มีเวทนาเป็นอันมากเกิดขึ้นในขณะเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

หมายถึงความนี้จึงตรัสว่า เพราะเหตุนั้นแหละ ข้อนี้จึงยังไม่ควรที่จะพิจารณา

เห็นว่าเวทนาเป็นอัตตาของเราแม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้ดังนี้.

บทว่า ยตฺถ ปนาวุโส ความว่า ในรูปขันธ์ล้วนก็ยังไม่มีการเสวย

อารมณ์ด้วยประการทั้งปวง. บทว่า อปินุ โขตตฺถ ความว่า ในรูปขันธ์นั้นคือ

ในต้นตาล หรือในหน้าต่างอันเว้นเวทนาแล้ว ยังจะพึงเกิดอหังการว่าเป็นเรา

อย่างนี้อีกหรือ. บทว่า ตสฺมาติหานนฺท ความว่า เพราะรูปขันธ์ล้วนตั้งขึ้น

แล้วยังไม่กล่าวว่าเป็นเรา ฉะนั้น ข้อนี้จึงไม่ควรที่จะพิจารณาเห็นว่าเวทนา

เป็นอัตตาของเรา แม้ด้วยคำดังกล่าวแล้วนี้ ในรูปขันธ์ยังจะเกิดอหังการว่านี้

เป็นเราได้หรือ เพราะฉะนั้น ในเวทนาเหล่านั้นในขันธ์ ๓ เเม้ขันธ์เดียวควร

จะกล่าวอย่างนี้ว่า ชื่อนี้เป็นเราดังนี้ได้หรือ อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า เมื่อ

ขันธ์ ๓ เหล่านั้นดับ พร้อมกับเวทนาเพราะเวทนาดับ จะพึงเกิดอหังการว่า

นี้เป็นเราหรือเราเป็นนี้ ดังนี้ได้หรือ ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เมื่อจะไม่

ยอมรับข้อนั้น ดุจบุคคลไม่ยอมรับความคมกริบของเขากระต่าย ฉะนั้น

จึงกราบทูลว่า โนเหต ภนฺเต ดังนี้.

ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงอะไร ตรัสถึงวัฏฏะ

จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะตรัสถึงเรื่องวัฏฏะ ในบางแห่งตรัสหัวข้อ

อวิชชา บางแห่งตรัสหัวข้อตัณหา บางแห่งตรัสหัวข้อทิฐิ ในหัวข้อเหล่านั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 221

ตรัสหัวข้ออวิชชาอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุดของอวิชชาไม่ปรากฏมา

ก่อน ก่อนจากนี้อวิชชามิได้มี แต่ว่าได้เกิดมีแล้วในภายหลัง เพราะเหตุนั้น

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตกล่าวถึงหัวข้ออวิชชานี้อย่างนี้ ครั้นแล้วอวิชชา

ย่อมปรากฏ เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัย จึงมีอวิชชา. ตรัสหัวข้อตัณหาอย่างนี้ว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุดของภวตัณหาย่อมไม่ปรากฏมาก่อน ก่อนจากนี้

ภวตัณหามิได้มี แต่ว่าได้เกิดมีแล้วในภายหลัง เพราะเหตุนั้น ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย ตถาคตกล่าวถึงหัวข้อตัณหานี้ไว้อย่างนี้ ครั้นแล้วตัณหาย่อมปรากฏ

เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ตรัสหัวข้อทิฐิไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย ที่สุดแห่งภวทิฐิไม่ปรากฏมาก่อน ก่อนจากนี้ภวทิฐิมิได้มี แต่ว่าได้เกิด

มีแล้วในภายหลัง เพราะเหตุนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลายตถาคต กล่าวถึงภวทิฐินี้

อย่างนี้ ครั้นแล้ว ภวทิฐิย่อมปรากฏ เพราะสิ่งนี้เป็นปัจจัย จึงมีภวทิฐิ ดังนี้

แม้ในภวทิฐินี้ก็เป็นอันตรัสด้วยหัวข้อทิฐิเหมือนกัน จริงอยู่ ผู้มีทิฐิถือว่าเวทนา

มีสุขเวทนาเป็นต้น เป็นอัตตา ครั้นจุติจากภพนั้น ๆ ในภพ กำเนิด คติ

วิญญาณัฎฐิติ และสัตตาวาสทั้งปวง ด้วยสามารถการยึดถือว่าเรา ว่าของเรา

แล้วไปเกิดในภพนั้นๆ ย่อมหมุนไปสู่ภูมิเนืองๆ ดุจเรือถูกลมซัดในมหาสมุทร

ไม่สามารถยกศีรษะขึ้นจากวัฏฏะได้เลย.

ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงวัฏฏะด้วยกถามรรคเพียง

เท่านี้แก่ผู้มีทิฐิหลงในปัจจยาการแล้ว บัดนี้ เมื่อจะตรัสถึงพระนิพพาน จึงตรัส

คำมีอาทิว่า ยโต โข อานนฺท ภิกฺขุ ดังนี้.

ก็และพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะพระองค์เป็นผู้ฉลาดในเทศนา ไม่ทรง

แตะต้องวิวัฏฏกถา (เรื่องนิพพาน) กะบุคคลผู้ฟุ้งซ่านด้วยสามารถนวกรรม

เป็นต้น ผู้ทอดทิ้งกรรมฐาน แล้วเมื่อจะทรงปรารภด้วยสามารถบุคคลผู้มี

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 222

ปกติอยู่ด้วยสติปัฏฐาน ผู้เป็นการกบุคคล จึงตรัสคำเป็นอาทิว่า ภิกษุย่อมไม่

พิจารณาเห็นเวทนาว่าเป็นอัตตา ดังนี้.

จริงอยู่ ภิกษุเห็นปานนี้ย่อมไม่พิจารณาเห็นเวทนาว่าเป็นอัตตา ย่อมไม่

พิจารณาเห็นธรรมเหล่าอื่น เพราะความที่เป็นไปในธรรมทั้งปวง ด้วยสามารถ

แห่งสัมมสนญาณที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วโดยนัยมีอาทิว่า รูปอย่างใด

อย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ในภายในหรือในภายนอก หยาบ

หรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ภิกษุย่อมกำหนดรูปทั้งปวง

โดยความเป็นของไม่เที่ยง พิจารณาครั้ง ๑ ย่อมกำหนดโดยความเป็นทุกข์

พิจารณาครั้ง ๑ ย่อมกำหนดโดยความเป็นอนัตตา พิจารณาครั้ง ๑ ดังนี้ ภิกษุ

นั้น เมื่อไม่พิจารณาอยู่เสมออย่างนี้ ว่าอะไรๆ ในโลกไม่น่ายึดมั่นดังนี้ อะไร ๆ

แม้ธรรมข้อหนึ่งในธรรมทั้งหลายมีรูปเป็นต้น ในโลก อันต่างด้วยขันธโลก

เป็นต้น ไม่น่ายึดมั่นว่าเป็นอัตตาหรือเกิดในอัตตา ดังนี้. บทว่า อนุปาทิย

จ น ปริตสฺสต ความว่า ภิกษุเมื่อไม่ยึดมั่น ย่อมไม่สะดุ้ง แม้ด้วยความ

สะดุ้งคือ ตัณหา ทิฐิและมานะ. บทว่า อปริตสฺส คือ เมื่อไม่สะดุ้ง. บทว่า

ปจฺจตฺตญฺเว ปรินิพฺพายติ ความว่า ย่อมปรินิพพานด้วยการดับกิเลส

ด้วยตนเอง. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ขีณา ชาติ ดังนี้เป็นต้น เพื่อทรง

แสดงถึงความเป็นไปแห่งปัจจเวกขณะของผู้ปรินิพพานแล้วอย่างนี้.

บทว่า อิติ สา ทิฏฺิ ความว่า ทิฐิของพระอรหันต์ผู้หลุดพ้นแล้ว

อย่างนั้นชื่อว่าทิฏฐิอย่างนี้ บาลีว่า อิติสฺส ทิฏิ ดังนี้บ้าง. อธิบายว่า ผู้นั้น

เป็นผู้ไกลจากกิเลสเป็นผู้หลุดพ้นแล้วอย่างนั่น พึงมีทิฐิอย่างนี้. บทว่า ตทกลฺล

คือ ข้อนั้นไม่สมควร. เพราะเหตุไร. เพราะเมื่อเป็นอย่างนั้นควรกล่าวว่า

พระอรหันต์ย่อมไม่รู้อะไร ๆ ครั้นรู้อย่างนี้แล้วไม่ควรกล่าวกะพระอรหันต์

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 223

ผู้หลุดพ้นแล้วว่าไม่รู้อะไร ๆ. ด้วยเหตุนั้นแล ในที่สุดแห่งนัย แม้ ๘ อย่าง

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ต กิสฺส เหตุ ดังนี้.

บทว่า ยาวตานนฺท อธิวจน ความว่า มีโวหาร กล่าวคือชื่อ

ตราบใด. บทว่า ยาวตา อธิวจนปโถ คือเป็นทางแห่งชื่อเป็นไปอยู่ตราบใด.

ขันธ์ อายตนะ หรือธาตุ ยังมีอยู่. ในที่ทั้งหมดมีนัยนี้. บทว่า ปญฺญาวจร

คือขันธบัญจกที่กำหนดรู้ด้วยปัญญา. บทว่า ตทภิญฺา คือเพราะรู้ยิ่งวัฏฏะ

นั้น. ด้วยเหตุเพียงเท่านี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงอะไร. ทรงแสดงอนุสนธิ

ของบทว่าด้วยความยุ่งดุจด้ายของช่างหูก.

บัดนี้ ผู้ที่ท่านกล่าวว่า ไม่บัญญัติ เพราะไปอยู่ ๆชื่อว่าหลุดพ้นจาก

ส่วนทั้งสอง อนึ่ง ผู้ที่ท่านกล่าวว่าไม่พิจารณาเห็นเพราะไปอยู่ ๆ ชื่อว่าพ้น

ด้วยปัญญา ฉะนั้น เพื่อทรงแสดงบทสรุปและชื่อของภิกษุทั้ง ๒ พวกที่กล่าว

แล้วเหล่านั้นจึงตรัสคำเป็นอาทิว่า ดูก่อนอานนท์ วิญญาณฐิติเหล่านี้ ๗ อย่าง.

ในบทเหล่านั้น บทว่า สตฺตา ท่านกล่าวด้วยสามารถปฏิสนธิ.

วิญญาณฐิติ ๔ ท่านกล่าวไว้ด้วยสามารถแห่งอารมณ์ จักมาในสังคีติสูตร.

ชื่อว่าวิญญาณฐิติ เพราะมีวิญญาณตั้งอยู่. บทว่า วิญฺาณิติ นี้เป็นชื่อของ

ที่ตั้งอยู่แห่งวิญญาณ. บทว่า เทฺว อายตนานิ คือ ที่อยู่อาศัยและที่ตั้ง ๒.

ก็บทว่า อายตนะ ในที่นี้ท่านประสงค์เอาที่อยู่อาศัย. ด้วยเหตุนั้นแล ท่าน

จักกล่าวถึงอายตนะ ๒ คือ อสัญญีสัตตายตนะ ที่อยู่ของสัตว์ผู้ไม่มีสัญญา

เนวสัญญานาสัญายตนะ ที่อยู่ของสัตว์มีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไรท่านจึงถือเอาอายตนะนี้ทั้งหมด. ตอบว่า เพื่อควบคุม

วัฏฏะ. จริงอยู่วัฏฏะย่อมไม่ถึงการควบคุมด้วยสามารถวิญญาณฐิติอันบริสุทธิ์

หรือด้วยสามารถอายตนะบริสุทธิ์ แต่ย่อมถึงการควบคุมด้วยสามารถภพกำเนิด

คติและสัตตาวาส เพราะฉะนั้น ท่านจึงถือเอาอายตนะนี้ทั้งหมด. บัดนี้ พระ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 224

ศาสดาเมื่อจะทรงจำแนกความนั้นโดยลำดับจึงตรัสคำเป็นอาทิว่า กตมา สตฺต

ดังนี้เป็นต้น.

ในบทว่านั้น บทว่า เสยฺยถาปิ เป็นนิบาตในอรรถว่าตัวอย่าง.

อธิบายว่า เหมือนอย่างมนุษย์ดังนี้. จริงอยู่ในจักรวาลอันหาประมาณมิได้

เช่นกับหนึ่งไม่มีสอง ด้วยสามารถแห่งวรรณและสัณฐานเป็นต้นของมนุษย์

อันหาประมาณมิได้. ความแปลกกันด้วยอาการเป็นต้นว่า การมองดู การเหลียว

ดู การพูด การหัวเราะ การเดินและการยืน ย่อมมีแค่นี้ น้องฝาแฝดในที่ไหน ๆ

ย่อมเป็นเช่นเดียวกันโดยวรรณะหรือโดยทรวดทรง เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าว

ว่า นานตฺตกายา. แต่ปฏิสนธิวิญญาณของสัตว์เหล่านั้นมี ๓ เหตุบ้าง มี ๒

เหตุบ้าง ไม่มีเหตุบ้าง เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่ามีสัญญาต่างกัน.

บทว่า เอกจฺเจ จ เทวา คือเทวดาชั้นฉกามาพจร. ก็ในเทวดาเหล่านั้น

บางพวกมีตัวเขียว บางพวกมีวรรณะเหลืองเป็นต้น. แต่สัญญาของเทวดา

เหล่านั้น มี ๒ เหตุบ้าง มี ๓ เหตุบ้าง ไม่มีเหตุบ้าง.

บทว่า เอกจฺเจ จ วินิปาติกา ความว่า เวมานิกเปรต มีอาทิอย่างนี้

ว่า ยักษิณี ชื่อ อุตตรมาตา ปิยังกรมาตา ปุสสมิตตา ธรรมคุตตา ผู้จมอยู่

ในอบาย ๔ ก็กายของเปรตเหล่านั้นมีต่าง ๆ กัน ด้วยสามารถสีมีสีเหลือง สีขาว

สีดำ สีทอง สีคร่ำเป็นต้น และด้วยสามารถ ความผอม ความอ้วน สูงและต่ำ.

แม้สัญญาก็มีด้วยสามารถ ทวิเหตุกะ ติเหตุกะ และอเหตุกะ เหมือนของมนุษย์

ทั้งหลาย. ก็เปรตเหล่านั้นไม่มีศักดิ์ใหญ่เหมือนเทวดา มีศักดิ์น้อยเหมือนคน

กำพร้า ของกิน เสื้อผ้าหาได้ยาก ถูกทุกข์บีบคั้นอยู่. บางพวกได้รับทุกข์ใน

ข้างแรมได้รับสุขในข้างขึ้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า วินิปาติกะ เพราะ

ความเป็นผู้ตกไปจาการสะสมความสุข. ก็ในเปรตเหล่านี้ แม้การตรัสรู้ธรรม

ก็ย่อมมีได้แก่เปรตจำพวกติเหตุกะ. ก็ยักษิณีชื่อปิยังกรมาตาได้สดับพระอนุรุทธ

เถระผู้สาธยายธรรมอยู่ในเวลาใกล้รุ่ง ตักเตือนบุตรน้อยอย่างนี้ว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 225

เจ้าปิยังกรอย่าเอ็ดไป ภิกษุกำลังกล่าว

บทธรรม อีกอย่าง เรารู้บทธรรมแล้ว จะปฏิบัติ

เพื่อประโยชน์ของเรา ข้อนั้นพึงมี เราพึง

สำรวมในสัตว์ทั้งหลายไม่พึงกล่าวเท็จ ทั้ง ๆ รู้

พึงศึกษาความเป็นผู้มีศีลของตน เราก็จะพ้น

จากกำเนิดปีศาจ ดังนี้

แล้วได้บรรลุโสดาปัตติผลในวันนั้นเอง.

บทว่า พฺรหฺมกายิกา ได้แก่ พรหมปาริสัชชะ พรหมปุโรหิต

มหาพรหม. บทว่า ปมาภินิพฺพตฺตา ได้แก่พวกเทพทั้งหมดเหล่านั้น

เกิดด้วยปฐมฌาน. ก็ในบรรดาเทพเหล่านั้น เทพพรหมปาริสัชชะ เกิดแล้ว

ด้วยคุณเล็กน้อย. เทพพรหมปาริสัชชะเหล่านั้น อายุประมาณ ๓ ส่วนของกัป

เทพพรหมปุโรหิต เกิดแล้วด้วยคุณปานกลาง. อายุประมาณกึ่งกัปและกายของ

พราหมปุโรหิตนั้น ผึ่งผายกว่า. เทพมหาพรหมเกิดด้วยคุณอันประณีต. อายุ

ประมาณ ๑ กัป. กายของเทพเหล่านั้นผึ่งผายยิ่งนัก. ด้วยประการดังนี้

พึงทราบว่า เทพเหล่านั้นมีกายต่างกันมีสัญญาอย่างเดียวกัน เพราะกายต่างกัน

เพราะสัญญาอย่างเดียวกันด้วยสามารถปฐมฌาณ. สัตว์ทั้งหลายในอบาย ๔ ก็

เหมือนเทพเหล่านั้น.

ก็ในนรกอัตภาพของสัตว์บางพวก คาวุตหนึ่ง บางพวกกึ่งโยชน์ บาง

พวกโยชน์หนึ่ง. แต่ของพระเทวทัต ๑๐๐ โยชน์. แม้ในเดียรัจฉานทั้งหลาย

บางพวกก็เล็ก บางพวกก็ใหญ่. ในเปรตวิสัย บางพวก ๖๐ ศอก บางพวก

๗๐ ศอก บางพวก ๘๐ ศอก บางพวกผิวงาม บางพวกผิวไม่งาม. กาลัญ-

ชิกาสูรก็เหมือนอย่างนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ในบรรดาเปรตเหล่านี้ ทีฆปิฏฐิก

เปรตสูงถึง ๖๐ โยชน์. แต่สัญญาของเปรตแม้ทั้งหมดเป็นอเหตุกะฝ่ายอกุศล-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 226

วิบาก. ด้วยประการดังนี้ แม้สัตว์ในอบายย่อมนับได้ว่า มีกายต่างกันมีสัญญา

อย่างเดียวกันดังนี้.

บทว่า อาภสฺสรา ความว่า รัศมีจากสรีระของเทพเหล่านั้น ดุจ

เปลวคบเพลิงเป็นลำ สร้านออกดุจขาด ๆ แล้วตก เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า

อาภัสสรา. ในเทพเหล่านั้น เทพผู้เจริญคุณนิดหน่อย มี๒ ฌานคือ ทุติยฌาน

และตติยฌานในจตุกนัย และปัญจกนัย เกิดขึ้นแล้ว ชื่อว่า เทพปริตตาภา.

ประมาณอายุของเทพปริตตาภา เหล่านั้น ๒ กัป. เทพผู้เจริญคุณปานกลาง

เกิดขึ้นแล้วชื่อว่าเทพอัปปมาณาภา. ประมาณอายุของเทพอัปปมาณาภาเหล่านั้น

๔ กัป. เทพผู้เจริญคุณประณีตแท้เกิดขึ้นแล้ว ชื่อ เทพอาภัสสรา. ประมาณ

อายุของเทพอาภัสสราเหล่านั้น ๘ กัป. ก็ในที่นี้ท่านกำหนดเอาเทพเหล่านั้น

ทั้งหมด ด้วยสามารถการกำหนดอย่างอุกกฤษฏ์. กายของเทพเหล่านั้น แม้

ทั้งหมดมีความผึ่งผายเป็นอย่างเดียวกันแท้. แต่สัญญาเพียงไม่มีวิตก แต่มีวิจาร

หรือไม่มีทั้งวิตก ไม่มีทั้งวิจาร เพราะเหตุนั้น จึงต่างกัน.

บทว่า สุภกิณฺหา คือ กระจัดกระจายเกลื่อนกล่นไปด้วยความงาม.

อธิบายว่า มีความแน่นหนาเป็นอันเดียวด้วยแสงแห่งรัศมีในสรีระอันงาม ก็

แต่ว่า รัศมีแห่งเทพสุภกิณหาเหล่านั้นไม่ขาด ๆ แล้วพุ่งไปเหมือนรัศมีของ

เทพอาภัสสรา. แต่ในปัญจกนัย เทพบังเกิดเป็นเทพปริตตสุภา. เทพอัปปมาณ

สุภา. เทพสุภกิณหา มีอายุ ๑๖ กัป ๓๒ กัป ๖๐ กัป ด้วยสามารถ จตุตถ-

ฌานนิดหน่อย ท่ามกลางและประณีต. ด้วยประการดังนี้ เทพเหล่านั้นแม้

ทั้งหมด พึงทราบว่า มีกายอย่างเดียวกัน และมีสัญญาอย่างเดียวกันด้วย

สัญญาแห่งจตุตถฌาน ดังนี้. อนึ่ง แม้เทพเวหัปผลาก็รวมเข้ากับวิญญาณฐิติ

ที่ ๔ เหมือนกัน. สัตว์ไม่มีสัญญา เพราะไม่มีวิญญาณ ไม่สงเคราะห์เข้าใน

วิญญาณฐิตินี้ แต่สงเคราะห์เข้าในสัตตาวาส. แม้เทพสุทธาวาส ดำรงอยู่ใน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 227

ฝ่ายวิวัฏฏะ ไม่กำหนดกาลทั้งปวงก็ไม่เกิดในโลกที่ว่างพระพุทธเจ้าแสนกัปบ้าง

หนึ่งอสงไขยบ้าง เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติในระหว่าง ๑๖,๐๐๐ กัปนั้นแล

จึงเกิดย่อมเป็นเช่นเดียวกับที่ตั้งค่ายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ยังธรรมจักรให้

เป็นไปแล้ว เพราะฉะนั้น เทพสุทธาวาสจึงไม่รวมเข้ากับวิญญาณฐิติ ไม่รวม

เข้ากับสัตตาวาส. แต่พระมหาสิวเถระกล่าวว่า แม้เทพสุทธาวาสก็ยังรวมเข้ากับ

วิญญาณฐิติที่ ๔ สัตตาวาสที่ ๔ นั้นแล ด้วยพระสูตรนี้ว่า ข้าแต่พระสารีบุตร

สัตตาวาสที่กระผมไม่เคยอยู่ด้วยกาลยาวนานนี้เว้นเทพสุทธาวาส ไม่เป็นสิ่งที่

หาได้ง่ายดังนี้. เห็นด้วยกับพระสูตรนั้น เพราะพระสูตรท่านไม่ห้ามไว้.

ความแห่งบทเป็นอาทิว่า สพฺพโส รูปสญฺาณ ท่านกล่าวไว้แล้ว

ในวิสุทธิมรรค. ก็เนวสัญญานาสัญญายตนะ มีวิญญาณก็ไม่ใช่ ไม่มีวิญญาณ

ก็ไม่ใช่ เพราะแม้วิญญาณละเอียดเหมือนความละเอียดของสัญญา เพราะฉะนั้น

ท่านจึงไม่กล่าวในวิญญาณฐิติแล้วกล่าวไว้ใน อายตนะ.

บทว่า ตตฺร คือในวิญญาณฐิติเหล่านั้น. บทว่า ตญฺจ ปชานาติ

คือย่อมรู้วิญญาณฐิตินั้น. บทว่า ตสฺสา จ สมุทย ความว่า ย่อมรู้ความเกิด

ขึ้นแห่งวิญญาณฐิตินั้นโดยนัยเป็นอาทิว่า เพราะอวิชชาเกิดรูปจึงเกิดดังนี้.

บทว่า ตสฺสา จ อตฺถงฺคม ความว่า ย่อมรู้ความดับแห่งวิญญาณฐิตินั้นโดย

นัยเป็นอาทิว่า เพราะอวิชชาดับรูปจึงดับดังนี้. บทว่า อสฺสาท ความว่า

ย่อมรู้ความพอใจของวิญญาณฐิตินั้นอย่างนี้ว่า ความสุข ความโสมนัสย่อมเกิด

ขึ้นเพราะอาศัย รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณใด นี้คือความพอใจแห่ง

วิญญาณ. บทว่า อาทีนว ความว่า ย่อมรู้โทษแห่งวิญญาณฐิตินั้นอย่างนี้ว่า

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน

ไปเป็นธรรมดานี้ คือโทษแห่งวิญญาณ. บทว่า นิสฺสรณ ความว่า การนำ

ออกซึ่งฉันทราคะการละฉันทราคะ ในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณใด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 228

นี้คืออุบายเป็นเครื่องนำออกไปแห่งวิญญาณดังนั้น ย่อมรู้วิญญาณฐิตินั้นอย่าง

นี้. บทว่า กลฺล น เตน ความว่า ภิกษุนั้นยังควรเพื่อเพลิดเพลิน วิญญาณ

ฐิตินั้นว่าเราว่าของเรา ด้วยอำนาจแห่งตัณหามานะและทิฐิอีกหรือ. พึงทราบ

ความในที่ทั้งปวงโดยอุบายนี้. ก็แต่ว่าพึงประกอบสมุทัยเป็นต้น ด้วยสามารถ

แห่งขันธ์ทั้งหลาย ๔ ในที่ที่ไม่มีรูป ด้วยสามารถแห่งขันธ์หนึ่งในที่ที่ไม่มี

วิญญาณ. ในที่นี้ อนึ่งไม่พึงประกอบบทนี้ว่า เพราะอาหารเกิด เพราะอาหาร

ดับ ดังนี้.

บทว่า ยโต โข อานนฺท ภิกฺขุ ความว่า ดูก่อนอานนท์ เมื่อใดแล

ภิกษุ. บทว่า อนุปาทา วิมุตฺโต ความว่า เป็นผู้หลุดพ้นเพราะไม่ยึดมั่น

ด้วยอุปาทาน ๔. บทว่า ปฺาวิมุตฺโต ความว่า เป็นผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา.

อธิบายว่า ไม่ทำให้แจ้งซึ่งวิโมกข์ ๘ แล้วทำนามกายและรูปกายให้เป็นไปไม่

ได้ด้วยกำลังปัญญานั้นแล ชื่อว่าเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว. ภิกษุผู้หลุดพ้นแล้วนั้นมี

๕ อย่างคือ เป็นสุกขวิปัสสกและตั้งอยู่ในปฐมฌานเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง

แล้วบรรลุพระอรหัต ดังที่ท่านกล่าวข้อนี้ไว้ว่า ก็บุคคลพวกไหนเป็นปัญญา-

วิมุตติ บุคคลบางคนในโลกนี้ไม่สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกายอยู่ อาสวะทั้งหลาย

ของเขาเป็นอันสิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้ท่านกล่าวว่าเป็นปัญญา-

วิมุตติดังนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงบทสรุปและนามของภิกษุรูปหนึ่ง

อย่างนี้แล้ว เพื่อทรงแสดงแก่ภิกษุนอกนี้จึงตรัสว่า อฏฺ โข อิเม ดังนี้เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า วิโมกฺโข ถามว่า ชื่อว่าวิโมกข์ด้วยอรรถว่า

กระไร ตอบว่า ด้วยอรรถว่าพ้น ถามว่า วิโมกข์นี้มีอรรถว่าพ้นเป็นอย่างไร

ตอบว่า มีอรรถว่าพ้นด้วยดีจากธรรมเป็นข้าศึก และพ้นด้วยดีด้วยอำนาจความ

ยินดีในอารมณ์. ท่านอธิบายว่า วิโมกข์ย่อมเป็นไปในอารมณ์ เพราะหมด

ความสงสัยด้วยความไม่ยึดถือ ดุจทารกผู้ปล่อยอวัยวะน้อยใหญ่นอนบนตักของ

บิดา. ก็ความนี้มิได้มีในวิโมกข์ตอนหลัง แต่มีในตอนต้นทั้งหมด.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 229

ในบทว่า รูปี รูปานิ ปสฺสติ นี้มีความว่า รูปเป็นรูปฌานที่ทำให้

เกิดขึ้นด้วยอำนาจนีลกสิณเป็นต้น ในผมเป็นต้นในภายในชื่อว่ารูปี. เพราะมี

รูปฌานด้วยบทนี้ ท่านแสดงรูปาวจรฌาน ๔ แก่บุคคลผู้ที่ทำฌานให้เกิด ใน

กสิณทั้งหลายอันมีวัตถุในภายใน.

บทว่า อชฺฌตฺต อรูปสญฺ คือ ไม่มีความสำคัญในรูปในภายใน.

ความว่า ไม่ทำรูปาวจรฌานให้เกิดในอาการ ๓๒ มีผมเป็นต้นของตน. บทว่า

พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ความว่า ย่อมเห็นรูปมีนิลกสิณเป็นต้น แม้ในภาย

นอกด้วยญาณจักษุ. ด้วยบทนี้ท่านกระทำบริกรรมในภายนอกแล้วแสดงรูปาว-

จรฌาน ๔ แห่งฌานที่ทำให้เกิดแล้วในภายนอก.

ท่านแสดงฌานในวัณณกสิณมีสีเขียวเป็นต้น อันบริสุทธิ์ดีแล้วด้วย

บทนี้ว่า สุภนฺเตว อธิมุตฺโตโหติ ดังนี้. ในบทนั้นไม่มีความผูกใจว่างามใน

อัปปนาในภายในก็จริง. แต่ถึงดังนั้น เพราะผู้ที่กระทำกสิณอันงามบริสุทธิ์ดี

แล้วอยู่ ย่อมถึงความเป็นผู้ควรกล่าวได้ว่า ผู้ที่น้อมใจเชื่อว่ากสิณเป็นของงาม

ดังนี้ ฉะนั้นท่านจึงแสดงอย่างนี้. แต่ในปฏิสัมภิทามรรคท่านกล่าวว่า วิโมกข์

ในบทว่าผู้ที่น้อมใจเชื่อว่ากสิณงามเป็นอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้มีจิตสหรคต

ด้วยเมตตาแผ่ไปยังทิศหนึ่งอยู่ ฯลฯ เพราะเป็นผู้เจริญเมตตาสัตว์ทั้งหลายจึง

ไม่เป็นผู้น่าเกลียดมีจิตสหรคตด้วยกรุณามุทิตาอุเบกขา แผ่ไปยังทิศหนึ่งอยู่

ฯลฯ เพราะเป็นผู้เจริญอุเบกขาสัตว์ทั้งหลายจึงเป็นผู้ไม่น่าเกลียด วิโมกข์ใน

บทว่า ผู้ที่น้อมใจเชื่อว่ากสิณเป็นของงามเป็นอย่างนี้ดังนี้.

ในบทว่า สพฺพโส รูปสญฺาน เป็นต้น บททั้งหมดที่ควรกล่าว

ท่านกล่าวไว้แล้วในวิสุทธิมรรคนั้นแล. บทว่า อย อฏฺโม วิโมกฺโข ความ

ว่า นี้ชื่อวิโมกข์อันสูงสุดข้อที่ ๘ เพราะความที่ขันธ์ ๔ บริสุทธิ์โดยประการ

ทั้งปวง เพราะความที่พ้นแล้ว. บทว่า อนุโลม คือตั้งแต่บทต้นจนถึงบท

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 230

สุดท้าย. บทว่า ปฏิโลม คือตั้งแต่บทสุดท้ายจนถึงบทต้น. บทว่า อนุโลม

ปฏิโลม นี้ ท่านกล่าวด้วยสามารถแห่งการที่สมาบัติไม่ตั้งมั่น เพราะคล่อง

เกินไปวนไปทางโน้นวนไปทางนี้. บทว่า ยตฺถิจฺฉก คือแสดงถึงโอกาส.

ความว่าปรารถนาในโอกาสใด ๆ. บุทว่า ยทิจฺฉก คือแสดงถึงสมาบัติได้แก่

ปรารถนาสมาบัติใดๆ. บทว่า ยาวติจฺฉก คือแสดงถึงกำหนดทางไกล. ได้แก่

ปรารถนาทางไกลประมาณเพียงใด. บทว่า สมาปชฺชติ คือเข้าสู่สมาบัติ

นั้น ๆ. บทว่า วุฏฺาติ คืออออกจากสมาบัตินั้นแล้วตั้งอยู่.

บทว่า อุภโตภาควิมุตฺโต ความว่า พ้นโดยส่วนสอง คือพ้นจากรูป

กายด้วยอรูปสมาบัติ พ้นจากนามกายด้วยมรรค. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอุปสีวะ

มุนีพ้นแล้วจากนามกาย ย่อมถึงซึ่งการตั้งอยู่

ไม่ได้ ย่อมไม่เข้าถึงซึ่งการนับ เหมือนเปลวไฟ

ถูกกำลังลมพัดไป ย่อมถึงซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้

ย่อมไม่เข้าถึงซึ่งการนับ ดังนี้.

ก็ภิกษุนี้นั้น พ้นแล้วโดยส่วนสองออกจากอากาสานัญจายตนะเป็นต้น

อย่างใดอย่างหนึ่งแล้วบรรลุพระอรหัต และเป็นอนาคามีออกจากนิโรธแล้ว

บรรลุพระอรหัต รวมเป็น ๕ อย่าง. แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพราะแม้

รูปาวจรจตุตถฌาน ก็สหรคตด้วยอุเบกขามีองค์สอง แม้อรูปาวจรฌานก็เป็น

เช่นนั้นเหมือนกัน ฉะนั้น ภิกษุออกจากรูปาวจรจตุตถฌาน แม้บรรลุพระ

อรหัตก็ชื่อว่าอุภโตภาควิมุตดังนี้. ก็ปัญหาอุภโตภาควิมุตนี้ตั้งขึ้นแม้ในภายใต้

โลหปราสาทอาศัยการพรรณนาของพระจุลลสุมนเถระ ผู้ทรงพระไตรปิฎกใช้

เวลานาน จึงถึงการชี้ขาด.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 231

มีเรื่องว่าในคิริวิหารอันเตวาสิกของพระเถระสดับปัญหานั้น จากปาก

ของภิกษุผู้ถือปิณฑปาติกวัตรรูปหนึ่งแล้วกล่าวว่า ดูก่อนอาวุโส เมื่ออาจารย์ของ

เราอธิบายธรรม ณ ภายใต้โลหปราสาทอันใคร ๆ ไม่เคยฟังแล้ว พวกภิกษุจึง

ถามว่า ท่านผู้เจริญก็พระเถระได้กล่าวอย่างไร อันเตวาสิกตอบว่า ดูก่อนอาวุโส

พระเถระได้กล่าวว่า รูปาวจรจตุตถฌานสหรคตด้วยอุเบกขามีองค์สองย่อมข่ม

กิเลสได้ก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นรูปาวจรจตุตถฌานย่อมกำเริบในฐานะแห่ง

รูปารมณ์ แม้เป็นฝ่ายใกล้แห่งกิเลสทั้งหลาย เพราะธรรมดากิเลสเหล่านี้เข้า

ไปอาศัยอารมณ์ในนีลกสิณเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ในภพชั้นต่ำทั้ง ๕ ย่อม

กำเริบ อนึ่ง รูปาวจรฌานย่อมไม่ก้าวไปสู่อารมณ์นั้น เพราะฉะนั้น ภิกษุเปลี่ยน

รูปโดยประการทั้งปวง แล้วข่มกิเลสด้วยอำนาจอรูปฌานแล้วจึงบรรลุพระอรหัต

เป็นอุภโตภาควิมุตติดังนี้ ก็และพระเถระครั้นกล่าวคำนี้แล้วจึงนำสูตรนี้มาว่า

ก็บุคคลพวกไหนเป็นอุภโตภาควิมุตติ บุคคลบางคนในโลกนี้สัมผัสวิโมกข์ ๘

ด้วยกายแล้วอยู่ และอาสวะของบุคคลนั้นเป็นอันสิ้นไป เพราะเห็นด้วยปัญญา

บุคคลนี้ ท่านกล่าวว่าเป็นอุภโตภาควิมุตติดังนี้. บทว่า อานนฺท อิมาย จ

อุภโตภาควิมุตฺติยา ความว่า ดูก่อนอานนท์ อุภโตภาควิมุตติอื่นจากอุภโต-

ภาควิมุตตินี้. บทที่เหลือมีความง่ายในที่ทั้งปวง.

จบอรรถกถามหานิทานสูตร ที่ ๒

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 232

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 233

๓. มหาปรินิพพานสูตร

เรื่อง พระเจ้าอชาตศัตรูประสงค์ปราบแคว้นวัชชี

[๖๗] ข้าพเจ้า ได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุง-

ราชคฤห์. ก็สมัยนั้นแล พระราชาอชาตศัตรู ผู้เป็นใหญ่ในแคว้นมคธ พระ

โอรสของพระนางเวเทหี มีพระราชประสงค์จะเสด็จไปปราบปรามแคว้นวัชชี๑

พระองค์ตรัสอย่างนี้ว่า เพราะพวกเจ้าวัชชีทั้งหลายเหล่านี้ มีฤทธิ์มากอย่างนั้น

มีอานุภาพมากอย่างนั้น เราจักถอนทำลายแคว้นวัชชีเสีย จักทำแคว้นวัชชีให้

พินาศ จักทำแคว้นวัชชีให้ถึงความย่อยยับ.

ครั้งนั้นแล พระราชาอชาตศัตรู ผู้เป็นใหญ่ในแคว้นมคธ พระโอรส

ของพระนางเวเทหี ตรัสกะวัสสการพราหมณ์ ผู้เป็นมหาอำมาตย์ของแคว้นมคธ

ว่า ขอเชิญท่านพราหมณ์จงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วถวายบังคมพระ

ยุคลบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยเศียรเกล้า กราบทูลถามถึงความไร้พระ

โรคาพาธ ความคล่องพระองค์ พระกำลัง การทรงพระสำราญตามคำของ

เราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระราชาอชาตศัตรูผู้เป็นใหญ่ในแคว้นมคธ

พระโอรสของพระนางเวเทหี ถวายบังคมพระยุคลบาทพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วย

เศียรเกล้า ทูลถามถึงความไร้พระโรคาพาธ ความคล่องพระองค์ พระกำลัง

การทรงพระสำราญ และท่านจงกราบทูลอย่างนี้ด้วยว่า พระราชาอชาตศัตรู

ผู้เป็นใหญ่ในแคว้นมคธ พระโอรสพระนางเวเทหี มีพระราชประสงค์จะเสด็จ

๑. ดู- อ สตฺตก. ๒๓/๑๗ - ๒๕

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 234

ไปปราบปรามแคว้นวัชชี พระองค์มีพระดำรัสอย่างนี้ว่า เพราะพวกเจ้าวัชชี

ทั้งหลายเหล่านี้ มีฤทธิ์มากอย่างนั้น มีอานุภาพมากอย่างนั้น เราจักถอนทำ

ลายแคว้นวัชชีเสีย จักทำแคว้นวัชชีให้พินาศ จักทำแคว้นวัชชีให้ถึงความย่อย

ยับ และพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์แก่ท่านอย่างใด ท่านจงจำเอาคำ

พยากรณ์นั้นให้ดี แล้วมาบอกแก่เรา เพราะว่า พระตถาคตเจ้าทั้งหลาย หาตรัส

สิ่งที่ปราศจากความจริงไม่ วัสสการพราหมณ์ มหาอำมาตย์ของแคว้นมคธ

กราบทูลรับพระดำรัสพระราชาอชาตศัตรู ผู้เป็นใหญ่ในแคว้นมคธ พระโอรส

พระนางเวเทหีว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า แล้วเทียมยานทั้งหลายที่ใหญ่ ๆ แล้ว

ขึ้นยานใหญ่ ๆ (คันหนึ่ง) ออกจากกรุงราชคฤห์ ด้วยยานทั้งหลายที่ใหญ่ๆ

ไปถึงภูเขาคิชฌกูฏ ไปด้วยยานตลอดพื้นที่ยานไปได้ แล้วลงจากยาน เดินเท้า

ขึ้นไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นชื่นชมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า กล่าวถ้อยคำ

น่าชื่นชมควรรำลึกถึงกันแล้วจึงนั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง วัสสการพราหมณ์ มหา

อำมาตย์ของแคว้นมคธ ผู้นั่งแล้ว ณ ด้านหนึ่ง ได้กราบทูลคำต่อไปนี้กะพระ

ผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระราชาอชาตศัตรู ผู้เป็นใหญ่

ในแคว้นมคธ พระโอรสของพระนางเวเทหี ถวายบังคมพระยุคลบาทพระ

โคดมผู้เจริญด้วยพระเศียรเกล้า ทูลถามถึงความไร้พระโรคาพาธ ความคล่อง

พระองค์ พระกำลัง การทรงพระสำราญ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระราชา

อชาตศัตรู ผู้เป็นใหญ่ในแคว้นมคธ พระโอรสของพระนางเวเทหี มีพระราช

ประสงค์จะเสด็จไปปราบปรามแคว้นวัชชี พระองค์ตรัสอย่างนี้ว่า เพราะพวก

เจ้าวัชชีทั้งหลายเหล่านี้ มีฤทธิ์มากอย่างนั้น มีอานุภาพมากอย่างนั้น เราจัก

๑. ยาน หมายถึงรถ มี ๒ ชนิด คือ โยธรถ- รถศึก สัณฐาน ๔ เหลี่ยม ไม่ใหญ่มากจุคน

ได้ ๒ หรือ ๓ คน ชนิด ๑. อลังการรถ - รถประดับ ใหญ่ ยาวและกว้าง จุคน ๘-๑๐ คน

สามารถยืนหรือนั่ง หรือนอนไปบนรถได้สบาย ชนิด ๑. ที่ว่า ยานใหญ่ ๆ คงหมายถึง

อลังการรถ (ปปญจสูทนี ทุติย ๒๖๑)

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 235

ถอนทำลายแคว้นวัชชีเสีย จักทำแคว้นวัชชีให้พินาศ จักทำแคว้นวัชชีให้ถึง

ความย่อยยับ ดังนี้.

กถาว่าด้วยอปริหานิยธรรมของเจ้าวัชชี ๗

[๖๘] สมัยนั้นแล ท่านพระอานนท์ ยืนถวายงานพัดอยู่เบื้องพระ

ปฤษฏางค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะท่าน

พระอานนท์ว่า

(๑) ดูก่อนอานนท์ เธอได้ยินว่าอย่างไร เจ้าวัชชีทั้งหลายยังประชุม

กันเนือง ๆ ยังประชุมกันมากอยู่หรือ

อา. ข้อนี้ข้าพระองค์ได้ยินว่า เจ้าวัชชีทั้งหลาย ประชุมกันเนือง ๆ

ประชุมกันมาก พระเจ้าข้า

พ. ดูก่อนอานนท์ ก็เจ้าวัชชีทั้งหลาย ยังจักประชุมกันเนือง ๆ ยัง

จักประชุมกันอยู่มากตลอดกาลเพียงไร ดูก่อนอานนท์ เจ้าวัชชีทั้งหลายพึงหวัง

ความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้

พ. (๒) ดูก่อนอานนท์ เธอได้ยินว่าอย่างไร เจ้าวัชชีทั้งหลายยัง

พร้อมเพียงกันประชุมพร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พวก

เจ้าวัชชีพึงทำอยู่หรือ.

อา. ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ยินว่า เจ้าวัชชีทั้งหลาย ยังพร้อมเพรียงกัน

ประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พวกเจ้าวัชชีพึง

ทำ พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนอานนท์ ก็เจ้าวัชชีทั้งหลาย ยังจักพร้อมเพรียงกันประชุม

พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พวกเจ้าวัชชีพึงทำอยู่ตลอด

กาลเพียงไร ดูก่อนอานนท์ เจ้าวัชชีทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หา

ความเสื่อมมิได้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 236

พ. (๓) ดูก่อนอานนท์ เธอได้ยินว่าอย่างไร เจ้าวัชชีทั้งหลายยัง

ไม่บัญญัติข้อที่ไม่เคยบัญญัติไว้ ไม่เพิกถอนข้อที่บัญญัติไว้แล้ว ยังสมาทาน

วัชชีธรรมแบบโบราณ ตามที่บัญญัติไว้แล้ว ประพฤติกันอยู่หรือ.

อา. ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ยินว่า เจ้าวัชชีทั้งหลายยังไม่บัญญัติข้อที่ไม่

เคยบัญญัติไว้ ไม่เพิกถอนข้อที่บัญญัติไว้แล้ว ยังสมาทานวัชชีธรรมแบบ

โบราณตามที่บัญญัติไว้แล้ว ประพฤติกันอยู่ พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนอานนท์ ก็เจ้าวัชชีทั้งหลาย ยงจักไม่บัญญัติข้อที่ไม่เคย

บัญญัติไว้ ไม่เพิกถอนข้อที่บัญญัติไว้แล้ว ยังจักสมาทานวัชชีธรรมแบบโบราณ

ตามที่บัญญัติไว้แล้ว ประพฤติกันอยู่ ตลอดกาลเพียงไร ดูก่อนอานนท์ เจ้า

วัชชีทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

พ. (๔) ดูก่อนอานนท์ เธอได้ยินว่าอย่างไร เจ้าวัชชีทั้งหลาย ยัง

สักการะ เคารพนับถือบูชา เจ้าวัชชีผู้ใหญ่ผู้เฒ่าของเจ้าวัชชีทั้งหลายและยัง

เชื่อถือถ้อยคำที่ควรฟังของเจ้าวัชชีผู้ใหญ่ผู้เฒ่าทั้งหลายเหล่านั้นอยู่หรือ.

อา. ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ยินว่า เจ้าวัชชีทั้งหลาย ยังสักการะ เคารพ

นับถือ บูชา เจ้าวัชชีผู้ใหญ่ผู้เฒ่าของเจ้าวัชชีทั้งหลายและยังเชื่อถ้อยคำที่ควร

ฟังของเจ้าวัชชีผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนอานนท์ ก็เจ้าวัชชีทั้งหลาย ยังสักการะ เคารพนับถือ

บูชา เจ้าวัชชีผู้ใหญ่ผู้เฒ่าของเจ้าวัชชีทั้งหลาย และยังเชื่อถือถ้อยคำที่ควรฟัง

ของเจ้าวัชชีผู้ใหญ่ ผู้เฒ่าทั้งหลายเหล่านั้นอยู่ ตลอดกาลเพียงไร ดูก่อนอานนท์

เจ้าวัชชีทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

พ. (๕) ดูก่อนอานนท์ เธอได้ยินอย่างไร เจ้าวัชชีทั้งหลาย ไม่ฉุด

คร่า ข่มเหง กักขังกุลสตรีทั้งหลาย (และ) กุมารีของสกุลทั้งหลายอยู่หรือ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 237

อา. ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ยินว่า เจ้าวัชชีทั้งหลายไม่ฉุดคร่า ข่มเหง

กักขังกุลสตรีทั้งหลาย (และ) กุมารีของสกุลทั้งหลาย พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนอานนท์ เจ้าวัชชีทั้งหลาย ไม่ฉุดคร่า ข่มเหงกักขังกุลสตรี

ทั้งหลาย (และ) กุมารีของสกุลทั้งหลาย ตลอดกาลเพียงไร ดูก่อนอานนท์

เจ้าวัชชีทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

พ. (๖) ดูก่อนอานนท์ เธอได้ยินว่าอย่างไร เจ้าวัชชีทั้งหลายยัง

สักการะ เคารพนับถือบูชาเจดีย์ วัชชีทั้งหลายทั้งภายในและภายนอก(พระนคร)

ของเจ้าวัชชีทั้งหลาย และยังไม่ลดพลีประกอบด้วยธรรมที่เคยถวายแล้ว เคย

ทำแล้วแก่เจดีย์วัชชีทั้งหลายทั้งภายในและภายนอกเหล่านั้นอยู่หรือ.

อา. ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ยินว่า เจ้าวัชชีทั้งหลายยังสักการะ เคารพ

นับถือ บูชาเจดีย์ วัชชี ทั้งหลายทั้งภายในและภายนอกของเจ้าวัชชีทั้งหลาย

และยังไม่มีลดหย่อนพลีประกอบด้วยธรรมที่เคยถวายแล้ว เคยทำแล้ว แก่เจดีย์

วัชชีทั้งหลายภายในและภายนอกเหล่านั้น พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนอานนท์ ก็เจ้าวัชชีทั้งหลายยังจักสักการะ เคารพนับถือ

บูชาเจดีย์วัชชีทั้งหลายทั้งภายในและภายนอกของเจ้าวัชชีทั้งหลายและจักยังไม่

ลดหย่อนพลีประกอบด้วยธรรมที่เคยถวายแล้ว เคยทำแล้ว แก่เจดีย์วัชชีทั้ง

หลายทั้งภายในและภายนอกเหล่านั้น ตลอดกาลเพียงไร ดูก่อนอานนท์ เจ้า

วัชชีทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

พ. (๗) ดูก่อนอานนท์ เธอได้ยินว่าอย่างไร เจ้าวัชชีทั้งหลายยัง

จัดอารักขา ป้องกันและคุ้มครองประกอบด้วยธรรมด้วยดีในพระอรหันต์ทั้ง-

หลาย ด้วยตั้งใจว่าทำอย่างไร พระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังไม่มา พึงมาสู่แคว้น

และพระอรหันต์ทั้งหลายที่มาแล้ว ขอให้อยู่สบายในแคว้น ดังนี้ หรือ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 238

อา. ข้อนี้ ข้าพระองค์ได้ยินว่า เจ้าวัชชีทั้งหลายยังจัดอารักขา ป้องกัน

และคุ้มครองประกอบด้วยธรรมด้วยดีในพระอรหันต์ทั้งหลาย ด้วยตั้งใจว่า

ทำอย่างไร. พระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังไม่มา พึงมาสู่แคว้น และพระอรหันต์

ทั้งหลายที่มาแล้ว ขอให้อยู่สบายในแคว้นดังนี้ พระเจ้าข้า.

พ. ดูก่อนอานนท์ ก็เจ้าวัชชีทั้งหลายยังจักเป็นผู้จัดอารักชา ป้องกัน

และคุ้มครองประกอบด้วยธรรมด้วยดีในพระอรหันต์ทั้งหลาย ด้วยตั้งใจว่า

ทำอย่างไร พระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังไม่มา พึงมาสู่แคว้น และพระอรหันต์

ทั้งหลายที่มาแล้ว ขอให้อยู่สบายในแคว้น ดังนี้ ตลอดกาลเพียงไร ดูก่อน

อานนท์ เจ้าวัชชีทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้

ฉะนี้แล.

[๖๙] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะวัสสการพรหมณ์มหา

อำมาตย์ของแคว้นมคธว่า ดูก่อนท่านพราหมณ์ สมัยหนึ่ง ตถาคตอยู่ ณ

วิหารสารันททะเจดีย์ในนครเวสาลี ณ ที่นั้น ตถาคตได้แสดงอปริหานิยธรรม

๗ ประการเหล่านี้แก่เจ้าวัชชีทั้งหลาย ดูก่อนท่านพราหมณ์ ก็อปริหานิยธรรม

๗ ประการเหล่านี้ยังจักตั้งอยู่ในเจ้าวัชชีทั้งหลายและเจ้าวัชชีทั้งหลายยังจักเห็นดี

ร่วมกัน ในอปริหานิยธรรม ๗ ประการเหล่านี้ ตลอดกาลเพียงไร ดูก่อน

พราหมณ์ เจ้าวัชชีทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว วัสสการพราหมณ์ มหา

อำมาตย์ของแคว้นมคธได้กราบทูลคำนี้ กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดม

ผู้เจริญ เจ้าวัชชีทั้งหลายประกอบด้วยอปริหานิยธรรมแม้เพียงข้อหนึ่งข้อเดียว

ก็พึงหวังความเจริญได้โดยแท้ หาความเสื่อมมิได้ แต่ว่าจะกล่าวอะไร ถึงเจ้า

วัชชีทั้งหลายประกอบด้วยอปริหานิยธรรม ๗ ประการ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ

๑. ทรงหมายถึง สารันททสูตร วัชชีวัคค, ดู - อ สตฺตก. ๒๓/๑๕-๑๗

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 239

และพระราชาอชาตศัตรู ผู้เป็นใหญ่ในแคว้นมคธ พระโอรสพระนางเวเทหี

ไม่ควรทำกะเจ้าวัชชีทั้งหลายด้วยการรบ นอกจากเจรจาปรองดอง นอกจาก

ทำให้แตกกันและกัน ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญสมควรแล้ว ข้าพระองค์จะไป

บัดนี้ ข้าพระองค์มีกิจมาก มีเรื่องจะพึงทำมาก.

(พระผู้มีพระภาคเจ้า) ดูก่อนท่านพราหมณ์ บัดนี้ ท่านจงพิจารณา

เห็นเป็นกาลสมควรเถิด.

ครั้งนั้นแล วัสสการพราหมณ์ มหาอำมาตย์ของแคว้นมคธชื่นชมอนุ-

โมทนาพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วลุกจากอาสนะกลับไป.

ภิกขุอปริหานิยธรรม ๗

[๗๐] ครั้งนั้นแล เมื่อวัสสการพราหมณ์ มหาอำมาตย์ของแคว้นมคธ

กลับไปแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อน

อานนท์ เธอจงไป ภิกษุทั้งหลายมีจำนวนเท่าใดอยู่อาศัยกรุงราชคฤห์ เธอจง

ให้ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา ท่านพระอานนท์กราบทูล

รับแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อย่างนั้นพระเจ้าข้า แล้วให้พระภิกษุตามจำนวน

ที่อาศัยกรุงราชคฤห์อยู่ทั้งหมดประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา แล้วเข้าไปเฝ้าพระ

ผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว ยืนอยู่ ณ ด้านหนึ่ง ท่านพระอานนท์ผู้ยืน

อยู่แล้ว ณ ด้านหนึ่งแล ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ พระภิกษุสงฆ์ประชุมกันแล้ว บัดนี้ เป็นเวลาซึ่งทรงเห็นเป็นกาล

สมควร พระเจ้าข้า. ครั้นนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลุกจากอาสนะเสด็จ

ดำเนินเข้าอุปัฏฐานศาลา ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้แล้ว ครั้นประทับนั่งแล้ว

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจัก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 240

แสดงอปริหานิยธรรม ๗ ประการแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงทำไว้

ในใจให้ดี ตถาคตจักกล่าวดังนี้ ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น กราบทูลแด่พระผู้มี

พระภาคเจ้าว่า พร้อมแล้ว พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระดำรัส

ต่อไปนี้.

(๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุทั้งหลายยังจักประชุมกันเนือง ๆ จัก

ประชุมกันอยู่มาก ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว

หาความเสื่อมมิได้.

(๒) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจักพร้อมเพรียงกัน

ประชุม จักพร้อมเพรียงกันเลิกประชุม จักพร้อมเพรียงกันทำกิจที่สงฆ์พึงทำ

ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อม

มิได้.

(๓) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจักไม่บัญญัติสิ่งที่

ตถาคตมิได้บัญญัติไว้ จักไม่เพิกถอนสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว ยังจักสมาทาน

ประพฤติอยู่ในสิกขาบทั้งหลายตามที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว ตลอดกาลเพียงไร

ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจักสักการะและเคารพ

นับถือ บูชา พระภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระผู้รู้กาลนาน ผู้บวชมาแล้วนาน

ผู้เป็นบิดาของสงฆ์ เป็นปริณายกของสงฆ์ และยังจักเชื่อถือโอวาทที่พึงฟังของ

ท่านด้วย ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หา

ความเสื่อมมิได้.

(๕) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจักไม่ลุอำนาจของ

ตัณหา อันมีปกติให้เกิดในภพใหม่ ที่เกิดขึ้นตลอดกาลเพียรไร ภิกษุทั้งหลาย

พึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 241

(๖) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังเป็นผู้มีความห่วงใย

ในเสนาสนะตามราวป่า ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญ

อย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๗) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเข้าไปตั้งสติไว้

เฉพาะตนว่า ทำอย่างไร เพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ผู้มีศีลเป็นที่รัก ที่ยังไม่

มาขอให้มาและเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก ที่มาแล้ว ขอให้อยู่

สบาย ดังนี้ ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว

หาความเสื่อมมิได้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานิยธรรม ๗ ประการเหล่านี้ ยังจักตั้งอยู่

ในภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเห็นดีร่วมกันในอปริหานิยธรรม ๗

ประการเหล่านี้ ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว

หาความเสื่อมมิได้.

อปริหานิยธรรมอีก ๗ ประการ

[๗๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗

ประการ อีกหมวดหนึ่งแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงทำในใจให้ดี

ตถาคตจักกล่าว. ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น กราบทูลรับว่า พร้อมแล้ว พระเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำรัสต่อไปนี้ .-

(๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุทั้งหลายยังจักไม่เป็นผู้มีการงานเป็น

ที่มายินดี จักไม่ยินดีในการงาน ไม่ประกอบเนือง ๆ ซึ่งความมีการงานเป็นที่

มายินดี ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความ

เสื่อมมิได้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 242

(๒) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจักไม่มีการพูดคุย

กันเป็นที่มายินดี จักไม่ยินดีในการพูดคุยกัน ไม่ประกอบเนือง ๆ ซึ่งการพูด

คุยกัน ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความ

เสื่อมมิได้.

(๓) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจักไม่มีการหลับเป็น

ที่มายินดี จักไม่ยินดีในการหลับ จักไม่ประกอบเนือง ๆ ซึ่งความหลับ

ตลอดการเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักไม่มีการคลุกคลีด้วย

หมู่คณะเป็นที่มายินดี จักไม่ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ จักไม่ประกอบ

เนือง ๆ ในความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวัง

ความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๕) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักไม่เป็นผู้มีความ

ปรารถนาลามก จักไม่ลุอำนาจของความปรารถนาลามก ตลอดกาลเพียงไร

ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๖) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักไม่มีคนชั่วเป็นมิตร

จักไม่มีคนชั่วเป็นสหาย จักไม่มีคนชั่วเป็นเพื่อน ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุ

ทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๗) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักไม่หยุดเสียในระหว่าง

ด้วยการบรรลุธรรมวิเศษเพียงขั้นต่ำ ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวัง

ความเจริญ อย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานิยธรรม ๗ ประการเหล่านี้ ยังจักตั้งอยู่ใน

ภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายจักเห็นดีร่วมกันในอปริหานิยธรรม ๗ ประการ

เหล่านี้ ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความ

เสื่อมมิได้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 243

อปริหานิยธรรมอีก ๗ ประการ

[๗๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗

ประการอีกหมวดหนึ่ง แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงทำในใจให้ดี

ตถาคตจักกล่าวดังนี้. ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นกราบทูลรับว่า พร้อมแล้ว พระเจ้า

ข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีพระดำรัสต่อไปนี้

(๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุทั้งหลายยังจักเป็นผู้มีศรัทธา ตลอด

กาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๒) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเป็นผู้มีใจมีหิริ. . .(๑)

(๓) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. . . ยังจักเป็นผู้มีโอตตัปปะ. . .

(๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. . .ยังจักเป็นผู้เป็นพหูสูตร. . .

(๕) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. . . ยังจักเป็นผู้ปรารภความเพียร. . .

(๖) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. . .ยังจักเป็นผู้มีสติเข้าไปตั้งไว้. . .

(๗) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. . .ยังจักเป็นผู้มีปัญญา ตลอดกาลเพียงไร

ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานิยธรรม ๗ ประการเหล่านี้ ยังจักตั้ง

อยู่ในภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายจักเห็นดีร่วมกันในอปริหานิยธรรม ๗

ประการเหล่านั้น ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว

หาความเสื่อมมิได้.

อปริหานิยธรรมอีก ๗ ประการ

[๗๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗

ประการอีกหมวดหนึ่ง แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงทำในใจให้ดี

๑. ในพระสูตรนี้ บาลีว่า "หิริมนา" แต่ในที่อื่นว่า " หิริมนฺโต-ผู้มีหีริ" อ. สตฺตก ๒๓/๒๓.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 244

ตถาคตจักกล่าวดังนี้. ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น กราบทูลรับว่า พร้อมแล้ว

พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำรัสต่อไปนี้ .-

(๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุทั้งหลายยังจักเจริญสติสัมโพชฌงค์

ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๒) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเจริญธรรมวิจยสัม-

โพชฌงค์.....

(๓) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. . .ยังจักเจริญวิริยสัมโพชฌงค์. . .

(๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. . .ยังจักเจริญปิติสัมโพชฌงค์. . .

(๕) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. . .ยังจักเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์. . .

(๖) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. . .ยังจักเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์. . .

(๗) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเจริญอุเบกขา

สัมโพชฌงค์ ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว

หาความเสื่อมมิได้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานิยธรรม ๗ ประการเหล่านี้ ยังจักตั้ง

อยู่ในภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเห็นดีร่วมกันในอปริหานิยธรรม ๗

ประการเหล่านี้ ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว

หาความเสื่อมมิได้.

อปริหานิยมธรรมอีก ๗ ประการ

[๗๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗

ประการอีกหมวดหนึ่ง แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงทำไว้ในใจให้ดี

ตถาคตจักกล่าวดังนี้. ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น กราบทูลรับว่า พร้อมแล้ว

พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำรัสต่อไปนี้ .-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 245

(๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุทั้งหลายยังจักเจริญอนิจจสัญญา

(ความหมายรู้สังขารไม่เที่ยง) ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความ

เจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๒) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเจริญอนัตตสัญญา. . .

(๓) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. . .ยังจักเจริญอสุภสัญญา. . .

(๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. . .ยังจักเจริญอาทีนวสัญญา. . .

(๕) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย. . .ยังจักเจริญปหานสัญญา. . .

(๖) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย . . .ยังจักเจริญวิราคสัญญา. . .

(๗) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเจริญนิโรธสัญญา

(ความหมายรู้ว่านิพพานเป็นที่ดับ) ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวัง

ความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานิยธรรม ๗ ประการเหล่านี้ ยังจักตั้ง

อยู่ในภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเห็นดีร่วมกันในอปริหานิยธรรม ๗

ประการเหล่านี้ ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว

หาความเสื่อมมิได้.

อปริหานิยธรรมอีก ๖ ประการ

[๗๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจักแสดงอปริหานิยธรรม ๖

ประการอีกหมวดหนึ่ง* แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงทำไว้ในใจ

ให้ดี ตถาคตจักกล่าวดังนี้. ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นกราบทูลรับว่า พร้อมแล้ว

พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระดำรัสต่อไปนี้.-

๑. ดู- สารณียธรรม ๖ ใน อ. ฉกฺก. ๒๒/๓๒๒

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 246

(๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุทั้งหลายยังจักเข้าไปทั้งกายกรรมมี

เมตตาในเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ ตลอดกาลเพียงไร

ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๒) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเข้าไปตั้งวจีกรรมมี

เมตตาในเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ ตลอดกาลเพียงไร

ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๓) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเข้าไปตั้งมโนกรรม

มีเมตตาในเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ ตลอดกาลเพียงไร

ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเป็นผู้บริโภคปัจจัยที่

แบ่งปันกันโดยลาภทั้งหลายที่เกิดขึ้นโดยชอบธรรม(๑) ได้มาโดยชอบธรรม

โดยที่สุดแม้เพียงภิกษานับเนื่องในบาตร เป็นผู้บริโภคร่วมกันกับเพื่อนพรหม

จารีทั้งหลายผู้มีศีล ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่าง

เดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๕) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และศีลทั้งหลาย ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง

ไม่พร้อย เป็นไทย ท่านผู้รู้สรรเสริญ ตัณหาและทิฏฐิไม่แปดเปื้อน นำไปสู่

สมาธิ ภิกษุทั้งหลายยังจักถึงความเป็นผู้เสมอกัน กับเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย

อยู่ในศีลเห็นปานนั้น ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับ ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้ง

หลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้.

(๖) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และทิฏฐิที่เป็นอริยะเป็นเครื่องนำออกจาก

ทุกข์ ภิกษุทั้งหลายยังจักถึงความเป็นผู้เสมอกันกับเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย

ด้วยทิฏฐิเห็นปานนั้น ทั้งในที่แจ้งและในที่ลับเพื่อความสิ้นไปแห่งทุกข์ทั้งปวง

๑. บาลีในพระสูตรนี้ "....น อปฺปฏิวิภตฺตโภคี...." แต่ใน อ. ฉกฺก. ๒๒/๓๒๒ ไม่มี "น".

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 247

ของผู้กระทำนั้น ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่าง

เดียวหาความเสื่อมมิได้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานิยธรรม ๖ ประการเหล่านี้ ยังจักตั้ง

อยู่ในภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเห็นดีร่วมกัน ในอปริหานิยธรรม

๖ ประการเหล่านี้ ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่าง

เดียว หาความเสื่อมมิได้ ฉะนี้แล.

เล่ากันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อเสด็จอยู่บนภูเขาคิชฌกูฏใกล้

กรุงราชคฤห์ กระทำธรรมีกถานี้แลเป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยพระ-

ดำรัสว่า ศีล มีอยู่ด้วยประการฉะนี้, สมาธิ มีอยู่ด้วยประการฉะนี้, ปัญญา

มีอยู่ด้วยการฉะนี้, สมาธิอันศีลอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก, ปัญญาอัน

สมาธิอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก, จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ก็หลุดพ้น

ด้วยดีโดยแท้จากอาสวะทั้งหลาย กล่าวคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ

ดังนี้.

พระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกา

[๗๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในกรุงราชคฤห์ ตาม

พระอัธยาศัยแล้ว จึงตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า มาเถิด อานนท์ เราจักเข้า

ไปพระราชอุทานอัมพลัฏฐิกา ท่านพระอานนท์กราบทูลรับแด่พระผู้มีพระภาค-

เจ้าว่า พระเจ้าข้า. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์

หมู่ใหญ่เสด็จถึงพระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกาแล้ว เล่ากันว่า ณ ที่นั้น พระผู้มี-

พระภาคเจ้า ประทับที่พระตำหนักในพระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกา ทราบว่า

แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ ณ พระตำหนักในสวนอัมพลัฏฐิกานั้น ก็

ทรงทำธรรมีกถานี้แล เป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ศีล มีอยู่แม้ด้วยประ-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 248

การฉะนี้ สมาธิ มีอยู่แม้ด้วยประการฉะนี้ ปัญญา มีอยู่แม้ด้วยประการฉะนี้

สมาธิอันศีลอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว

มีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้วก็หลุดพ้นด้วยดีโดยแท้ จาก

อาสวะทั้งหลายกล่าวคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ดังนี้.

เมืองนาลันทา

[๗๗] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ในพระราชอุทยาน

อัมพลัฏฐิกา ตามพระอัธยาศัยแล้ว จึงตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า มาเถิด

อานนท์ เราจักเข้าไปเมืองนาลันทา ท่านพระอานนท์กราบทูลรับแด่พระผู้มี

พระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุ

สงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงเมืองนาลันทา เล่ากันว่า ในเมืองนาลันทานั้น พระผู้มี

พระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในปาวาริกัมพวัน.(๑)

พระสารีบุตรมาเฝ้า

ครั้งนั้นแล(๒) ท่านพระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถวาย

บังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วนั่ง ณ ด้านหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรได้กราบทูล

พระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระ-

ผู้มีพระภาคเจ้า อย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ผู้มีปัญญารู้ยิ่ง ยิ่งกว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ในพระสัมโพธิญาณ ไม่เคยมีมาแล้ว (ในอดีต) และจักไม่มี

(ในอนาคต ) อีกทั้งไม่มีอยู่ในปัจจุบันนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร วาจาอันอาจหาญโอฬาร

นี้ บันลือสีหนาทที่เชื่อถือโดยแท้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใส

๑. ใน ส. มหาวาร. ๑๙/-๒๑๑ ว่า ว่า เสด็จอยู่ในปาวาริกัมพวัน-สวนมะม่วงของทุสสปาวาริก

เศรษฐีดู. สารตฺถปปกาสินี. ตติภาค. น. ๓๐๕.

๒. บาลีพระสูตรต่อไปนี้ มีกล่าวไว้เบื้องต้นของสัมปสาทนียสูตร ที. ปา. ๑๑/๑๐๘-๑๑๐ และ ส.

มหาวาร. ๑๙/ ๒๑๑-๒๔๑.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 249

ในพระผู้มีพระภาคเจ้า อย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ผู้มีปัญญารู้ยิ่ง

ยิ่งกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ในพระสัมโพธิญาณ ไม่เคยมีแล้ว (ในอดีต) และ

จักไม่มี (ในอนาคต) อีกทั้งไม่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ นี้เธอกล่าวแล้ว ดูก่อนสารี-

บุตร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นใด ได้มีแล้วในอดีตกาล

เธอกำหนดใจรู้แล้วด้วยใจ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ทุกพระองค์

ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ได้เป็นผู้มีศีลอย่างนี้ แม้ด้วยประ-

การฉะนี้ มีธรรมอย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้มีปัญญาอย่างนี้ แม้ด้วย

ประการฉะนี้ เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้

พ้นพิเศษแล้วอย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ ดังนี้หรือหนอ.

พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้อนี้ หามิได้ พระเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนสารีบุตร แต่พระอรหันตสัมมา

สัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นใด จักมีในอนาคตกาล เธอกำหนดใจรู้แล้วด้วยใจ

ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ทุกพระองค์ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทั้งหลายเหล่านั้น จักเป็นผู้มีศีลอย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนั้น เป็นผู้มีธรรม

อย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้มีปัญญาอย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้

เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้พ้นพิเศษแล้ว

อย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ ดังนี้หรือ.

พระสารีบุตร. . . ข้อนี้ หามิได้ พระเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้า . . . ดูก่อนสารีบุตร แต่เธอกำหนดใจรู้แล้วด้วยใจ

ซึ่งเรา(ตถาคต)ผู้อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในกาลบัดนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า

เป็นผู้มีศีลอย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้มีธรรมอย่างนี้ แม้ด้วยประการ

ฉะนี้ เป็นผู้มีปัญญาอย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ เป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่

อย่างนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้พ้นพิเศษแล้วอย่างนี้

แม้ด้วยประการฉะนี้ ดังนี้หรือ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 250

พระสารีบุตร. . . ข้อนี้ หามิได้ พระเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้า. . . ดูก่อนสารีบุตร และเพราะเธอไม่มีญาณเพื่อ

กำหนดรู้ด้วยใจในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอดีต ในอนาคต และใน

ปัจจุบันนี้ และเมื่อเป็นอย่างนั้น เหตุไร เธอจึงกล่าววาจาอันอาจหาญโอฬารนี้

บันลือสีหนาทที่เชื่อถือได้โดยแท้ ในบัดนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์

เสื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์อื่น ผู้มีปัญญา

รู้ยิ่ง ยิ่งกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าในพระสัมโพธิญาณ ไม่เคยมีแล้ว (ในอดีต)

และจักไม่มี (ในอนาคต) อีกทั้งไม่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ดังนี้.

พระสารีบุตร. . . ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่มีญาณเพื่อกำหนด

รู้ด้วยใจในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอดีต ในอนาคต และในปัจจุบัน

ก็แต่ว่าข้าพระองค์รู้ว่าการดำเนิน (โดยอนุมาน) ไปตามทางธรรม พระเจ้าข้า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือน นครที่ตั้งอยู่ชายแดนของพระราชา มี

ประตูมั่นคง มีกำแพงและเสาค่ายแน่นหนา มีประตูเดียว นายประตูของเมือง

นั้น เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา คอยห้ามคนทั้งหลายที่ตนไม่รู้จัก อนุญาต

คนทั้งหลายที่ตนรู้จักให้เข้าไปในเมืองนั้น นายประตูนั้นเดินไปตามทางโดย

เที่ยวสำรวจไปโดยรอบนครนั้น ไม่เห็นรอยต่อของกำแพง หรือช่องว่างของ

กำแพง แม้เพียงโดยที่สุดแมวลอดออกได้ นายประตูนั้น จึงมีความคิดอย่างนี้

ว่า สัตว์มีชีวิตขนาดเขื่องไร ๆ เหล่าใดแล เข้ามาในเมืองนี้ก็ดี ออกไปก็ดี

สัตว์มีชีวิตเหล่านั้นทั้งหมด เข้าหรือออกโดยประตูนี้ ดังนี้ แม้ฉันใด ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ ก็ฉันนั้นนั่นแล รู้การดำเนินไปตามทางธรรมว่า

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นใด ได้มีแล้วในอดีตกาล พระผู้

มีพระภาคเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ทุกพระองค์ทรงละนีวรณ์ ๕ ประการ ซึ่งเป็น

อุปกิเลสของใจ เป็นเครื่องทำปัญญาให้ทุรพล เป็นผู้มีจิตเข้าไปตั้งอยู่ด้วยดีใน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 251

สติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง ได้ตรัสรู้ยิ่งแล้วซึ่งพระ-

สัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พระอรหันตสัมมา-

สัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้นใด จักมีในอนาคตกาล พระผู้มีพระภาคเจ้า

เหล่านั้น ทุกพระองค์ จักทรงละนีวรณ์ ๕ ประการ ซึ่งเป็นอุปกิเลสของใจ

เป็นเครื่องทำปัญญาให้ทุรพล เป็นผู้มีจิตเข้าไปตั้งมั่นด้วยดีในสติปัฏฐาน ๔

ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง จักตรัสรู้ยิ่งซึ่งพระสัมมาสัมโพธิญาณอัน

ยอดเยี่ยม ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า องค์อรหันตสัมมา-

สัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ทรงละแล้วซึ่งนีวรณ์ ๕ ประการ ซึ่งเป็นอุปกิเลสของ

ของใจ เป็นเครื่องทำปัญญาให้ทุรพล เป็นผู้มีจิตเข้าไปตั้งอยู่ด้วยดีในสติ

ปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ คามเป็นจริง ตรัสรู้ยิ่งแล้ว ซึ่งพระสัมมา

สัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยม ดังนี้ (๑)

กล่าวกันว่า แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ ณ ปาวาริกัมพวัน

ในเมืองนาลันทานั้น ก็ทรงทำธรรมมีกถานี้แล เป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายว่า

ศีลมีอยู่ด้วยประการฉะนี้ สมาธิ มีอยู่ด้วยประการฉะนี้ ปัญญามีอยู่ด้วย

ประการฉะนี้ สมาธิอันศีลอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอัน

สมาธิอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ก็หลุดพ้น

ด้วยดี โดยแท้จากอาสวะทั้งหลาย กล่าวคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ

ดังนี้.

ปาฏลิคาม

[๗๘] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ในเมืองนาลันทา

ตามพระอัธยาศัยแล้ว ตรัสกะพระอานนท์ว่า มาเถิด อานนท์ เราจักเข้าไปหมู่

๑. มีเรื่องเล่าถึงเหตุที่ท่านพระสารีบุตรเถระมาเฝ้พระผู้มีพระภาคเจ้าและกราบทูลเรื่องนี้ไว้ใน

สัมปสาทนียสูตร ใน ทีฆนิกาย ปาฏิกวัคค์ ๑๑/๑๐๘-๑๑๐ และดู-สุมงฺคลวิลานินี, ตติย

ภาค, น. ๗๔-๘๖

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 252

บ้านปาฏลิคาม. ท่านพระอานนท์กราบทูลรับแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระ

เจ้าข้า.

(๑)ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่

เสด็จดำเนินถึงหมู่บ้านปาฏลิคามนั้นแล้ว (๒)อุบาสกทั้งหลายชาวบ้านปาฏลิคาม

ได้ยินว่า ข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จดำเนินถึงปาฏลิคามแล้ว ครั้ง

นั้นแล อุบาสกทั้งหลายชาวบ้านปาฏลิคาม เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง ณ ด้านหนึ่ง อุบาสกทั้งหลายชาวบ้าน

ปาฏลิคามได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า

โปรดทรงรับอาคารรับรองเถิด พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับด้วย

ดุษณีภาพ ครั้งนั้นแล อุบาสกทั้งหลายชาวบ้านปาฏลิคามทราบว่า พระผู้มีพระ

ภาคเจ้าทรงรับแล้ว จึงลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกระทำ

ประทักษิณ แล้วเข้าสู่อาคารรับรอง ปูลาดสถานที่ปูลาดไว้ทุกแห่ง แล้วปูอาสนะ

ทั้งหลายไว้ จัดตั้งหม้อน้ำ ยกประทีปน้ำมันขึ้นตั้งไว้ แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มี

พระภาคเจ้า ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วยืนอยู่ ณ ด้านหนึ่ง อุบาสก

ทั้งหลายชาวบ้านปาฏลิคาม ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ว่า ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ อาคารรับรอง ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ปูลาดสถานที่ปูลาดไว้

ทุกแห่งแล้ว ปูอาสนะทั้งหลายไว้แล้ว จัดตั้งหม้อน้ำไว้แล้ว ยกประทีปน้ำมัน

ขึ้นตั้งไว้ บัดนี้ เป็นเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดพิจารณากาลสมควร

พระเจ้าข้า ดังนี้.

ครั้งนั้นแล ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งสบง ทรงถือบาตร

และจีวรเสด็จดำเนินไปยังอาคารรับรอง พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ ทรงล้าง

๑. บาลีพระสูตรแต่นี้ไปมีกล่าวถึงใน วินย.มหาวคฺค. ทุติย. ๕/๘๖-๙๔.

๒. บาลีพระสูตร แต่นี้ไป มีกล่าวถึงใน ขุ.อุ. ๒๕/๒๑๕-๒๒๒.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 253

พระบาทแล้ว เสด็จเข้าอาคารรับรอง ประทับนั่งพิงเสากลาง ทรงผินพระพักตร์

ไปทางทิศบูรพา แม้พระภิกษุสงฆ์ก็ล้างเท้าแล้วเข้าสู่อาคารรับรองแล้ว นั่งพิง

ผนังด้านตะวันตก หันหน้าไปทางทิศตะวันออก คือ หันหน้าไปทางพระผู้มี

พระภาคเจ้านั้นเอง แม้อุบาสกทั้งหลายชาวบ้านปาฏลิคาม ก็พากันล้างเท้าแล้ว

เข้าสู่อาคารรับรอง แล้วนั่งพิงผนังด้านตะวันออก หันหน้าไปทางทิศตะวันตก

คือ หันหน้าไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า เช่นกัน.

โทษ ๕ ประการของศีลวิบัต

[๗๙] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะอุบาสกทั้งหลายชาว

บ้านปาฏลิคามว่า

ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย โทษของศีลวิบัติของบุคคลทุศีลมี ๕ ประการ

๕ ประการเป็นไฉน

(๑) ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย บุคคลทุศีล ผู้ปราศจากศีลในโลกนี้

ประสบความเสื่อมโภคะเป็นอันมาก เพราะมีความประมาทเป็นเหตุ นี้เป็นโทษ

ข้อที่ ๑ ของศีลวิบัติของบุคคลทุศีล.

(๒) ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย และยังมีข้ออื่นอีก กิตติศัพท์ชั่วของ

บุคคลทุศีล ผู้ปราศจากศีลก็อื้อฉาวไป นี้เป็นโทษข้อที่ ๒ ของศีลวิบัติ ของ

บุคคลทุศีล.

(๓) ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย และยังมีข้ออื่นอีก บุคคลทุศีล ผู้ปราศจาก

ศีล เข้าสู่บริษัทใด ๆ คือขัตติยบริษัทก็ดี พราหมณบริษัทก็ดี คหบดีบริษัท

ก็ดี สมณบริษัทก็ดี เป็นผู้ไม่องอาจ ขวยเขิน เข้าไป นี้เป็นโทษข้อที่ ๓

ของศีลวิบัติ ของบุคคลทุศีล.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 254

(๔) ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย และยังมีข้ออื่นอีก บุคคลทุศีล ผู้ปราศ-

จากศีล เป็นคนหลง ทำกาละ (ตาย) นี้เป็นโทษข้อที่ ๔ ของศีลวิบัติ ของ

บุคคลผู้ทุศีล

(๕) ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย และยังมีข้ออื่นอีก บุคคลทุศีล ผู้ปราศ-

จากศีล ครั้นร่างกายแตกภายหลังมรณะ จะเข้าไปถึงอบาย ทุคคติ วินิบาต นรก

นี้เป็นโทษข้อที่ ๕ ของศีลวิบัติ ของบุคคลผู้ทุศีล

ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย โทษ ๕ ประการของบุคคลผู้ทุศีล ผู้ปราศจาก

ศีล เหล่านี้แล.

อานิสงส์ ๕ ประการของศีลสัมปทา

[๘๐] ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย อานิสงส์ของความถึงพร้อมด้วยศีล ของ

ผู้มีศีล มี ๕ ประการ ๕ ประการเป็นไฉน

(๑) ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย บุคคลผู้มีศีล ผู้ถึงพร้อมด้วยศีลในโลกนี้

ได้ประสบโภคะกองใหญ่เพราะมีความไม่ประมาทเป็นเหตุ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่

๑ ของความถึงพร้อมด้วยศีล ของบุคคลผู้มีศีล

(๒) ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย และยังมีข้ออื่นอีก กิตติศัพท์อันดีงาม

ของบุคคลผู้มีศีล ผู้ถึงพร้อมด้วยศีล กระฉ่อนไป นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๒

ของความถึงพร้อมด้วยศีล ของบุคคลผู้มีศีล

(๓) ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย และยังมีข้ออื่นอีก บุคคลผู้มีศีล ผู้ถึง

พร้อมด้วยศีล เข้าสู่บริษัทใด ๆ คือ ขัตติยบริษัทก็ดี พราหมณบริษัทก็ดี

คหบดีบริษัทก็ดี สมณบริษัทก็ดี เป็นผู้องอาจไม่ขวยเขินเข้าไป นี้เป็นอานิสงส์

ข้อที่ ๓ ของความถึงพร้อมด้วยศีล ของบุคคลผู้มีศีล

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 255

(๔) ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย และยังมีข้ออื่นอีก บุคคลผู้มีศีล ผู้ถึง

พร้อมด้วยศีล เป็นผู้ไม่หลงทำกาละ (ตาย) นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๔ ของความ

ถึงพร้อมด้วยศีล ของบุคคลผู้มีศีล

(๕) ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย และยังมีข้ออื่นอีก บุคคลผู้มีศีล ผู้ถึง

พร้อมด้วยศีล ครั้นร่างกายแตกภายหลังมรณะ จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ นี้เป็น

อานิสงส์ข้อที่ ๕ ของความถึงพร้อมด้วยศีล ของบุคคลผู้มีศีล

ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย อานิสงส์ ๕ ประการของความถึงพร้อมด้วยศีล

ของบุคคลผู้มีศีล เหล่านี้แล.

[๘๑] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยิ่งอุบาสกทั้งหลาย ชาว

บ้านปาฏลิคามให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมี-

กถา ผ่านราตรีไปเป็นส่วนมากแล้ว ทรงส่งกลับ ด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อน

คหบดีทั้งหลาย ราตรีผ่านไปมากแล้วแล บัดนี้ ท่านทั้งหลายจงพิจารณาเห็น

เป็นกาลสมควรเถิด อุบาสกทั้งหลาย ชาวบ้านปาฏลิคาม กราบทูลรับแด่พระ

ผู้มีพระภาคเจ้าว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า แล้วพากันลุกจากที่นั่ง ถวายบังคม

พระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้ว พากันกลับไป ครั้งนั้นแล เมื่อ

อุบาสกทั้งหลาย ชาวบ้านปาฏลิคามกลับไปแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาคเจ้า

ก็เสด็จเข้าสุญญาคาร.

บ้านปาฏลิคาม

[๘๒] ก็สมัยนั้นแล พราหมณ์สุนีธะและวัสสการะ มหาอำมาตย์ของ

แคว้นมคธกำลังให้สร้างเมืองอยู่ในหมู่บ้านปาฏลิคาม เพื่อป้องกันเจ้าวัชชีทั้ง

หลาย. แต่ทว่า สมัยนั้นแล เทวดาทั้งหลายเป็นอันมากจำนวนพัน ๆ พากัน

หวงแหนพื้นที่ในหมู่บ้านปาฏลิคาม. ในภูมิประเทศใด เทวดาทั้งหลายผู้มี

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 256

ศักดิ์ใหญ่หวงแหนพื้นที่ จิตก็น้อมไปเพื่อให้สร้างนิเวศน์ทั้งหลาย แก่ราชาและ

ราชมหาอำมาตย์ทั้งหลาย ผู้มีศักดิ์ใหญ่ ในภูมิประเทศนั้น ในภูมิประเทศใด

เทวดาทั้งหลายชั้นกลางๆ พากันหวงแหนพื้นที่ จิตก็น้อมไปเพื่อให้สร้างนิเวศน์

ทั้งหลาย แก่ราชาและราชมหาอำมาตย์ทั้งหลายชั้นกลาง ๆ ในภูมิประเทศนั้น

ในภูมิประเทศใด เทวดาทั้งหลายชั้นต่ำพากันหวงแหนพื้นที่ จิตก็น้อมไปเพื่อ

ให้สร้างนิเวศน์ทั้งหลาย แก่ราชาและราชมหาอำมาตย์ทั้งหลายชั้นต่ำ ในภูมิประ-

เทศนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นเทวดาทั้งหลายเหล่านั้น

จำนวนพัน ๆ ต่างหวงแหนพื้นที่ในหมู่บ้านปาฏลิคาม ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์

เหนือดวงตามนุษย์ ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่ง

แห่งราตรี แล้วตรัสแก่พระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ ใครหนอให้สร้างเมือง

อยู่ในหมู่บ้านปาฏลิคาม.

พระอานนท์กราบทูลว่า พราหมณ์สุนีธะและวัสสการะ มหาอำมาตย์

ของแคว้นมคธ กำลังให้สร้างเมืองอยู่ในหมู่บ้านปาฏลิคาม เพื่อป้องกันเจ้า

วัชชีทั้งหลาย พระเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้า. . ดูก่อนอานนท์ พราหมณ์สุนีธะและวัสสการะ

มหาอำมาตย์ของแคว้นมคธให้สร้างเมืองในหมู่บ้านปาฏลิคาม เพื่อป้องกันเจ้า

วัชชีทั้งหลาย เหมือนอย่างท้าวสักกะทรงปรึกษาหารือกับเทวดาทั้งหลายชั้น

ดาวดึงส์ ดูก่อนอานนท์ ณ ที่นี้ ตถาคตได้เห็นเทวดาทั้งหลายเป็นอันมาก

จำนวนพัน ๆ ต่างหวงแหนพื้นที่ในหมู่บ้านปาฏลิคาม ด้วยทิพจักษุอันบริสุทธิ์

เหนือดวงตามนุษย์ ในภูมิประเทศใด เทวดาทั้งหลายผู้มีศักดิ์ใหญ่พากัน

หวงแหนพื้นที่ จิตก็น้อมไปเพื่อให้สร้างนิเวศน์ทั้งหลาย แก่ราชาและราช

มหาอำมาตย์ทั้งหลาย ในภูมิประเทศนั้น ในภูมิประเทศใด เทวดาทั้งหลาย

ชั้นกลาง ๆ พากันหวงแหนพื้นที่ จิตก็น้อมไปเพื่อให้สร้างนิเวศน์ทั้งหลาย แก่

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 257

ราชาและแก่ราชมหาอำมาตย์ทั้งหลายชั้นกลาง ๆ ในภูมิประเทศนั้น ในภูมิ

ประเทศใด เทวดาทั้งหลายชั้นต่ำ พากันหวงแหนพื้นที่ จิตก็น้อมไปเพื่อให้

สร้างนิเวศน์ทั้งหลาย แก่ราชาและแก่ราชมหาอำมาตย์ทั้งหลาย ในภูมิประเทศ

นั้น ดูก่อนอานนท์ เมืองนี้ยังเป็นที่ชุมนุมชนอารยะอยู่ตราบใด ยังเป็นทาง

ผ่านของพ่อค้าอยู่ตราบใด จักเป็นนครชั้นเลิศ ชื่อปาฏลิบุตร(๑) เป็นที่แก้ห่อ

สินค้า ดูก่อนอานนท์ นครปาฏลิบุตร จักมีอันตราย ๓ ประการ คือ จากไฟ ๑

จากน้ำ ๑ หรือด้วยแตกสามัคคี ๑

พราหมณ์สุนีธะและวัสสการะถวายภัตตาหาร

[๘๓] ครั้งนั้นแล พราหมณ์สุนีธะและวัสสการะ มหาอำมาตย์ของ

แคว้นมคธ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นชื่นชมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า

กล่าวถ้อยคำน่าชื่นชมควรรำลึกถึงกันแล้ว จึงนั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง พราหมณ์

สุนีธะและวัสสการะ มหาอำมาตย์ของแคว้นมคธ ผู้นั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่งแล ได้

กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ว่า ขอพระโคดมผู้เจริญ พร้อมด้วยภิกษุ-

สงฆ์ โปรดรับภัตตาหาร สำหรับวันนี้เถิด พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงรับด้วยดุษณีภาพ พราหมณ์สุนีธะและวัสสการะมหาอำมาตย์ของแคว้นมคธ

ครั้นทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้ว จึงเข้าไปยังเรือนรับรองของตน

แล้วสั่งให้ตกแต่งของควรเคี้ยวของควรบริโภคอย่างประณีตไว้ในเรือนรับรอง

ของตน แล้วให้กราบทูลกาลเวลาแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดม

ผู้เจริญ ได้เวลาแล้ว ภัตตาหารเสร็จแล้ว.

ครั้งนั้นแล ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งสบง ทรงถือ

บาตรและจีวร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จดำเนินเข้าไปเรือนรับรองของ

๑. นครปาฏลิบุตรนี้ ต่อมาเป็นราชธานีของอาณาจักรมคธ ในรัชสมัยของพระเจ้ากาลาโสก

หรือในรัชสมัยของพระเจ้าอุเทน พระราชโอรสของพระเจ้าอชาตศัตรูและเป็นนครหลวงที่

เจริญรุ่งเรืองที่สุดในรัชสมัยของพระเจ้าอโศก ธรรมาธิราช และสมัยราชวงศ์คุปตะ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 258

พราหมณ์สุนีธะแสะวัสสการะ มหาอำมาตย์ของแคว้นมคธแล้วประทับนั่งบน

อาสนะที่เขาปูไว้ ครั้งนั้นแล พราหมณ์สุนีธะและวัสสการะ มหาอำมาตย์ของ

แคว้นมคธอังคาส เลี้ยงดูภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยของควรเคี้ยว

ควรบริโภคอย่างประณีตด้วยมือของตน ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยเสร็จ

ทรงวางพระหัตถ์ลงจากบาตร พราหมณ์สุนีธะและวัสสการะมหาอำมาตย์ของ

แคว้นมคธ ถือเอาอาสนะต่ำที่ใดที่หนึ่งแล้วนั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง พระผู้มี

พระภาคเจ้าทรงอนุโมทนากะพราหมณ์สุนีธะและวัสสการะ มหาอำมาตย์ของ

แคว้นมคธผู้นั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง ด้วยพระคาถาเหล่านี้ ว่า

[๘๔] บุรุษผู้มีเชื้อชาติบัณฑิต เข้าไปอยู่ใน

ประเทศใด พึงเชิญท่านพรหมจารี

ทั้งหลายผู้มีศีล ผู้สำรวมให้บริโภคใน

ประเทศนั้น แล้วอุทิศทักษิณาให้แก่

เทวดาทั้งหลาย ซึ่งมีอยู่ในประเทศนั้น

เทวดาทั้งหลายเหล่านั้น อันบุรุษนั้นบูชา

แล้ว ย่อมบูชาตอบ นับถือแล้ว ย่อม

นับถือตอบ ซึ่งบุรุษนั้น เพราะเหตุนั้น

เทวดาทั้งหลายจะอนุเคราะห์บุรุษเชื้อชาติ

บัณฑิตนั้น เหมือนมารดาอนุเคราะห์บุตร

ของตน บุรุษผู้ซึ่งเทวดาอนุเคราะห์แล้ว

จะประสบแต่สิ่งเจริญทั้งหลายในกาล

ทุกเมื่อ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 259

โคตมทวาร

[๘๕] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงอนุโมทนาพราหมณ์

สุนีธะและวัสสการมหาอำมาตย์ของแคว้นมคธ ด้วยพระคาถาเหล่านี้แล้ว เสด็จ

กลับ ก็สมัยนั้นแล พราหมณ์สุนีธะและวัสสการะ มหาอำมาตย์ของแคว้นมคธ

ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ตามเสด็จไปโดยเบื้องพระปฤษฏางค์ ด้วย

คิดว่า วันนี้ พระสมณโคดมจักเสด็จออกทางประตูใด ประตูนั้นจักมีชื่อว่า

โคตมทวาร จักเสด็จข้ามแม่น้ำคงคา โดยท่าใด ท่านั้นจักมีชื่อว่า โคตมติตถะ(๑)

ครั้งนั้นแล ประตูที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออก ได้มีนามว่า โคตมทวาร

ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินไปยังแม่น้ำคงคา ก็สมัยนั้นแล แม่น้ำ

คงคา น้ำเต็มฝั่งเสมอขอบฝั่ง กาดื่มกินได้ มนุษย์ทั้งหลายผู้ปรารถนาข้ามจาก

ฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง บางพวกก็ใช้เรือ บางพวกก็ใช้แพ บางพวกก็ผูกทุ่น

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหายพระองค์บนฝั่งข้างนี้ของ

แม่น้ำคงคาแล้วประทับยืนเฉพาะอยู่บนฝั่งข้างโน้น เหมือนบุรุษผู้มีกำลังพึง

เหยียดแขนที่คู้ไว้ออกไป หรือคู้แขนที่เหยียดไว้เข้ามา ผู้ปรารถนาข้ามจากฝั่ง

หนึ่งไปยังฝั่งหนึ่ง บางพวกก็ใช้เรือ บางพวกก็ใช้แพ บางพวกก็ผูกทุ่น

ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความหมายนั้นแล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ใน

เวลานั้นว่า

ชนทั้งหลายเหล่าใด จะข้ามสระ คือ

ห้วงน้ำ (แม่น้ำ) ชนเหล่านั้น ต้องทำ

สะพานผ่านเปือกตมข้ามไป ประชาชน

๑. โคตมติตถะ ไม่มี เพราะมิได้เสด็จลงท่า.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 260

ยังผูกทุ่นกันอยู่ แต่ชนทั้งหลายผู้มีปัญญา

ข้ามกันไปไม่ต้องผูกทุ่น(๑)

จบภาณวารที่ ๑(๒)

โกฏิคาม

[๘๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า

มาเถิด อานนท์ เราจักเข้าไปหมู่บ้านโกฏิคามกันเถิด ท่านพระอานนท์กราบทูล

รับแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า.

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เสด็จ

ดำเนินถึงหมู่บ้านโกฏิคามนั้นแล้ว เล่ากันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ใน

หมู่บ้านโกฏิคามนั้น ในหมู่บ้านโกฏิคามนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะ

ภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะมิได้ตรัสรู้ เพราะมิได้แทงตลอด

อริยสัจ ๔ เราตถาคตและเธอทั้งหลายด้วย จึงโลดแล่นไป เร่ร่อนไป

ตลอดกาลยาวนานนี้ อย่างนี้ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

เพราะมิได้ตรัสรู้ เพราะมิได้แทงตลอดอริยสัจ คือ ทุกข์ เราตถาคตและเธอ

ทั้งหลายด้วย จึงโลดแล่นไป เร่ร่อนไป ตลอดกาลยาวนานนี้ อย่างนี้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะมิได้ตรัสรู้ เพราะมิได้แทงตลอดอริยสัจ คือ

เหตุเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ เราตถาคตและเธอทั้งหลายด้วย จึงโลดแล่นไป

เร่ร่อนไปตลอดกาลยาวนานนี้ อย่างนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะมิได้ตรัสรู้

เพราะมิได้แทงตลอดอริยสัจ คือ ความดับทุกข์ เราตถาคตและเธอทั้งหลาย

๑. ดู- ขุ อุ. ๒๕/๒๒๒ ด้วย

๒. ภาณวารแปลว่า วาระแห่งการสวด ตามธรรมดา ๑ ภาณวาร ประกอบด้วยคาถา ๒๕๐ คาถา

๑ คาถา มี ๔ บาท มี ๘ อักษร รวม ๑ คาถา มี ๓๒ อักษร เพราะฉะนั้น ๒๕๐ คาถา

จึงเท่ากับ ๘,๐๐๐ อักษร (หรือ ๘,๐๐๐ พยางค์) เป็น ๑ ภาณวาร.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 261

ด้วย จึงโลดแล่นไป เร่ร่อนไปตลอดกาลยาวนานนี้ อย่างนี้. ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย เพราะมิได้ตรัสรู้ เพราะมิได้แทงตลอด อริยสัจ คือ ทางปฏิบัติ

ไปสู่ความดับทุกข์ เราตถาคตและเธอทั้งหลายด้วย จึงโลดแล่นไป เร่ร่อน

ไปตลอดกาลยาวนานนี้ อย่างนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสัจ คือ ทุกข์นี้นั้น

เราตถาคตตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้ว อริยสัจ คือ เหตุเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์

เราตถาคตตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้ว อริยสัจ คือ ความดับทุกข์ เราตถาคต

ตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้ว อริยสัจ คือทางปฏิบัติไปสู่ความดับทุกข์

เราตถาคตตรัสรู้แล้ว แทงตลอดแล้ว ตัณหาในภพ เราตถาคตถอนขึ้นแล้ว

ตัณหานำไปสู่ภพสิ้นไปแล้ว บัดนี้ภพต่อไปไม่มี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส

ไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงตรัสบทประพันธ์ ต่อไปว่า . -

[๘๗] เพราะไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามความเป็น

จริง เราตถาคตและเธอทั้งหลายจึงเร่ร่อน

ไปในชาติทั้งหลายเหล่านั้น นั่นแล

ตลอดกาลยาวนาน.

บัดนี้อริยสัจ ๔ นี้นั้น เราตถาคต

เห็นแล้ว ตัณหานำไปสู่ภพ เราก็ถอน

ได้แล้ว รากเหง้าของทุกข์เราก็ถอนทิ้ง

แล้ว บัดนี้ จะไม่มีเกิดอีกต่อไป.(๑)

[๘๘] ทราบว่า แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในหมู่บ้านโกฏิคาม

นั้น ก็ทรงทำธรรมมีกถานี้แลเป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ศีล มีอยู่ด้วย

ประการฉะนี้ สมาธิมีอยู่ด้วยประการฉะนี้ ปัญญามีอยู่ด้วยประการฉะนี้ สมาธิ

อันศีลอบรมแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว

๑. ดู. วินย. มหาวัคค, ทุติยภาค ๕/๙๓-๙๔

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 262

ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ก็หลุดพ้นด้วยดี โดย

แท้จากอาสวะทั้งหลาย กล่าวคือ กามาสวะ ภวาสวะอวิชชาสวะ ดังนี้.

หมู่บ้านนาทิกะ(๑)

[๘๙] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในบ้านโกฏิคาม ตาม

พระอัธยาศัยแล้ว ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า มาเถิด อานนท์ เราจะเข้าไป

ยังหมู่บ้านนาทิกะกันเถิด ท่านพระอานนท์กราบทูลรับแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

พระเจ้าข้า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่

เสด็จดำเนินถึงหมู่บ้านนาทิกะแล้ว เล่ากันว่า ในหมู่บ้านนาทิกะนั้น พระผู้มี

พระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในเรือนรับรองก่อด้วยอิฐ.

ครั้งนั้นแล(๒) ท่านพระอานนท์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง ท่านพระอานนท์ผู้นั่ง

อยู่ ณ ด้านหนึ่งแล ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ว่า.-

คติภายหน้าของผู้ทำกาละแล้ว

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุชื่อว่าสาฬหะ ทำกาละแล้วในหมู่บ้าน

นาทิกะ เขามีคติอย่างไร มีภพไปถึงภายหน้าอย่างไร.

ภิกษุณี ชื่อว่า นันทา ทำกาละแล้ว ในหมู่บ้านนาทิกะ เขามีคติ

อย่างไร มีภพไปถึงภายหน้าอย่างไร พระเจ้าข้า.

อุบาสก ชื่อว่า สุทัตตะ. . .

อุบาสิกา ชื่อว่า สุชาดา. . .

๑. ในส. มหาวาร. ๑๙/๔๔๖. . .ระบุว่า "ญาติเก-ในหมู่บ้านญาติกะ"

๒. บาลีพระสูตร แต่นี้ไป มีกล่าวถึงใน ส. มหาวาร. ๑๙/๔๔๗-๔๕๑ แต่ละนามบุคคลแผก

เพี้ยนเพิ่มเติมบ้าง และมีละเอียดออกไปบ้าง.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 263

อุบาสก ชื่อว่า กกุธะ. . .

อุบาสก ชื่อว่า การฬิมภะ. . .

อุบาสก ชื่อว่า นิกฏะ. . .

อุบาสก ชื่อว่า กฏิสสหะ . . .

อุบาสก ชื่อว่า ตุฏฐะ. . .

อุบาสก ชื่อว่า สันตุฏฐะ. . .

อุบาสก ชื่อว่า ภฏะ. . .

อุบาสกชื่อ สุภฏะ ทำกาละแล้วในหมู่บ้านนาทิกะ เขามีคติอย่างไร มีภพไป

ถึงภายหน้าอย่างไร พระเจ้าข้า.

แว่นธรรม

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีพระดำรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ภิกษุสาฬหะ

ทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ หาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลาย

สิ้นไป ด้วยปัญญารู้ยิ่งด้วยตนเองแล้ว เข้าถึงอยู่ในทิฏฐธรรมแล้วแล

ดูก่อนอานนท์ ภิกษุณีชื่อนันทา เพราะสัญโญชน์ อันเป็นส่วนเบื้อง

ต่ำ ๕ สิ้นไป เป็นผู้ผุดเกิดขึ้น ปรินิพพาน ในชั้นสุทธาวาสนั้น เป็นผู้ไม่

กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา.

ดูก่อนอานนท์ อุบาสกสุทัตตะ เพราะสัญโญชน์ ๓ อย่างสิ้นไป

เพราะราคะ โทสะและโมหะทั้งหลายบางเบา เป็นสกทาคามี จักมาสู่โลกนี้

อีก ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วจักทำที่สุดทุกข์

ดูก่อนอานนท์ อุบาสิกาสุชาดา เพราะสัญโญชน์ ๓ อย่างสิ้นไป เป็น

โสดาบัน เป็นผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้แน่นอนแล้ว จะตรัสรู้ในภายหน้า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 264

ดูก่อนอานนท์ อุบาสกกกุธะ เพราะ (เขา) สิ้นสัญโญชน์ส่วนเบื้อง

ต่ำ ๕ อย่าง เป็นผู้ผุดเกิดขึ้น ปรินิพพานในชั้นสุทธาวาสนี้ เป็นผู้ไม่กลับ

มาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา

ดูก่อนอานนท์ อุบาสกการฬิมภะ. . .

ดูก่อนอานนท์ อุบาสกนิกฏะ. . .

ดูก่อนอานนท์ อุบาสก กฏิสสหะ. . .

ดูก่อนอานนท์ อุบาสก ตุฏฐะ. . .

ดูก่อนอานนท์ อุบาสก สันตุฏฐ. . .

ดูก่อนอานนท์ อุบาสก ภฏะ. . .

ดูก่อนอานนท์ อุบาสก สุภฏะ เพราะ (เขา) สิ้นสัญโญชน์ส่วน

เบื้องต่ำ ๕ อย่าง เป็นผู้ผุดเกิดขึ้น ปรินิพพานในชั้นสุทธาวาสนั้น เป็นผู้ไม่

กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา

ดูก่อนอานนท์ อุบาสกทั้งหลาย ในหมู่บ้านนาทิกะกว่า ๕๐ คน ทำ

กาละแล้ว เพราะ (เขา) สิ้นสัญโญชน์ส่วนเบื้องต่ำ ๕ อย่าง เป็นผู้ผุดเกิดขึ้น

ปรินิพพานในชั้นสุทธาวาสนั้น เป็นผู้ไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา

ดูก่อนอานนท์ อุบาสกทั้งหลายในหมู่บ้านนาทิกะ ๙๖ คน ทำกาละ

แล้ว เพราะสัญโญชน์ ๓ อย่างในรูป เพราะราคะ โทสะและโมหะบางเบา

เป็นสกทาคามี จักมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น แล้วจักทำที่สุดทุกข์

ดูก่อนอานนท์ อุบาสกทั้งหลาย ในหมู่บ้านนาทิกะ ๕๑๐ คน ทำ

กาละแล้ว เพราะสัญโญชน์ ๓ อย่างสิ้นไป เป็นโสดาบันเป็นผู้ไม่ตกต่ำเป็น

ธรรมดา เป็นผู้แน่นอน เป็นผู้จะตรัสรู้ในภพหน้า ข้อนั้นไม่เป็นสิ่งอัศจรรย์

เป็นมนุษย์พึงทำกาละ เมื่อบุคคลนั้น ๆ ทำกาละแล้ว เธอทั้งหลายก็จักเข้ามาหา

ตถาคต แล้วถามเนื้อความนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ข้อนี้เป็นการเบียดเบียนแก่

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 265

ตถาคตโดยแท้ ดูก่อนอานนท์ เพราะเหตุนั้นแหละเรา ตถคตจักแสดงธรรม

บรรยายชื่อว่าแว่นธรรมไว้ ซึ่งอริยสาวกผู้ประกอบด้วยธรรมบรรยายชื่อว่าแว่น

ธรรมแล้ว เมื่อปรารถนาพึงพยากรณ์ตนด้วยตนเองว่า ฉันมีนรกสิ้นแล้ว มี

กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานสิ้นแล้ว มีวิสัยแห่งเปรตสิ้นแล้ว เป็นผู้มีอบายทุคติและ

วินิบาตสิ้นแล้ว ฉันเป็นพระโสดาบัน เป็นผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้

แน่นอนแล้ว จะตรัสรู้ในภายหน้า.

ดูก่อนอานนท์ ก็ธรรมบรรยาย ชื่อว่า แว่นธรรม ซึ่งอริยสาวก ผู้

ประกอบด้วยธรรมบรรยายชื่อว่าแว่นธรรมแล้ว เมื่อปรารถนาพึงพยากรณ์ตน

ด้วยตนเองว่า ฉันมีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานสิ้นแล้ว มีวิสัยแห่ง

เปรตสิ้นแล้ว เป็นผู้มีอบายทุคติและวินิบาตสิ้นแล้ว ฉันเป็นพระโสดาบัน

เป็นผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้แน่นอนแล้ว จะตรัสรู้ในภายหน้านั้นเป็น

ไฉน

ดูก่อนอานนท์ อริยสาวกในพระศาสนานี้

(๑) เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระพุทธเจ้าว่า

แม้ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้

ตรัสรู้โดยชอบด้วยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้

เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้โลก เป็นสารถีผู้ฝึกคนที่ควรฝึกไม่มีผู้ข้อนี้ยิ่งกว่า เป็น

พระศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้ทรงจำแนก

ธรรม ดังนี้.

(๒) เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระธรรมว่า

พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ดีแล้ว ผู้บรรลุพึงเห็นด้วยตนเอง ไม่

ประกอบด้วยกาล เรียกคนอื่นมาดูได้ น้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชนทั้งหลาย

พึงรู้เฉพาะตน ดังนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 266

(๓) เป็นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสไม่หวั่นไหวในพระสงฆ์ว่า

พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดี เป็นผู้ปฏิบัติตรง เป็นผู้

ปฏิบัติเพื่อรู้ เป็นผู้ปฏิบัติสมควร พระสงฆ์สาวกนี้ คือ ใคร คู่แห่งบุรุษ ๔

คู่ บุรุษบุคคล ๘ ท่าน นี้คือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ควร

แก่ของนำมาคำนับ เป็นผู้ควรแก่ของต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่ของทำบุญ เป็น

ผู้ควรแก่การทำอัญชลี เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดังนี้.

(๔) เป็นผู้ประกอบด้วยอริยกันตศีลทั้งหลาย ที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ

ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฏฐิไม่

แปดเปื้อน ดำเนินไปเพื่อได้สมาธิ ดูก่อนอานนท์ ธรรมบรรยายชื่อว่าแว่น

ธรรมนี้แล ซึ่งพระอริยาสาวกผู้ประกอบด้วยธรรมบรรยายชื่อว่าแว่นธรรมแล้ว

เมื่อปรารถนาพึงพยากรณ์ตนได้ด้วยตนเองว่า ฉันมีนรกสิ้นแล้ว มีกำเนิดสัตว์

ดิรัจฉานสิ้นแล้ว มีวิสัยแห่งเปรตสิ้นแล้ว เป็นผู้มีอบาย ทุคคติและวินิบาต

สิ้นแล้ว ฉันเป็นพระโลดาบัน เป็นผู้ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้แน่นอน

แล้ว จะตรัสรู้ในภายหน้า ดังนี้.

ได้ยินว่า แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ ณ เรือนรับรองก่อด้วย

อิฐในหมู่บ้านนาทิกะนั้น ก็ทรงทำธรรมีกถานี้แลเป็นอันมาก แก่ภิกษุทั้งหลาย

ว่า ศีล มีอยู่ด้วยประการฉะนี้ สมาธิ มีอยู่ด้วยประการฉะนี้ ปัญญา มีอยู่

ด้วยประการฉะนี้ สมาธิอันศีลอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญา

อันสมาธิอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ก็หลุดพ้น

ด้วยดีโดยแท้จากอาสวะทั้งหลาย กล่าวคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ

ดังนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 267

นครเวสาลี

[๙๐] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ในหมู่บ้านนาทิกะ

ตามพระอัธยาศัยแล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า มาเถอะ อานนท์ เราจะเข้า

ไปนครเวสาลีกันเถิด. ท่านพระอานนท์ กราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

พระเจ้าข้า. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่

เสด็จดำเนินถึงนครเวสาลีนั้นแล้ว. ทราบว่าในนครเวสาลีนั้น พระผู้มีพระภาค-

เจ้า เสด็จประทับในอัมพปาลิวัน.

สติปัฏฐาน-อนุสาสนี

ในอัมพปาลิวันนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่ นี้เป็น

อนุสาสนีของเรา (มอบให้) แก่เธอ (ทั้งหลาย)*

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีสติอย่างไร.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระศาสนานี้พิจารณากายในกายเป็นผู้มี

ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระศาสนานี้ พิจารณาเวทนาใน

เวทนา . . .

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระศาสนานี้ พิจารณาจิตในจิต. . .

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระศาสนานี้ พิจารณาธรรมในธรรม

มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีสติอยู่อย่างนี้แล.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะเป็นอย่างไร.

๑. ตรงนี้ เป็น เต - แก่เธอ แต่ข้างหน้า เป็น โว - แก่เธอทั้งหลาย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 268

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระศาสนานี้ เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่

เสมอ ในการก้าวไปข้างหน้า ในการถอยกลับ

เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอ ในการแลดู ในการเหลียวดู

เป็นผู้ทำความรู้อยู่เสมอ ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก

เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอ ในการทรงไว้ ซึ่งสังฆาฏิ บาตรและจีวร

เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอ ในการกิน ในการดื่ม ในการเคี้ยว ใน

การลิ้ม

เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอ ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ

เป็นผู้ทำความรู้ตัวอยู่เสมอ ในการเดิน ในการยืน ในการนั่ง ใน

การหลับ ในการตื่น ในการพูด ในการนิ่ง.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะอยู่อย่างนี้แล.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะอยู่ นี้เป็น

อนุสาสนีของเรา แก่เธอทั้งหลาย ฉะนั้นแล.

นางอัมพปาลีคณิกามาเฝ้า

[๙๑] นางอัมพปาลี(๑) คณิกา ได้ยินแล้วแลว่า เขาว่า พระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าเสด็จดำเนินถึงนครเวสาลีแล้ว เสด็จประทับอยู่ในสวนมะม่วงของเรา

ใกล้นครเวสาลี ครั้งนั้นแล นางอัมพปาลี คณิกา สั่งให้เทียมยานทั้งหลาย

ที่ดี ๆ แล้ว ตนเอง ขึ้นยานดี ๆ คันหนึ่ง ออกจากนครเวสาลีด้วยยาน

ทั้งหลายคันดี ๆ เข้าไปยังสวนของตน ไปด้วยยานตลอดพื้นที่ยานไปได้

แล้วลงจากยาน เดินเท้าไป เข้าไปเฝ้าพระผู้มีภาคเจ้า ถวายบังคมพระผู้มี

พระภาคเจ้าแล้ว นั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ยังนางอัมพปาลี

คณิกา ผู้นั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง ให้เห็นแจ้ง ให้รื่นเริง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ

๑. บาลีพระสูตรแต่นี้ไป มีกล่าวถึงใน วินย. มหาวัคค์, ทุติยภาค ๕/๙๔-๙๗.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 269

ด้วยธรรมีกถา ครั้งนั้นแล นางอัมพปาลีคณิกา ผู้ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้

เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบ

ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์

โปรดรับภัตตาหารของหม่อมฉัน สำหรับวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระเจ้าข้า. พระ-

ผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับด้วยดุษณีภาพ. ครั้งนั้นแล นางอัมพปาลีคณิกา ครั้น

ทราบว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับแล้ว ก็ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มี

พระภาคเจ้า ทำประทักษิณแล้วกลับไป.

[๙๒] เจ้าลิจฉวีทั้งหลายชาวเมืองเวสาลี ได้ยินแล้วแลว่า เขาว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จดำเนินถึงเมืองเวสาลีแล้ว เสด็จประทับอยู่ในอัมพ-

ปาลิวัน ใกล้เมืองเวสาลี. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น สั่งให้

เทียมยานทั้งหลายคันใหญ่ ๆ แล้วต่างก็ขึ้นยานใหญ่ ๆ ออกจากนครเวสาลี

ด้วยานทั้งหลายใหญ่ ๆ ในบรรดาเจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น เจ้าลิจฉวีบาง

พวกสีนิล มีวรรณสีนิล มีผ้านุ่งห่มสีนิล เครื่องประดับสีนิล เจ้าลิจฉวีบาง

พวกสีหลือง มีวรรณสีเหลือง มีผ้านุ่งสีเหลือง เครื่องประดับสีเหลือง เจ้า-

ลิจฉวีบางพวกสีแดง มีวรรณสีแดง มีผ้านุ่งห่มสีแดง เครื่องประดับสีแดง

เจ้าลิจฉวีบางพวกสีขาว มีวรรณสีขาว มีผ้านุ่งห่มสีขาว เครื่องประดับสีขาว.

ครั้งนั้นแล นางอัมพปาลีคณิกา ให้เพลา กระทบกับเพลา ให้ล้อ

กระทบกับล้อ ให้แอกกระทบกับแอก ของเจ้าลิจฉวีทั้งหลายหนุ่มๆ. ครั้นแล้ว

เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น ได้กล่าวกะนางอัมพปาลีคณิกาว่า แม่อัมพปาลี

เหตุไร เจ้าจึงให้เพลากระทบเพลา ล้อกระทบล้อ แอกกระทบแอก ของเจ้า

ลิจฉวีทั้งหลายที่หนุ่มๆ เล่า. นางอัมพปาลีคณิกา ตอบว่า จริงอย่างนั้นเจ้าค่ะ

ข้าแต่ลูกท่าน หม่อมฉันได้กราบทูลนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วย

ภิกษุสงฆ์ทรงรับภัตตาหารสำหรับวันพรุ่งนี้ไว้แล้ว. เจ้าลิจฉวีทั้งหลาย นี่แน่

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 270

แม่อัมพปาลี โปรดยกภัตตาหารมื้อนี้ให้ แก่เรา ด้วยค่าหนึ่งแสนเถิด. อัมพปาลี

คณิกาตอบว่า ข้าแต่ลูกท่าน หากเป็นจริง จักทรงประทานนครเวสาลีรวม

ทั้งรายได้ในชนบทแก่หม่อมฉัน แม้ถึงอย่างนั้น หม่อมฉันก็จักไม่ยกภัตตาหาร

ยิ่งใหญ่ถวาย. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น ต่างส่ายองคุลีกล่าวว่า

ท่านผู้เจริญเอ๋ย พวกเราพ่ายแพ้นางอัมพปาลีคณิกาเสียแล้ว ท่านผู้เจริญเอ๋ย

พวกเราถูกนางอัมพปาลีคณิกาลวงเสียแล้ว. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่า

นั้น ก็เข้าไปยังอัมพปาลีวัน.

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นเจ้าลิจฉวีทั้งหลายมาแต่ไกล

จึงตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายเหล่าใด ไม่เคย

เห็นเทวดาทั้งหลายชั้นดาวดึงส์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะดูบริษัท

ของเจ้าลิจฉวี เหลียวดูบริษัทของเจ้าลิจฉวีจงเปรียบเทียบบริษัทของเจ้าลีจฉวี

เหมือนเช่นเทวดาชั้นดาวดึงส์. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้นไปด้วย

ยานตลอดพื้นที่ยานไปได้แล้วลงจากยาน ดำเนินไป เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค

เจ้า ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง พระผู้มีพระภาค

เจ้าทรงยังเจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งนั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง ให้เห็นแจ้ง

ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถา. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวี

ทั้งหลายเหล่านั้น ผู้อันพระผู้มีพระเจ้าทรงให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ

ให้รื่นเริงแล้วด้วยธรรมีกถา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ขอพระผู้มี

พระภาคเจ้า พร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์โปรดรับภัตตาหารของหม่อมฉันทั้งหลาย

สำหรับวันพรุ่งนี้เถิด พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนลิจฉวี

ทั้งหลาย ตถาคตรับภัตตาหารของนางอัมพปาลีคณิกา สำหรับวันพรุ่งนี้ไว้

แล้วแล. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น ต่างส่ายองคุลีกล่าวว่า ท่าน

ผู้เจริญเอ๋ย พวกเราพ่ายแพ้นางอัมพปาลีคณิกาเสียแล้ว. ท่านผู้เจริญเอ๋ย พวก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 271

เราถูกนางอัมพปาลีคณิกาลวงเสียแล้ว. ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวีทั้งหลายเหล่านั้น

ชื่นชมอนุโมทนาพระพุทธภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วลุกจากอาสนะ

ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณ แล้วหลีกไป.

ครั้งนั้นแล นางอัมพปาลีคณิกา สั่งให้เตรียมของควรเคี้ยว ของควร

บริโภคอันประณีต ในสวนของตนจนสิ้นราตรีนั้น แล้วให้กราบทูลกาลเวลา

แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ได้เวลาแล้ว พระเจ้าข้า ภัตตาหารเสร็จแล้ว. ครั้ง

นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งสบง ทรงถือบาตรและจีวร ในเวลาเช้า

พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปสู่ที่อังคาสของนางอัมพปาลีคณิกา ครั้นแล้ว

ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้. ครั้งนั้นแล นางอัมพปาลีคณิกา อังคาสเลี้ยงดู

ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประมุข ด้วยของควรเคี้ยว ของควรบริโภค

อันประณีตด้วยมือของตน. ครั้งนั้นแล ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยแล้ว

ทรงวางพระหัตถ์ลงจากบาตรแล้ว(๑) นางอัมพปาลีคณิกา ถือเอาอาสนะต่ำ นั่ง

อยู่ ณ ด้านหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ว่า หม่อมฉันขอถวาย

อาราม(๑) นี้ แด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นองค์ประมุข พระเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับพระอารามแล้ว. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า

ยังนางอัมพปาลีคณิกาให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วย

ธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากอาสนะ เสด็จกลับไป.(๓)

๑. ในที่นี้ แปลคำทุติยาวิภัตติ เป็นสัตตมีวิภัตติ แต่ในวินัย. มหาวัคค์ ทุติยภาค ๕/๙๗ มี

ฟุตโน้ตว่า "อภิวาเทตฺวา-ถวายบังคม" ต่อคำว่า "โอนีตปตฺตปาณี-วางพระหัตถ์ลงจาก

บาตรแล้ว" ถ้าอย่างนี้ เป็นทุติยาวิภัตติ

๒. ใน วินย. มหาวัคค์ ทุติยภาค ๕/๙๗ ว่า "อมฺพปาลีวน- สวนนางอัมพปาลี"

๓. ใน วินย. มหาวัคค์ ทุติยภาค ๕/๙๗ ว่า "อุฏฺฐายาสนา เยน มหาวน เตนุปสงฺกมิ.

ตตฺร สุท ภควา เวสาลิย วิหรติ มหาวเน กูฏาคารสาลาย-ทรงลุกจากอาสนะ เสด็จเข้า

ไปป่ามหาวัน ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับ ณ กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวัน

ใกล้นครเวสาลีนั้น"

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 272

ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอยู่ ณ อัมพปาลีวัน ใกล้

นครเวสาลีนั้น ก็ทรงทำธรรมีกถานี้แลเป็นอันมาก แก่ภิกษุทั้งหลายว่า ศีล

มีอยู่ด้วยประการฉะนี้ สมาธิ มีอยู่ด้วยประการฉะนี้ ปัญญา มีอยู่ด้วยประการ

ฉะนี้ สมาธิอันศีลอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก ปัญญาอันสมาธิอบรม

แล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้ว ก็หลุดพ้นด้วยดี

โดยแท้จากอาสวะทั้งหลาย กล่าวคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ดังนี้.

เวฬุวคาม(๑)

[๙๓] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ในอัมพปาลีวัน ตาม

พระอัธยาศัยแล้ว ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า มาเถอะ อานนท์ เราจักเข้าไป

ยังหมู่บ้านเวฬุวคามกันเถิด. ท่านพระอานนท์ทูลรับแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

พระเจ้าข้า. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่

เสด็จดำเนินถึงหมู่บ้านเวฬุวคามนั้น. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่

ณ หมู่บ้านเวฬุวคามนั้น.

(๒) ในหมู่บ้านเวฬุวคามนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงไปเถิด จงไปจำพรรษาตามมิตรสหาย

ตามบุคคลที่เคยพบเห็นกัน ตามบุคคลที่เคยคบหากัน โดยรอบนครเวสาลีเถิด

ส่วนเรา ตถาคตจะเข้าจำพรรษาในหมู่บ้านเวฬุวคามนี้แล. ภิกษุทั้งหลายเหล่า

นั้น กราบทูลรับแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระเจ้าข้า. แล้วไปจำพรรษาตาม

มิตรสหาย ตามบุคคลที่เคยพบเห็นกัน ตามบุคคลที่เคยคบหากัน โดยรอบ

นครเวสาลี. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงเข้าจำพระวัสสา(๓) ในหมู่บ้าน

เวฬุวคามนั้นเอง.

๑. บางแห่งเป็น "เวลุวคามก" และเป็น "เพลุวคามก" ก็มี

๒. บาลีพระสูตรแต่นี้ไป มีกล่าวถึงใน ส. มหาวาร. ๑๙/๒๐๓-๒๐๖

๓. พระพรรรษาที่ ๔๕ เป็นพรรษาสุดท้าย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 273

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระประชวร

ครั้งนั้นแล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าจำพระวัสสาแล้ว ก็เกิด

ทรงพระอาพาธแรงกล้า มีเวทนาหนักเป็นใกล้สิ้นพระชนม์. กล่าวกันว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นเวทนานั้น มิได้ทรง

กระวนกระวาย. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีพระดำริว่า การที่เราไม่

บอกกล่าวกะผู้เป็นอุปัฏฐาก ไม่บอกลาภิกษุสงฆ์แล้วปรินิพพานนั้น เป็นการ

ไม่สมควรแก่เรา อย่างไรก็ตาม เราควรขับไล่อาพาธนี้ให้ถอยไป ด้วยพระวิริยะ

แล้วอธิษฐานชีวิตสังขารดำรงอยู่. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขับไล่

พระโรคาพาธนั้นให้ถอยไปด้วยพระวิริยะแล้ว ทรงอธิษฐานชีวิตสังขารดำรง

พระชนม์อยู่. ครั้นแล้วพระโรคาพาธนั้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็สงบไป.(๑)

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหายจากพระประชวรแล้ว ทรง

หายจากพระประชวรแล้วไม่นาน เสด็จออกจากวิหารไปประทับนั่งบนอาสนะ

ที่เขาปูไว้ในร่มด้านหลังวิหาร. ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้า

ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง ท่านพระอานนท์ได้

กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้เห็น

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระสำราญแล้ว ข้าพระองค์ได้เห็นความอดทนของ

พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระเจ้าข้า และแม้กระนั้น ร่างกายของข้าพระองค์

ประดุจหนักอึ้ง ทิศทั้งหลายก็ไม่ปรากฏแก่ข้าพระองค์ อีกทั้งธรรมทั้งหลายก็

มิแจ่มแจ้งกะข้าพระองค์ เพราะพระอาการทรงประชวรของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ก็แต่ว่า ข้าพระองค์ได้มีความเบาใจบางประการว่า ตราบเท่าที่พระองค์ยังไม่

๑. ในอรรถกถา (ทั้งสุมงฺคลวิลาสินี, ทุติยภาค, น. ๑๙๑ และสารตฺถปฺปกาสินี, ตติยภาค,

น. ๓๐๐) ว่า พระพุทธองค์ทรงเข้าผลสมาบัติข่มเวทนาขับไล่พระโรคาพาธให้สงบ ไม่เกิดขึ้น

ตลอด ๑๐ เดือน จนเสด็จปรินิพพาน แสดงว่าทรงพระประชวรครั้งนี้ ราวปลายเดือน ๘

หรือ ต้นเดือน ๙.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 274

ทรงปรารภภิกษุสงฆ์แล้วทรงมีพระดำรัสอย่างใดอย่างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า

จักยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ดังนี้ พระเจ้าข้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุสงฆ์ยังหวังอะไร

ในเราตถาคตเล่า ดูก่อนอานนท์ ธรรมที่ตถาคตแสดงแล้ว ได้ทำมิให้มีใน

มิให้มีนอก ดูก่อนอานนท์ ตถาคตมิได้มีกำมืออาจารย์ (ปิดบังซ่อนเร้น)

ในธรรมทั้งหลาย ดูก่อนอานนท์ ผู้ใดพึงมีความดำริอย่างนี้ว่าฉันจักบริหาร

ภิกษุสงฆ์ ดังนี้ก็ดี หรือว่า ภิกษุสงฆ์พึงยกย่องฉัน ดังนี้ก็ดี ดูก่อนอานนท์

แน่นอน เขาผู้นั้นพึงปรารภภิกษุสงฆ์แล้ว กล่าวถ้อยคำบางประการ. ดูก่อน

อานนท์ ตถาคตมิได้มีความดำริอย่างนี้ว่า เราแลจักบริหารภิกษุสงฆ์หรือว่า

ภิกษุสงฆ์พึงยกย่องเรา ตถาคต ดังนี้. ดูก่อนอานนท์ ตถาคตนั้น ยังจักปรารภ

ภิกษุสงฆ์แล้วกล่าวถ้อยคำไร ๆ คราวเดียว. ดูก่อนอานนท์ ก็ในกาลบัดนี้ เรา

ตถาคตแก่เฒ่าแล้ว เป็นผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยโดยลำดับแล้ว วัยของตถาคต

ก็กำลังดำเนินเข้าเป็น ๘๐ ปีอยู่. ดูก่อนอานนท์ เกวียนคร่ำคร่าเดินไปได้ด้วย

การแซมด้วยไม้ไผ่แม้ฉันใด ร่างกายของตถาคตก็ดำเนินไปได้ เหมือนด้วย

การแซมด้วยไม้ไผ่ ฉันนั้นนั่นแล ดูก่อนอานนท์ ในสมัยใด ตถาคตเข้าถึง

เจโตสมาธิ หานิมิตมิได้อยู่ เพราะไม่มนสิการนิมิตทั้งปวง เพราะเวทนา

ทั้งหลายบางอย่างดับไป ในสมัยนั้น ร่างกายของตถาคตมีความผาสุกยิ่ง.(๑)

เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เธอทั้งหลายจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นสรณะ

อยู่เถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นสรณะ จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะ อย่ามี

สิ่งอื่นเป็นสรณะเลย

ทรงแสดงเรื่องมีตนเป็นเกาะมีตนเป็นสรณะ

ดูก่อนอานนท์ ก็ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นสรณะอยู่ ไม่มี

สิ่งอื่นเป็นสรณะ เป็นผู้มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นเป็น

สรณะ อย่างไร.

๑. แต่นี้ถึงจบภาณวารที่ ๒ ตรงกับ ส. มหาวาร. ๑๙/ ๒๑๗

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 275

ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในพระศาสนานี้พิจารณากายในกาย เป็นผู้มี

ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้.

พิจารณาเวทนาในเวทนาทั้งหลาย . . .

พิจารณาจิตในจิต. . .

พิจารณาธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติอยู่

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้.

ดูก่อนอานนท์ ภิกษุเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นสรณะ ไม่มีสิ่ง

อื่นเป็นสรณะ เป็นผู้มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นสรณะอยู่ ไม่มีสิ่งอื่นเป็น

สรณะ ด้วยอาการอย่างนี้แล.

ดูก่อนอานนท์ เพราะว่า ในกาลบัดนี้ก็ดี โดยการที่เราตถาคต

ล่วงลับไปแล้วก็ดี ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มี

ตนเป็นสรณะอยู่ ไม่เป็นผู้มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ จักมีธรรมเป็นเกาะมีธรรมเป็น

สรณะอยู่ ไม่เป็นผู้มีสิ่งอื่นเป็นสรณะ ภิกษุทั้งหลายพวกใดพวกหนึ่ง ซึ่งเป็น

ผู้ใคร่ในการศึกษาเหล่านี้นั้น จักเป็นผู้ประเสริฐสุดยอด ดังนี้แล.

จบ คามกัณฑ์ ในมหาปรินิพพานสูตร

จบภาณวารที่ ๒

ว่าด้วยอานุภาพของอิทธิบาท ๔

(๑)[๙๔] ครั้งนั้นแล ในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงนุ่งสบง

ทรงถือบาตรและจีวรแล้ว เสด็จดำเนินเข้านครเวสาลี เพื่อบิณฑบาต(๒) ครั้น

เสด็จดำเนินเพื่อบิณฑบาตในนครเวสาลีแล้ว เสด็จกลับจากบิณฑบาตในเวลา

๑. บาลีพระสูตรต่อไปนี้ มีกล่าวไว้ใน ส. มหาวาร. ๑๙/๓๐๒ อธ. อฏฺก. ๒๓/๓๑๘

-๓๒๔, ขุ.อุ. ๒๕/๑๗๖.

๒. ความในมหาปรินิพพานสูตร ตามที่กล่าวไว้ในคัมภีร์อรรถกถา สุมงฺคลวิสาสินี, ทุติยภาค,

น. ๙๓๑-๒๐๑ และสารตฺถปฺปกาสินี, ตติยภาค, น. ๓๑๒-๓๒๘.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 276

ปัจฉาภัตร ทรงมีพระดำรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงถือ

นิสีทนะ (ที่รองนั่ง) เราจักเข้าไปยังปาวาลเจดีย์กันเถิด ท่านพระอานนท์

กราบทูลรับว่า พระเจ้าข้า แล้วถือนิสีทนะตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าไป

โดยเบื้องพระปฤษฏางค์. ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินเข้าไปยัง

ปาวาลเจดีย์ แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้แล้ว แม้ท่านพระอานนท์ ก็ถวาย

บังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วนั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้

ตรัสกะท่านพระอานนท์ ซึ่งนั่งอยู่ ณ ด้านหนึ่ง ดังนี้ว่า ดูก่อนอานนท์

นครเวสาลี เป็นที่รื่นรมย์ อุเทนเจดีย์ก็เป็นที่รื่นรมย์ โคตมกเจดีย์ ก็เป็นที่

รื่นรมย์ สัตตัมพเจดีย์ก็เป็นที่รื่นรมย์ พหุปุตตเจดีย์ก็เป็นที่รื่นรมย์ สารัน-

ททเจดีย์ ก็เป็นที่รื่นรมย์ ปาวาลเจดีย์ ก็เป็นที่รื่นรมย์ ดูก่อนอานนท์ ผู้หนึ่ง

ผู้ใดเจริญอิทธิบาท ๔ ทำให้มาก ทำให้เป็นประหนึ่งยาน ทำให้เป็นประหนึ่ง

วัตถุที่ตั้ง ตั้งไว้เนื่อง ๆ อบรมไว้ ปรารภด้วยดี โดยชอบ ดูก่อนอานนท์

ผู้นั้น เมื่อปรารถนา ก็พึงดำรง (ชนม์ชีพ ) อยู่ได้ตลอดกัป เกินกว่ากัป

ดูก่อนอานนท์ ตถาคตแลได้เจริญอิทธิบาท ๔ แล้ว ได้ทำให้มาก แล้ว

ได้ทำให้เป็นประหนึ่งยานแล้ว ได้ทำให้เป็นประหนึ่งวัตถุที่ตั้งแล้ว ตั้งไว้

เนือง ๆ แล้ว อบรมแล้ว ปรารภด้วยดี โดยชอบแล้ว ดูก่อนอานนท์ ตถาคต

นั้น เมื่อปรารถนา ก็พึงดำรง (ชนม์ชีพ) อยู่ได้ ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป

ดังนี้.

แม้เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำนิมิตหยาบ ทรงทำโอภาสหยาบ

อย่างนี้แล ท่านพระอานนท์ ก็มิสามารถรู้ได้ มิได้กราบทูลอาราธนาพระผู้มี

พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงดำรงอยู่ตลอด

กัปเถิด ขอพระสุคตเจ้าจงดำรงอยู่ตลอดกัปเถิด เพื่อเกื้อกูลแก่ชนจำนวน

มาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 277

เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดังนี้ คล้ายกับท่านมีจิต

ถูกมารสิงไว้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ แม้ครั้งที่ ๒ แลฯลฯ

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะท่านพระอานนท์ แม้ครั้งที่ ๓ แล ดังนี้ว่า ดูก่อน

อานนท์ นครเวสาลี เป็นที่รื่นรมย์ อุเทนเจดีย์ก็เป็นที่รื่นรมย์ โคตมกเจดีย์

ก็เป็นที่รื่นรมย์ สัตตัมพเจดีย์ก็เป็นที่รื่นรมย์ พหุปุตตเจดีย์ก็เป็นที่รื่นรมย์

สารันททเจดีย์ก็เป็นที่รื่นรมย์ ปาวาลเจดีย์ก็เป็นที่รื่นรมย์(๑) ดูก่อนอานนท์

ผู้หนึ่งผู้ใด เจริญอิทธิบาท ๔ ทำให้มาก ทำให้เป็นประหนึ่งยาน ทำให้เป็น

ประหนึ่งวัตถุที่ตั้ง ตั้งไว้เนือง ๆ อบรมไว้ ปรารภด้วยดี โดยชอบ ผู้นั้น

เมื่อปรารถนา ก็พึงดำรง (ชนม์ชีพ) อยู่ได้ ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป

ดูก่อนอานนท์ ตถาคตแลได้เจริญอิทธิบาท ๔ แล้ว ได้ทำให้มากแล้ว

ได้ทำให้เป็นประหนึ่งยานแล้ว ได้ทำให้เป็นประหนึ่งวัตถุที่ตั้งแล้ว สั่งสมแล้ว

ปรารภเสมอแล้วด้วยดี ดูก่อนอานนท์ ตถาคตนั้นเมื่อปรารถนา ก็พึงดำรง

อยู่ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป ดังนี้ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำนิมิตหยาบ

ทรงทำโอภาสหยาบ อย่างนี้แล ท่านพระอานนท์ก็มิสามารถรู้ มิได้กราบทูล

อาราธนาพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า

จงดำรงอยู่ตลอดกัปเถิด ขอพระสุคตเจ้าจงดำรงอยู่ตลอดกัปเถิด เพื่อเกื้อกูลแก่

ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชนจำนวนมาก

เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ดังนี้.

คล้ายกับท่านมีจิตถูกมารสิงไว้ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก

ท่านพระอานนท์มีพระดำรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงไป บัดนี้ เธอจงสำคัญ

กาลอันควรเถิด. ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

พระเจ้าข้า ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว กระทำประทัก-

ษิณนั่งแล้วที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งในที่ไม่ไกล.

๑. ดูประวัติย่อ ๆ ของเจดีย์เหล่านี้ ใน ปรมตฺถทีปนี อุทานวณฺณนา, น. ๔๐๘.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 278

มารทูลขอให้ปรินิพพาน

[๙๕] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เมื่อท่านพระอานนท์หลีกไปไม่นาน

เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ได้กราบทูลพระผู้มี

พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพาน

ขอพระสุคตจงปรินิพพาน ในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระ

ผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็น

สาวกของเรา จักยังไม่ฉลาด ไม่ได้รับแนะนำ ยังไม่แกล้วกล้า ไม่เป็นพหุสูต

ไม่ทรงธรรม ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่ปฏิบัติชอบ ไม่ประพฤติ

ตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของตน จักบอก จักแสดง จักบัญญัติ จักแต่งตั้ง

จักเปิดเผย จักจำแนก จักทำให้ตื้น จักแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรับ-

ปวาทที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมไม่ได้ เพียงใด ดูก่อนมารผู้มีบาป เรา

จักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น ก็บัดนี้ ภิกษุผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า

เป็นผู้ฉลาด ได้รับแนะนำดีแล้ว เป็นผู้แกล้วกล้า เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรง

ธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม

เรียนกับอาจารย์ของตนแล้วจักบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก

กระทำให้ตื้น แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรัปปวาทที่เกิดขึ้นโดยสหธรรม

เรียบร้อย ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพาน

ขอพระสุคตจงปรินิพพาน ในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มี

พระภาคเจ้า ก็แล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ภิกษุณี

ผู้เป็นสาวิกาของเราจักยังไม่ฉลาด. . . ก็บัดนี้ ภิกษุณี ผู้เป็นสาวิกาของพระ

ผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ฉลาด. . .จักแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรัปปวาท

ที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อยโดยสหธรรมได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ของพระผู้มีพระ

ภาคเจ้าปรินิพพาน ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 279

ปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนมาร

ผู้มีบาป อุบาสกผู้เป็นสาวกของเราจักยังไม่ฉลาด . . . ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็

บัดนี้ อุบาสกผู้เป็นสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้เป็นฉลาดแล้ว. . .

แสดงธรรมมีปาฎิหาริย์ขมขี่ปรัปปวาทที่เกิดขึ้นเรียบร้อยโดยสหธรรมได้ ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพาน ขอพระสุคตจงปรินิพพาน

ในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็พระผู้มีพระ

ภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเรายังไม่ฉลาด. . . ข้าแต่พระ

องค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ อุบาสิกา ผู้เป็นสาวิกาของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ฉลาด

แล้ว ได้รับแนะนำดีแล้ว เป็นผู้แกล้วกล้า เป็นพหุสูต ทรงธรรมปฏิบัติธรรม

สมควรแก่ธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม เรียนกับอาจารย์ของ

ตนแล้ว บอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น

แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรัปปวาทที่เกิดขึ้นเรียบร้อย โดยสหธรรมได้

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพาน ขอพระสุคตจง

ปรินิพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็แล

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป พรหมจรรย์นี้ของเรา

จักยังไม่สมบูรณ์ แพร่หลาย กว้างขวาง ชนรู้กันโดยมากเป็นปึกแผ่น ตราบ

เท่าที่พวกเทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว เพียงใด เราจักไม่ปรินิพพาน

เพียงนั้น ก็บัดนี้พรหมจรรย์นี้ของพระผู้มีพระภาคเจ้าสมบูรณ์แล้ว. . . ขอพระ

ผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพาน ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้

เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า.

ทรงปลงอายุสังขาร

เมื่อมารกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสกะมารผู้มี

บาปว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ท่านเป็นผู้ขวนขวายน้อยเถิด ไม่ช้าพระตถาคตจัก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 280

ปรินิพาน จากนี้ล่วงไปสามเดือน ตถาคตจักปรินิพพาน.ลำดับนั้น พระผู้มี

พระภาคเจ้า มีพระสติสัมปชัญญะ ทรงปลดอายุสังขาร ณ ปาวาลเจดีย์. เมื่อ

พระผู้มีพระภาคทรงปลดสมาธิแล้ว ได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ น่ากลัว

ขนพอง สยองเกล้า กลองทิพก็บันลือลั่น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทราบ

ความนั้น ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า

[๙๖] พระมุนีได้ปลงเสีย ซึ่งกรรมอันชั่ว

และกรรมอันไม่ชั่วได้ อันเป็นเหตุให้เกิด

ปรุงแต่งภพ ยินดีในภายใน ตั่งมั่นได้

ทำลายกิเลสที่เกิดขึ้นในตนเสีย เหมือน

ทำลายเกราะฉะนั้น.

[๙๗] ลำดับนั้น ท่านอานนท์คิดว่า น่าอัศจรรย์จริงหนอ สิ่ง

ที่ไม่เคยมีก็เกิดขึ้น แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้หนอ แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้จริงหนอ

น่ากลัว ขนพองสยองเกล้า ทั้งกลองทิพก็บันลือลั่น อะไรหนอเป็นเหตุ

อะไรหนอเป็นปัจจัย ทำให้แผ่นดินไหวปรากฏได้. ลำดับนั้น ท่านพระ

อานนท์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระ

ผู้มีพระภาคเจ้า นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นท่านพระอานนท์นั่งแล้ว ได้

กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ เหตุไม่

เคยมีก็มีขึ้น แผ่นดินใหญ่นี้ไหวได้หนอ แผ่นดินนี้ไหวได้จริงหนอ น่ากลัว

ขนพองสยองเกล้า ทั้งกลองทิพก็บันลือลั่น อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็น

ปัจจัย ทำให้แผ่นดินไหวได้.

เหตุทำให้แผ่นดินไหว ๘ อย่าง

[๙๘] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เหตุ ๘ อย่าง

ปัจจัย ๘ อย่าง ทำให้แผ่นดินไหวได้. เหตุ ๘ อย่าง ปัจจัย ๘ อย่าง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 281

เป็นไฉน. ดูก่อนอานนท์ แผ่นดินใหญ่ตั้งอยู่บนน้ำ น้ำตั้งอยู่บนลม ลมตั้ง

อยู่บนอากาศ สมัยที่ลมใหญ่พัด เมื่อลมใหญ่พัด ย่อมทำน้ำให้ไหว ครั้น

น้ำไหวแล้ว ทำให้แผ่นดินไหว นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่หนึ่ง ทำให้แผ่น-

ดินใหญ่ไหวได้.

ดูก่อนอานนท์ ยังมีอีกข้อหนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ถึงความ

ชำนาญทางจิต หรือเทวดาผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เขาเจริญปฐวีสัญญา

เล็กน้อย เจริญอาโปสัญญามาก เราทำแผ่นดินให้ไหว สะเทือน กำเริบ

หวั่นไหว นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ข้อที่สอง ทำให้แผ่นดินใหญ่ไหวได้.

ยังมีอีกข้อหนึ่ง เมื่อใดพระโพธิสัตว์เคลื่อนจากดุสิต มีสติสัมปชัญญะ

ก้าวลงสู่พระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ ย่อมไหว สะเทือน กำเริบ

หวั่นไหว นี้เป็นเหตุ เป็นปัจจัยข้อที่สามทำให้แผ่นดินใหญ่ไหวได้.

ยังมีอีกข้อหนึ่ง เมื่อใดพระโพธิสัตว์ มีสติสัมปชัญญะ ประสูติจาก

พระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ ย่อมไหว สะเทือน กำเริบ หวั่นไหว

นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยข้อที่สี่ ทำให้แผ่นดินใหญ่ไหวได้.

ยังมีอีกข้อหนึ่ง เมื่อใด ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ ย่อมไหว สะเทือน กำเริบ หวั่นไหว นี้เป็นเหตุเป็น

ปัจจัย ข้อที่ห้า ทำให้แผ่นดินใหญ่ไหวได้.

ยังมีอีกข้อหนึ่ง เมื่อใดตถาคต ยังธรรมจักรอันยอดเยี่ยมให้เป็นไป

เมื่อนั้นแผ่นดินนี้ ย่อมไหว สะเทือน กำเริบ หวั่นไหว นี้เป็นเหตุเป็น

ปัจจัยข้อที่หก ทำให้แผ่นดินใหญ่ไหวได้.

ยังมีอีกข้อหนึ่ง เมื่อใดตถาคต มีสติสัมปชัญญะ ปลงอายุสังขาร

เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ ย่อมไหว สะเทือน กำเริบ หวั่นไหว นี้เป็นเหตุเป็น

ปัจจัย ข้อที่เจ็ด ทำให้แผ่นดินใหญ่ไหวได้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 282

ยังมีอีกข้อหนึ่ง เมื่อใด ตถาคตย่อมปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส

นิพพานธาตุ เมื่อนั้น แผ่นดินนี้ ย่อมไหว สะเทือน กำเริบ หวั่นไหว

นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ข้อที่แปด ทำให้แผ่นดินใหญ่ไหวได้.

บริษัท ๘

[๙๙] ดูก่อนอานนท์ บริษัท ๘ เหล่านี้เป็นไฉน. คือ ขัตติยบริษัท

พราหมณบริษัท คหปติบริษัท สมณบริษัท จาตุมมหาราชิกบริษัท ดาวดึงส์

บริษัท มารบริษัท พรหมบริษัท. เรายังจำได้ว่า เราเข้าไปหาขัตติยบริษัทหลาย

ร้อยครั้ง ณ ที่ขัตติยบริษัทนั้น เราเคยนั่งร่วม เคยปราศรัย เคยสนทนา. วรรณะ

ของพวกนั้นเป็นเช่นใด ของเราเป็นเช่นนั้น เสียงของพวกนั้นเป็นเช่นใด

ของเราเป็นเช่นนั้น. เราให้พวกนั้นเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง

ด้วยธรรมีกถา พวกนั้นไม่รู้จักเราผู้พูดว่า ผู้นี้ใครหนอพูดอยู่จะเป็นเทวดา

หรือมนุษย์. ครั้นเราให้พวกนั้นเห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง

แล้วก็หายไป พวกนั้นไม่รู้จักเราหายไปแล้วว่า นี้ใครหนอหายไปแล้วจะเป็น

เทวดาหรือมนุษย์ดังนี้.

ดูก่อนอานนท์ เรายังจำได้ว่า เราเข้าไปหาพราหมณบริษัทหลายร้อย

ครั้ง. . .คหบดีบริษัท. . . สมณบริษัท. . . จาตุมมหาราชิกบริษัท. . . ดาวดึงส์

บริษัท. . . มารบริษัท . . . พรหมบริษัทหลายร้อยครั้ง. แม้ในบริษัทนั้นเรา

ก็เคยฟังร่วม เคยปราศรัย เคยสนทนา. วรรณะของพวกเขาเป็นเช่นใด ของ

เราก็เป็นเช่นนั้น . . . ผู้นี้ใครหนอแล หายไปแล้วจะเป็นเทวดาหรือมนุษย์ดังนี้

อานนท์ บริษัท ๘ เหล่านี้แล.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 283

อภิภายตนะ ๘ อย่าง

[๑๐๐] ดูก่อนอานนท์ อภิภายตนะ ๘ อย่างเหล่านี้แล เป็นไฉน. คือ

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายใน เห็นรูปภายนอกที่เล็กมีผิวพรรณดี และมีผิว

พรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นแล้ว มีความสำคัญอย่างนี้ว่า เรารู้เราเห็น นี้

เป็นอภิภายตนะข้อที่หนึ่ง. ผู้หนึ่งมีความสำคัญในรูปภายในเห็นรูปภายนอกใหญ่

มีผิวพรรณดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นมีความสำคัญอย่างนี้ว่า

เรารู้เราเห็น นี้เป็นอภิภายตนะข้อที่สอง. ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน

เห็นรูปภายนอกเล็กมีผิวพรรณดีและมีผิวพรรณทราม ครอบงำรูปเหล่านั้นมี

ความสำคัญอย่างนี้ว่าเรารู้เราเห็น นี้เป็นอภิภายตนะข้อที่สาม. ผู้หนึ่งมีความ

สำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกใหญ่มีผิวพรรณดีและมีผิวพรรณทราม

ครอบงำรูปเหล่านั้น มีความสำคัญอย่างนี้ว่าเรารู้เราเห็น นี้เป็นอภิภายตนะข้อที่

สี่.ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายในเห็นรูปภายนอกเขียว สีเขียว แสงเขียว รัศมี

เขียว ดอกผักตบเขียว สีเขียว แสงเขียว มีรัศมีเขียว หรือผ้าที่ทำในกรุงพาราณสี

มีเนื้อเกลี้ยงทั้งสองข้างเขียว สีเขียว แสงเขียว รัศมีเขียวแม้ฉันใด ผู้หนึ่ง

มีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอก เขียว สีเขียว แสงเขียว รัศมี

เขียว ฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้น มีความสำคัญอย่างนี้ว่าเรารู้เรา

เห็น นี้เป็นอภิภายตนะข้อที่ห้า. ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูป

ภายนอกเหลือง สีเหลือง แสงเหลือง มีรัศมีเหลือง ดอกกรรณิการ์เหลือง

สีเหลือง แสงเหลือง มีรัศมีเหลือง หรือว่าผ้าทำในกรุงพาราณสี มีเนื้อเกลี้ยง

ทั้งสองข้างเหลือง สีเหลือง แสงเหลือง มีรัศมีเหลือง แม้ฉันใด ผู้หนึ่งมี

ความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกเหลือง สีเหลือง แสงเหลือง มีรัศมี

เหลือง ฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้น มีความสำคัญอย่างนี้ว่าเรารู้

เราเห็น นี้เป็นอภิภายตนะข้อที่หก. ผู้หนึ่งมีความสำคัญ ในอรูปภายใน เห็นรูป

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 284

ภายนอกแดง สีแดง แสงแดง มีรัศมีแดง ดอกชะบาแดง สีแดง แสงแดง

มีรัศมีแดง หรือว่าผ้าทำในกรุงพาราณสี มีเนื้อเกลี้ยงทั้งสองข้างแดง สีแดง

แสงแดง มีรัศมีแดง แม้ฉันใด ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูป

ภายนอกแดง สีแดง แสงแดง มีรัศมีแดง ฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูป

เหล่านั้น มีความสำคัญอย่างนี้ว่าเรารู้เราเห็น นี้เป็นอภิภายตนะข้อที่เจ็ด.

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกขาว สีขาว แสงขาว มีรัศมี

ขาว ดาวประกายพรึกขาว สีขาว แสงขาว มีรัศมีขาว หรือว่าผ้าทำในกรุง

พาราณสี มีเนื้อเกลี้ยงทั้งสองข้างขาว สีขาว แสงขาว มีรัศมีขาว แม้ฉันใด

ผู้หนึ่งมีความสำคัญในอรูปภายใน เห็นรูปภายนอกขาว สีขาว แสงขาว มี

รัศมีขาว ฉันนั้นเหมือนกัน ครอบงำรูปเหล่านั้น มีความสำคัญอย่างนี้ว่าเรา

รู้เราเห็น นี้เป็นอภิภายตนะข้อที่แปด. อานนท์ อภิภายตนะ ๘ อย่างเหล่านี้แล.

วิโมกข์ ๘ อย่าง

[๑๐๑] ดูก่อนอานนท์ วิโมกข์ ๘ อย่างเหล่านี้เป็นไฉน. คือภิกษุ

มีรูป ย่อมเห็นรูป นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่หนึ่ง. ภิกษุมีความสำคัญในอรูปภายใน

ย่อมเห็นรูปภายนอก นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่สอง. ภิกษุน้อมใจไปว่า นี้งาม นี้เป็น

วิโมกข์ข้อที่สาม. เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง ดังปฏิฆสัญญา ไม่

กระทำนานัตตสัญญาไว้ในใจ ภิกษุเข้าถึงอากาสานัญจายตนะว่าอากาศ ไม่มีที่

สุดอยู่ นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่สี่. ล่วงอากาสานัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง

เข้าถึงวิญญาณัญจายตนะว่า วิญญาณไม่มีที่สุดอยู่ นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่ห้า. ล่วง

วิญญาณัญจายตนะ โดยประการทั้งปวง เข้าถึงอากิญจัญญายตนะว่า ไม่มีอะไร

อยู่ นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่หก. ล่วงอากิญจัญญายตนะ โดยประการทั้งปวง เข้าถึง

เนวสัญญานาสัญญายตนะอยู่ นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่เจ็ด. ล่วงเนวสัญญานาสัญญา-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 285

ยตนะ โดยประการทั้งปวง เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธอยู่ นี้เป็นวิโมกข์ข้อที่

แปด. อานนท์ วิโมกข์ ๘ อย่างเหล่านี้แล.

เรื่องมาร

[๑๐๒] ดูก่อนอานนท์ สมัยหนึ่ง เราแรกตรัสรู้ พักอยู่ที่ต้นไม้

อชปาลนิโครธ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ. ครั้งนั้น มารผู้มีบาป

ได้เข้าไปหาเรา ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. มารผู้มีบาปได้กล่าวกะเราว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพาน ขอพระสุคตจง

ปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อ

มารกล่าวอย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกะมารผู้มีบาปนั้นว่า มารผู้มีบาป ภิกษุผู้

เป็นสาวกของเรา จักเป็นผู้ฉลาดได้รับแนะนำ แกล้วกล้า พหูสูต ทรงธรรม

ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เป็นผู้ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรม เรียนกับ

อาจารย์ของตนแล้ว จักบอก แสดงบัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น

ได้แสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ข่มขี่ปรับปวาทที่เกิดขึ้นให้เรียบร้อย โดยสหธรรม

ยังไม่ได้เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น. ภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเรา

. . . อุบาสกผู้เป็นสาวกของเรา . . . อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเรา . . . จักยังไม่

ฉลาด . . .เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น.

มารผู้มีบาป พรหมจรรย์นี้ของเรา จักยังไม่บริบรูณ์กว้างขวางแพร่

หลายรู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่นตราบเท่าที่พวกเทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดี

แล้วเพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น.

พุทธบริษัท ๔

อานนท์ วันนี้เดี๋ยวนี้แล มารผู้มีบาปเข้าไปหาเราที่ปาวาลเจดีย์ ได้

ยืนอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง. ได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 286

ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงปรินิพพาน ขอพระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด

บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า

มารผู้มีบาป ภิกษุผู้เป็นสาวกของเรา. . . ภิกษุณีผู้เป็นสาวิกาของเรา . . . อุบาสก

ผู้เป็นสาวกของเรา . . . อุบาสิกาผู้เป็นสาวิกาของเรา . . . จักยังไม่ฉลาด . . .

...พรหมจรรย์ของเรานี้ จักไม่บริบรูณ์ กว้างขวางแพร่หลาย รู้กันมากเป็น

ปึกแผ่ตราบเท่าที่พวกเทวดาเละมนุษย์ประกาศได้ดีแล้วยังไม่ได้เพียงใด เรา

จักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ในกาลบัดนี้ พรหมจรรย์

ของพระผู้มีพระภาคเจ้าสมบูรณ์แล้ว กว้างขวางแพร่หลายรู้กันโดยมาก เป็น

ปึกแผ่นตราบเท่าที่พวกเทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้

เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจะปรินิพพาน ขอพระสุคตจงปรินิพพานในกาล

บัดนี้เถิด บัดนี้เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า. เมื่อมารกล่าว

อย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกะมารผู้มีบาปนั้นว่า มารผู้มีบาป ท่านจงมีความขวน

ขวายน้อยเถิด ไม่นานตถาคตจักปรินิพพาน จากนี้ล่วงไปสามเดือน ตถาคต

จักปรินิพพาน อานนท์ ในวันนี้เดี๋ยวนี้แล ตถาคตมีสติสัมปชัญญะปลงอายุ

สังขารที่ปาวาลเจดีย์.

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูล

พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรง

ดำรงอยู่ตลอดกัป ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป เพื่อประโยชน์แก่ชน

เป็นอันมาก เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประ-

โยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและนนุษย์. พระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสว่า อย่าเลย อานนท์ อย่าวิงวอนตถาคตเลย บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่จะวิงวอน

ตถาคต. แม้ครั้งที่สอง. . . แม้ครั้งที่สาม. . . ท่านพระอานนท์ยังกราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป. . .เพื่อ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 287

ความสุขแก่เทวดาและมนุษย์. อานนท์ เธอเชื่อความตรัสรู้ของตถาคตหรือ.

ข้าพระองค์เชื่อ. เมื่อเชื่อ ไฉนจึงได้รบเร้าตถาคตถึงสามครั้งเล่า.

ข้าพระองค์ได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

อานนท์ อิทธิบาท ๔ อันผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจ

ยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นแล้วอบรมปรารภดีแล้ว ตถาคตนั้น เมื่อจำนงอยู่

จะพึงดำรงอยู่ได้ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป. อานนท์ อิทธิบาท ๔ ตถาคต

เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นแล้ว

อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว อานนท์ ตถาคตเมื่อจำนงอยู่ พึงดำรงอยู่ได้ตลอด

กัป หรือเกินกว่ากัป. อานนท์ เธอเชื่อหรือ. ข้าพระองค์เชื่อ.

อานนท์ เพราะฉะนั้น เรื่องนี้เป็นการทำไม่ดีเป็นความผิดพลาดของ

เธอผู้เดียว เพราะเมื่อตถาคตทำนิมิตอันหยาบ ทำโอภาสอันหยาบอย่างนี้ เธอ

ไม่สามารถรู้เท่าทันได้ จึงมิได้วิงวอนตถาคตว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรง

ดำรงอยู่ตลอดกัป ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่ตลอดกัป เพื่อประโยชน์ เพื่อ

ความสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขแก่

เทวดาและมนุษย์. ถ้าเธอวิงวอนตถาคต ตถาคตจะพึงห้ามวาจาเธอสองครั้ง

เท่านั้น ครั้งที่สามตถาคตพึงรับ เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เรื่องนี้เป็น

การทำไม่ดีเป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว.

อิทธิบาทภาวนา

[๑๐๓] ดูก่อนอานนท์ สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราช-

คฤห์. แม้ที่นั้นเราเรียกเธอมาบอกว่า อานนท์ กรุงราชคฤห์น่ารื่นรมย์ ภูเขา

คิชฌกูฏน่ารื่นรมย์. . .เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เรื่องนี้เป็นการทำไม่ดี

เป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 288

[๑๐๔] อานนท์ เราอยู่ที่โคตมนิโครธ ในกรุงราชคฤห์นั้น. . .เรา

อยู่ที่เหวเป็นที่ทิ้งโจร . . . เราอยู่ที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภารบรรพต

. . .เราอยู่ที่กาฬสิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ. . . เราอยู่ที่เงื้อมชื่อสัปปโสณฑิก ณ

สีตวัน . . . เราอยู่ที่ตโปทาราม . . . เราอยู่ที่เวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน. . . เรา

อยู่ที่ชีวกัมพวัน. . . เราอยู่ที่มัททกุจฉิมฤคทายวัน ในกรุงราชคฤห์นั้น. ณ

ที่นั้นเราเรียกเธอมาบอกว่า อานนท์ กรุงราชคฤห์ น่ารื่นรมย์ ภูเขาคิมฌกูฏ

โคตมนิโครธ เหวที่ทิ้งโจร ถ้าสัตตบรรณคูหา ข้างภูเขาเวภารบรรพต กาฬ-

สิลา ข้างภูเขาอิสิคิลิ เงื้อมชื่อว่าสัปปโสณฑิกสีตวัน ตโปทาราม เวฬุวัน

กลันทกนิวาปสถาน ชีวกัมพวัน มัททกุจฉิมฤคทายวัน ต่างน่ารื่นรมย์ อิทธิ

บาท ๔ อันผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้ว . . . เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เรื่องนี้เป็น

การทำไม่ดีเป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว.

[๑๐๕] ดูก่อนอานนท์ สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่อุเทนเจดีย์ ในกรุงเวสาลีนี้

ณ ที่นั้นเราเรียกเธอมาบอกว่า กรุงเวสาลีน่ารื่นรมย์ อุเทนเจดีย์น่ารื่นรมย์

. . .อานนท์ อิทธิบาท ๔ อันผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้ว. . . เพราะเหตุนั้นแหละ

อานนท์ เรื่องนี้เป็นการทำไม่ดีเป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว.

สังเวชนียกถา

[๑๐๖] ดูก่อนอานนท์ สมัยหนึ่ง. เราอยู่ที่โคตมกเจดีย์ในกรุงเวสาลี

นี้. . . เราอยู่ที่สัตตัมพเจดีย์. . . เราอยู่ที่พหุปุตตเจดีย์. . . เราอยู่ที่สารันทท-

เจดีย์ ในกรุงเวสาลีนี้. ในวันนี้เอง เราบอกเธอที่ปาวาลเจดีย์ว่า กรุงเวสาลี

น่ารื่นรมย์ อุเทนเจดีย์ โคตมกเจดีย์ สัตตัมพเจดีย์ พหูปุตตเจดีย์ สารันทท

เจดีย์ ปาวาลเจดีย์ ต่างน่ารื่นรมย์ อิทธิบาท ๔ อันผู้ใดผู้หนึ่งเจริญแล้ว

ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งมั่นแล้ว อบรมแล้ว

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 289

ปรารภดีแล้ว ผู้นั้นเมื่อจำนงอยู่ พึงดำรงอยู่ตลอดกัป หรือเกินกว่ากัป.

อิทธิบาท ๔ ตถาคตเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ทำให้เป็นดุจยาน ทำให้เป็นที่ตั้ง

ให้ตั้งมั่นแล้ว อบรมแล้ว ปรารภดีแล้ว ตถาคตนั้นเมื่อหวังอยู่ พึงดำรงอยู่

ได้ตลอดกัปหรือเกินกว่ากัป อานนท์ ตถาคตทำนิมิตอันหยาบ ทำโอภาสอัน

หยาบ แม้อย่างนี้แล เธอไม่สามารถรู้เท่าทันได้ จึงมิได้วิงวอนตถาคตว่า

ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า จงทรงดำรงอยู่ตลอดกัปเถิด ขอพระสุคตจงทรงดำรงอยู่

ตลอดกัปเถิด เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก

เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่พวกเทวดาและมนุษย์. อานนท์ ถ้าเธอพึง

วิงวอนตถาคต ตถาคตจะพึงห้ามวาจาเธอเสียสองครั้งเท่านั้น ครั้งที่สามตถาคต

พึงรับ เพราะเหตุนั้นแหละ อานนท์ เรื่องนี้เป็นการทำไม่ดีเป็นความผิดพลาด

ของเธอผู้เดียว.

เราได้บอกก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่าง ๆ กัน ความพลัด

พราก ความเป็นอย่างอื่น จากสิ่งและบุคคลเป็นที่รักและที่ชอบใจทั้งหมดนั้นแล

มีอยู่ เพราะฉะนั้น จะหาได้ในสิ่งและบุคคลนั้นแต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้วเป็นแล้ว

ปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา ความปรารถนาว่าขอสิ่งนั้นอย่าทำลาย

ไปเลย นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้. ก็สิ่งใดที่ตถาคตสละแล้วคายแล้ว พ้นแล้ว

ละแล้ว วางแล้ว อายุสังขารตถาคตปลงแล้ว วาจาที่ตถาคตกล่าวไว้แล้วโดย

ส่วนเดียวว่า ไม่ช้าตถาคตจักปรินิพพาน จากนี้ล่วงไปสามเดือน ตถาคตจัก

ปรินิพพาน ตถาคตจักกลับคืนสิ่งนั้น เพราะเหตุชีวิตอีก นั้นไม่เป็นฐานะที่จะ

มีได้. มาเถิด อานนท์ เราจักเข้าไปยังกูฏาคารศาลาป่ามหาวัน. ท่านพระอานนท์

ทูลรับ พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า

พร้อมกับท่านพระอานนท์ เข้าไปยังกูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ครั้นแล้วตรัส

กะท่านพระอานนท์ว่า ไปเถิด อานนท์ เธอจงให้พวกภิกษุที่อาศัยกรุงเวสาลีอยู่

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 290

ทั้งหมดประชุมกันที่อุปัฏฐานศาลา. ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระ-

ผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงให้ภิกษุที่อาศัยกรุงเวสาลีอยู่ทั้งหมดประชุมกันแล้วที่

อุปัฏฐานศาลาแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมยืน ณ ที่สมควร

ส่วนข้างหนึ่ง. ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุสงฆ์ประชุมพร้อม

กันแล้ว ขอพระองค์ทรงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด.

อภิญญาเทสิตธรรกถา

[๑๐๗] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปยังอุปัฏฐานศาลา

ประทับนั่งบนอาสนะที่จัดถวาย. ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

ธรรมเหล่าใดที่เราแสดงแล้วเพื่อความรู้ยิ่ง ธรรมเหล่านั้นพวกเธอเรียนแล้ว

พึงส้องเสพ พึงเจริญ พึงกระทำให้มากด้วยดี โดยที่พรหมจรรย์นี้ พึงยั่งยืน

พึงดำรงอยู่ได้นาน เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชนเป็นอันมาก เพื่ออนุ

เคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์. ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลายธรรม ที่เราแสดงแล้วเพื่อความรู้ยิ่งเป็นไฉน. . . คือ สติปัฏฐาน

๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพซฌงค์ ๗ อริยมรรค

มีองค์ ๘. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้ที่เราแสดงแล้วเพื่อความรู้ยิ่งแก่

พวกเธอ. . . ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้ง

หลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอ สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมเป็นธรรมดา ขอ

ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด. ไม่ช้าตถาคตจักปรินิพพาน

จากนี้ล่วงไปสามเดือนตถาคตจักปรินิพพาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าสุคตศาสดา

ครั้นตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

[๑๐๘] คนเหล่าใด ทั้งเด็กผู้ใหญ่ ทั้งพาล ทั้ง

บัณฑิต ทั้งมั่งมีทั้งขัดสน ล้วนมีความ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 291

ตายเป็นเบื้องหน้า. ภาชนะดิน ที่ช่าง

หม้อทำ ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งสุกทั้งดิบ

ทุกชนิดมีความแตกเป็นที่สุดฉันใด ชีวิต

ของสัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น.

พระศาสดาได้ตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

วัยของเราแก่หง่อมแล้ว ชีวิตของเรา

เป็นของน้อย เราจักละพวกเธอไป เรา

ทำที่พึ่งแก่ตนแล้ว.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงไม่

ประมาทมีสติ มีศีลด้วยดีเถิด จงเป็นผู้มี

ความดำริตั้งมั่นด้วยดี จงตามรักษาจิต

ของตนเถิด.

ผู้ใดจักเป็นผู้ไม่ประมาทอยู่ในธรรม

วินัยนี้ ผู้นั้นจักละชาติสงสาร แล้วการทำ

ที่สุดทุกข์ได้.

จบตติยภาณวาร

จตุราริยธรรมกถา

[๑๐๙] ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือ

บาตรและจีวร เสด็จเข้าไปยังกรุงเวสาลีเพื่อบิณฑบาต เสด็จเที่ยวบิณฑบาต

ในกรุงเวสาลี ภายหลังภัต เสด็จกลับจากบิณฑบาต ทอดพระเนตรกรุงเวสาลี

เป็นนาคาวโลกแล้ว ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ การเห็นกรุงเวสาลี

ของตถาคตครั้งนี้ จักเป็นครั้งสุดท้าย มากันเถิด อานนท์ เราจักไปยังบ้านภัณฑ-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 292

คาม. ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. ลำดับนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงบ้านภัณฑคามแล้ว.

ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ ณ บ้านภัณฑคามนั้น. ณ ที่นั่นแล

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่รู้แจ้ง

แทงตลอดธรรม ๔ ประการ เราและพวกเธอเร่ร่อนเที่ยวไปสิ้นกาลนานอย่างนี้.

๔ ประการเป็นไฉน. เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดศีลอันเป็นอริยะ เราและพวก

เธอเร่ร่อนเที่ยวไปสิ้นกาลนาน เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดสมาธิอันเป็นอริยะ. . .

ปัญญาอันเป็นอริยะ . . . วิมุตติอันเป็นอริยะ เราและพวกเธอ จึงเร่ร่อนเที่ยว

ไปสิ้นกาลนานอย่างนี้. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราได้รู้แจ้งแทงตลอด ศีลอัน

เป็นอริยะ สมาธิ ปัญญา วิมุตติ อันเป็นอริยะแล้ว ภวตัณหาเราถอนเลียแล้ว

ตัณหาอันจะนำไปสู่ภพสิ้นแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มี. พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้สุคต

ศาสดา ครั้นได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว จึงตรัสคาถาประพันธ์ต่อไปอีกว่า

[๑๑๐] ธรรมเหล่านี้คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

วิมุตติอันยอดเยี่ยม อันพระโคดมผู้มียศ

ตรัสรู้แล้ว ดังนั้นพระพุทธเจ้าทรงบอก

ธรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อความรู้ยิ่ง

พระศาสดาผู้กระทำ ซึ่งที่สุดแห่งทุกข์

มีพระจักษุปรินิพพานแล้ว.

[๑๑๑] ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อประทับ ณ บ้านภัณฑคามนั้น

ทรงกระทำธรรมีกถานี้แหละเป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายว่า อย่างนี้ศีล อย่าง

นี้สมาธิ อย่างนี้ปัญญา สมาธิอันศีลอบรมแล้วมีผลมาก มีอานิสงส์มาก

ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้ว

ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะ โดยชอบคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 293

[๑๑๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ตามความพอพระทัย

ในบ้านภัณฑคามแล้ว ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า มาเถิด อานนท์ เราจักไปยัง

บ้านหัตถีคาม อัมพคาม ชัมพุคาม และโภคนคร. ท่านพระอานนท์ทูลรับ

พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.

เรื่องมหาปเทส ๔ อย่าง

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จ

ถึงโภคนครแล้ว. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ อานันทเจดีย์ใน

โภคนครนั้น. ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงมหาปเทส ๔ เหล่านี้ พวกเธอจงฟัง จงตั้งใจ

ฟังให้ดี เราจักกล่าว. ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า

แล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสดังต่อไปนี้.

[๑๑๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้

ว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อนี้ข้าพเจ้าได้สดับมา ได้รับมาเฉพาะพระพักตร์ พระ

ผู้มีพระภาคเจ้าว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของพระศาสดา

พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น. ครั้นไม่ชื่นชม ไม่

คัดค้านแล้ว พึงเรียนบทพยัญชนะเหล่านั้นให้ดีแล้ว สอบสวนในพระสูตร

เทียบเคียงในพระวินัย. ถ้าสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลง

ในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้. พึงถึงความตกลงใจในข้อนี้ว่า

นี้ไม่ใช่คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และภิกษุนี้จำมาผิดแล้ว

แน่นอน ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย. ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 294

เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้. พึงถึง

ความตกลงใจในข้อนี้ว่า นี้คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และ

ภิกษุนี้จำมาถูกต้องแล้วแน่นอน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทส

ข้อที่หนึ่งนี้ไว้.

[๑๑๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า

สงฆ์พร้อมทั้งพระเถระ พร้อมทั้งปาโมกข์อยู่ในอาวาสโน้น ข้าพเจ้าได้สดับมา

ได้รับมาเฉพาะหน้าของสงฆ์นั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอน

ของพระศาสดาดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้าน คำกล่าวของภิกษุ

นั้น. ครั้นไม่ชื่นชม ไม่คัดค้านแล้ว พึงเรียนบทพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี

สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย. ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร

เทียบเคียงในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้.

พึงถึงความตกลงใจในข้อนี้ว่า นี้ไม่ใช่คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์

นั้น และภิกษุสงฆ์จำมาผิดแล้วแน่นอน ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย.

ถ้าบทพยัญชนะเหล่านั้น สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ลงใน

พระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้. พึงถึงความตกลงใจในข้อนี้ว่า นี้เป็น

คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และภิกษุสงฆ์นั้นจำมาถูกต้องแล้ว

แน่นอน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทสข้อที่สองนี้ไว้.

[๑๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า

ภิกษุเป็นพระเถระมากรูปอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว

เป็นผู้ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมาได้รับมาเฉพาะหน้า

พระเถระเหล่านั้นว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของพระศาสดา

ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม. . .เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้. พึงถึงความ

ตกลงใจในข้อนี้ว่า นี้ไม่ใช่คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 295

พระเถระเหล่านั้นจำมาผิดแล้วแน่นอน ดังนั้น พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย.

ถ้าบทพยัญชนะเหล่านั้นสอบสวนในพระสูตร. . . เทียบเคียงในพระวินัยได้.

พึงถึงความตกลงใจในข้อนี้ว่า เป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

และพระเถระเหล่านั้น จำมาถูกต้องแล้วแน่นอน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึง

ทรงจำมหาปเทสข้อที่สามนี้ไว้.

[๑๑๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า

ภิกษุผู้เป็นเถระอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว ทรงธรรม

ทรงวินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้สดับมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระนั้นว่า

นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ พวกเธอ

ไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้านคำกล่าวของภิกษุนั้น. ครั้นไม่ชื่นชม ไม่คัดค้าน

แล้ว เรียนบทพยัญชนะเหล่านั้นให้ดีแล้ว สอบสวนในพระสูตร เทียบเคียง

ในพระวินัย. ถ้าบทพยัญชนะเหล่านั้นสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงใน

พระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ เทียบเคียงในพระวินัยไม่ได้. พึงถึงความตกลงใจ

ในข้อนี้ว่า. . . นี้คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น และพระเถระ

นั้นจำมาถูกต้องแล้วแน่นอน ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทส

ข้อที่สี่นี้ไว้. พวกเธอพึงทรงจำมหาปเทส ๔ เหล่านั้นไว้ ด้วยประการฉะนี้.

ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ อานันทเจดีย์ในโภคนครนั้น

ทรงกระทำธรรมีกถานี้แหละเป็นอันมากแก่ภิกษุทั้งหลายว่า อย่างนี้ศีล อย่างนี้

สมาธิ อย่างนี้ปัญญา สมาธิอันศีลอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก

ปัญญาอันสมาธิอบรมแล้ว มีผลมาก มีอานิสงส์มาก จิตอันปัญญาอบรมแล้ว

ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะโดยชอบคือ กามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 296

เรื่องนายจุนทกัมมารบุตร

[๑๑๗] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ในโภคนครตามความ

พอพระทัยแล้วตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า มาเถิด อานนท์ เราจักไปยังปาวานคร.

ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. ลำดับนั้น พระ

ผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จถึงปาวานครแล้ว. ได้ยิน

ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ อัมพวันของนายจุนทกัมมารบุตร ใน

เมืองปาวานั้น.

นายจุนทกัมมารบุตรได้สดับว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึงเมืองปาวา

ประทับอยู่ ณ อัมพวันของเราในเมืองปาวา จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้านั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยังนายจุนทกัมมารบุตร ผู้นั่งเรียบร้อยแล้วให้เห็นแจ้ง

ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา. ลำดับนั้น นายจุนทกัม-

มารบุตร อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ

ให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จงทรงรับภัตของข้าพระ

องค์ เพื่อเสวยในวันพรุ่งนี้เถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงรับด้วยดุษณีภาพ.

ลำดับนั้น นายจุนทกัมมารบุตรทราบการรับของพระผู้มีพระภาคเจ้า

แล้วลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กระทำประทักษิณแล้วหลีก

ไป. นายจุนทกัมมารบุตรให้ตระเตรียมของเคี้ยวของฉันอันประณีต และสูกร

มัททวะเป็นอันมากในนิเวศน์ของตน โดยล่วงราตรีนั้นไปให้กราบทลกาล แด่

พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแด่พระองค์ผู้เจริญได้เวลาแล้ว ภัตตาหารสำเร็จแล้ว.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 297

ถวายสูกรมัททวบิณฑบาต

ครั้งนั้นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและ

จีวร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จเข้า ไปยังนิเวศน์ของนายจุนทกัมมารบุตร

ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย. ตรัสกะนายจุนทกัมมารบุตรว่า ดูก่อนจุนท

ท่านจงอังคาสเราด้วยสูกรมัททวะที่ท่านตระเตรียมไว้ จงอังคาสภิกษุสงฆ์ด้วย

ของเคี้ยวของฉันอย่างอื่นที่ท่านตระเตรียมไว้. นายจุนทกัมมารบุตรทูลรับ

พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงอังคาสพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยสูกร

มัททวะที่ตนตระเตรียมไว้ อังคาสภิกษุสงฆ์ด้วยของเคี้ยวของฉันอย่างอื่นที่ตน

ตระเตรียมไว้. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะนายจุนทกัมมารบุตรว่า

จุนท ท่านจงฝังสูกรมัททวะที่เหลือเสียในหลุม เรายังไม่เห็นบุคคลในโลกพร้อม

ทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา

และมนุษย์ ซึ่งบริโภคสูกรมัททวะนั้นแล้ว จะพึงให้ย่อยไปด้วยดีนอกจาก

ตถาคต. นายจุนทกัมมารบุตรทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว

ฝังสูกรมัททวะที่ยังเหลือในหลุมเสีย เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้า

ไปเฝ้าถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงยังนาย

จุนทกัมมารบุตรผู้นั่งเรียบร้อยแล้วให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้

รื่นเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป.

ลำดับนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยภัตตาหารของนายจุนทกัมมาร-

บุตร เกิดอาพาธอย่างแรงกล้า มีเวทนากล้าเกิดแต่การประชวรลงพระโลหิต

ใกล้นิพพาน. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีสติสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้น

เวทนาเหล่านั้นไว้ มิได้ทรงพรั่นพรึง. รับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า มาเถิด

อานนท์ เราจักไปกรุงกุสินารา. พระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าแล้ว.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 298

เรื่องโลหิตปักขันทิกาพาธ

[๑๑๘] ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วว่า พระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าเสวยภัตตาหารของนายจุนทกัมมาร

บุตรทรงอาพาธหนักใกล้นิพพาน.

เมื่อพระศาสดาเสวยสูกรมัททวะแล้วเกิด

อาพาธหนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าลงพระ-

บังคน ได้ตรัสว่าเราจะไปเมืองกุสินารา

คาถาเหล่านี้ พระสังคีติกาจารย์กล่าวไว้ในเวลาสังคายนา.

[๑๑๙] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหลีกออกจากทาง เสด็จ

เข้าไปยังโคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจง

ช่วยปูผ้าสังฆาฏิพับเป็น ๔ ชั้นให้เรา เราเหนื่อยจักนั่ง. ท่านพระอานนท์

ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงปูผ้าสังฆาฏิพับเป็น ๔ ชั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะที่จัดถวายแล้ว. พระผู้มีพระภาคเจ้า

ประทับนั่งแล้ว ตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า อานนท์ เธอจงนำน้ำมาให้เราดื่ม

เรากระหายจักดื่มน้ำ. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระ-

อานนท์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อกี้นี้เกวียน ๕๐๐ เล่มข้ามไป

น้ำนั้นมีน้อยถูกล้อเกวียนบดขุ่นมัวไหลไปอยู่ แม่น้ำกกุธานทีอยู่ไม่ไกล มีน้ำ

ใส จืด เย็น ขาว มีท่าเรียบน่ารื่นรมย์ พระองค์ทรงดื่มน้ำและทรงสรงพระ-

องค์ในแม่น้ำนั้น. แม้ครั้งที่สองพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ตรัสกะท่านพระ-

อานนท์. . . แม้ครั้งที่สาม. . . ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มี

พระภาคเจ้าแล้ว ถือบาตรไปยังแม่น้ำนั้น. ครั้งนั้น แม่น้ำนั้นมีน้ำน้อย ถูกล้อ

เกวียนบดขุ่นมัวไหลไปอยู่ เมื่อท่านพระอานนท์เข้าไปใกล้ น้ำก็กลับใสสะอาด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 299

ไม่ขุ่นมัวไหลไป. ท่านพระอานนท์ได้มีความดำริว่า น่าอัศจรรย์หนอ เหตุไม่

เคยมีก็มีมาแล้ว ความที่พระตถาคตมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ความจริง แม่น้ำ

นี้นั้นมีน้ำน้อย ถูกล้อเกวียนบดขุ่นมัวไหลไปอยู่ เมื่อเราเข้าไปใกล้กลับใส

สะอาดไม่ขุ่นมัวไหลไปอยู่ ตักน้ำด้วยบาตรแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

กราบทูลว่า น่าอัศจรรย์หนอ เหตุไม่เคยมี ก็มีมาแล้วความที่พระตถาคตมีฤทธิ์

มาก มีอานุภาพมาก. เมื่อกี้นี้แม่น้ำนั้นมีน้ำน้อย ถูกเกวียนบดขุ่นมัวไหลไป

อยู่ เมื่อข้าพระองค์เข้าไปใกล้กลับใสสะอาดไม่ขุ่นมัวไหลไปอยู่ ขอพระผู้มี

พระภาคเจ้าจงทรงดื่มน้ำ ขอพระสุคตจงทรงดื่มน้ำเถิด พระเจ้าข้า. ลำดับนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงดื่มน้ำแล้ว.

ปุกกุสมัลลบุตร

[๑๒๐] สมัยนั้นแล ปุกกุสมัลลบุตร เป็นสาวกของอาฬารดาบส-

กาลามโคตร ออกจากเมืองกุสินาราเดินทางไปยังเมืองปาวา. ได้เห็นพระผู้มี

พระภาคเจ้าประทับนั่ง ณ. โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง. ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์

ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ เหตุไม่เคยมี ก็มีมาแล้ว พวกบรรพชิตย่อมอยู่ด้วยวิหาร

ธรรมอันสงบหนอ เรื่องเคยมีมาแล้วอาฬารดาบสกาลามโคตรเดินทางหลีก

ออกจากทาง นั่งพักกลางวันที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งในที่ไม่ไกล ครั้งนั้นเกวียน

ประมาณ ๕๐๐ เล่ม ติดกันได้ผ่านอาฬารดาบสกาลามโคตรไปแล้ว บุรุษคน

หนึ่งเดินตามหลังหมู่เกวียนมา จึงเข้าไปหาอาฬารดาบสกาลามโคตร ได้ถามว่า

ท่านได้เห็นเกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ผ่านไปบ้างหรือ. เราไม่เห็นเลย. ได้ยิน

เสียงบ้างหรือ. เราไม่ได้ยิน ท่านหลับไปหรือ. เราไม่ได้หลับ . ท่านมีสัญญา

อยู่หรือ. เป็นอย่างนั้น ท่านนั้นมีสัญญาตื่นอยู่ ไม่เห็นเกวียนประมาณ ๕๐๐

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 300

เล่ม ผ่านติดกันไป ทั้งไม่ได้ยินเสียง ก็ผ้าสังฆาฏิของท่านเปื้อนด้วยธุลีบ้าง

หรือ. เป็นอย่างนั้น.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลำดับนั้น บุรุษนั้นได้มีความคิดว่าน่าอัศจรรย์

หนอ เหตุไม่เคยเป็นก็ได้เป็นแล้ว พวกบรรพชิตอยู่ด้วยวิหารธรรมอันสงบ

หนอ อาฬารดาบสกาลามโคตรมีสัญญาตื่นอยู่ ย่อมไม่เห็นเกวียนประมาณ

๕๐๐ เล่ม ผ่านติดกันไป ทั้งไม่ได้ยินเสียง บุรุษนั้นประกาศความเลื่อมใสอันยิ่ง

ในอาฬารดาบสกาลามโคตรแล้วหลีกไป. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะปุกกุสมัลล-

บุตรว่า ดูก่อนปุกกุสะ ท่านจะสำคัญข้อนั้นเป็นไฉน ผู้มีสัญญาตื่นอยู่ไม่พึงเห็น

เกวียนประมาณ ๕๐๐ เล่ม ผ่านติดกันไป ทั้งไม่ได้ยินเสียงอย่างหนึ่ง ผู้มีสัญญา

ตื่นอยู่เมื่อฝนกำลังตก ตกอย่างหนักฟ้าแลบ ฟ้าผ่าอยู่ไม่พึงเห็น ทั้งไม่พึงได้ยิน

เสียงอย่างหนึ่ง อย่างไฉนจะทำได้ยากกว่ากัน หรือทำให้เกิดยากกว่ากัน. ปุกกุส-

มัลลบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เกวียน ๕๐๐ เล่ม ๖๐๐ เล่ม

๗๐๐ เล่ม ๘๐๐ เล่ม ๙๐๐ เล่ม ๑,๐๐๐ เล่ม. . .แสนเล่ม จักทำอะไรได้ ผู้มี

สัญญาตื่นอยู่เมื่อฝนกำลังตก ตกหนัก ฟ้าแลบ ฟ้าผ่าอยู่ไม่พึงเห็น ทั้งไม่พึง

ได้ยินเสียงอย่างนี้แหละ ทำได้ยากกว่าและทำให้เกิดยากกว่า.

อัพภูตธรรมกถา

[๑๒๑] ดูก่อนปุกกุสะ สมัยหนึ่ง เราอยู่ในโรงกระเดื่องในเมืองอาตุมา.

สมัยนั้น เมื่อฝนกำลังตก ตกอยู่อย่างหนัก ฟ้าแลบ ฟ้าผ่าอยู่ ชาวนาสองพี่

น้องและโคผู้ ๔ ตัว ถูกสายฟ้าฟาดในที่ใกล้โรงกระเดื่อง. ปุกกุสะ ลำดับนั้น

หมู่มหาชนในเมืองอาตุมาออกมาแล้ว เข้าไปหาชาวนาสองพี่น้องนั้นและโคผู้

๔ ตัว ถูกสายฟ้าฟาด. สมัยนั้น เราออกจากโรงกระเดื่อง จงกรมอยู่ในที่แจ้ง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 301

ใกล้ประตูโรงกระเดื่อง. ครั้งนั้น บุรุษคนหนึ่งออกจากหมู่มหาชนนั้น เข้ามา

หาเรา อภิวาทเราแล้ว ยื่นอยู่ ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง. เราได้กล่าวกะบุรุษ

นั้นว่า ดูก่อนผู้มีอายุ หมู่มหาชนนั้น ประชุมกันทำไมหนอ.

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อกี้นี้ เมื่อฝนกำลังตก ก็อย่างหนัก ฟ้า-

แลบ ฟ้าผ่าอยู่ ชาวนาสองพี่น้องและโคผู้ ๔ ตัว ถูกสายฟ้าฟาด หมู่มหาชน

ประชุมกันแล้วในที่นี้ ก็พระองค์อยู่ในที่ไหนเล่า. เราอยู่ในที่นี้เอง. ก็พระองค์

ได้เห็นอะไรหรือ. เราไม่ได้เห็น. ก็พระองค์ได้ยินเสียงอะไรหรือ. เราไม่ได้

ยิน. ก็พระองค์หลับหรือ. เราไม่ได้หลับ. ก็พระองค์ยังมีสัญญาอยู่หรือ.

อย่างนั้นท่านผู้มีอายุ. ก็พระองค์มีสัญญาตื่นอยู่เมื่อฝนกำลังตก ตกอย่างหนัก

ฟ้าแลบอยู่ ฟ้าผ่าอยู่ ไม่ได้เห็นทั้งไม่ได้ยินเสียงหรือ. อย่างนั้น ท่านผู้มีอายุ.

ดูก่อนปุกกุสะ บุรุษนั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า น่าอัศจรรย์หนอ เหตุ

ไม่เคยมี ก็มีมาแล้ว พวกบรรพชิตย่อมอยู่ด้วยวิหารธรรมอันสงบหนอ ดังผู้

มีสัญญาตื่นอยู่ เมื่อฝนกำลังตก ตกอย่างหนัก ฟ้าแลบอยู่ ฟ้าผ่าอยู่ ไม่ได้เห็น

ไม่ได้ยินเสียง. ประกาศความเลื่อมใสอย่างยิ่งในเรา กระทำประทักษิณแล้ว

หลีกไป.

ปุกกุสมัลลบุตรเป็นอุบาสก

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ปุกกุสมัลลบุตรได้กราบทูลว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์โปรยความเลื่อมใสในอาฬารดาบสกาลาม-

โคตร ลงในพายุใหญ่ หรือลอยเสียในแม่น้ำมีกระแสเชี่ยว ข้าแต่พระองค์ผู้

เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของ

พระองค์แจ่มแจ้งนัก บุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลง

ทาง หรือส่องประทีบในที่มืด ผู้มีจักษุจักเห็นรูปแม้ฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 302

ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยายฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์นี้ ขอถึงพระ-

ผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า

จงทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

ลำดับนั้น ปุกกุสมัลลบุตร สั่งบุรุษคนหนึ่งว่า ดูก่อนพนายท่านจง

ช่วยนำคู่ผ้าเนื้อเกลี้ยง มีสีดังทองสิงคีซึ่งเป็นผ้าทรงของเรา. บุรุษนั้นรับคำ

ของปุกกุสมัลลบุตรแล้ว นำคู่ผ้าเนื้อเกลี้ยงมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงมา

แล้ว. ปุกกุสมัลลบุตรน้อมคู่ผ้าเนื้อเกลี้ยงมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงนั้น

เข้าไปถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คู่ผ้าเนื้อเกลี้ยงนี้

มีสีดังทองสิงคี เป็นผ้าทรง ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงอาศัยความอนุเคราะห์

ทรงรับคู่ผ้านั้นของข้าพระองค์เถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนปุกกุสะ

ถ้าเช่นนั้น ท่านจงให้เราครองผืนหนึ่ง ให้อานนท์ครองผืนหนึ่ง.ปุกกุสมัลล-

บุตรทูลรับพระดำรัสพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว น้อมถวายพระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงครองผืนหนึ่ง ถวายท่านพระอานนท์ครองผืนหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงยังปุกกุสมัลลบุตรให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริงด้วย

ธรรมีกถาแล้ว ปุกกุสมัลลบุตรอันพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน

ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถาแล้วลุกจากอาสนะ ถวายบังคมพระผู้มี

พระภาคเจ้ากระทำประทักษิณแล้วหลีกไป.

ผิวกายพระตถาคตผ่องใสยิ่งใน ๒ กาล

[๑๒๒] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ เมื่อปุกกุสมัลลบุตรหลีกไปแล้วไม่

นาน ได้น้อมคู่ผ้าเนื้อเกลี้ยงมีสีดังทองสิงดี ซึ่งเป็นผ้าทรงนั้น เข้าไปสู่พระกาย

ของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ผ้าที่พระอานนท์น้อมเข้าไปสู่พระกายของพระมีพระ-

ภาคเจ้านั้น ย่อมปรากฏดังถ่านไฟที่ปราศจากเปลวฉะนั้น. ท่านพระอานนท์

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 303

ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ เหตุไม่

เคยมี ก็มีมาแล้ว พระฉวีวรรณของพระตถาคตบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก คู่ผ้า

เนื้อเกลี้ยงมีสีดังทองสิงคี ซึ่งเป็นผ้าทรงนี้ ข้าพระองค์น้อมเข้าไปสู่พระกายของ

พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ย่อมปรากฏดังถ่านในที่ปราศจากเปลวฉะนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ข้อนี้เป็นอย่างนั้น อานนท์ในกาลทั้ง ๒

กายของตถาคต ย่อมบริสุทธิ์ ฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก ในกาลทั้ง ๒ เป็นไฉน

คือ ในเวลาราตรีที่ตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ๑ ในเวลาราตรีที่

ตถาคตปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนีพพานธาตุ ๑ ในกาลทั้ง ๒ นี้แล กายของ

ตถาคต ย่อมบริสุทธิ์ ฉวีวรรณผุดผ่องยิ่งนัก ดูก่อนอานนท์ ในปัจฉิมยามแห่ง

ราตรีวันนี้แล ตถาคตจักปรินิพพานในระหว่างไม้สาละทั้งคู่ ในสาลวันแห่ง

มัลลกษัตริย์ทั้งหลาย เป็นที่แวะเวียนไป ณ เมืองกุสินารา มาเถิด อานนท์ เรา

จักไปยังแม่น้ำกกุธานที. ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าแล้ว.

[๑๒๓] ปุกกุสะนำคู่ผ้าเนื้อเกลี้ยงมีสีดังทองสิงคี

เข้าไปถวาย พระศาสดาทรงครองคู่ผ้านั้น

แล้วมีวรรณดังทอง งดงามแล้ว.

แม่น้ำกกุธานที

[๑๒๔] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ไป

ยังแม่น้ำกกุธานที เสด็จลงสู่แม่น้ำกกุธานที ทรงสรงแล้ว ทรงดื่มแล้ว เสด็จขึ้น

เสด็จไปยังอัมพวันตรัสกะท่านพระจุนทกะว่า ดูก่อนจุนทกะ ท่านจงช่วยปูผ้า

สังฆาฏิพับเป็น ๔ ชั้นให้เรา เราเหนื่อยนัก จักนอน. ท่านพระจุนทกะทูลรับ

พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ปูผ้าสังฆาฏิพับเป็น ๔ ชั้น. ลำดับนั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 304

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสำเร็จสีหไสยา โดยพระปรัศว์เบื้องขวา ทรงซ้อนพระ-

บาทด้วยพระบาท มีสติสัมปชัญญะ ทรงมนสิการอุฏฐานสัญญา ส่วนท่าน

พระจุนทกะนั่งเฝ้าอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าในที่นั้นแหละ.

[๑๒๕] พระพุทธเจ้าผู้ศาสดา ผู้พระตถาคตหา

ผู้เปรียบมิได้ในโลก ทรงเหนื่อยเสด็จถึง

แม่น้ำกกุธานที มีน้ำใสจืด สะอาด เสด็จ

ลงแล้ว.

ทรงสรงและทรงดื่มน้ำแล้ว อันหมู่

ภิกษุแวดล้อมเสด็จไปในท่ามกลาง พระ-

ผู้มีพระภาคเจ้าผู้ศาสดา ทรงแสวงหาคุณ

อันยิ่งใหญ่ ทรงเป็นไปในธรรมนี้ เสด็จถึง

อัมพวันแล้ว.

ตรัสกะภิกษุชื่อจุนทกะว่า เธอจง

ช่วยปูลาดผ้าสังฆาฏิพับเป็น ๔ ชั้นให้เรา

เราจะนอน พระจุนทกะนั้นมีตนอบรมแล้ว

อันพระองค์ทรงเตือนแล้ว รีบปูลาดผ้า

สังฆาฏิพับเป็น ๔ ชั้นถวาย พระศาสดา

ทรงบรรทมแล้ว หายเหนื่อย แม้พระ-

จุนทกะก็นั่งเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์ในที่

นั้น.

บิณฑบาตทาน ๒ คราวมีผลเสมอกัน

[๑๒๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า

ดูก่อนอานนท์ บางทีใคร ๆ จะทำความร้อนใจให้เกิดแก่นายจุนทกัมมารบุตรว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 305

ดูก่อนจุนทกะ ไม่เป็นลาภของท่าน ท่านได้ไม่ดีแล้ว พระตถาคตได้บริโภค

บิณฑบาตของท่านเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เสด็จปรินิพพานดังนี้ เธอพึงช่วยบันเทา

ความเดือดร้อนของนายจุนทกัมมารบุตรเสียอย่างนี้ว่า จุนทกะเป็นลาภของท่าน

ท่านได้ดีแล้ว พระตถาคตได้บริโภคบิณฑบาตของท่านเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

เสด็จปรินิพพาน เรื่องนี้เราได้ยินมาได้รับมาเฉพาะพระพักตร์ของพระผู้มี

พระภาคเจ้าว่า บิณฑบาตสองคราวนี้ มีผลสม่ำเสมอกัน มีวิบากสม่ำเสมอกัน

มีผลใหญ่กว่าและมีอานิสงส์ใหญ่กว่าบิณฑบาตอื่น ๆ ยิ่งนัก. บิญฑบาตสอง

คราวเป็นไฉน. คือ พระตถาคตบริโภคบิณฑบาตใดแล้ว ตรัสรู้อนุตตรสัมมา-

สัมโพธิญาณอย่างหนึ่ง พระตถาคตบริโภคบิณฑบาตใดแล้ว เสด็จปรินิพพาน

ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุอย่างหนึ่ง บิณฑบาตสองคราวนี้ มีผลสม่ำเสมอกัน

มีวิบากสม่ำเสมอกัน มีผลใหญ่กว่าและมีอานิสงส์ใหญ่กว่าบิณฑบาตอื่น ๆ ยิ่ง

นัก กรรมที่นายจุนทกัมมารบุตรสั่งสมก่อสร้างแล้วเป็นไปเพื่ออายุ. . .วรรณะ

. . .สุขะ. . . ยศ . . . สวรรค์. . . และเป็นไปเพื่อความเป็นใหญ่ยิ่ง ดูก่อน

อานนท์ เธอพึงช่วยบันเทาความร้อนใจของนายจุนทกัมมารบุตรเสียด้วยประการ

ฉะนี้.

พุทธอุทาน

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความนั้นแล้ว ทรงเปล่ง

พระอุทานนี้ในเวลานั้นว่า

[๑๒๗] บุญย่อมเจริญแก่ผู้ให้ เวรย่อมไม่ก่อแก่ผู้

สำรวมอยู่ คนฉลาดเทียว ย่อมละกรรมอัน

ลามก เขาดับแล้วเพราะราคะ โทสะ โมสะ

สิ้นไป.

จบภาณวารที่ ๔

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 306

บรรทมอนุฏฐานไสยา

[๑๒๘] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า

มาเถิด อานนท์ เราจักไปยังฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำหิรัญวดี เมืองกุสินาราและสาลวัน

อันเป็นที่แวะพักแห่งมัลลกษัตริย์. ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระ-

ผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่

ใหญ่ เสด็จไปยังฝั่งโน้นแห่งแม่น้ำหิรัญวดี เมืองกุสินาราและสาลวันอันเป็น

ที่แวะพักแห่งมัลลกษัตริย์ รับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า เธอจงช่วยตั้งเตียงให้

เรา หันศีรษะไปทางทิศอุดรระหว่างไม้สาละทั้งคู่ เราเหนื่อยแล้วจักนอน.

ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ตั้งเตียงหันพระ-

เศียรไปทางทิศอุดรระหว่างไม้สาละทั้งคู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสำเร็จสีหไสยา

โดยปรัศว์เบื้องขวา ทรงซ้อนพระบาทด้วยพระบาท มีพระสติสัมปชัญญะ.

ทรงปรารถสักการบูชา

[๑๒๙] สมัยนั้น ไม้สาละทั้งคู่เผล็ดดอกบานสะพรั่งนอกฤดูกาล

ดอกไม้เหล่านั้น ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชา

พระตถาคต. แม้ดอกมณฑารพอันเป็นของทิพย์ก็ตกลงมาจากอากาศ ดอก

มณฑารพเหล่านั้น ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคตเพื่อบูชา

พระตถาคต. แม้จุณแห่งจันทน์อันเป็นของทิพย์ ก็ตกลงจากอากาศ จุณแห่ง

จันทน์เหล่านั้นร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระสรีระของพระตถาคต เพื่อบูชา

พระตถาคต. ดนตรีอันเป็นทิพย์เล่า ก็ประโคมอยู่ในอากาศ เพื่อบูชาพระ-

ตถาคต. แม้สังคีตอันเป็นทิพย์ ก็เป็นไปในอากาศ เพื่อบูชาพระตถาคต.

ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่าดูก่อนอานนท์

ไม้สาละทั้งคู่ เผล็ดดอกบานสะพรั่งนอกฤดูกาล ร่วงหล่นโปรยปรายลงยังพระ-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 307

สรีระของพระตถาคตเพื่อบูชาพระตถาคต. แม้ดอกมณฑารพอันเป็นของทิพย์

. . . แม้จุณแห่งจันทน์อันเป็นของทิพย์. . . แม้ดนตรีอันเป็นทิพย์เล่า. . . แม้

สังคีตอันเป็นทิพย์ ย่อมเป็นไปในอากาศ เพื่อบูชาพระตถาคต ดูก่อนอานนท์

พระตถาคตจะชื่อว่าอันบริษัทสักการะ เคารพ นับถือ บูชานอบน้อมด้วยเครื่อง

สักการะประมาณเท่านี้หามิได้ ผู้ใดแลจะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา

ก็ตาม เป็นผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ พระพฤติตามธรรมอยู่

ผู้นั้นย่อมชื่อว่าสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ด้วยการบูชาอย่างยิ่ง เพราะเหตุ

นั้นแหละ อานนท์ พวกเธอพึงสำเหนียกอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้ปฏิบัติธรรม

สมควรแก่ธรรม ปฏิบัติชอบ ประพฤติตามธรรมอยู่.

เรื่องอุปวาณเถระ

[๑๓๐] สมัยนั้น ท่านอุปวาณะยืนถวายงานพัดพระผู้มีพระภาคเจ้า

เฉพาะพระพักตร์. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขับท่านพระอุปวาณะว่า

ดูก่อนภิกษุ เธอจงหลีกไป อย่ายืนตรงหน้าเรา. ท่านพระอานนท์ได้มีความดำริ

ว่า ท่านอุปวาณะรูปนี้เป็นอุปัฏฐากอยู่ใกล้ชิด พระผู้มีพระภาคเจ้ามาช้านาน

ก็แหละเมื่อเป็นเช่นนั้นในกาลครั้งสุดท้าย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขับท่าน

อุปวาณะว่า ดูก่อนภิกษุ เธอจงหลีกไป อย่ายืนตรงหน้าเราดังนี้ อะไรหนอ

เป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย ให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงขับท่านอุปวาณะว่า

ดูก่อนภิกษุ เธอจงหลีกไป อย่ายืนตรงหน้าเรา. ท่านพระอานนท์ได้กราบทูล

พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านอุปวาณะรูปนี้ เป็นอุปัฏฐาก

อยู่ใกล้ชิดพระผู้มีพระภาคเจ้ามาช้านาน. . .พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน

อานนท์ เทวดาในหมื่นโลกธาตุมาประชุมกันโดยมากเพื่อจะเห็นตถาคต เมือง

กุสินาราสาลวันอันเป็นที่แวะพักแห่งมัลลกษัตริย์เพียงเท่าใด โดยรอบถึง ๑๒

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 308

ตลอดที่เพียงเท่านี้ จะหาประเทศแม้มาตรว่าเป็นจรดลงแห่งปลายขนทรายอัน

เทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ มิได้ถูกต้องแล้วมิได้มี พวกเทวดายกโทษอยู่ว่า เรามา

แต่ที่ไกลเพื่อจะเห็นพระตถาคต พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จ

อุบัติในโลก ในบางครั้งบางคราว ในปัจฉิมยามแห่งราตรีวันนี้แหละ พระ-

ตถาคตจักปรินิพพาน ภิกษุผู้มีศักดิ์ใหญ่รูปนี้ ยืนบังอยู่เบื้องพระพักตร์พระผู้

มีพระภาคเจ้า เราไม่ได้เพื่อเห็นพระตถาคตในกาลเป็นครั้งสุดท้าย. ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ ก็พวกเทวดา กระทำไว้ในใจเป็นอย่างไร อานนท์ มีเทวดา

บางพวกสำคัญอากาศว่าเป็นแผ่นดิน สยายผมประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่

ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา เหมือนเท้าขาดแล้ว รำพันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจัก

ปรินิพพานเสียเร็วนัก พระสุคตจักปรินิพพานเสียเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุ

ในโลกจักอันตรธานเสียเร็วนักดังนี้ เทวดาบางพวกสำคัญแผ่นดินว่าเป็นแผ่น-

ดิน. . . พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลกจักอันตรธานเสียเร็วนักดังนี้ ส่วนเทวดา

ที่ปราศจากราคะแล้ว มีสติสัมปชัญญะ อดกลั้นโดยธรรมสังเวชว่า สังขารทั้ง

หลายไม่เที่ยง ข้อนั้น จะหาได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน.

สังเวชนียสถาน ๔ ตำบล

[๑๓๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในกาลก่อน พวกภิกษุอยู่จำพรรษา

ในทิศทั้งหลายพากันมาเพื่อเห็นพระตถาคต พวกข้าพระองค์ ย่อมได้เห็น

ได้เข้าไปนั่งใกล้ ภิกษุผู้ให้เจริญใจเหล่านั้น พวกข้าพระองค์ โดยล่วงไปแห่ง

พระผู้มีพระภาคเจ้า จักไม่ได้เห็น จักไม่ได้เข้าไปนั่งใกล้ภิกษุผู้ให้เจริญใจ.

ดูก่อนอานนท์ สังเวชนียสถาน ๔ แห่งเหล่านี้ เป็นที่ควรเห็นของ

กุลบุตรผู้มีศรัทธา. สังเวชนียสถาน ๔ เป็นไฉน. สังเวชนียสถานเป็นที่ควร

เห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยระลึกว่า พระตถาคตประสูติในที่นี่ ๑ สังเวชนีย-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 309

สถานเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยระลึกว่า พระตถาคตตรัสรู้อนุต-

ตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้ ๑ สังเวชนียสถานเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มี

ศรัทธาด้วยระลึกว่า พระตถาคตยังธรรมจักรอันยวดยิ่งให้เป็นไปแล้วในที่นี้ ๑

สังเวชนียสถานเป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธาด้วยระลึกว่า พระตถาคต

เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้ ๑ อานนท์ สังเวชนียสถาน

๔ แห่งเหล่านั้นแล เป็นที่ควรเห็นของกุลบุตรผู้มีศรัทธา ภิกษุ ภิกษุณี

อุบาสก อุบาสิกา ผู้มีศรัทธาจักมาด้วยระลึกถึงว่า พระตถาคตประสูติในที่นี้

บ้าง พระตถาคตตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในที่นี้บ้าง พระตถาคตยัง

ธรรมจักรอันยวดยิ่งให้เป็นไปในที่นี้บ้าง พระตถาคตเสร็จปรินิพพานแล้วด้วย

อนุปาทิเสสนิพพานธาตุในที่นี้บ้าง ดูก่อนอานนท์ ชนเหล่าใดเที่ยวจาริกไปยัง

เจดีย์มีจิตเลื่อมใส จักกระทำกาละ ชนเหล่านั้นทั้งหมดเบื้องหน้าแต่ตาย

เพราะกายแตก จักเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.

วิธีปฏิบัติในสตรี และพระพุทธสรีระ

[๑๓๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์จะปฏิบัติในมาตุคาม

อย่างไร. ไม่ดู อานนท์. เมื่อมีการดูจะพึงปฏิบัติอย่างไร. ไม่พูดด้วยอานนท์.

เมื่อมีการพูดจะพึงปฏิบัติอย่างไร. พึงตั้งสติไว้ อานนท์.

[๑๓๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์จะปฏิบัติในพระสรีระ

ของพระตถาคตอย่างไร. อานนท์พวกเธออย่าขวนขวายเพื่อบูชาสรีระของพระ-

ตถาคตเลย พวกเธอจงสืบต่อในประโยชน์ตน ประกอบตามในประโยชน์ตน

ไม่ประมาทในประโยชน์ตน มีตนส่งไปแล้วอยู่เถิด อานนท์ กษัตริย์ผู้เป็น

บัณฑิตบ้าง พราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตบ้าง คฤหบดีผู้เป็นบัณฑิตบ้าง เลื่อมใส

ในพระตถาคตมีอยู่ เขาเหล่านั้น จักกระทำการบูชาสรีระของพระตถาคตเอง.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 310

ก็ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พึงปฏิบัติในพระสรีระของพระตถาคตอย่างไร.

พึงปฏิบัติในพระสรีระของพระตถาคต เหมือนที่เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระ-

เจ้าจักรพรรดิ. เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิเป็นอย่างไร.

อานนท์ เขาห่อพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้าใหม่ ครั้นห่อแล้วซับด้วย

สำลี ครั้นซับด้วยสำลีแล้ว ห่อด้วยผ้าใหม่ โดยอุบายนี้ ห่อพระสรีระของ

พระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้า ๕๐๐ คู่ เชิญลงในรางเหล็กอันเต็มด้วยน้ำมัน ครอบ

ด้วยรางเหล็กอื่น กระทำจิตกาธานด้วยของหอมทุกชนิด ถวายพระเพลิงพระ-

สรีระของพระเจ้าจักรพรรดิ สร้างพระสถูปของพระเจ้าจักรพรรดิไว้ในทางใหญ่

๔ แพร่ง อานนท์ เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิอย่างนี้แล้ว พึง

ปฏิบัติในพระสรีระของพระตถาคตเหมือนเขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้า

จักรพรรดิฉะนั้น พึงสร้างพระสถูปของพระตถาคตไว้ในทางใหญ่ ๔ แพร่ง

ชนเหล่าใด จักยกขึ้นซึ่งมาลัยของหอมหรือจุณ จักอภิวาท หรือยังจิตให้เลื่อม

ใสในพระสถูปนั้น ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชนเหล่านั้น

ตลอดกาลนาน.

ถูปารหบุคคล ๔

[๑๓๔] ดูก่อนอานนท์ ถูปารหบุคคล ๔ เหล่านี้. ถูปารหบุคคล ๔

เป็นไฉน. คือ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๑ พระปัจเจกสัมพุทธเจ้า ๑

สาวกของพระตถาคต ๑ พระเจ้าจักรพรรดิ ๑.

ดูก่อนอานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร พระตถาคตอรหันต-

สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นถูปารหบุคคล. ชนเป็นอันมาก ย่อมยังจิตให้เลื่อมใส

ว่า นี้เป็นพระสถูปของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ชนเหล่า

นั้น ยังจิตให้เลื่อมใสพระสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อม

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 311

เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ อานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล พระตถาคต

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงเป็นถูปารหบุคคล.

ดูก่อนอานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร ๆ พระปัจเจกสัม-

พุทธเจ้า จึงเป็นถูปารหบุคคล ชนเป็นอันมาก ยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี้เป็น

สถูปของพระปัจเจกสัมพุทธเจ้านั้น ชนเหล่านั้นยังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว

เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตกย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ อานนท์ เพราะ

อาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล พระปัจเจกสัมพุทธาเจ้าจึงเป็นถูปารหบุคคล.

ดูก่อนอานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร สาวกของพระ-

ตถาคตจึงเป็นถูปารหบุคคล. ชนเป็นอันมาก ยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี้เป็นสถูป

สาวกของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ชนเหล่านั้น

ยังจิตให้เลื่อมใสในสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตาย เพราะกายตาย ย่อมเข้าถึง

สุคติโลกสวรรค์ อานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล สาวกของพระ-

ตถาคตจึงเป็นถูปารหบุคคล.

ดูก่อนอานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์อะไร พระเจ้าจักรพรรดิ

จึงเป็นถูปารหบุคคล. ชนเป็นอันมาก ยังจิตให้เลื่อมใสว่า นี้เป็นพระสถูป

ของพระธรรมราชา ผู้ทรงธรรมพระองค์นั้น ชนเหล่านั้น ยังจิตให้เลื่อมใส

ในพระสถูปนั้นแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

อานนท์ เพราะอาศัยอำนาจประโยชน์นี้แล พระเจ้าจักรพรรดิจึงเป็นถูปารห-

บุคคล อานนท์ ถูปารหบุคคล ๔ เหล่านี้แล.

ประทานโอวาทแก่พระอานนท์

[๑๓๕] ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปสู่วิหาร ยืนเหนี่ยวสลักเพชร

ร้องไห้อยู่ว่า เรายังเป็นเสขบุคคลมีกิจที่จะต้องทำอยู่ แต่พระศาสดาของเรา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 312

ซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์เรา ก็จักปรินิพพานเสีย ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า

รับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานนท์อยู่ที่ไหน. พวกภิกษุ

กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระอานนท์นั่นเข้าไปสู่วิหาร

ยืนเหนี่ยวสลักเพชร ร้องไห้อยู่ว่าเรายังเป็นเสขบุคคลมีกิจที่จะต้องทำอยู่ แต่

พระศาสดาของเรา ซึ่งเป็นผู้อนุเคราะห์เราก็จักปรินิพพานเสีย. ลำดับนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงรับสั่งกะภิกษุรูปหนึ่งว่า เธอจงไปเถิด ภิกษุ จงบอก

อานนท์ตามคำของเราว่า ท่านอานนท์พระศาสดารับสั่งหาท่าน. ภิกษุนั้นทูล

รับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์ ครั้นเข้า

ไปหาแล้ว บอกท่านพระอานนท์ว่า ท่านอานนท์ พระศาสดารับสั่งหาท่าน.

ท่านพระอานนท์รับคำภิกษุนั้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นเข้าไป

เฝ้าแล้ว ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

พระผู้มีพระภาคเจ้า รับสั่งกะท่านพระอานนท์ผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า

อย่าเลย อานนท์ เธออย่าเศร้าโศกร่ำไรไปเลย เราได้บอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือ

ว่า ความเป็นต่าง ๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของรักของชอบ

ใจทั้งสิ้นต้องมี ข้อนั้นจะหาได้ในของรักของชอบใจนี้แต่ที่ไหนเล่า สิ่งใดเกิด

แล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา ความปรารถนา

ว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลยดังนี้ นั่นไม่เป็นฐานะที่จะมีได้ อานนท์ เธอ

ได้เป็นอุปัฏฐากตถาคต ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันประกอบด้วย

เมตตา เป็นประโยชน์เกื้อกูล เป็นความสุขไม่มีสอง หาประมาณมิได้มาช้านาน

เธอได้กระทำบุญไว้แล้ว อานนท์ จงประกอบความเพียรเถิด เธอจักเป็นผู้ไม่

มีอาสวะโดยฉับพลัน.

ตรัสสรรเสริญพระอานนท์

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุ

ทั้งหลาย แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายใด ได้มีแล้ว.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 313

ในอดีต ภิกษุผู้อุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นอย่างยิ่ง เหมือน

อานนท์ผู้เป็นอุปัฏฐากแห่งเรา แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายใดจักมี

ในอนาคตกาล ภิกษุผู้อุปัฏฐากของผู้พระมีพระภาคเจ้านั้นเป็นอย่างยิ่ง เหมือน

อานนท์ผู้เป็นอุปัฏฐากแห่งเรา อานนท์เป็นบัณฑิต ย่อมรู้ว่านี้เป็นกาลเพื่อจะ

เข้าเฝ้าพระตถาคต นี้เป็นกาลของพวกภิกษุ นี้เป็นกาลของพวกภิกษุณี นี้เป็น

กาลของพวกอุบาสก นี้เป็นกาลของพวกอุบาสิกา นี้เป็นกาลของพระราชา

นี้เป็นกาลของพระราชมหาอำมาตย์ นี้เป็นกาลของพวกเดียรถีย์ นี้เป็นกาลของ

สาวกเดียรถีย์.

อัพภูตธรรม ๔

[๑๓๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรมน่าอัศจรรย์ ๔ อย่างเหล่านี้

มีอยู่ในพระอานนท์. อัพภูตธรรม ๔ อย่างเป็นไฉน. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย

ถ้าภิกษุบริษัท เข้าไปใกล้เพื่อจะเห็นอานนท์ ภิกษุบริษัทนั้น ย่อมยินดีด้วย

การที่ได้เห็น ถ้าอานนท์แสดงธรรมในภิกษุบริษัทนั้น ภิกษุบริษัทนั้น ก็ย่อม

ยินดี แม้ด้วยธรรมที่แสดงแล้ว ภิกษุบริษัทยังไม่อิ่มเลย อานนท์ย่อมนิ่งไป

ในเวลานั้น ถ้าภิกษุณีบริษัท. . .อุบาสกบริษัท. . .อุบาสิกาบริษัท เข้าไปใกล้

เพื่อจะเห็นอานนท์ อุบาสิกาบริษัทนั้น ย่อมยินดีด้วยการที่ได้เห็น ถ้าอานนท์

แสดงธรรมในอุบาสิกาบริษัทนั้น อุบาสิกาบริษัทนั้น ก็ยินดีแม้ด้วยธรรมที่

แสดงแล้ว อุบาสิกบริษัทยังไม่อิ่มเลย อานนท์ย่อมนิ่งไปในเวลานั้น ภิกษุ

ทั้งหลาย อัพภูตธรรมน่าอัศจรรย์ ๔ อย่างเหล่านี้แล มีอยู่ในอานนท์.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรมน่าอัศจรรย์ ๔ อย่างเหล่านี้ มีอยู่

ในพระเจ้าจักรพรรดิ. ถ้าขัตติยบริษัทเข้าไปเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ ขัตติยบริษัท

นั้น ย่อมยินดีด้วยการที่ได้เข้าเฝ้า ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิมีพระดำรัสในขัตติย-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 314

บริษัทนั้น ขัตติยบริษัทนั้น ก็ยินดีแม้ด้วยพระดำรัส ขัตติยบริษัทยังไม่อิ่ม

เลย พระเจ้าจักรพรรดิย่อมทรงนิ่งในเวลานั้น. ถ้าพราหมณบริษัท. . .คฤห-

บดีบริษัท. . . สมณบริษัท เข้าไปเฝ้าพระเจ้าจักรพรรดิ สมณบริษัทนั้น

ย่อมยินดีด้วยการที่ได้เข้าเฝ้า ถ้าพระเจ้าจักรพรรดิมีพระดำรัสในสมณบริษัท

นั้น สมณบริษัทนั้นก็ยินดี. แม้ด้วยพระดำรัส สมณบริษัทนั้นยังไม่อิ่มเลย

พระจักรพรรดิย่อมทรงนิ่งไปในเวลานั้น.

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรมน่าอัศจรรย์ ๔ อย่าง มิอยู่ในอานนท์

ฉันนั้นเหมือนกัน ถ้าภิกษุบริษัทเข้าไปใกล้เพื่อจะเห็นอานนท์ ภิกษุบริษัทนั้น

ย่อมยินดีด้วยการที่ได้เห็น ถ้าอานนท์แสดงธรรมในภิกษุบริษัทนั้น ภิกษุ

บริษัทนั้นย่อมยินดี แม้ด้วยธรรมที่แสดงแล้ว ภิกษุบริษัทยังไม่อิ่มเลย

อานนท์ย่อมนิ่งไปในเวลานั้น. ถ้าภิกษุณีบริษัท. . .อุบาสกบริษัท. . .อุบาสิกา

บริษัทเข้าไปหาได้เห็นอานนท์ อุบาสิกาบริษัทนั้น ย่อมยินดีด้วยการที่ได้เห็น

ถ้าอานนท์แสดงธรรมในอุบาสิกาบริษัทนั้น อุบาสิกาบริษัทนั้น ก็ยินดีแม้ด้วย

ธรรมที่แสดงแล้ว อุบาสิกาบริษัทยังไม่อิ่มเลย อานนท์ย่อมนิ่งไปในเวลานั้น.

ภิกษุทั้งหลาย อัพภูตธรรมน่าอัศจรรย์ ๔ อย่างเหล่านี้แล มีอยู่ในอานนท์.

ตรัสเรื่องเมืองกุสินารา

[๑๓๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์

ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้า

อย่าเสด็จปรินิพพานในเมืองเล็ก เมืองดอน กิ่งเมืองนี้เลย เมืองใหญ่เหล่าอื่น

มีอยู่คือ เมืองจัมปา เมืองราชคฤห์ เมืองสาวัตถี เมืองสาเกต เมืองโกสัมพี

เมืองพาราณสี ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานในเมืองเหล่านี้เถิด

กษัตริย์มหาศาล พราหมณมหาศาล คฤหบดีมหาศาลที่เลื่อมใสในพระตถาคต

มีอยู่มากในเมืองเหล่านี้ ท่านเหล่านั้นจักกระทำสักการะบูชาสรีระของพระตถาคต.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 315

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้

เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า เมืองเล็ก เมืองดอน กิ่งเมืองดังนี้เลย แต่ปางก่อน

มีพระเจ้าจักรพรรดิ ทรงพระนามว่ามหาสุทัสสนะ ผู้ทรงธรรมเป็นพระราชา

โดยธรรมเป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว

มีพระราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ เมืองกุสินารานี้ มี

นามว่า กุสาวดี เป็นราชธานีของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ โดยยาวด้านทิศบูรพา

และทิศประจิม ๑๒ โยชน์ โดยกว้างด้านทิศอุดรและทิศทักษิณ ๗ โยชน์

กุสาวดีเป็นราชธานี เป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรืองมีชนมาก มนุษย์หนาแน่น และ

มีภิกษาหาได้ง่าย ดูก่อนอานนท์ อาลกมันทาราชธานีแห่งเทพเจ้าทั้งหลาย

เป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรืองมีชนมาก ยักษ์หนาแน่น และมีภิกษาหาได้ง่าย แม้

ฉันใด กุสาวดีราชธานีก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นเมืองที่มั่งคั่งรุ่งเรืองมีชนมาก

มนุษย์หนาแน่น และมีภิกษาหาได้ง่าย กุสาวดีราชธานีมิได้เงียบจากเสียงทั้ง

๑๐ ทั้งกลางวันและกลางคืน คือ เสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงกลอง เสียง

ตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง เสียงกังสดาล เสียงประโคมและเสียงเป็นที่ ๑๐

ว่า ท่านทั้งหลายจงบริโภค จงดื่ม จงเคี้ยวกิน จงไปเถิด อานนท์ เธอจงเข้า

ไปในเมืองกุสินาราแล้ว บอกแก่พวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราว่า ดูก่อน

วาสิฏฐทั้งหลาย พระตถาคตจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้ พวก

ท่านจงรีบออกไปเถิด พวกท่านอย่าได้มีความร้อนใจในภายหลังว่า พระ-

ตถาคตได้ปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา พวกเราไม่ได้เข้าไปเฝ้า พระตถาคต

ในกาลครั้งสุดท้าย. ท่านพระอานนท์ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า

แล้ว นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปในเมืองกุสินารา ลำพังผู้เดียว.

แจ้งข่าวมัลลกษัตริย์

สมัยนั้น มัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราประชุมกันอยู่ที่สัณฐาคาร

ด้วยกรณียกิจบางอย่าง. ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เข้าไปยังสัณฐาคารของ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 316

มัลลกษัตริย์เมืองกุสินารา ได้บอกแก่พวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราว่า ดูก่อน

วาสิฏฐทั้งหลาย พระตถาคตจักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีในวันนี้แหละ

พวกท่านจงรีบออกไปเถิด พวกท่านอย่าได้มีความร้อนใจในภายหลังว่า พระ

ตถาคตได้ปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา พวกเราไม่ได้เฝ้าตถาคตในกาล

ครั้งสุดท้าย. พวกมัลลกษัตริย์ พระโอรส สุณิสาและปชาบดีได้สดับคำนี้ของ

ท่านพระอานนท์แล้ว เป็นทุกข์เสียพระทัย เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ใจ บาง

พวกสยายพระเกศา ประคองหัตถ์ทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา

เหมือนมีพระบาทอันขาดแล้ว ทรงรำพันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจักปรินิพพาน

เร็วนัก พระสุคตจักปรินิพพานเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลก จักอันตรธาน

เสียเร็วนัก.

ครั้งนั้น พวกมัลลกษัตริย์ พระโอรส สุณิสาและปชาบดีเป็นทุกข์

เสียพระทัย เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ใจ เสด็จเข้าไปยังสาลวัน อันเป็นที่แวะพัก

ของพวกมัลลกษัตริย์ เสด็จเข้าไปหาท่านพระอานนท์. ท่านพระอานนท์ได้มี

ความดำริว่า ถ้าเราให้พวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราถวายบังคมพระผู้มี-

พระภาคเจ้าทีละองค์ ๆ พวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราจักมิได้ถวายบังคมพระ

ผู้มีพระภาคเจ้าทั่วกัน ราตรีนี้จักสว่างเสีย ถ้ากระไรเราควรจัดให้พวกมัลล-

กษัตริย์เมืองกุสินาราถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยลำดับสกุล ๆ ด้วย กราบ

ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มัลลกษัตริย์มีนามอย่างนี้ พร้อมด้วยโอรส

ชายา บริษัทและอำมาตย์ถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ด้วยเศียรเกล้า. โดยอุบายเช่นนี้ท่านพระอานนท์ ยังพวกมัลลกษัตริย์เมือง

กุสินาราให้ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าเสร็จโดยปฐมยามเท่านั้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 317

เรื่องสุภัททปริพาชก

[๑๓๘] สมัยนั้น สุภัททปริพาชก อาศัยอยู่ในเมืองกุสินารา. สุภัทท

ปริพาชกได้ฟังว่า พระสมณโคดม จักปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีนั้น

วันนี้. ลำดับนั้น สุภัททปริพาชกได้มีความดำริว่า เราได้ฟังคำนั้นของพวก

ปริพาชกผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งเป็นอาจารย์และปาจารย์ กล่าวอยู่ว่า พระตถาคตอรหันต

สัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมอุบัติขึ้นในโลกในบางครั้งบางคราว พระสมณโคดมจัก

ปรินิพพานในปัจฉิมยามแห่งราตรีวันนี้แหละ อนึ่ง ธรรมอันเป็นที่สงสัยนี้

ซึ่งบังเกิดขึ้นแก่เราก็มีอยู่ เราเลื่อมใสในพระสมณโคดมอย่างนี้ว่า พระสมณ-

โคดม ย่อมสามารถเพื่อแสดงธรรมแก่เรา ที่เราจะพึงละธรรมอันเป็นที่สงสัย

นี้ได้.

ลำดับนั้น สุภัททปริพาชก เข้าไปหาท่านพระอานนท์ที่สาลวันอันเป็น

ที่แวะพักของพวกมัลลกษัตริย์ ครั้นเข้าไปหาแล้ว จึงได้กล่าวกะท่านพระ

อานนท์ว่า ท่านอานนท์ ข้าพเจ้าได้ฟังคำของพวกปริพาชก...ที่เราจะพึงละธรรม

อันเป็นที่สงสัยนี้ได้ ท่านอานนท์ ข้าพเจ้านั้น ขอได้เฝ้าพระสมณโคดม.

เมื่อสุภัททปริพาชกกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์กล่าวว่า อย่าเลยสุภัททะ

อย่าเบียดเบียนพระตถาคตเลย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อย. แม้ครั้ง

ที่สอง...แม้ครั้งที่สามสุภัททปริพาชกก็กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า. . .

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับคำเจรจาของท่านพระอานนท์กับสุภัทท

ปริพาชกแล้ว. จึงตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า อย่าเลย อานนท์ อย่าห้ามสุภัททะ

เลย สุภัททะจงได้เฝ้าพระตถาคตเถิด สุภัททะจักถามปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง

กะเรา มุ่งเพื่อความรู้ มิใช่มุ่งเพื่อความเบียดเบียน อนึ่ง เราอันสุภัททะถาม

แล้วจักพยากรณ์ข้อความแก่สุภัททนะนั้นได้ เขาจักรู้ข้อความนั้นได้โดยฉับพลัน.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 318

ท่านพระอานนท์ได้กล่าวกะท่านสุภัททปริพาชกว่า ไปเถิด สุภัททะ

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทานโอกาสแก่ท่าน. สุภัททปริพาชกจึงเข้าไปเฝ้าพระ-

ผู้มีพระภาคเจ้า ชื่นชมกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ให้ถ้อยคำเป็นที่ชื่นชมให้ระลึก

ถึงกันผ่านพ้นไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. สุภัททปริพาชกกราบทูล

พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมณพราหมณ์เหล่าใด เป็น

เจ้าหมู่ เป็นเจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มียศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนเป็น

อันมากสมมติว่าเป็นคนดี คือ บูรณกัสสปะ มักขลิโคสาละ อชิตเกสกัมพละ

ปกุธกัจจายนะ สัญชยเวลัฎฐบุตร นิครณฐนาฎบุตร สมณพราหมณ์เหล่านั้น

ทั้งหมดตรัสรู้แล้ว ตามปฏิญญาของตน หรือทั้งหมดไม่ได้ตรัสรู้ หรือว่าบาง

พวกไม่ได้ตรัสรู้. อย่าเลยสุภัททะข้อนั้นหยุดไว้ก่อน. . .

ทรงแสดงธรรมแก่สุภัททะ

เราจะแสดงธรรมแก่ท่าน ท่านจงฟังธรรมนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว.

สุภัททปริพาชกทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. พระผู้มีพระภาค-

เจ้าตรัสว่า ดูก่อนสุภัททะ. อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ หาไม่ได้ในธรรม

วินัยใด แม้สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็หาไม่ได้ในธรรมวินัยนั้น

สุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ หาได้ในธรรมวินัยใด แม้สมณะที่ ๑

ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ หาได้ในธรรมวินัยนั้น สุภัททะ อริยมรรคอันประกอบด้วย

องค์ ๘ หาได้ในธรรมวินัยนี้ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็มีอยู่ในธรรม

วินัยนี้ ลัทธิอื่น ๆ ว่างจากสมณะผู้รู้ สุภัททะ ก็ภิกษุเหล่านี้ พึงอยู่โดยชอบ

โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย.

[๑๓๙] ดูก่อนสุภัททะเรามีวัย ๒๙ ปีบวชแล้ว

แสวงหาว่าอะไรเป็นกุศล ตั้งแต่เราบวชแล้ว

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 319

นับได้ ๕๑ ปี แม้สมณะเป็นไปในประเทศแห่ง

ธรรมเป็นเครื่องนำออก ไม่มีในภายนอกแต่

ธรรมวินัยนี้.

สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ไม่มี ลัทธิอื่นว่างจากสมณะผู้รู้. สุภัททะ

ภิกษุเหล่านั้นพึงอยู่โดยชอบ โลกไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย.

ติตถิยปริวาส

[๑๔๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว สุภัททปริพาชก

กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่ม

แจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก บุคคลหงาย

ของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืด

ผู้มีจักษุจักเห็นรูปฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรม โดยอเนก

ปริยายฉันนั้นเหมือนกัน ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า พระธรรม

พระภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา อุปสมบทในสำนักของ

พระผู้มีพระภาคเจ้า.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนสุภัททะ ผู้ใดเคยเป็นอัญญเดียรถีย์

หวังบรรพชาอุปสมบทในธรรมวินัยนี้ ผู้นั้นต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน. ต่อล่วง ๔

เดือนแล้ว ภิกษุทั้งหลายมีจิตยินดีแล้ว จึงให้บรรพชาอุปสมบทเพื่อความเป็น

ภิกษุ แต่ว่าเรารู้บุคคลต่างกันในข้อนี้. สุภัททปริพาชกกราบทูลว่า ข้าแต่

พระองค์ผู้เจริญ หากผู้เคยเป็นอัญญเดียรถีย์ หวังบรรพชาอุปสมบทในธรรม

วินัยนี้ จะต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน ต่อล่วง ๔ เดือนแล้ว ภิกษุทั้งหลายมีจิต

ยินดีแล้ว จึงให้บรรพชาอุปสมบทเพื่อความเป็นภิกษุ ข้าพระองค์จักอยู่ปริวาส

๔ ปี ต่อล่วง ๔ ปีแล้ว ขอภิกษุทั้งหลายมีจิตยินดีแล้ว จงให้บรรพชาอุปสม-

บทเพื่อความเป็นภิกษุเถิด.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 320

สุภัททสำเร็จอรหัต

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อน

อานนท์ ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้สุภัททปริพาชกบวชเถิด. ท่านพระอานนท์ทูลรับ

พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. สุภัททปริพาชกได้กล่าวกะท่านพระ-

อานนท์ว่า ดูก่อนท่านอานนท์ผู้มีอายุ ลาภของท่าน ท่านได้ดีแล้ว ที่พระศาสดา

ทรงอภิเษกด้วยอันเตวาสิกาภิเษก ที่เฉพาะพระพักตร์ในพระศาสนานี้. สุภัทท-

ปริพาชก ได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว. ก็ท่าน

สุภัททะอุปสมบทแล้วไม่นาน หลีกออกไปอยู่แต่ผู้เดียวเป็นผู้ไม่ประมาท มี

ความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่ไม่ช้านานนัก ทำให้แจ้งที่สุดพรหมจรรย์อัน

ยอดเยี่ยมที่กุลบุตรทั้งหลาย ผู้มีความต้องการออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต

โดยชอบด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในทิฏฐธรรมเข้าถึงอยู่ รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว

พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้

มี. ท่านสุภัททะรูปหนึ่งได้เป็นพระอรหันต์. ท่านเป็นสักขิสาวกองค์สุดท้าย

ของพระผู้มีพระภาคเจ้า.

จบภาณวารที่ ๕

ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์

[๑๔๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า

ดูก่อนอานนท์ บางที่พวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วง

แล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมก็ดี

วินัยก็ดีอันใดอันเราแสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัย

อันนั้นจักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเราดูก่อนอานนท์ บัดนี้

พวกภิกษุเรียกกันและกันด้วยวาทะว่า อาวุโสฉันใด โดยล่วงไปแห่งเรา ไม่ควร

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 321

เรียกกันฉันนั้น ภิกษุผู้แก่กว่า พึงเรียกภิกษุผู้อ่อนกว่าโดยชื่อหรือโดยโคตร

หรือโดยวาทะว่าอาวุโส ภิกษุผู้อ่อนกว่า พึงเรียกภิกษุผู้แก่กว่าว่า ภนฺเต หรือ

อายสฺมา ดูก่อนอานนท์ ถ้าสงฆ์ปรารถนาจะถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างจง

ถอนเถิด โดยล่วงไปแห่งเรา พึงลงพรหมทัณฑ์แก่ฉันนภิกษุ โดยล่วงไปแห่ง

เรา. ท่านพระอานนท์กราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พรหมทัณฑ์

เป็นไฉน. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ฉันนภิกษุพึงพูดได้ตามที่ตนปรารถนา

ภิกษุทั้งหลายไม่พึงว่า ไม่พึงโอวาท ไม่พึงสั่งสอน.

[๑๔๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

มรรค หรือในข้อปฏิบัติจะพึงมีแก่ภิกษุแม้รูปหนึ่ง พวกเธอจงถามเถิด อย่าได้มี

ความร้อนใจภายหลังว่า พระศาสดาอยู่เฉพาะหน้าเราแล้ว เรายังมิอาจทูลถาม

พระผู้มีพระภาคเจ้าที่เฉพาะพระพักตร์. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว

พวกภิกษุเหล่านั้นก็พากันนิ่งอยู่. แม้ครั้งที่สอง. . . แม้ครั้งที่สามภิกษุเหล่านั้น

ก็พากันนิ่งอยู่.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย

บางทีพวกเธอไม่ถามแม้เพราะความเคารพในพระศาสดา แม้ภิกษุผู้เป็นสหาย

จงบอกแก่ภิกษุผู้สหายเถิด. เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ แล้วพวกภิกษุ

เหล่านั้นก็พากันนิ่งอยู่ ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์ ไม่เคยมีมาแล้ว ข้าพระองค์เลื่อมใสในภิกษุ

สงฆ์อย่างนี้ว่า ความสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค

หรือในข้อปฏิบัติไม่มีแม้แก่ภิกษุรูปหนึ่ง ในภิกษุสงฆ์หมู่นี้. ดูก่อนอานนท์

เธอพูดเพราะความเลื่อมใส ตถาคตหยั่งรู้ในข้อนี้เหมือนกันว่า ความสงสัย

เคลือบแคลงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มรรค หรือข้อปฏิบัติไม่มีแม้

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 322

แก่ภิกษุรูปหนึ่ง ในภิกษุสงฆ์หมู่นี้. บรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ ภิกษุรูปที่

ต่ำที่สุด ก็เป็นโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันจะตรัสรู้ใน

ภายหน้า.

พระปัจฉิมวาจา

[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม

ไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด. นี้เป็นพระ-

ปัจฉิมวาจาของพระตถาคต.

ปรินิพพาน

[๑๔๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าปฐมฌาน ออกจาก

ปฐมฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว เข้าตติยฌาน ออกจาก

ตติยฌานแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญ-

จายตนะ ออกจากอากาสานัญจายตสมาบัติแล้ว เข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจาก

วิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญา-

ยตนะสมาบัติแล้ว เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญา-

ยตนสมบัติแล้ว ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ.

ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่า พระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วหรือ ท่านพระอนุรุทธะกล่าวว่า อานนท์ผู้มีอายุ

พระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่เสด็จปรินิพพานทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ

แล้ว เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว

เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนะสมาบัติแล้ว เข้าวิญญาณัญจา-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 323

ยตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าอากาสานัญจายตนะ ออก

จากอากาสานัญจายตนสมาบัติแล้ว เข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว

เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว

เข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว เข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว

เข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว เข้าจตุตถฌาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

ออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับ (แห่งการพิจารณาองค์

จตุตถฌานนั้น).

[๑๘๕] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว พร้อมกับการปริ-

นิพานได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ เกิดความขนพองสยองเกล้าน่าพึงกลัว ทั้งกลอง

ทิพย์ก็บันลือขึ้น.

พรหมกล่าวสังเวคธรรม

[๑๔๖] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว พร้อมกับปรินิพพาน

ท้าวสหัมบดีพรหมได้กล่าวคาถานี้ว่า

สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จักต้องทอด-

ทิ้งร่างกายไว้ในโลก แต่พระตถาคตผู้เป็น

ศาสดาเช่นนั้น หาบุคคลจะเปรียบเทียบ

มิได้ในโลก เป็นพระสัมพุทธเจ้า ทรงมี

พระกำลัง ยังเสด็จปรินิพพาน.

[๑๔๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว พร้อมกับปรินิพ-

พาน ท้าวลักกจอมเทพ ได้ตรัสพระคาถาว่า

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีความ

เกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา ย่อมเกิด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 324

ขึ้นและดับไป ความเข้าไปสงบสังขารเหล่า

นั้นได้เป็นสุข.

[๑๔๘] . . .ท่านพระอนุรุทธะ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า

ลมอัสสาสะปัสสาสะของพระมุนีผู้มี

พระทัยตั้งมั่น คงที่ ไม่หวั่นไหว ปรารภ

สันติทำกาละมิได้มีแล้ว.

พระองค์มีพระทัยไม่หดหู่ ทรงอด-

กลั้นเวทนาได้แล้ว ความพ้นแห่งจิตได้มี

แล้ว เหมือนดวงประทีปดับไปฉะนี้.

[๑๔๙] . . .ท่านพระอานนท์ ได้กล่าวคาถานี้ว่า

เมื่อพระสัมพุทธเจ้า ประกอบด้วย

อาการอันประเสริฐทั้งปวง ปรินิพพาน

แล้ว ในครั้งนั้นได้เกิดอัศจรรย์ น่าพึงกลัว

และเกิดความขนพองสยองเกล้า.

[๑๕๐] เมื่อพระผู้มีภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว บรรดาภิกษุเหล่านั้น

พวกภิกษุยังมีราคะไม่ไปปราศแล้ว บางพวกประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่

ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนเท้าขาด รำพันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพาน

เร็วนัก พระสุคตปรินิพพานเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลกอันตรธาน

เร็วนัก. ส่วนพวกภิกษุที่มีราคะไปปราศแล้ว มีสติสัมปชัญญะอดกลั้นอยู่ว่า

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ ข้อนั้น จะหาได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน.

[๑๕๑] ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธะเตือนภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยผู้มี

อายุทั้งหลาย พวกท่านอย่าเศร้าโศกอย่าร่ำไรไปเลย เรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสบอกไว้ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่าง ๆ ความพลัดพราก ความ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 325

เป็นอย่างอื่นจากสิ่งและบุคคลอันเป็นที่รักที่ชอบใจทั้งสิ้นต้องมี ข้อนั้น จะหาได้

ได้ในสิ่งและบุคคลอันเป็นที่รักที่ชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้วมีแล้วปัจจัย

ปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา ความปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำ

ลายไปเลยดังนี้ ไม่เป็นฐานที่จะมีได้ พวกเทวดาพากันยกโทษอยู่. ท่านพระ-

อานนท์ถามว่า ท่านอนุรุทธะ พวกเทวดาการทำไว้ในใจเป็นอย่างไร. พระ

อนุรุทธะตอบว่า อานนท์ มีเทวดาบางพวกสำคัญอากาศว่าเป็นแผ่นดิน สยายผม

ประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนเท้าขาดแล้ว

รำพันว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานเร็วนัก พระสุคตปรินิพพานเร็วนัก

พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลกอันตรธานเร็วนัก มีเทวดาบางพวกสำคัญแผ่นดินว่า

เป็นแผ่นดินสยายผมคร่ำครวญอยู่. . .อันตรธานเร็วนัก. ส่วนเทวดาที่ปราศ

จากราคะแล้ว มีสติสัมปชัญญะอดกลั้นอยู่ว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ

ข้อนั้นจะหาได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน.

ลำดับนั้น ท่านอนุรุทธะและท่านพระอานนท์ยังราตรีที่เหลือนั้น ให้

ล่วงไปด้วยธรรมีกถา. ท่านพระอนุรุทธะสั่งท่านพระอานนท์ว่า ไปเถิด อานนท์

ท่านจงเข้าไปเมืองกุสินารา บอกแก่พวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราว่า ดูก่อน

วาสิฏฐะทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ขอพวกท่านจงทราบกาล

อันควรในบัดนี้เถิด. ท่านพระอานนท์รับคำท่านพระอนุรุทธะแล้ว เวลา

เช้านุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปเมืองกุสินาราลำพังผู้เดียว.

แจ้งข่าวปรินิพพาน

[๑๕๒] สมัยนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ประชุมกันที่สัณฐคาร

ด้วยเรื่องพระนิพพานนั้น. ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ไปยังสัณฐาคารของเจ้า

มัลละเมืองกุสินารา ได้บอกแก่เจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า ดูก่อนวาสิฏฐะทั้งหลาย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 326

พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงสำคัญกาลอันควร

ในบัดนี้เถิด. เจ้ามัลละ โอรส สุณิสา และปชาบดีฟังคำนี้ของท่านพระอานนท์

แล้ว มีความทุกข์ เสียพระทัยเปี่ยมด้วยทุกข์ใจ บางพวกสยายผมประคอง

พระหัตถ์ทั้งสองคร่ำครวญ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาเหมือนมีพระบาทขาดแล้ว

ทรงรำพันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานเร็วนัก พระสุคตปรินิพพานเร็วนัก

พระองค์ผู้มีจักษุในโลกอันตรธานเร็วนัก.

ครั้งนั้น เจ้ามัลละเมืองกุสินารารับสั่งกะพวกบุรุษว่า พวกท่านจง

เตรียมของหอมดอกไม้ และเครื่องดนตรีทุกชนิดในเมืองกุสินาราให้พร้อม.

เจ้ามัลละเมืองกุสินารา ถือเอาของหอมดอกไม้เครื่องดนตรีทุกชนิดและผ้า

๕๐๐ คู่ เสด็จไปยังสาลวันอันเป็นที่แวะพักของพวกเจ้ามัลละ เสด็จเข้าถึงสรีระ

ของพระผู้มีพระภาคเจ้า สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระของพระผู้มี

พระภาคเจ้าด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม ของหอม ดอกไม้ ดาดเพดานผ้า

ตกแต่งโรงมณฑล ยังวันนั้นให้ล่วงไปด้วยประการอย่างนี้. พวกเจ้ามัลละมี

พระดำริว่า การถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าในวันนี้หมด

เวลาเสียแล้ว พรุ่งนี้พวกเราจักถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า.

พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระของพระ

ผู้มีพระภาคเจ้าด้วยการฟ้อนรำ ขับร้องประโคม ของหอมดอกไม้ ดาดเพดานผ้า

ตกแต่งโรงมณฑล ยังวันแม้ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ที่ ๖ ให้ล่วงไปแล้ว

ครั้นถึงวันที่ ๗ พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารามีพระดำริว่า พวกเราสักการะ

เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยการฟ้อนรำขับร้อง

ประโคม ของหอมดอกไม้ จักเชิญไปทางทิศทักษิณแห่งพระนครเชิญไปภาย

นอกพระนคร ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทางทิศทักษิณ

แห่งพระนคร.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 327

มัลลปาโมกข์ ๘

[๑๕๓] สมัยนั้น มัลลปาโมกข์ ๘ องค์ สระสรงเกล้าแล้วทรงนุ่งผ้า

ใหม่ด้วยทรงดำริว่า เราจักยกพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมไม่อาจจะยก

ขึ้นได้. พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินราได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่า ท่านอนุรุทธะ

อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย มัลลปาโมกข์ ๘ องค์นี้ ผู้สระสรง

เกล้าแล้ว ทรงนุ่งผ้าใหม่ด้วยดำริว่า เราจักยกพระสรีระของพระผู้มีพระภาคจ้า

ย่อมไม่อาจยกขึ้นได้. พระอนุรุทธะกล่าวว่า ดูก่อนวาสิฏฐะทั้งหลาย พวกท่าน

มีความประสงค์อย่างหนึ่ง พวกเทวดามีความประสงค์อย่างหนึ่ง. เจ้ามัลละกาม

ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกเทวดามีความประสงค์อย่างไร.

พระอนุรุทธะกล่าวว่า ดูก่อนวาสิฏฐะทั้งหลาย พวกท่านมีความประสงค์

ว่า เราสักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการ

ฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม ดอกไม้ ของหอม จักเชิญไปทางทิศทักษิณแห่งพระ

นคร แล้วเชิญไปภายนอกพระนคร ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระ

ภาคเจ้า ทางทิศทัณษิณแห่งพระนคร เทวดามีความประสงค์ว่า เราสักการะ

เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง

ประโคม ดอกไม้ ของหอม อันเป็นทิพย์จักเชิญไปทางทิศอุดรแห่งพระนคร

แล้วเข้าสู่พระนครโดยทวารทิศอุดร เชิญไปท่ามกลางพระนคร แล้วออกโดย

ทวารทิศบูรพา แล้วถวายพระเพลิงพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่มกุฏ-

พันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ทางทิศบูรพาแห่งพระนคร. เจ้ามัลละกล่าวว่า

ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของพวกเทวดาเถิด.

สมัยนั้น เมืองกุสินาราดารดาษไปด้วยดอกมณฑารพ โดยถ่องแถวประมาณ

แค่เข่า จนตลอดที่ต่อแห่งเรือนบ่อของโสโครกและกองหยากเยื่อ ครั้งนั้น

พวกเทวดาและพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 328

สรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม ดอกไม้ ของ

หอม ทั้งที่เป็นทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เชิญไปทางทิศอุดรแห่งพระนคร

แล้วเชิญไปสู่พระนครโดยทวารทิศอุดร เชิญไปท่ามกลางพระนคร แล้วออก

ไปโดยทวารทิศบูรพา แล้ววางพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ มกุฏพันธน

เจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ทางทิศบูรพาแห่งพระนคร. ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละ

ได้ถามท่านพระอานนท์ว่า พวกข้าพเจ้าจะพึงปฏิบัติในพระสรีระของพระตถาคต

อย่างไร. ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ดูก่อนวาสิฏฐะทั้งหลาย พวกท่านพึงปฏิบัติ

ในพระสรีระพระตถาคต เหมือนที่เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิ

ฉะนั้น. เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิเป็นอย่างไรเล่า.

ดูก่อนวาสิฏฐะทั้งหลาย เขาห่อพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิด้วย

ผ้าใหม่ แล้วซับด้วยสำลี แล้วห่อด้วยผ้าใหม่ โดยอุบายนี้ห่อพระสรีระของ

พระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้า ๕๐๐ คู่แล้ว เชิญพระสรีระลงในรางเหล็กอันเต็ม

ด้วยน้ำมันครอบด้วยรางเหล็กอื่น แล้วกระทำจิตกาธานด้วยไม้หอมทุกชนิด

ถวายพระเพลิงพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว สร้างพระสถูปของพระเจ้า

จักรพรรดิไว้ที่ที่ทางใหญ่ ๔ แพร่ง เขาปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิ

ด้วยประการฉะนี้แล พวกท่านพึงปฏิบัติในพระสรีระพระตถาคต เหมือนที่เขา

ปฏิบัติในพระสรีระของพระเจ้าจักรพรรดิฉะนั้น พึงสร้างพระสถูปพระตถาคต

ไว้ในหนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ชนเหล่าใดจักยกขึ้นซึ่งพวงมาลัยของหอมหรือจุณ

จักอภิวาท หรือจักยังจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น ข้อนั้นจักเป็นไปเพื่อ

ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่ชนเหล่านั้นตลอดกาลนาน.

ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารารับสั่งกะพวกบุรุษว่า ดูก่อน

พนาย ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงเตรียมสำลีไว้พร้อมเถิด. พวกเจ้ามัลละเมือง

กุสินาราห่อพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยผ้าใหม่ แล้วซับด้วยสำลี แล้วห่อ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 329

ด้วยผ้าใหม่โดยอุบายนี้ ห่อพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยผ้า ๕๐๐ คู่ แล้ว

เชิญลงในรางเหล็กอันเต็มด้วยน้ำมัน ครอบด้วยรางเหล็กอื่น แล้วกระทำจิต

กาธานด้วยไม้หอมทุกชนิด แล้วจึงเชิญพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าขึ้นสู่

จิตกาธาน.

เรื่องพระมหากัสสปเถระ

[๑๕๔] สมัยนั้น พระมหากัสสปะพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประ-

มาณ ๕๐๐ รูป เดินทางจากเมืองปาวาสู่เมืองกุสินารา. ลำดับนั้น ท่านมหา

กัสสปะแวะออกจากทางแล้วนั่งพักที่โคนไม้ต้นหนึ่ง.

สมัยนั้น อาชีวกคนหนึ่ง ถือดอกมณฑารพในเมืองกุสินาราเดินทางไกล

มาสู่เมืองปาวา. ท่านมหากัสสปะได้เห็นอาชีวกนั้นมาแต่ไกล จึงถามอาชีวก

นั้นว่า ดูก่อนผู้มีอายุ ท่านยังทราบข่าวพระศาสดาของเราบ้างหรือ. อาชีวกตอบ

ว่า เราทราบอยู่ พระสมณโคดมปรินิพพานได้ ๗ วัน เข้าวันนี้ นี้ดอกมณฑารพ

เราถือมาแต่ที่นั้น บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใดยังไม่ปราศจากราคะ

ภิกษุเหล่านั้นบางพวกประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมา

เหมือนเท้าขาดแล้ว รำพันว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานเร็วนัก พระสุคต

ปรินิพพานเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลกอันตรธานเร็วนัก. ส่วนภิกษุ

เหล่าใดปราศจากราคะ ภิกษุเหล่านั้นมีสติสัมปชัญญะอดกลั้นอยู่ว่า สังขาร

ทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ ข้อนั้นจะหาได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน.

เรื่องสุภัททวุฑฒบรรพชิต

[๑๕๕] สมัยนั้น บรรพชิตผู้บวชเมื่อแก่ชื่อสุภัททะ นั่งอยู่ในบริษัท

นั้น. สุภัททวุฑฒบรรพชิตได้กล่าวกะพวกภิกษุว่า อย่าเลยผู้มีอายุ พวกท่าน

อย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย เราพ้นดีแล้ว ด้วยว่าพระมหาสมณะนั้นเบียด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 330

เบียนพวกเราอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอ ก็บัดนี้พวกเรา

ปรารภในสิ่งใด ก็จักกระทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใด ก็จักไม่กระทำสิ่งนั้น.

ลำดับนั้น พระมหากัสสปะเตือนภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยผู้มีอายุ พวก

ท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสสอนไว้อย่างนี้

ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่าง ๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น

จากสิ่งและบุคคลเป็นที่รักที่ชอบทั้งหมดต้องมี ข้อนั้นจะหาได้ในสิ่งและบุคคล

ที่รักที่ชอบใจนี้แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความ

ทำลายเป็นธรรมดา ความปรารถนาว่าขอสิ่งนี้ อย่าทำลายไปเลยดังนี้ ไม่เป็น

ฐานะที่จะมีได้.

มัลลปาโมกข์ ๔

[๑๕๖] สมัยนั้น มัลลปาโมกข์ ๔ องค์ สระสรงเกล้าแล้วทรงนุ่งผ้า

ใหม่ด้วยดำริว่า เราจักยังไฟให้ติดจิตกาธารของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ย่อมไม่

อาจให้ติดได้. ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราได้ถามท่านพระอนุรุทธะ

ว่า ท่านอนุรุทธะอะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย ที่มัลลปาโมกข์

๔ องค์เหล่านี้ ผู้สระสรงเกล้าแล้วทรงนุ่งผ้าใหม่ด้วยดำริว่า เราจักยังไฟให้

ติดจิตกาธาร ย่อมไม่อาจให้ติดได้. ท่านพระอนุรุทธะกล่าวว่า ดูก่อนวาสิฏฐะ

ทั้งหลาย พวกเทวดามีความประสงค์อย่างหนึ่ง. มัลลปาโมกข์ถามว่า ข้าแต่ท่าน

ผู้เจริญ พวกเทวดามีความประสงค์อย่างไร. ท่านพระอนุรุทธะตอบว่า

พวกเทวดามีความประสงค์ว่า ท่านพระมหากัสสปะนี้ พร้อมด้วยภิกษุ

สงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เดินทางไกลจากเมืองปาวามาสู่เมืองกุสินารา

จิตกาธารของพระผู้มีพระภาคเจ้าจักยังไม่ลุกโพลงขึ้น จนกว่าท่านพระมหา

กัสสปะจะถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยมือของตน.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 331

มัลลปาโมกข์กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของ

พวกเทวดาเถิด.

ถวายพระเพลิง

ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปะเข้าไปถึงมกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้า

มัลละในเมืองกุสินารา และถึงจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ครั้นเข้า

ไปแล้ว กระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่งประนมอัญชลี กระทำประทักษิณจิต

กาธาน ๓ รอบ แล้วเปิดทางพระบาท ถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มี

พระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า. แม้ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้น กระทำจีวรเฉวียงบ่า

ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณ ๓ รอบแล้ว ถวายบังคมพระบาททั้งสอง

ของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า. เมื่อท่านพระมาหากัสสปะและภิกษุ ๕๐๐

รูปนั้นถวายบังคมแล้ว จิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็โพลงขึ้นเอง. เมื่อ

พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกเพลิงไหม้อยู่ พระอวัยวะส่วนใด คือ

พระฉวี พระจัมมะ พระมังสะ พระนหารุ หรือพระลสิกา เถ้าเขม่าแห่งพระ

อวัยวะส่วนนั้น มิได้ปรากฏเลย เหลืออยู่แต่พระสรีระอย่างเดียว. เมื่อเนยใส

และน้ำมันถูกเพลิงไหม้อยู่ เถ้าเขม่ามิได้ปรากฏฉันใด เมื่อพระสรีระของพระ

ผู้มีพระภาคเจ้าถูกเพลิงไหม้อยู่. . .เหลืออยู่แต่พระสรีระอย่างเดียวฉันนั้นเหมือน

กัน. บรรดาผ้า ๕๐๐ คู่ เหล่านั้น เพลิงไหม้เพียง ๒ ผืนเท่านั้น คือผืนในที่

สุดกับผืนนอก. เมื่อพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกเพลิงไหม้แล้ว ท่อน้ำ

ก็ไหลหลั่งมาจากอากาศดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้า. น้ำพุ่งขึ้นแม้จาก

ไม้สาละ ดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา

ดับจิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยน้ำหอมทุกชนิด. ลำดับนั้น พวกเจ้า

มัลละเมืองกุสินารา ทำสัตติบัญชร ในสัณฐาคาร แวดล้อมด้วยธนูปราการ

สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าตลอด ๗ วัน

ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม ดอกไม้ ของหอม.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 332

เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นต้น

[๑๕๗] พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรู เวเทหิบุตรได้

ทรงสดับแล้วว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ในเมืองกุสินารา จึงทรง

ส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เป็นกษัตริย์ แม้

เราก็เป็นกษัตริย์ เราควรจะได้ส่วนพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง จักได้

ทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า. พวกกษัตริย์ลิจฉวี

เมืองเวสาลีได้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วในเมืองกุสินารา.

จึงทรงส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ากษัตริย์

แม้เราก็เป็นกษัตริย์ เราควรจะได้ส่วนพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง เรา

ก็จักได้ทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า. พวกกษัตริย์

ศากยะกบิลพัสดุ์ได้สดับว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานในเมืองกุสินารา

จึงทรงส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นพระ

ญาติอันประเสริฐของพวกเรา. . . พวกกษัตริย์ถูลีเมืองอัลลกัปปะ. . . พระผู้มี

พระภาคเจ้าเป็นกษัตริย์ . . . แม้เราก็เป็นกษัตริย์. . . พวกกษัตริย์โกลิยะเมือง

รามคาม . . .พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นกษัตริย์ แม้เราก็เป็นกษัตริย์. . .พราหมณ์

ผู้ครองเมืองเวฏฐทีปะ . . . พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เป็นกษัตริย์ แม้เราก็เป็น

พราหมณ์. . . พวกกษัตริย์มัลละเมืองปาวา ได้ทรงสดับแล้วว่าพระผู้มีพระ

ภาคเจ้า ปรินิพพานในเมืองกุสินารา จึงทรงส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมือง

กุสินาราว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เป็นกษัตริย์ แม้เราก็เป็นกษัตริย์ เราควร

จะได้ส่วนพระสรีระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง จักได้กระทำพระสถูปและการฉลอง

พระสรีระพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อกษัตริย์และพราหมณ์กล่าวแล้วอย่างนี้ พวก

เจ้ามัลละเมืองกุสินาราได้ตรัสกะหมู่ คณะเหล่านั้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า

ปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา พวกเราจักไม่ให้ส่วนพระสรีระพระผู้มีพระ

ภาคเจ้า.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 333

เรื่องโทณพราหมณ์

[๑๕๘] เมื่อพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราตรัสอย่างนี้แล้ว โทณ-

พราหมณ์ได้พูดกะหมู่คณะเหล่านั้นว่า

ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอพวก

ท่านจงฟังคำอันเอกของข้าพเจ้า พระพุทธ

เจ้าของเราทั้งหลาย เป็นผู้กล่าวสรรเสริญ

ขันติ การจะสัมปหารกันเพราะส่วนพระ

สรีระธาตุของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นอุดม

บุคคลเช่นนี้ ไม่ดีเลย.

ขอเราทั้งหลายทั้งปวง จงยินยอม

พร้อมใจยินดีแบ่งพระสรีระออกเป็น ๘

ส่วนเถิด ขอพระสถูปจงแพร่หลายไปใน

ทิศทั้งหลาย ชนผู้เลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้า

ผู้มีพระจักษุมีอยู่มาก.

การแบ่งพระสรีระธาตุ

[๑๕๙] หมู่คณะเหล่านี้กล่าวว่า ข้าแต่พราหมณ์ ถ้าเช่นนั้นขอท่าน

นั่นแหละ. จงแบ่งพระสรีระธาตุพระผู้มีพระภาคเจ้าออกเป็น ๘ ส่วนเท่า ๆ กัน

ให้เรียบร้อยเถิด. โทณพราหมณ์รับคำของหมู่คณะเหล่านั้นแล้ว แบ่งพระสรีระ-

ธาตุพระผู้มีพระภาคเจ้าออกเป็น ๘ ส่วนเท่ากันเรียบร้อย จึงกล่าวกะหมู่คณะ

เหล่านั้นว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอพวกท่านจงให้ทะนานนี้แก่ข้าพเจ้า

เถิด ข้าพเจ้าจักการทำพระสถูปและการฉลองทะนานบ้าง. ทูตเหล่านั้นได้ให้

ทะนานแก่โทณพราหมณ์.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 334

[๑๖๐] พวกเจ้าโมริยะเมืองปิปผลิวันได้สดับว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า

ปรินิพพานในเมืองกุสินารา จึงทรงส่งทูตไปหาพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เป็นกษัตริย์ แม้เราก็เป็นกษัตริย์ เราควรจะได้ส่วนพระ

สรีระธาตุพระผู้มีพระภาคเจ้าบ้าง จักได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระ

ธาตุพระผู้มีพระภาคเจ้า. พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารากล่าวว่า ส่วนพระสรีระ

ธาตุพระผู้มีพระภาคเจ้าไม่มี เราได้แบ่งพระสรีระธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้า

เสียแล้ว ขอพวกท่านจงนำพระอังคารไปแต่ที่นี้เถิด. พวกทูตนั้นนำพระอังคาร

ไปจากที่นั้นแล้ว.

[๑๖๑] ครั้งนั้น พระเจ้าแผ่นดินมคธพระนามว่าอชาตศัตรูเวเทหิ-

บุตร ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระสรีระธาตุพระผู้มีพระภาคเจ้าในกรุง

ราชคฤห์. พวกกษัตริย์ลิจฉวีเมืองเวสาลี ได้กระทำพระสถูป . . . ในเมือง

เวสาลี. พวกกษัตริย์ศากยะเมืองกบิลพัสดุ์ ได้กระทำพระสถูป. . . ในเมือง

กบิลพัสดุ์. พวกกษัตริย์ถูลีเมืองอัลลกัปปะ ได้กระทำพระสถูป. . . ในเมือง

อัลลกัปปะ. พวกกษัตริย์โกลิยะเมืองรามคาม ได้กระทำพระสถูป. . .ในเมือง

รามคาม. พราหมณ์ผู้ครองเมืองเวฏฐทีปะ ได้กระทำพระสถูป. . .ในเมือง

เวฏฐทีปะ. พวกเจ้ามัลละเมืองปาวา ได้กระทำพระสถูป. . .ในเมืองปาวา. พวก

เจ้ามัสละเมืองกุสินารา ได้กระทำพระสถูป . . .ในเมืองกุสินารา. โทณพรา-

หมณ์ได้กระทำพระสถูปและการฉลองทะนาน. พวกกษัตริย์โมริยะเมืองปิปผลิ-

วัน ได้กระทำพระสถูปและการฉลองพระอังคารในเมืองปิปผลิวัน.

พระสถูปบรรจุพระสรีระธาตุมี ๘ แห่ง เป็น ๙ แห่งทั้งบรรจุทะนาน

เป็น ๑๐ แห่งทั้งพระสถูปบรรจุพระอังคารด้วยประการฉะนี้ การแจกพระธาตุ

และการก่อพระสถูปเช่นนี้ เป็นแบบอย่างมาแล้ว.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 335

พุทธสารีริกธาตุ

[๑๖๒] พระสรีรธาตุของพระพุทธเจ้าผู้มี

พระจักษุ ๘ ทะนาน ๗ ทะนาน บูชากัน

อยู่ในชมพูทวีป ส่วนพระสรีรธาตุอีก

ทะนานหนึ่งของพระพุทธเจ้า ผู้เป็นบุรุษ

ที่ประเสริฐอันสูงสุด พวกนาคราชบูชากัน

อยู่ในรามคาม.

พระเขี้ยวแก้วองค์หนึ่งเทวดาชั้นดาว

ดึงส์บูชาแล้ว ส่วนอีกองค์หนึ่ง บูชากันอยู่

ในคันธารปุระ อีกองค์หนึ่งบูชากันอยู่ใน

แคว้นของพระเจ้ากาลิงคะ อีกองค์หนึ่ง

พระยานาคบูชากันอยู่.

ด้วยพระเดชแห่งพระสรีรธาตุนั่น

แหละ แผ่นดินประดับแล้วด้วยนักพรตผู้

ประเสริฐที่สุด พระสรีรธาตุของพุทธ-

เจ้าผู้มีจักษุนี้ ชื่อว่าอันเขาสักการะ ๆ สัก-

การะดีแล้ว.

พระพุทธเจ้าพระองค์ใดอันจอมเทพ

พญานาคและจอมนระ บูชาแล้ว อันจอม

มนุษย์ผู้ประเสริฐสุดบูชาแล้วเหมือนกัน

ขอท่านทั้งหลายจงประนมมือถวายบังคม

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 336

พระสรีรธาตุนั้น ๆ ของพระพุทธเจ้าพระ

องค์นั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายหาได้ยาก

โดยร้อยแห่งกัป.

พระทนต์ ๔๐ องค์บริบูรณ์ พระ

เกศา และพระโลมาทั้งหมด พวกเทวดา

นำไปองค์ละองค์นำสืบต่อกันในจักรวาล

ดังนี้แล.

จบมหาปรินิพพานสูตรที่ ๓

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 337

อรรถกถามหาปรินิพพานสูตร

มหาปรินิพพานสูตร เริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้.

พรรณนาความตามลำดับบทในมหาปรินิพพานสูตรนั้น ดังต่อไปนี้.

บทว่า คิชฺฌกูเฏ ความว่า บนภูเขาชื่อว่า คิชฌกูฏ เพราะมีฝูงแร้งอยู่บนยอด

หรือมียอดคล้ายแร้ง. บทว่า อภิยาตุกาโม ได้แก่มีพระประสงค์จะเสด็จยาตรา-

ทัพยึดแคว้นวัชชี. บทว่า วชฺชี ได้แก่เหล่าเจ้าวัชชี. บทว่า เอว มหิทฺธิเก

ได้แก่ประกอบด้วยราชฤทธิ์ใหญ่อย่างนี้. พระเจ้าอชาตศัตรู ตรัสถึงภาวะที่

เจ้าวัชชีเหล่านั้นสามัคคีกัน ด้วยพระดำรัสนี้. บทว่า เอว มหานุภาเว ได้แก่

ประกอบด้วยอานุภาพมากอย่างนี้. พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสถึงภาวะที่เจ้าวัชชี

เหล่านั้น ทรงศึกษาหัตถศิลปะเป็นต้น ที่ท่านหมายเอากล่าวไว้ว่า พวกเจ้า

ลิจฉวีราชกุมารเหล่านี้ศึกษาฝึกฝนชำนาญดีแล้วหนอ ที่สามารถยิงลูกศร เข้า

ทางช่องดาลถี่ ๆ ได้ ลูกศรที่ติดพู่ทั้งใหญ่ทั้งเล็กไม่ผิดพลาดเป้าเลย. บทว่า

อุจฺเฉชฺชามิ แปลว่า จักตัดขาด. บทว่า วินาเสสฺสามิ แปลว่า จักทำให้ถึง

ความไม่ปรากฏ. ในคำว่า อนยพฺยสน นี้ ความเจริญหามิได้เหตุนั้นจึงชื่อว่า

อนยะ. คำว่า อนยะ นี้ เป็นชื่อของความไม่เจริญ ความไม่เจริญนั้น ย่อม

ขจัดทิ้งซึ่งประโยชน์เกื้อกูลและความสุข เหตุนั้นจึงชื่อว่า พยสนะ. คำว่า

พยสนะ นี้ เป็นชื่อของความเสื่อมมีเสื่อมญาติเป็นต้น. บทว่า อาปาเทสฺสามิ

แปลว่า จักให้ถึง.

ได้ยินว่า พระเจ้าอชาตศัตรูนั้น ตรัสเฉพาะการยุทธ์อย่างนี้ ในอิริยา-

บถมียืนและนั่งเป็นต้น จึงสั่งกองทัพอย่างนี้ว่า พวกเจ้าจงเตรียมยาตราทัพ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 338

เพราะเหตุไร. ได้ยินว่าตรงตำบลปัฏฏนคามตำบลหนึ่งแห่งแม่น้ำคงคา พระเจ้า

อชาตศัตรูทรงมีอำนาจกึ่งโยชน์ พวกเจ้าลิจฉวีมีอำนาจกึ่งโยชน์. อธิบายว่า

ก็ในตำบลนี้เป็นสถานที่ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจปกครอง. อีกอย่างหนึ่งในที่นั้น

สิ่งที่มีค่ามากตกจากเชิงเขา. เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูทรงทราบดังนั้นแล้ว ทรง

พระดำริว่า ไปวันนี้ ไปพรุ่งนี้ จึงตระเตรียมทันที เหล่าเจ้าลิจฉวีทรงสมัคร

สมานกันอยู่ จึงพากันไปก่อนยึดของมีค่ามากเอาไว้หมด. พระเจ้าอชาตศัตรู

เสด็จไปทีหลัง ทรงทราบเรื่องนั้น แล้วทรงกริ้ว เสด็จไป. เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น

ก็กระทำอย่างนั้นแหละแม้ในปีต่อมา. ดังนั้นพระเจ้าอชาตศัตรูจึงทรงอาฆาต

อย่างรุนแรง ได้ทรงการทำอย่างนั้นในคราวนั้น. แต่นั้นทรงดำริว่า ชื่อว่าการ

ต่อยุทธ์กับคณะเจ้าเป็นเรื่องหนัก ชื่อว่าการต่อตีที่ไร้ประโยชน์แม้ครั้งเดียวก็

มีไม่ได้ แต่เมื่อปรึกษากับบัณฑิตสักคนหนึ่งย่อมไม่พลาด. ก็บัณฑิตเช่นพระ

ศาสดา ไม่มี ทั้งพระศาสดาก็ประทับอยู่ในวิหารใกล้ ๆ นี่เอง. เอาเถิด เราจะ

ส่งคนไปทูลถาม ถ้าเราไปเอง จักมีประโยชน์อะไร พระศาสดาก็จักทรงดุษณี

ภาพ ก็เมื่อไม่เป็นประโยชน์เช่นนี้ พระศาสดาจักตรัสว่า พระราชาเสด็จไป

ในที่นั้น จะมีประโยชน์อะไร. ท้าวเธอจึงส่งวัสสการพราหมณ์ไป. พราหมณ์

ไปแล้วก็กราบทูลความข้อนั้นแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าว

ว่า อถ โข ราชา ฯ เป ฯ อาปาเทสฺสามิ วชฺชึ ดังนี้.

บทว่า ภควนฺต วีชยมาโน ความว่า พระเถระยืนถวายงานพัดพระ

ผู้มีพระภาคเจ้าตามธรรมเนียม แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงหนาวหรือทรงร้อน

ก็หามิได้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำของพราหมณ์แล้ว ไม่ทรงปรึกษา

กับพราหมณ์นั้น กลับมีประสงค์จะปรึกษากับพระเถระ จึงตรัสคำว่า กินฺติ เต

อานนฺท สุต ดังนี้เป็นอาทิ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 339

บทว่า อภิณฺหสนฺนิปาตา ความว่า ประชุมกันวันละ ๓ ครั้งบ้าง

ประชุมกันเป็นระยะบ้าง ชื่อว่า ประชุมกันเนือง ๆ. บทว่า สนฺนิปาตพหุลา

ความว่า เมื่อไม่หยุดพักว่าเมื่อวาน ก็ประชุมกันแล้ว ทั้งวันก่อนก็ประชุมกัน

แล้ว วันนี้จะประชุมกันทำไมอีก ชื่อว่า มากด้วยการประชุม. บทว่า ยาว-

กีวญฺจ แปลว่า ตลอดกาลเพียงใด. บทว่า วุฑฺฒิเยว อานนฺท วชฺชีน

ปาฏิกงฺขาโน ปริหานิ ความว่า เพราะเมื่อไม่ประชุมกันเนือง ๆ ไม่ฟังข่าว

ที่มาแต่ทุกทิศทุกทางก็ไม่รู้เรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น จากเขตบ้านหรือเขตนิคมโน้น

หรือโจรมั่วสุมในที่โน้น. แม้เหล่าโจรรู้ว่า พวกเจ้าพากันประมาท จึงปล้นบ้าน

และนิคมเป็นต้น ทำชนบทให้พินาศ. พวกเจ้าย่อมเสื่อมด้วยประการฉะนี้.

แต่เมื่อประชุมกันเนือง ๆ รู้ข่าวนั้น ๆ แต่นั้นก็จะส่งกำลังไปปราบฝ่ายที่ไม่ใช่

มิตร แม้โจรทั้งหลายรู้ว่าพวกเจ้าไม่ประมาท พวกเราก็ไม่อาจจะคุมกันเป็น

หมู่เที่ยวไปได้ แล้วก็แตกหนีไป. เจ้าทั้งหลายย่อมเจริญด้วยประการฉะนี้.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ชาววัชชีพึงหวังความเจริญถ่ายเดียว

ไม่เสื่อมเลย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปาฏิกงฺขา แปลว่า พึงปรารถนา

อธิบายว่า พึงเห็นอย่างนี้ว่า ความเจริญจักมีแน่แท้.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สมคฺคา เป็นต้น ดังนี้.

เมื่อกลองเรียกประชุมลั่นขึ้น พวกเจ้าลิจฉวีการทำการบ่ายเบี่ยงว่า

วันนี้เรามีกิจ วันนี้ มงคล ดังนี้ ชื่อว่าไม่พร้อมเพรียงกันประชุม. แต่พอได้

ยินเสียงกลอง กำลังกินก็ดี กำลังแต่งตัวก็ดี กำลังนุ่งผ้าก็ดี กินได้ครึ่งหนึ่งบ้าง

แต่งตัวได้ครึ่งหนึ่งบ้าง กำลังนุ่งผ้าบ้าง ก็เข้าประชุม ชื่อว่า พร้อมเพรียงกัน

ประชุม. ส่วนเข้าประชุมแล้ว ก็คิดก็ปรึกษากัน ทำกิจที่ควรทำ ไม่เลิกพร้อม

กัน ชื่อว่า ไม่พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม. ก็เมื่อเลิกประชุมกันอย่างนี้แล้ว

พวกที่ไปก่อนมีความคิดอย่างนี้ว่า พวกเราได้ยินแต่พูดกันนอกเรื่อง บัดนี้ จะ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 340

พูดแต่เรื่องที่มีข้อยุติ. แต่เมื่อเลิกพร้อมกัน ก็ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันเลิก. อนึ่ง

ได้ยินว่า ความวุ่นวาย หรือโจรมั่วสุมกัน แต่เขตบ้านหรือเขตนิคม ในที่โน้น

เมื่อไต่ถามกันว่า ใครจักไปกระทำการปราบฝ่ายที่ไม่ใช่มิตรเล่า ต่างชิงกัน

อาสาพูดว่า ข้าก่อน ข้าก่อน แล้วพากันไปก็ดี ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันเลิก.

แต่เมื่อการงานของเจ้าองค์หนึ่ง ต้องงดไป เหล่าเจ้าที่เหลือก็ส่งบุตรและพี่น้อง

ไปช่วยการงาน ของเจ้าองค์นั้นก็ไม่พูดกะเจ้าผู้เป็นอาคันตุกะว่า โปรดเสด็จ

ไปวังของเจ้าองค์โน้นเถิด หากสงเคราะห์พร้อมกันทั้งหมดก็ดี และเมื่องาน

มงคล โรค หรือสุขทุกข์เช่นนั้น อย่างอื่น เกิดขึ้นแก่เจ้าองค์นั้น ก็พากันไป

ช่วยเหลือในเรื่องนั้น ทั้งหมดก็ดี ชื่อว่าพร้อมเพรียงกัน กระทำกิจที่ชาววัชชี

พึงทำ.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อปญฺตฺต เป็นต้นดั่งนี้. ไม่ตั้งภาษีอากร

หรือ พลี หรืออาชญาที่ไม่เคยทำ ชื่อว่า ไม่บัญญัติข้อที่ยังไม่บัญญัติ. ส่วนใช้

ข้อที่มาโดยโบราณประเพณี ชื่อว่า ไม่ถอนข้อที่ท่านบัญญัติไว้แล้ว. เมื่อบุคคล

ถูกเขาจับมาแสดงว่าเป็นโจร. ไม่ยอมวินิจฉัย สั่งลงโทษโดยเด็ดขาดเลย ชื่อว่า

ไม่ถือวัชชีธรรมโบราณประพฤติ. เมื่อเจ้าเหล่านั้นบัญญัติข้อที่ยังไม่บัญญัติ

พวกผู้คนที่ถูกบีบคั้นด้วยภาษีใหม่เอี่ยมเป็นต้น รู้สึกว่าเราถูกบีบคั้น ใครจักอยู่

ในแคว้นของเจ้าเหล่านี้ได้ แล้วก็พากันไปชายแดนเป็นโจรบ้าง เป็นพรรคพวก

ของโจรบ้าง ปล้นชนบท. เมื่อพวกเจ้าเลิกถอนข้อที่บัญญัติไว้ ไม่เก็บภาษี

เป็นต้น ที่มีมาตามประเพณีเรือนคลังก็เสื่อมเสีย แต่นั้นกองทัพ ช้าง ม้าและ

ไพร่พล เมื่อไม่ได้วัตถุเนืองนิตย์เหมือนพนักงานต้นห้องเป็นต้น ก็จะเสื่อมทาง

กำลังใจกำลังกาย พวกเขาก็ไม่ควรจะรบ ไม่ควรจะบำรุงได้. เมื่อไม่ยึดถือวัชชี-

ธรรมโบราณประพฤติ ผู้คนในแว่นแคว้น ก็จะพากันโกรธว่า พวกเจ้าทำบุตรบิดา

พี่น้องของเราผู้ไม่เป็นโจรว่าเป็นโจรตัดทำลายกัน แล้วพากันไปชายแดน เป็น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 341

โจรบ้าง เป็นพรรคพวกของโจรบ้าง โจมตีชนบท. พวกเจ้าย่อมเสื่อมด้วยอาการ

อย่างนี้. แต่เมื่อพวกเจ้าบัญญัติข้อที่บัญญัติแล้ว พวกผู้คนก็จะ พากันร่าเริงยินดี

ว่าพวกเจ้ากระทำแต่ข้อที่มาตามประเพณี ดังนี้แล้ว ต่างก็จะทำการงาน มีกสิ-

กรรมและพาณิชยกรรมเป็นต้นให้เกิดผลสมบูรณ์. เมื่อไม่เพิกถอนข้อที่บัญญัติ

ไว้แล้วเก็บภาษีเป็นต้น ที่มีมาตามประเพณี เรือนคลังก็เจริญ แต่นั้นทัพช้าง

ม้าและไพร่พล เมื่อได้วัตถุเนืองนิตย์ เหมือนพนักงานต้นห้อง สมบูรณ์ด้วย

กำลังใจ กำลังกายแล้ว ควรรบได้ ควรบำรุงได้.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า โปราณ วชฺชิธมฺม นี้ดังต่อไปนี้เขาว่า

พวกเจ้าวัชชีแต่ก่อน ไม่ตรัสว่า เมื่อตนถูกเขานำมาแสดงว่าผู้นี้เป็นโจร พวก

ท่านจงจับโจรนั้น แล้วมอบให้มหาอำมาตย์ฝ่ายสอบสวน. ฝ่ายอำมาตย์เหล่านั้น

สอบสวนแล้ว ถ้าหากว่าไม่ใช่โจรก็ปล่อยไป ถ้าเป็นโจรก็ไม่พูดอะไร ๆ ด้วย

ตนเอง แล้วมอบให้มหาอำมาตย์ฝ่ายผู้พิพากษา. มหาอำมาตย์ผู้พิพากษาวินิจฉัย

แล้ว ถ้าไม่ใช่โจรก็ปล่อยตัวไป ถ้าเป็นโจร ก็มอบให้แก่มหาอำมาตย์ฝ่ายที่

ชื่อว่าลูกขุน. ลูกขุนเหล่านั้นวินิจฉัยแล้ว หากไม่ใช่โจรก็ปล่อยตัวไป หาก

เป็นโจร ก็มอบให้มหาอำมาตย์ ๘ ตระกูล. มหาอำมาตย์ ๘ ตระกูลนั้น ก็

กระทำอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วมอบให้เสนาบดี. เสนาบดีก็มอบให้แก่อุปราช

อุปราชก็มอบถวายแด่พระราชา. พระราชา วินิจฉัยแล้ว หากว่าไม่ใช่โจรก็

ปล่อยตัวไป หากว่าเป็นโจร ก็จะโปรดให้เจ้าหน้าที่อ่านคัมภีร์ กฏหมาย

ประเพณี. ในคัมภีร์กฏหมายประเพณีนั้นเขียนไว้ว่า ผู้ใดทำความผิดชื่อนี้

ผู้นั้นจะต้องมีโทษชื่อนี้. พระราชา ทรงนำการกระทำของผู้นั้นมาเทียบกับตัว

บทกฏหมายนั้นแล้ว ทรงลงโทษตามสมควรแก่ความผิดนั้น ดังนั้นเมื่อพวกเจ้า

ยึดถือวัชชีธรรมโบราณประพฤติ ผู้คนทั้งหลายย่อมไม่ติเตียน. พวกเจ้าทั้งหลาย

ย่อมทำงาน ตามประเพณีโบราณ เจ้าเหล่านั้นย่อมไม่มีโทษ ย่อมมีโทษ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 342

แต่เราเท่านั้น เพราะฉะนั้น เขาจึงไม่ประมาททำการงาน. เจ้าทั้งหลายย่อม

เจริญด้วยอาการอย่างนี้. ด้วยเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อานนท์

พวกเจ้าวัชชี พึงหวังความเจริญถ่ายเดียว ไม่มีความเสื่อมเลย.

บทว่า สกฺกโรนฺติ ได้แก่ เมื่อกระทำสักการะแก่เจ้าวัชชีเหล่านั้น

อย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมกระทำแต่ดี ๆ เท่านั้น. บทว่า ครุกโรนฺติ ได้แก่

กระทำการเชิดชูความเป็นผู้ควรเคารพ. บทว่า มาเนนฺติได้แก่ รักด้วยใจ.

บทว่า ปูเชนฺติ ได้แก่ แสดงการนอบน้อม. บทว่า โสตพฺพ มญฺญนฺติ

ได้แก่ ไปปรนนิบัติวันละ ๒-๓ ครั้ง ย่อมสำคัญถ้อยคำของเจ้าวัชชีเหล่านั้น

ว่าควรฟังควรเชื่อ. พึงทราบวินิจฉัยในข้อนั้น ดังนี้. ชนเหล่าใด ไม่ทำสักการะ

แก่เจ้าผู้เฒ่า ผู้แก่อย่างนี้ และไม่ไปปรนนิบัติเจ้าเหล่านั้น เพื่อฟังโอวาท

ชนเหล่านั้นถูกเจ้าเหล่านั้นสลัดทิ้งไม่โอวาท ใฝ่ใจแต่การเล่น ก็ย่อมเสื่อมจาก

ความเป็นพระราชา. ส่วนเจ้าเหล่าใด ปฏิบัติตามอย่างนั้น เจ้าผู้เฒ่าผู้แก่

ย่อมสอนประเพณีโบราณแก่เจ้าเหล่านั้นว่า สิ่งนี้ ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ แม้ถึง

สมัยทำสงคราม ก็ย่อมแสดงอุบายว่า ควรเข้าไปอย่างนี้ ควรออกไปอย่างนี้.

เจ้าเหล่านั้นรับโอวาท ปฏิบัติตามโอวาท ย่อมสามารถดำรงราชประเพณีไว้ได้.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อานนท์ เหล่าเจ้าวัชชี พึงหวัง

ความเจริญถ่ายเดียวไม่เสื่อมเลย.

บทว่า กุลิตฺถิโย ได้แก่หญิงแม่เรือนของตระกูล. บทว่า กุลกุมา-

ริโย ได้แก่ธิดาของหญิงแม่เรือนเหล่านั้น ผู้ยังไม่เป็นอิสสระ. ในคำว่า

โอกฺกสฺส ปสยฺห นี้คำว่า โอกฺกสฺส ก็ดี ปสยฺห ก็ดีนี้เป็นชื่อของอาการ

ข่มขืน. ศาสนิกชนสวดว่า อุกฺกสฺส ดังนี้ก็มี. ในบทเหล่านั้น บทว่า โอกฺกสฺส

แปลว่า ฉุดคร่า. บทว่า ปสยฺห แปลว่า ข่มขืน. ก็เมื่อเจ้าเหล่านั้น กระทำ

อย่างนี้ พวกผู้คนในแว่นแคว้น ก็พากันโกรธว่า พวกเจ้าเหล่านี้ จับบุตร

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 343

และมารดา ในเรือนของเราบ้าง จับธิดาที่เรา เอาปากดูดน้ำลายน้ำมูกเป็นต้น

เลี้ยงเติบโตมา โดยพลการให้อยู่ ในเรือนของตนบ้าง แล้วเข้าไปในปลายแดน

เป็นโจรบ้าง เป็นพรรคพวกโจรบ้าง โจมตีชนบท. แต่เมื่อไม่กระทำอย่างนั้น

พวกผู้คนในแว่นแคว้น ก็ขวนขวายน้อย ทำการงานของตน ย่อมทำคลังหลวง

ให้เจริญ พึงทราบความเจริญและความเสื่อมในข้อนี้ ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า วชฺชีน วชฺชิเจติยานิ ความว่า สถานที่ยักษ์ ได้นามว่าเจดีย์

เพราะอรรถว่าเขาทำไว้อย่างงดงาม ในแว่นแคว้น คือรัฐของพวกเจ้าวัชชี.

บทว่า อพฺภนฺตรานิ คือตั้งอยู่ภายในพระนคร. บทว่า พาหิรานิ คือตั้ง

อยู่ภายนอกพระนคร. บทว่า ทินฺนปุพฺพ แปลว่า ที่เขาเคยให้. บทว่า

กตปุพฺพ คือ ที่เขาเคยทำ. บทว่า โน ปริหาเปสฺสนฺติ ความว่า จักไม่ให้

ลดลง กระทำตามเดิมนั่นเอง. จริงอยู่ เมื่อเจ้าวัชชีลดพลีกรรมที่ชอบธรรมเสีย

เหล่าเทพยดาย่อมไม่กระทำอารักขาที่จัดไว้อย่างดี ทั้งไม่สามารถที่จะยังทุกข์ที่

ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น ทำโรคไอโรคในศรีษะเป็นต้น ที่เกิดขึ้นแล้วให้กำเริบ

เมื่อมีสงครามก็ไม่ช่วย แต่เมื่อพวกเจ้าวัชชีไม่ลดพลีกรรม เทพยดาทั้งหลาย

ย่อมการทำอารักขาที่จัดไว้เป็นอันดี ถึงไม่สามารถทำสุขที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น

แต่ก็กำจัดโรคไอโรคในศีรษะเป็นต้น ที่เกิดขึ้นแล้วได้ ทั้งจะช่วยในยามสงคราม

ด้วยพึงทราบความเจริญ และความเสื่อมในข้อนี้ ดังกล่าวมานี้ .

พึงทราบวินิจฉัยในบทว่า ธมฺมิกา รกฺขาวรณคุตฺติ ดังต่อไปนี้

ชื่อว่า อาวรณะ เพราะป้องกันโดยประการที่ สิ่งซึ่งไม่น่าปรารถนา ยังไม่มาถึง.

ชื่อว่าคุตติ เพราะคุ้มครองโดยประการที่ สิ่งซึ่งปรารถนามีอยู่แล้ว ยังไม่

เสียหาย ชื่อว่ารักขาเหมือนกัน. ในคำนั้น การล้อมรักษาด้วยกองเพลิง ไม่

ชื่อว่า ธัมมิการักขาวรณคุตติ เพื่อบรรพชิต แต่การกระทำโดยที่ไม่ตัดต้นไม้

ในป่าใกล้วิหาร ไม่จับเนื้อด้วยตาข่าย ไม่จับปลาในสระโปกขรณี ชื่อว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 344

ธัมมิการักขาวรรณคุตติ. ก็ด้วยคำว่า กินฺติ อนาคตา จ นี้ ท่านถามความ

ในใจของเจ้าวัชชีเหล่านั้นว่า มีจิตสันดานปรากฏอย่างนี้. พึงทราบวินิจฉัย

ในคำนั้น ดังต่อไปนี้. เจ้าวัชชีเหล่าใด ไม่ปรารถนาการมาของพระอรหันต์

ทั้งหลายที่ยังไม่มา เจ้าวัชชีเหล่านั้น ชื่อว่า เป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่เลื่อมใส

เมื่อบรรพชิต มาถึงแล้ว ก็ไม่ไปต้อนรับ ไม่ไปเยี่ยม ไม่กระทำปฏิสันถาร

ไม่ถามปัญหา ไม่ฟังธรรม ไม่ให้ทาน ไม่ฟังอนุโมทนา ไม่จัดที่อยู่อาศัย

เมื่อเป็นเช่นนั้น เสียงติเตียนเจ้าวัชชีเหล่านั้น ก็จะกระฉ่อนไปว่า เจ้าชื่อโน้น

ไม่เชื่อ ไม่เลื่อมใส เมื่อบรรพชิตมาถึงก็ไม่ต้อนรับ ฯลฯ ไม่จัดที่อยู่อาศัย.

เหล่าบรรพชิตฟังเรื่องนั้นแล้ว แม้ผ่านทางประตูพระนคร ของเจ้าองค์นั้น

ก็ไม่เข้าไปยังพระนคร. เหล่าพระอรหันต์ที่ยังไม่มา ก็ย่อมไม่มาด้วยประการ

ฉะนี้. เมื่อที่อยู่อย่างผาสุก สำหรับพระอรหันต์ที่มาแล้วไม่มี. แม้เหล่าพระ-

อรหันต์ที่ไม่รู้มาถึง ก็คิดว่าก่อนอื่น เราคิดจะมาอยู่ แต่ใครเล่าจักอยู่ได้

โดยความไม่ไยดี ของเจ้าเหล่านี้ ดังนี้แล้วก็พากันออกไปเสีย. โดยประการ

ดังกล่าวมานี้ เมื่อเหล่าพระอรหันต์ที่ยังไม่มา ก็ไม่มา ที่มาแล้วก็อยู่ลำบาก

ถิ่นนั้นย่อมไม่ใช่เป็นที่อยู่สำหรับบรรพชิต. แต่นั้นการอารักขาของเทวดา ก็

ย่อมไม่มี เมื่อเป็นดังนั้น เหล่าอมนุษย์ก็ได้โอกาส. เหล่าอมนุษย์ก็แน่นหนา

ย่อมทำความป่วยไข้ที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น. บุญอันมีที่ตั้ง เช่นการเห็นการถาม

ปัญหา เหล่าท่านผู้มีศีลเป็นต้น ก็ไม่มาถึง. แต่เมื่อว่าโดยปริยายกลับกัน

บุญอันเป็นฝ่ายขาว ที่ตรงกันข้ามกับบาปฝ่ายดำ ตามที่กล่าวแล้วย่อมเกิดพร้อม

พึงทราบความเจริญและความเสื่อมในข้อนี้ ดังกล่าวมาฉะนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสคำนี้ว่า เอกมิทาห ก็เพื่อทรงประกาศภาวะ

แห่งวัชชีสูตรนี้ ที่ทรงแสดงไว้แล้ว แก่เหล่าเจ้าวัชชีในกาลก่อน.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 345

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สารนฺทเท เจติเย คือ วิหารที่มีชื่ออย่าง

นี้ ได้ยินว่า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ สถานที่อยู่ของ สารันททยักษ์ ในที่

นั้น ได้เป็นเจดีย์. ครั้งนั้นเหล่าเจ้าวัชชี ให้สร้างวิหารถวายแด่พระผู้มีพระ

ภาคเจ้าลงในที่นั้น. วิหารนั้นก็นับได้ว่า สารันททเจดีย์นั่นเอง เพราะทรง

สร้างไว้ตรงที่สารันททเจดีย์.

บทว่า อกรณียา แปลว่า ไม่พึงกระทำ อธิบายว่าไม่ควรยึดถือ. คำว่า

ยทิท เป็นเพียงนิบาต. บทว่า ยุทฺธสฺส เป็นฉัฏฐีวิภัติ ลงในอรรถตติยาวิภัติ.

ความว่าใคร ๆ ไม่อาจเผชิญหน้าต่อยุทธ์ได้. บทว่า อญฺตฺร อุปลาปนาย

ได้แก่ นอกจากการเจรจากัน. อธิบายว่า การส่งเครื่องบรรณาการมี ช้าง

ม้า รถ เงิน และทองเป็นต้น สงเคราะห์กัน ด้วยกล่าวว่า พอกันทีสำหรับ

การขัดแย้งกัน พวกเราสามัคคีกันเดี๋ยวนี้เถิด ดังนี้ ชื่อว่าการเจรจากัน. กระทำ

การสงเคราะห์กันอย่างนี้ ก็อาจยึดเหนี่ยวกันไว้ได้ ด้วยความสนิทสนมอย่าง

เดียว. บทว่า อญฺตฺร มิถุเภทาย ได้แก่ นอกจากทำให้แตกกันเป็นสองฝ่าย

ด้วยคำนี้ ท่านแสดงว่า แม้กระทำการแตกซึ่งกันและกัน ก็อาจจับเหล่าเจ้า

วัชชีเหล่านั้นได้. พราหมณ์ได้นัย แห่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า

แล้ว จึงกล่าวคำนี้. ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าพราหมณ์ได้นัย

แห่งพระดำรัสนี้หรือ. ตอบว่าทรงทราบสิ. ถามว่า เมื่อทรงทราบ เหตุไร

จึงตรัส. ตอบว่า เพราะทรงอนุเคราะห์. ได้ยินว่าพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรง

พระดำริว่า แม้เมื่อเราไม่กล่าว ๒ -๓ วัน พราหมณ์จักไปจับเจ้าวัชชีเหล่านั้น

แต่เมื่อเรากล่าว พราหมณ์ เมื่อจะทำลายสามัคคี ก็ต้องใช้เวลาถึง ๓ ปี จักมี

ชีวิตอยู่เพียงเท่านี้ก็ประเสริฐแล้ว ด้วยว่าเหล่าเจ้าวัชชีเป็นอยู่ได้เพียงนี้ ก็จัก

ทำบุญเป็นที่พึ่งของตนกันได้. บทว่า อภินนฺทิตฺวา แปลว่า บรรเทิงจิต.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 346

บทว่า อนุโมทิตฺวา ได้แก่อนุโมทนาด้วยวาจาว่า ท่านพระโคดม คำนี้เป็น

วาจาสุภาษิตแท้. บทว่า ปกฺกามิ ได้แก่ไปยังราชสำนัก.

ลำดับนั้น พระราชา (อชาตศัตรู) ตรัสถามพราหมณ์นั้นว่า อาจารย์

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่ากระไร. พราหมณ์ทูลว่า พระดำรัสของท่านพระสมณ-

โคดม บ่งชี้ว่า ใคร ๆ ไม่อาจจับเหล่าเจ้าวัชชีได้ แต่ว่า อาจจับได้ด้วยการ

เจรจา ๑ ด้วยการทำให้แตกสามัคคี ๑. พระราชาตรัสถามพราหมณ์นั้นว่า

ช้าง ม้า เป็นต้นของเรา จักพินาศด้วยการเจรจา เราจักจับเหล่าเจ้าวัชชี

ด้วยการทำลายสามัคคีเท่านั้น เราจักทำอย่างไร. พราหมณ์ทูลว่า พระมหา-

ราชเจ้า ถ้าอย่างนั้น ขอได้โปรดปรารภแคว้นวัชชี ยกเรื่องขึ้นตรัสในที่ประชุม

แต่นั้น ข้าพระองค์จักทูลว่าพระมหาราชเจ้า พระองค์จะทรงประสงค์อะไรด้วย

สมบัติของเจ้าเหล่านั้น เจ้าเหล่านั้น จงทำกสิกรรมและพานิชย์กรรมเป็นต้น

เลี้ยงชีพอยู่เถิด แล้วทำทีจะหลบหนีไป ต่อนั้น พระองค์พึงตรัสว่า เหตุไรหนอ

ท่านพราหมณ์ผู้นี้ จึงคัดค้านเรื่องแคว้นวัชชีที่ปรารภกัน. ตอนกลางวันข้า

พระองค์จักส่งเครื่องบรรณาการไปถวายเจ้าวัชชีเหล่านั้น แม้พระองค์ก็จงให้

จับข้าพระองค์นั้น ยกโทษของข้าพระองค์ ไม่ทำการจองจำและเฆี่ยนตีเป็นต้น

หากแต่โกนหัวอย่างเดียว เนรเทศออกไปจากพระนคร เมื่อเป็นดั่งนั้น ข้าพระ

องค์จักกล่าวว่า ข้าพระองค์ให้สร้างกำแพงและคูในพระนครของพระองค์

ข้าพระองค์จะรู้ถึงสถานที่มั่นคงและอ่อนแอ และสถานที่ตื้นและลึกบัดนี้

ข้าพระองค์จักทำพระนครนั้นให้ตรงไม่นานเลย พระองค์ฟังคำนั้น พึงตรัส

สั่งไล่ให้ไปดังนี้. พระราชาก็ได้ทำทุกประการ.

เหล่าเจ้าลิจฉวี ทรงสดับการเนรเทศพราหมณ์นั้นแล้วตรัสว่า

พราหมณ์โอ้อวด ท่านทั้งหลายอย่าให้พราหมณ์นั้นข้ามแม่น้ำคงคาไปได้.

บรรดาเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น เมื่อเจ้าลิจฉวีบางพวกกล่าวว่า เขาว่าพราหมณ์นั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 347

ถูกเขาทำอย่างนี้ เพราะเขาพูดปรารภพวกเรา เจ้าวัชชีอีกพวกหนึ่งกล่าวว่า

พนาย ท่านอย่าได้ให้พราหมณ์เข้ามา. พราหมณ์นั้นไปพบพวกเจ้าลิจฉวีถูก

ถามว่า ท่านได้ทำผิดอะไรจึงเล่าเรื่องนั้น. พวกเจ้าลิจฉวี กล่าวว่าพราหมณ์

ทำผิดเล็กน้อย ไม่ควรลงโทษหนักอย่างนี้แล้วจึงถามว่า ในนครนั้นท่านมี

ตำแหน่งอะไร. พราหมณ์ตอบว่า ข้าพระองค์เป็นอำมาตย์ฝ่ายวินิจฉัย. เจ้า

ลิจฉวี ตรัสว่าท่านจงดำรงตำแหน่งนั้นนั่นแล. พราหมณ์นั้นก็ทำหน้าที่วินิจฉัย

เป็นอันดี. ราชกุมารทั้งหลายพากันศึกษาศิลปะในสำนักของพราหมณ์นั้น.

พราหมณ์นั้นทรงคุณ วันหนึ่งพาเจ้าลิจฉวีองค์หนึ่งไปที่แห่งหนึ่ง ถามว่าเด็ก ๆ

ทำนากันหรือ. เจ้าลิจฉวีองค์หนึ่ง ตอบว่า เออ ทำนา ถามว่า เทียมโคคู่หรือ.

ตอบว่า เออ เทียมโคคู่. พราหมณ์กล่าวอย่างนี้แล้วก็กลับไป. ต่อนั้น เจ้าลิจ-

ฉวีองค์อื่น จึงถามเจ้าลิจฉวีองค์นั้นว่า อาจารย์พูดกระไรไม่เชื่อคำเจ้าลิจฉวี

องค์นั้นบอก คิดว่าเจ้าลิจฉวีองค์นั้นไม่บอกเราตามเป็นจริง ก็แตกกับเจ้า

ลิจฉวีองค์นั้น. แม้ในวันอื่น ๆ พราหมณ์ก็พาเจ้าลิจฉวีองค์หนึ่ง ไปที่แห่งหนึ่ง

ถามว่า ท่านเสวยกับอะไรแล้วก็กลับ. เจ้าลิจฉวีองค์อื่นไม่เชื่อก็แตกกันอย่างนั้น

เหมือนกัน. แม้ในวันต่อ ๆ มา พราหมณ์ก็พาเจ้าลิจฉวีอีกองค์หนึ่ง ไปที่แห่ง

หนึ่งแล้วถามว่า เขาว่าท่านจนนักหรือ. ย้อนถามว่าใครพูดอย่างนี้. พราหมณ์

ตอบว่า เจ้าลิจฉวีชื่อโน้น. พราหมณ์ก็พาเจ้าลิจฉวีองค์อื่น ๆ ไปที่แห่งหนึ่ง

แล้วถามว่า เขาว่าท่านขลาดนักหรือ. ย้อนถามว่าใครพูดอย่างนั้น. ตอบว่า

เจ้าลิจฉวีชื่อโน้น. พราหมณ์กล่าว ถ้อยคำที่เจ้าลิจฉวีอีกองค์หนึ่ง มิได้กล่าว

ต่อเจ้าลิจฉวีอีกองค์หนึ่งด้วยอาการอย่างนี้ ๓ ปี จึงแยกเจ้าลิจฉวีเหล่านั้นออก

จากกัน แล้วกระทำโดยประการที่เจ้าลิจฉวีทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่เดินทางเดียวกันจึง

ให้ตีกลองเรียกประชุม. พวกเจ้าลิจฉวีกล่าวกันว่า ผู้เป็นใหญ่จงประชุมกัน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 348

ผู้กลัวจงประชุมกันเถิด แล้วก็ไม่ประชุมกัน. พราหมณ์จึงส่งข่าวถวายพระ

ราชาว่าบัดนี้ถึงเวลาแล้ว โปรดรีบเสด็จมาเถิด.

พระราชาชาสดับแล้ว ก็โปรดให้ตีกลองเรียกไพร่พล เสด็จกรีธาทัพออกไป.

ชาวเมืองเวสาลี ก็ตีกลองประกาศว่า พวกเราจักไม่ยอมให้พระราชาเสด็จข้าม

แม่น้ำคงคา. ชาวเมืองเวสาลี ฟังประกาศนั้นแล้ว ก็พูดว่าคนเป็นใหญ่จงไป

กันเถิด ดังนี้เป็นต้น แล้วก็ไม่ไปประชุมกัน. ชาวเมืองเวสาลี ก็ตีกลองประกาศ

ว่า พวกเราจักไม่ให้พระราชาเสด็จเข้าพระนครจะปิดประตูอยู่เสีย ไม่ไปประ-

ชุมแม้แต่คนเดียว. พระราชาเสด็จเข้าทางประตูตามที่เปิดไว้ ทรงทำเหล่าเจ้า

วัชชีทั้งหมดให้ถึงความย่อยยับแล้วเสด็จไป.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อถโข ภควา อจิรปกฺกนฺเต เป็นต้น ดังต่อ

ไปนี้. บทว่า สนฺนิปาเตตฺวา ความว่า พระอานนท์เรียกประชุมว่า ท่านผู้มี

อายุทั้งหลาย จงส่งท่านผู้มีฤทธิ์ไปที่วิหารไกล ๆ จงไปประชุมกันเอง ที่วิหาร

ใกล้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระประสงค์จะประชุมพวกท่าน. บทว่า อปริหา-

นิเย ความว่า ไม่กระทำเหตุแห่งความเจริญให้เสื่อม. บทว่า ธมฺเม เทเสสฺสามิ

ความว่า เราจักกล่าวให้แจ่มชัด ประหนึ่งยกพระจันทร์พันดวง พระอาทิตย์

พันดวงขึ้น ประหนึ่งตามประทีปน้ำมันพันดวงที่สี่มุมเรือน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิณฺหสนฺนิปาตา นี้ ก็เช่นเดียวกับ

ที่กล่าวไว้แล้ว ในการประชุมของเจ้าวัชชี นั่นเอง. อนึ่ง เพราะเหตุที่ไม่

ประชุมกันเนือง ๆ ภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ไม่ได้ยินข่าวที่มาในทิศต่าง ๆ

แต่นั้น สีมาของวัดโน้นก็วุ่นวาย อุโบสถและปวารณาก็งด ภิกษุทั้งหลายใน

ที่โน้นกระทำอเนสนกรรมมีเวชชกรรมและทูตกรรมเป็นต้น เป็นผู้มากด้วย

วิญญัติ ไม่รู้จักกิจเป็นต้นว่าเลี้ยงชีวิตด้วยอเนสนกรรมมีการให้ดอกไม้เขา

เป็นต้น. แม้ภิกษุชั่วทั้งหลายรู้ว่าสงฆ์เผลอ รวมกันเป็นกลุ่มก้อน ย่อมทำ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 349

ศาสนาให้เสื่อมถอย. แต่เพราะประชุมกันเนือง ๆ ภิกษุทั้งหลายย่อมได้ยินเรื่อง

นั้น ๆ. แต่นั้นก็ส่งภิกษุสงฆ์ ไปกระทำสีมาให้ตรง ทำอุโบสถและปวารณา

เป็นต้น ให้เป็นไป. ส่งภิกษุผู้นับเนื่องในอริยวงศ์ไปในที่ ๆ เหล่าภิกษุมิจฉาชีพ

หนาแน่น ให้กล่าวอริยวงศ์ ให้เหล่าพระวินัยธร กระทำนิคคหะภิกษุชั่ว

ทั้งหลาย แม้ภิกษุชั่วทั้งหลายรู้ว่าสงฆ์ไม่เผลอ พวกเราไม่อาจรวมเป็นหมู่เป็น

กลุ่มกันได้ ก็แตกหนีไป. พึงทราบความเสื่อมและความเจริญ ในข้อนี้ด้วย

ประการฉะนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สมคฺคา เป็นต้นดังต่อไปนี้ เมื่อเขาตีกลอง

หรือเคาะระฆังประกาศว่า สงฆ์จงประชุมกัน เพราะประสงค์จะแจ้ง วัตตกติกา

เพราะประสงค์จะให้โอวาท เพื่อปฏิบัติพระเจดีย์ ปฏิบัติลานโพธิ์ หรือ เพื่อ

มุงโรงอุโบสถ กระทำการหลีกเลี่ยงว่า ผมมีกิจด้วยจีวร ผมสุมบาตร ผมมี

การก่อสร้าง ชื่อว่าไม่พร้อมเพรียงกันกระทำ. ส่วนภิกษุทั้งหลายเว้นกิจการนั้น

ทั้งหมด ประชุมกันโดยการป่าวร้องครั้งเดียวเท่านั้นด้วยความสนใจว่า ผมก่อน

ผมก่อน ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันประชุม. อนึ่งประชุมกันแล้ว คิดปรึกษากัน

กระทำกิจที่ควรทำไม่เลิกพร้อมกัน ไม่ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันเลิก. ก็บรรดาภิกษุ

ทั้งหลายผู้เลิกกันแล้วอย่างนี้ พวกภิกษุที่ไปก่อนคิดอย่างนี้ว่า พวกเราฟังแต่

เรื่องนอกเรื่อง บัดนี้จักพูดกันแต่ข้อที่ยุตติ. แต่เมื่อเลิกโดยพร้อมเพรียงกัน

ก็ชื่อว่าพร้อมเพรียงกันเลิก อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายสดับว่า สีมาของวิหารในที่ชื่อ

โน้นวุ่นวายอุโบสถ และปวารณาก็งด ภิกษุชั่ว ผู้กระทำอเนสนกรรมมีเวชชกรรม

เป็นต้น ในที่ชื่อโน้นมีหนาแน่น เมื่อภิกษุเหล่านั้น กล่าวว่า ใครจะไปทำการ

นิคคหะภิกษุเหล่านั้น จึงพูดรับอาสาว่า ผมก่อน ผมก่อน แล้วก็ไปชื่อว่าพร้อม

เพรียงกันเลิก. ก็ภิกษุทั้งหลายพบภิกษุอาคันตุกะ ไม่พูดอะไรว่า จงไปบริเวณนี้

จงไปบริเวณนั้นทั้งหมดแม้กระทำวัตรอยู่ก็ดี พบภิกษุผู้มีบาตรจีวรเก่าแสวงหา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 350

บาตรจีวรด้วยภิกษุจารวัตร เพื่อภิกษุนั้นก็ดี แสวงหาคิลานเภสัช (ยา) เพื่อ

ภิกษุไข้ก็ดี ไม่พูดกะภิกษุไข้ผู้ไม่มีที่พึ่งว่า จงไปบริเวณโน้นซิ จงไปบริเวณ

โน้นซิก็ดี ปฏิบัติในบริเวณของตน ๆ อยู่ก็ดี มีคัมภีร์เหลืออยู่คัมภีร์หนึ่ง ก็

สงเคราะห์ภิกษุ ผู้มีปัญญาให้ภิกษุนั้นยกคัมภีร์นั้นขึ้นก็ดี ชื่อว่าพร้อมเพรียง

กันกระทำกิจของสงฆ์ที่พึงกระทำ. พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อปญฺตฺต ดังนี้

เป็นต้น ดังต่อไปนี้. ภิกษุทั้งหลายแต่งวัตตกติกา หรือ สิกขาบทที่ไม่ชอบธรรม

ขึ้นใหม่ ชื่อว่าบัญญัติข้อที่พระพุทธเจ้า ไม่ได้บัญญัติ เหมือนพวกภิกษุ เมือง

สาวัตถี ในเรื่องหล่อสันถัตเก่า. พวกภิกษุที่แสดงคำสั่งสอนนอกธรรม นอก

วินัย ชื่อว่าถอดถอนข้อที่ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติแล้ว เหมือนพวกภิกษุ

วัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลี เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี. ส่วนพวก

ภิกษุจงใจล่วงละเมิด อาบัติเล็ก ๆน้อย ๆชื่อว่าไม่สมาทานพระพฤติ ในสิกขาบท

ทั้งหลาย ตามที่ทรงบัญญัติไว้ เหมือนอย่าง ภิกษุอัสสชิปุนัพพสุกะ. ส่วน

ภิกษุทั้งหลายไม่แต่งวัตตกติกา หรือสิกขาบทขึ้นใหม่ แสดงคำสั่งสอนจาก

ธรรมวินัย ไม่ถอดถอนสิกขาบท เล็กๆ น้อย ๆ ชื่อว่าไม่บัญญัติ ข้อที่ไม่ทรง

บัญญัติ ไม่ถอดถอนข้อที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว สมาทานประพฤติในสิกขาบท

ตามที่ทรงบัญญัติไว้ เหมือนท่านพระอุปเสนะ ท่านพระยสกากัณฑกบุตร และ

ท่านพระมหากัสสปะ ผู้ตั้งแบบแผนนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า

สิกขาบททั้งหลายของพวกเรา เป็นส่วนของคฤหัสถ์มีอยู่ แม้คฤหัสถ์ทั้งหลาย

ก็รู้ว่า สิ่งนี้ควรแก่สมณะศากยบุตรของพวกท่าน สิ่งนี้ไม่ควรแก่พวกท่าน ก็

ถ้าพวกเราจักถอดถอนสิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ กันไซร้ ก็จักมีผู้ว่ากล่าวเอาได้

ว่า สิกขาบทที่พระสมณโคดมบัญญัติแก่สาวกทั้งหลาย อยู่ได้ชั่วควันไฟ สาวก

เหล่านี้ ศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย ตราบเท่าที่ศาสดา ของสาวกเหล่านี้ยังดำรง

อยู่ เพราะศาสดาของสาวกเหล่านี้ปรินิพพานเสียแล้ว บัดนี้ สาวกเหล่านี้ก็ไม่

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 351

ยอมศึกษา ในสิกขาบททั้งหลาย ดังนี้ ผิว่าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว

สงฆ์ไม่พึงบัญญัติข้อที่ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้ ไม่พึงถอดถอนข้อที่ทรงบัญญัติไว้

แล้ว พึงสมาทานประพฤติ ในสิกขาบททั้งหลาย ตามที่ทรงบัญญัติไว้. บทว่า

วุฑฺฒิเยว ได้แก่ ความเจริญด้วยคุณมีศีลเป็นต้น ไม่เสื่อมเลย.

บทว่า เถรา ได้แก่ผู้ถึงความเป็นผู้มั่นคง คือประกอบด้วยคุณอัน

กระทำความมั่นคง. ชื่อว่า รัตตัญญู เพราะรู้ราตรีมาก. ชื่อว่า จิรปพฺพชิตา

เพราะบวชมานาน. ชื่อว่า สงฺฆปิตโร เพราะตั้งอยู่ในฐานะเป็นบิดาของสงฆ์.

ชื่อว่า สงฺฆปริณายกา เพราะปริหารสงฆ์เหตุตั้งอยู่ในฐานะเป็นบิดา เป็น

ห้วหน้าปฏิบัติในบทคือสิกขา ๓. ภิกษุเหล่าใด ไม่กระทำสักการะเป็นต้นแก่

พระเถระเหล่านั้น ไม่ไปปรนนิบัติวันละ ๒-๓ ครั้ง เพื่อรับโอวาท พระเถระ

แม้เหล่านั้นย่อมไม่ให้โอวาท ไม่กล่าวเรื่องประเพณี ไม่ให้ศึกษาธรรมบรรยาย

อันเป็นสาระแก่ภิกษุเหล่านั้น. ภิกษุเหล่านั้น ถูกพระเถระเหล่านั้นสลัดเสียแล้ว

ย่อมเสื่อมจากคุณทั้งหลาย มีอาทิอย่างนี้คือ จากธรรมขันธ์ มีศีลขันธ์เป็นต้น

และจากอริยทรัพย์ ๗. ส่วนภิกษุเหล่าใดกระทำสักการะเป็นต้นไปปรนนิบัติ

พระเถระเหล่านั้น พระเถระแม้เหล่านั้นย่อมให้โอวาทแก่ภิกษุเหล่านั้นว่า เธอ

พึงก้าวไปอย่างนี้ พึงถอยกลับอย่างนี้ พึงแลอย่างนี้ พึงเหลียวอย่างนี้ พึงคู้เข้า

อย่างนี้ พึงเหยียดออกอย่างนี้ พึงทรงบาตร และจีวรอย่างนี้ ย่อมสอนเรื่อง

ประเพณี ย่อมให้ศึกษาธรรมบรรยายที่เป็นสาระ พร่ำสอนด้วยธุดงค์ ๑๓

กถาวัตถุ ๑๐. ภิกษุเหล่านั้นอยู่ในโอวาทของพระเถระเหล่านั้นเจริญด้วยคุณ

มีศีลเป็นต้น ย่อมบรรลุสามัญญผลโดยลำดับ. พึงทราบความเสื่อมและความ

เจริญในข้อนี้ด้วยประการฉะนี้.

การให้การเกิดอีกชื่อว่าภพใหม่ ภพใหม่นั้นเป็นปกติของตัณหานั้น

เหตุนั้น ตัณหานั้น จึงชื่อว่า โปโนพฺภวิกา. อธิบายว่าให้เกิดอีก. แห่งตัณหา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 352

ผู้ให้ภพใหม่นั้น. พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า น วส คจฺฉิสฺสนฺติ ดังต่อไปนี้

ภิกษุเหล่าใดรับบิณฑบาตของอุปัฏฐากแล้ว จากบ้านหนึ่งไปบ้านหนึ่ง เพราะ

เหตุแห่งปัจจัย ๔ ภิกษุเหล่านั้นชื่อว่า อยู่ในอำนาจของตัณหานั้น. ฝ่ายภิกษุ

ผู้ไม่ปฏิบัติอย่างนั้น ชื่อว่า ไม่อยู่ในอำนาจแห่งตัณหา. ความเสื่อมและความ

เจริญในข้อนั้นปรากฏชัดแล้ว.

บทว่า อารญฺเกสุ ได้แก่ป่าชั่ว ๕๐๐ ธนูเป็นที่สุด. บทว่า สาเปกฺขา

ได้แก่มีตัณหา มีอาลัย. ภิกษุแม้ยังไม่บรรลุฌานในเสนาสนะใกล้บ้าน พอ

ออกจากฌานนั้น ได้ยินเสียงหญิง ชาย และเด็กหญิงเป็นต้น เป็นเหตุเสื่อม

คุณวิเศษที่ภิกษุนั้นบรรลุแล้ว แต่เธอนอนในป่า พอตื่นขึ้น ก็ได้ยินแต่เสียง

ราชสีห์ เสือ และนกยูงเป็นต้น อย่างที่เธอได้ปิติในป่า แล้วพิจารณาปิตินั้น

นั่นแล ตั้งอยู่ในผลอันเลิศ. ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงสรรเสริญภิกษุ

ผู้หลับอยู่ในป่าเท่านั้น ยิ่งกว่าภิกษุผู้ไม่บรรลุฌานอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้าน.

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงอาศัยอำนาจประโยชน์นั้นนั่นแล จึง

ตรัสว่า จักเป็นผู้อาลัยในเสนาสนะป่า.

บทว่า ปจฺจตฺตเยว สตึ อุปฏฺเปสฺสนฺติ ได้แก่จักไปตั้งสติไว้

ภายในของตน. บทว่า เปสลา แปลว่า ผู้น่ารัก. เหล่าภิกษุเจ้าถิ่นไม่ปรารถนา

ให้เพื่อนสพรหมจารีมาในที่นี้ เป็นผู้ไม่ศรัทธาไม่เลื่อมใส ย่อมไม่ทำสามี

กิจกรรม มีไปต้อนรับ รับบาตร จีวร ปูอาสนะ พัดด้วยพัดใบตาลเป็นต้น

แก่เหล่าภิกษุผู้มาถึงแล้ว. ครั้งนั้น เสียงติเตียนภิกษุเหล่านั้น ก็กระพือไปว่า

เหล่าภิกษุวัดโน้น ไม่มีศรัทธาไม่เลื่อมใส ไม่ทำวัดปฏิบัติ แก่เหล่าภิกษุ

ผู้เข้าไปวัด. บรรพชิตทั้งหลายพึงเรื่องนั้นแล้ว ก็ผ่านประตูวัด ไม่ยอมเข้าวัด.

เหล่าภิกษุที่ยังไม่มา ย่อมไม่มา ด้วยประการฉะนี้. ส่วนสำหรับเหล่าภิกษุที่

มาแล้ว เมื่อไม่มีวัดอยู่ผาสุก เหล่าภิกษุที่ไม่รู้มาแล้ว ก็คิดก่อนว่าจะอยู่ แต่ก็

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 353

ต้องออกไปเสีย ด้วยเห็นว่าพวกเรามากันแล้ว แต่ด้วยความไม่นำพานี้ ของ

ภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านี้ ใครจักอยู่ได้. เมื่อเป็นดังนั้น วัดนั้น ภิกษุอื่น ๆ ก็มาอยู่

ไม่ได้. แต่นั้น เหล่าภิกษุเจ้าถิ่นเมื่อไม่ได้พบเหล่าภิกษุผู้มีศีล ก็พลอยไม่ได้

ภิกษุผู้ช่วยบรรเทาความสงสัย หรือผู้ให้ศึกษาธรรมบรรยาย หรือฟังธรรม

อันไพเราะ ภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้น ก็เป็นอันไม่ได้รับธรรมที่ยังไม่ได้รับ ไม่ได้

กระทำการสาธยายธรรมที่รับไว้แล้ว. ดังนั้น ภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้นจึงมีแต่ความ

เสื่อมถ่ายเดียว ไม่มีความเจริญเลย. ส่วนภิกษุเหล่าใด ปรารถนาจะให้เพื่อน

สพรหมจารีมา ภิกษุเหล่านั้น มีศรัทธามีความเลื่อมใส กระทำการต้อนรับ

เป็นต้นแก่เพื่อนสพรหมจารีที่มากันแล้ว จัดเสนาสนะให้ พาเข้าไปภิกษาจาร

บรรเทาความสงสัย ได้ฟังธรรมอันไพเราะ เมื่อเป็นเช่นนั้น กิตติศัพท์ของ

ภิกษุเหล่านั้น ก็ฟุ้งขจรไปว่าเหล่าภิกษุในวัดโน้น มีศรัทธา เลื่อมใส ถึงพร้อม

ด้วยวัตร สงเคราะห์อย่างนี้ ภิกษุทั้งหลายได้ฟังเรื่องนั่นแล้ว แม้ไกลก็พากันไป

เหล่าภิกษุเจ้าถิ่นกระทำวัตรแก่ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้น มาใกล้ ๆ แล้วไหว้

อาคันตุกะผู้แก่กว่าแล้วนั่ง ถืออาสนะนั่งใกล้ ๆ อาคันตุกะผู้อ่อนกว่า แล้ว

ถามว่า พวกท่านจักอยู่ในวัดนี้หรือจักไป เมื่ออาคันตุกะ ตอบว่าจักไป ก็

กล่าวว่า เสนาสนะสบาย ภิกษาก็หาได้ง่าย ไม่ยอมให้ไป. ถ้าอาคันตุกะเป็น

วินัยธร ก็สาธยายวินัยในสำนักของพระวินัยธร ถ้าอาคันตุกะทรงพระสูตร

เป็นต้น ก็สาธยายธรรมนั้น ๆ ในสำนักของพระธรรมธรนั้น อยู่ในโอวาทของ

พระอาคันตุกะ ผู้เป็นพระเถระ ย่อมบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา.

เหล่าพระอาคันตุกะคิดจะอยู่สักวัน ๒ วันจึงกล่าวว่า พวกเรามากันแล้วก็จะอยู่

สัก ๑๐-๑๒ วัน เพราะภิกษุเหล่านี้ มีการอยู่ร่วมอย่างสบาย. พึงทราบความ

เจริญและความเสื่อม ด้วยประการฉะนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 354

พึงทราบวินิจฉัยในสัตตกะที่ ๒ ดังต่อไปนี้. ภิกษุชื่อว่ากัมมารามะ

เพราะมีการงานเป็นที่ยินดี. ชื่อว่า กัมมรตะ เพราะยินดีในการงาน. บทว่า

กมฺมารามต อนุยุตฺตา ความว่า ประกอบแล้ว ประกอบทั่วแล้ว ประกอบตาม

แล้ว. ในบทเหล่านั้นงานที่จะพึงทำเรียกว่ากรรม. คืออะไรบ้าง. คือ เช่น

จัดจีวร กระทำจีวร ช่วยเขาทำวัตถุมีกล่องเข็ม ถลกบาตร สายโยคประคด

เอว เชิงรองบาตร เขียงเท้า และไม้กวาดเป็นต้น. จริงอยู่ ภิกษุบางรูปเมื่อ

กระทำกิจเหล่านั้น ย่อมกระทำกันทั้งวันทีเดียว. ท่านหมายเอาข้อนั้นจึงห้ามไว้

ดังนี้. ส่วนภิกษุใดกระทำกิจเหล่านั้น ในเวลาทำกิจเหล่านั้นเท่านั้น ในเวลา

อุเทศก็เรียนอุเทศ ในเวลาสาธยาย ก็สาธยาย เวลากวาดลานพระเจดีย์ก็ทำวัตร

ที่ลานพระเจดีย์ ในเวลามนสิการ ก็ทำมนสิการ ภิกษุนั้นไม่ชื่อว่ามีการงาน

เป็นที่ยินดี.

พึงทราบวินิจฉัย ในคำว่า น ภสฺสารามา นี้ดังต่อไปนี้ ภิกษุใด

เมื่อกระทำการเจรจาปราศัย ด้วยเรื่องเพศหญิงเพศชายเป็นต้น หมดเวลาไป

ทั้งกลางวันและกลางคืน คุยเช่นนี้ไม่จบ ภิกษุนี้ชื่อว่า มีการคุยเป็นที่มายินดี.

ส่วนภิกษุใด พูดธรรม แก้ปัญหา ชื่อว่า ไม่มีการคุยเป็นที่มายินดี ภิกษุนี้ชื่อว่า

คุยน้อยคุยจบทีเดียว. เพราะเหตุไร เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่าภิกษุ

ทั้งหลาย พวกเธอผู้ประชุมกันมีกรณียะ ๒ อย่าง คือ พูดธรรม หรือนิ่งอย่าง

อริยะ.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า น นิทฺทารามา นี้ดังต่อไปนี้ ภิกษุใดเดิน

ก็ดี นั่งก็ดี นอนก็ดี ถูกถิ่นมิทธะครอบงำแล้วก็หลับได้ทั้งนั้น ภิกษุนี้ชื่อว่า

มีการหลับเป็นที่มายินดีส่วนภิกษุใดมีจิตหยั่งลงในภวังค์ เพราะความเจ็บป่วย

ทางกรัชกาย เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนอัคคิเวสสนะ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 355

เรารู้ยิ่งว่า ปลายเดือนฤดูร้อนภายหลังกลับจากบิณฑบาต ปูสังฆาฏิ ๔ ชั้น

มีสติสัมปชัญญะ ก้าวลงสู่ความหลับโดยตะแคงข้างขวา.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า น สงฺคณิการามา นี้ดังต่อไปนี้ ภิกษุใด

มีเพื่อน ๑ รูป ๒ รูป ๓ รูป ๔ รูป คลุกคลีอยู่อย่างนี้ ไม่ได้รับความยินดีแต่

ผู้เดียว ภิกษุนี้ชื่อว่ามีการคลุกคลีเป็นที่มายินดี. ส่วนภิกษุใดได้ความยินดีใน

อิริยาบถ ทั้ง ๔ แต่ผู้เดียว ภิกษุนี้พึงทราบว่ามิใช่ผู้มีความคลุกคลีเป็นที่มา

ยินดี.

เหล่าภิกษุผู้ประกอบด้วยปรารถนา ความยกย่องคุณที่ไม่มีอยู่เป็นผู้ทุศีล

ชื่อว่าเป็นผู้ปรารถนาลามกในคำว่า น ปาปิจฺฉา นี้.

พึงทราบวินิจฉัยในปาปมิตรเป็นต้นดังต่อไปนี้. ชื่อว่า ปาปมิตร เพราะ

มีมิตรชั่ว ชื่อว่า ปาปสหาย เพราะมีสหายชั่ว เหตุไปด้วยกันในอิริยาบถทั้ง ๔.

ชื่อว่า ปาปสัมปวังกะ เพราะเป็นเพื่อนในหมู่ภิกษุชั่ว เหตุเป็นผู้โอนอ่อน

ผ่อนตามภิกษุชั่วนั้น.

บทว่า โอรมตฺคเกน ได้แก่ มีประมาณต่ำมีประมาณน้อย. บทว่า

อนฺตรา ได้แก่ในระหว่างยังไม่บรรลุพระอรหันต์นั้น. บทว่า โอสาน ได้แก่

งดความเพียร ท้อถอยว่าพอละด้วยเหตุเพียงเท่านี้ได้แก่หยุดกิจ. ท่านอธิบาย

ไว้ดังนี้ว่า ภิกษุทั้งหลายไม่ถึงที่สุด ด้วยผลเพียงมีศีลบริสุทธิ์เพียงวิปัสสนา

เพียงฌาน เพียงเป็นพระโสดาบันเพียงเป็นพระสกทาคามี หรือเพียงเป็นพระ-

อนาคามีเพียงใด ภิกษุทั้งหลายพึงหวังแต่ความเจริญอย่างเดียวไม่เสื่อมเลย.

พึงทราบวินิจฉัยในสัตตกะที่ ๓ ดังต่อไปนี้. บทว่า สทฺธา ได้แก่

ถึงพร้อมด้วยศรัทธา. ในความว่า สทฺธา นั้น ศรัทธามี ๔ คือ อาคมนีย-

ศรัทธา อธิคมศรัทธา ปสาทศรัทธา โอกัปปนศรัทธา. บรรดาศรัทธา

ทั้ง ๔ นั้นอาคมนียศรัทธา ย่อมมีแก่พระโพธิสัตว์ผู้สัพพัญญู. อธิคมปสาท

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 356

ศรัทธา ย่อมมีแก่พระอริยบุคคลทั้งหลาย ส่วนเมื่อเขาว่า พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ

ก็เลื่อมใส ชื่อว่า ปสาทศรัทธา. ส่วนความปักใจเชื่อ ชื่อว่า โอกัปปน-

ศรัทธา. ความเชื่อทั้ง ๒ นั้น ท่านประสงค์เอาในที่นี้. จริงอยู่ ภิกษุผู้ประกอบ

ด้วยศรัทธานั้น เป็นผู้น้อมไปในศรัทธาก็เป็นเช่นเดียวกับพระวักกลิเถระ.

ความจริง พระวักกลิเถระเป็นอันทำเจติยังคณวัตร หรือว่า โพธิยังคณวัตร.

บำเพ็ญวัตรทุกอย่าง มีอุปัชฌายวัตรและอาจริยวัตรเป็นต้น. บทว่า หิริมนา

ได้แก่ผู้มีจิตประกอบด้วย หิริ อันมีลักษณะเกลียดบาป. บทว่า โอตฺตปฺปี

ได้แก่ผู้ประกอบด้วยโอตตัปปะอันมีลักษณะเกรงกลัวแต่บาป.

ก็ในบทว่า พหุสฺสุตา นี้ พหุสุตะ มี ๒ คือ ปริยัตติพหุสุตะ

ปฏิเวธพหุสุตะ. ปิฏก ๓ ชื่อว่า ปริยัติ. การแทงตลอดสัจจะ ชื่อว่าปฏิเวธ.

ก็ในที่นี้ ท่านประสงค์เอาปริยัติ. ภิกษุผู้มีสุตะมาก ชื่อว่า พหุสุตะ. ก็ภิกษุ

พหุสุตะนี้นั้น มี ๔ คือ นิสัยมุตตกะ ปริสูปัฎฐาปกะ ภิกขุโนวาทกะ

สัพพัตถพหุสุตะ. ใน ๔ จำพวกนั้น. พหุสุตะ ๓ จำพวก พึงถือเอาได้

ตามนัยที่ท่านกล่าวไว้แล้วในโอวาทวรรค ในอรรถกถาวินัย ชื่อ สมันตปา-

สาทิกา. จำพวกสัพพัตถพหุสุตะ. ก็คล้ายกับพระอานนทเถระ. จำพวกสัพพัตถ

พหุสุตะนั้น ท่านประสงค์เอาในที่นี้. ชื่อว่า อารัทธวิริยา ได้แก่เหล่าภิกษุที่

ปรารภความเพียรทางกายและทางใจ. ในภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใด บรรเทา

ความคลุกคลีด้วยหมู่อยู่ผู้เดียว ในอิริยาบถทั้ง ๔ โดยอารัมภวัตถุ ๘ ภิกษุ

เหล่านั้น ชื่อว่าปรารภความเพียรทางกาย. ภิกษุเหล่าใดบรรเทาความคลุกคลี

ทางจิตอยู่ผู้เดียว โดยสมาบัติ ๘ ไม่ยอมยืนเมื่อกิเลสที่เกิดในขณะเดินอยู่ ไม่

ยอมนั่งเมื่อกิเลสที่เกิดในขณะยืนอยู่ ไม่ยอมนอนเมื่อกิเลสที่เกิดในขณะนั่งอยู่

ข่มกิเลสที่เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีก ภิกษุเหล่านั้น ชื่อว่าปรารภความเพียรทางจิต.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 357

บทว่า อุปฏฺิตสติ ได้แก่ระลึกถึง ตามระลึกถึงกิจที่ทำไว้แล้วแม้

นานเป็นต้น เหมือนพระมหาคติมพอภัยเถระ พระทีฆกอภัยเถระ และพระ-

ติปิฏกจุฬาภยเถระ ได้ยินว่า พระมหาคติมพอภัยเถระ เห็นนกกากำลังยื่นจงอย

ปากไปที่ข้าวมธุปายาสที่เป็นมงคล ในวันที่ ๕ นับแต่ตนเกิด ก็ร้องเสียง ฮู ฮู.

ต่อมา เมื่อเป็นพระเถระ ถูกพวกภิกษุถามว่า ท่านขอรับ ท่านระลึกได้แต่

เมื่อไร จึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ ตั้งแต่ร้องขึ้น ในวันที่ ๕ นับแต่ตนเกิด. มารดา

ของพระทีฆกอภัยเถระ น้อมตัวลงหมายจะจุมพิต ตั้งแต่วันที่ ๙ นับแต่พระ-

เถระเกิด. มวยผมของนางก็สยาย. ต่อนั้นดอกมะลิประมาณทนานหนึ่ง ก็ตก

ไปที่อกของทารกทำให้เกิดทุกข์. เมื่อเป็นพระเถระท่านถูกพวกภิกษุถามว่า

ท่านขอรับ ระลึกได้ตั้งแต่เมื่อไรตอบว่า ตั้งแต่วันที่ ๙ นับแต่ตนเกิด. พระ-

ติปิฏกจูฬาภัยเถระ เล่าว่าเราปิดประตู ๓ ด้าน ในอนุราธบุรี ให้ผู้คนออก

ประตูเดียวแล้วถามว่าท่านชื่อไร ท่านชื่อไร ถึงตอนเย็นก็ไม่ถามซ้ำสามารถ

ระบุชื่อของผู้คนเหล่านั้นได้. ก็ท่านหมายเอาภิกษุเห็นปานนั้น จึงกล่าวว่า

อุปฏฺิตสติ. บทว่า ปญฺวนฺโต ได้แก่ประกอบด้วยปัญญา กำหนดความ

เกิดดับของปัญจขันธ์เป็นอารมณ์. อีกอย่างหนึ่ง ด้วยสองบทนี้ ท่านกล่าวถึง

สัมมาสติและวิปัสสนาปัญญา อันเป็นเหตุอุคหนุนวิปัสสนาของเหล่าภิกษุผู้เจริญ

วิปัสสนา.

พึงทราบวินิจฉัยในสัตตกะที่ ๔ ดังต่อไปนี้. สัมโพชฌงค์คือสติชื่อว่า

สติสัมโพชฌงค์. ในทุกบท ก็นัยนี้. ในสัมโพชฌงค์ สติสัมโพชฌงค์ มีความ

ปรากฏเป็นลักษณะ ธัมมวิจยสัมโพชฌงศ์มีการเลือกเฟ้นเป็นลักษณะ วิริยะ-

สัมโพชฌงค์มีการประคองจิตเป็นลักษณะ ปีติสัมโพชฌงค์มีการซาบซ่านไป

เป็นลักษณะ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีความสงบเป็นลักษณะ สมาธิสัมโพชฌงค์

มีความไม่ฟุ้งซ่านเป็นลักษณะ อุเปกขาสัมโพชฌงค์มีการพิจารณาเป็นลักษณะ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 358

บทว่า ภาเวสฺสนฺติ ความว่า ภิกษุทั้งหลายตั้งสติสัมโพชฌงค์ ด้วยเหตุ ๔

ตั้งธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ด้วยเหตุ ๖ ตั้งวิริยสัมโพชฌงค์ ด้วยเหตุ ๙ ตั้ง

ปีติสัมโพชฌงค์ ด้วยเหตุ ๑๐ ตั้งปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ ด้วยเหตุ ๗ ตั้ง

สมาธิสัมโพชฌงค์ ด้วยเหตุ ๑๐ ตั้งอุเปกขาสัมโพชฌงค์ ด้วยเหตุ ๕ จักทำให้

เจริญ. ท่านกล่าวสัมโพชฌงค์คละกันทั้งโลกิยะทั้งโลกุตตระประกอบด้วยวิปัสสนา

และมรรคผลด้วยบทนี้.

พึงทราบวินิจฉัยในสัตตกะที่ ๕ ดังต่อไปนี้. สัญญาที่เกิดขึ้นพร้อมกับ

อนิจจานุปัสสนา ชื่อว่า อนิจจสัญญา. แม้ในอนัตตสัญญาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือน

กัน. พึงทราบว่าสัญญา ๗ นี้ เป็นโลกิยวิปัสสนาก็มี สัญญา ๒ ในที่นี้ เป็น

โลกุตตรวิปัสสนาก็มี โดยบาลีที่มาว่านิพพานนี้สงบประณีต คือ ธรรมที่ระงับ

สังขารทั้งปวง ฯลฯ นิโรธ.

พึงทราบวินิจฉัยในฉักกะดังต่อไปนี้. บทว่า เมตฺต กายกมฺม ได้แก่

กายกรรมที่พึงทำด้วยเมตตาจิต. แม้ในวจีกรรมและมโนกรรมก็นัยนี้เหมือนกัน.

ก็กรรมทั้ง ๓ นี้มาโดยเป็นของเหล่าภิกษุ แม้ในเหล่าคฤหัสถ์ก็ใช้ได้ จริงอยู่

สำหรับเหล่าภิกษุ การบำเพ็ญธรรมคือ อภิสมาจารด้วยเมตตาจิต ชื่อว่า เมตตา

กายกรรม. สำหรับคฤหัสถ์กิจมีเป็นต้นอย่างนี้ คือการไปไหว้พระเจดีย์ ไหว้

ต้นโพธิ์ นิมนต์สงฆ์ การพบเหล่าภิกษุเข้าบ้านไปบิณฑบาตแล้วต้อนรับรับบาตร

ปูอาสนะ เดินตาม ทาน้ำมัน ชื่อว่า เมตตากายกรรม. สำหรับเหล่าภิกษุ

การสอนอาจาระ บัญญัติสิกขาบท และกัมมัฏฐาน การแสดงธรรม แม้พระ-

ไตรปิฎก พุทธวจนะ ด้วยเมตตาจิต ชื่อว่าเมตตาวจีกรรม. สำหรับคฤหัสถ์

ในเวลากล่าวเป็นต้นว่า พวกเราไปไหว้พระเจดีย์ ไปไหว้ต้นโพธิ์ กระทำการ

ฟังธรรม ให้ทำการบูชาด้วยดอกไม้ธูปเทียน สมาทานประพฤติสุจริต ๓ ถวาย

สลากภัตเป็นต้น ถวายผ้าอาบน้ำฝน วันนี้ถวายปัจจัย ๔ แก่สงฆ์ นิมนต์สงฆ์

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 359

จัดถวายของเคี้ยวเป็นต้น ปูอาสนะ ตั้งน้ำฉันต้อนรับสงฆ์นำมาให้นั่งเหนือ

อาสนะที่ปูไว้ เกิดฉันทะ อุตสาหะ ทำการขวนขวาย ชื่อว่าเมตตาวจีกรรม.

สำหรับภิกษุลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ปฏิบัติสรีระ และทำวัตรที่ลานพระเจดีย์เป็นต้น

นั่งเหนืออาสนะอันสงัดคิดว่า ขอภิกษุทั้งหลายในวัดนี้ จงมีสุข ไม่มีเวร ไม่

เบียดเบียนกันเป็นต้น ชื่อว่าเมตตามโนกรรม. สำหรับคฤหัสถ์คิดว่า ขอพระ-

ผู้เป็นเจ้า จงมีสุข ไม่มีเวร ไม่เบียดเบียนกัน ชื่อว่าเมตตามโนกรรม.

บทว่า อาวิ เจว รโห จ ได้แก่ในที่ต่อหน้าและลับหลัง. ในบทนั้น

การร่วมกันในจีวรกรรมเป็นต้น สำหรับภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าเมตตากายกรรม

ต่อหน้า. แต่สำหรับพระเถระ สามีจิกรรมทั้งหมด แม้ต่างโดยการล้างเท้าและ

พัดวีเป็นต้น ก็ชื่อว่าเมตตากายกรรมต่อหน้า. ไม่ทำการดูหมิ่นในภิกษุเหล่านั้น

แล้วเก็บงำสิ่งของมีเครื่องไม้เป็นต้น ที่แม้ภิกษุ ๒ ฝ่ายเก็บไว้ไม่ดี เหมือนอย่าง

ที่ตนเก็บไว้ไม่ดี ชื่อว่าเมตตากายกรรมลับหลัง. การกล่าวยกย่องอย่างนี้ว่า

ท่านพระเทวเถระ พระติสสเถระ. ชื่อว่าเมตตาวจีกรรมต่อหน้า. การที่ภิกษุ

สอบถามถึงผู้ที่ไม่มีอยู่ในวัด กล่าวถ้อยคำที่น่ารักว่า พระเถระไปไหน พระ

ติสสเถระไปไหน เมื่อไรจักมาดังนี้ ชื่อว่าเมตตาวจีกรรมลับหลัง การลืมตา

ที่ผ่องใสด้วยความหวังดีและความห่วงใย มองดูด้วยหน้าที่ผ่องใส ชื่อว่าเมตตา

มโนกรรมต่อหน้า. การตั้งใจว่า ขอท่านพระเทวเถระ พระติสสเถระ จงเป็น

ผู้ไม่มีโรค ไม่มีอาพาธ ชื่อว่าเมตตามในกรรมลับหลัง.

บทว่า ลาภา ได้แก่ปัจจัยที่ได้มา มีจีวรเป็นต้น. บทว่า ธมฺมิกา

ความว่า เว้นมิจฉาชีพต่างด้วยการหลอกลวงเป็นต้น เกิดด้วยภิกขาจารวัตร

โดยธรรมโดยเสมอ. บทว่า อนฺตมโส ปตฺตปริยาปนฺนมตฺตมฺปิ ความว่า

โดยอย่างต่ำที่สุด แม้เพียงภิกษา ๒-๓ ทัพพีที่เนื่องในบาตร คือที่อยู่ภายใน

บาตร. ในคำว่า อปฺปฏิวิภตฺตโภคี นี้ ปฏิวิภัตตะ มี ๒ อย่าง คือ อามิส-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 360

ปฏิวิภัตต์ บุคคลปฏิวิภัตต์. ใน ๒ อย่างนั้นการแบ่งด้วยจิตคิดอย่างนี้ว่า เราจัก

ให้เท่านี้ จักไม่ให้เท่านี้ ชื่อว่าอามิสปฏิวิภัตต์. การแบ่งด้วยจิตคิดอย่างนี้ว่า

เราจักให้องค์โน้น ไม่ให้แก่องค์โน้นดังนี้ ชื่อว่าบุคคลปฏิวิภัตต์. ภิกษุไม่

กระทำแม้ทั้ง ๒ อย่าง บริโภคปัจจัยที่ยังไม่ได้แบ่ง ชื่อว่าอปฏิวิภัตตโภคี.

ในคำว่า สีลวนฺเตหิ สพฺรหฺมจารีหิ สาธรณโภคี นี้ เป็นลักษณะของภิกษุ

ผู้บริโภคทั่วไป. ภิกษุได้ลาภใด ๆ อันประณีตให้ลาภนั้น แก่พวกคฤหัสถ์โดยมุข

คือการต่อลาภด้วยลาภก็หามิได้ บริโภคด้วยตนเองก็หามิได้. เมื่อรับก็ถือว่าจง

ทั่วไปกับสงฆ์ เห็นลาภที่เขาเคาะระฆังแล้วบริโภคเหมือนของสงฆ์. ถามว่า

ใคร ๆบำเพ็ญ ใครไม่บำเพ็ญสาราณียธรรมนี้. ตอบว่า ภิกษุผู้ทุศีลไม่บำเพ็ญ.

เพราะภิกษุผู้มีศีลไม่ยอมรับของๆ ภิกษุนั้น. ส่วนภิกษุผู้มีศีลบริสุทธิ์ บำเพ็ญ

วัตรไม่ขาด. วัตรในข้อนั้นมีอุทาหรณ์ดั่งนี้

เรื่อง สารณียธรรมแตก

ก็ภิกษุใด เจาะจงให้แก่มารดาบิดาหรืออาจารย์และอุปัชฌาย์เป็นต้น

ภิกษุนั้นย่อมให้สิ่งที่ควรให้ ภิกษุนั้นไม่มีสาราณียธรรม ชื่อว่าปฏิบัติด้วย

ความกังวล. จริงอยู่สาราณียธรรมย่อมควรแก่บุคคลผู้พ้นความกังวลเท่านั้น.

ก็ภิกษุนั้นเมื่อให้เจาะจงพึงให้แก่ภิกษุไข้ ภิกษุพยาบาลภิกษุไข้แก่ภิกษุผู้จรมา

ภิกษุผู้เตรียมจะไปและภิกษุบวชใหม่ ผู้ไม่รู้การรับสังฆาฏิและบาตร. ควรให้

แก่ชนเหล่านั้น ส่วนที่เหลือไม่ให้น้อย ๆ ตั้งแต่เถรอาสน์ แล้วพึงให้เท่าที่

ภิกษุจะรับได้. เมื่อส่วนที่เหลือไม่มี ไปเที่ยวบิณฑบาตอีก ให้สิ่งที่ประณีต ๆ

ตั้งแต่เถรอาสน์ แล้วบริโภคส่วนที่เหลือ. ไม่ควรให้แก่ภิกษุทุศีลเพราะพระ-

บาลีว่า สีลวนฺเตหิ ดังนี้. ก็สาราณียธรรมนี้ บำเพ็ญยากสำหรับบริษัทผู้ยัง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 361

ไม่ศึกษา บำเพ็ญไม่ยากสำหรับบริษัทผู้ที่ศึกษาแล้ว. ภิกษุใดได้ของโดยทางอื่น

ภิกษุนั้นย่อมไม่ถือเอา.

แม้เมื่อไม่ได้โดยทางอื่นก็รับแต่ควรแก่ประมาณเท่านั้น ไม่รับให้เกิน

ไป. ก็สาราณียธรรมนี้ ๑๒ ปี จึงจะบริบูรณ์ สำหรับภิกษุผู้เที่ยวบิณฑบาต

บ่อย ๆ แล้วให้ของที่ได้มา ๆ ด้วยประการฉะนี้ ไม่ต่ำไปกว่านั้น. ก็ถ้าภิกษุ

บำเพ็ญสาราณียธรรมครบปีที่ ๑๒ วางบาตรที่เต็มด้วยอาหารไว้ในโรงฉันแล้ว

ไปสรงน้ำ พระสังฆเถระถามว่า นั่นบาตรของใคร เมื่อภิกษุอื่นตอบว่า ของ

ภิกษุผู้บำเพ็ญสาราณียธรรม จึงกล่าวว่านำบาตรนั้นมาซิแล้วแจกจ่ายอาหารใน

บาตรทั้งหมดแล้วฉัน วางแต่บาตรเปล่าไว้ที่นั้น ภิกษุนั้นเห็นบาตรเปล่าเกิด

ความเสียใจว่า ภิกษุทั้งหลายฉันไม่เหลือไว้ให้เราเลย สาราณียธรรมก็แตก.

ต้องบำเพ็ญ ๑๒ ปีใหม่. ก็สาราณียธรรม ก็เหมือนติตถิยปริวาส เมื่อขาด

ครั้งหนึ่ง ก็ต้องบำเพ็ญใหม่. ส่วนภิกษุใดเกิดความดีใจว่า เป็นลาภของเรา

หนอ เราได้ดีแล้วหนอ ที่เราไม่ต้องบอกกล่าวถึงสิ่งที่อยู่ในบาตร เพื่อน

สพรหมจารีก็พากันฉัน เป็นอันชื่อว่า สาราณียธรรมนั้นเต็มแล้ว. ก็ภิกษุผู้

มีสาราณียธรรมเต็มอย่างนี้แล้ว ย่อมไม่มีความริษยา ไม่มีความตระหนี่.

ภิกษุนั้นย่อมเป็นที่รักของคนทั้งหลาย และย่อมมีปัจจัยหาได้ง่าย. ของที่อยู่

ในบาตรที่เขาถวายแก่ภิกษุนั้น ย่อมไม่สิ้นไป. เธอย่อมได้แต่ของที่เลิศในที่ ๆ

เขาแจกของ. เมื่อประสบภัยหรือความหิว เหล่าเทวดาก็ช่วยขวนขวาย. ใน

ข้อนั้นมีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์.

เรื่องสาราณียธรรมเต็ม

เขาเล่าว่า พระติสสเถระผู้อยู่ ณ เลณศิริ อาศัยมหาศิริคามอยู่.

พระมหาเถระ ๕๐ รูป ไปยังนาคทวีป ประสงค์จะไหว้พระเจดีย์ เที่ยวบิณฑ-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 362

บาตในสิริคาม ไม่ได้อะไร ๆ เลย ก็พากันออกไป. ก็พระเถระเมื่อเข้าไป

พบพระเถระเหล่านั้นแล้วถามว่า ท่านได้อาหารแล้วหรือขอรับ. ตอบว่า พวก

เราจะจาริกกันไปแล้วละผู้มีอายุ. พระเถระรู้ว่า พระเถระเหล่านั้นไม่ได้อาหาร

จึงกล่าวว่า ท่านขอรับ โปรดรออยู่ที่นี่แหละ จนกว่าผมจะมา. ตอบว่า เรามีถึง

๕๐ รูปนะ ไม่ได้แม้เพียงน้ำชื้นบาตร. พระเถระพูดว่า ท่านขอรับ ธรรมดาว่า

ภิกษุประจำถิ่น ย่อมเป็นผู้สามารถแม้เมื่อไม่ได้ก็รู้จักภิกษุผู้เป็นเพื่อนทาง

ภิกษาจาร. พระเถระทั้งหลายมากันแล้ว. พระเถระก็เข้ามาบ้าน. มหาอุบาสิกา

ในบ้านใกล้ ๆ ก็จัดน้ำนมและอาหารคอยพระเถระพอพระเถระมาถึงประตูบ้าน

ก็ถวายเต็มบาตร. พระติสสเถระนั้นก็นำบิณฑบาตไปยังสำนักพระเถระทั้งหลาย

กล่าวกะพระสังฆเถระว่าโปรดรับเถิดขอรับ. พระเถระมองดูหน้าพระเถระอื่นๆ

ด้วยคิดว่า พวกเราถึงเท่านั้นไม่ได้อะไรเลย แต่พระเถระรูปนี้ไปเดี๋ยวเดียวก็

กลับมา อะไรกันหนอ. พระติสสเถระรู้ด้วยอาการที่มองดูเท่านั้นกล่าวว่า ท่าน

ขอรับ พวกท่านอย่ารำคาญใจไปเลย โปรดรับบิณฑบาตที่ได้มาโดยสม่ำเสมอ

เถิด แล้วก็ถวายอาหารจนพอแก่ความต้องการแก่พระเถระทุกรูปตั้งแต่ต้น แม้

ตนเองก็ฉันพอต้องการ. เมื่อฉันเสร็จ พระเถระทั้งหลายก็ถามพระติสสเถระ

นั้นว่า ผู้มีอายุ บรรลุโลกุตตรธรรมเมื่อไร. พระติสสเถระ ตอบว่า โลกุตตร

ธรรมของผมไม่มีดอกขอรับ. ถามว่า ผู้มีอาวุโสท่านได้ฌานหรือ. ตอบว่า แม้

อย่างนี้ก็ไม่มี ขอรับ. ถามว่า ผู้มีอายุน่าอัศจรรย์จริงหนอ. ตอบว่า ท่านขอรับ

ผมบำเพ็ญสาราณียธรรมนะ ตั้งแต่เวลาที่สาราณียธรรมของผมนั้นเต็มแล้ว

แม้ถ้ามีภิกษุแสนรูป ของที่อยู่ในบาตรก็ไม่หมดไป. พระเถระเหล่านั้นฟังแล้ว

ก็พากันกล่าวว่า สาธุ สาธุ ท่านสัตบุรุษ ข้อนี้ของท่านเหมาะจริง. ในคำว่า

ปตฺตคต น ขียติ ของที่อยู่ในบาตรไม่หมดไปนี้ มีเรื่องเท่านี้ก่อน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 363

อนึ่ง พระเถระองค์นี้นี่แหละ ไปยังสถานที่ให้ทาน ด้วยคิริภัณฑ-

มหาบูชา ที่เจติยบรรพต ถามว่า ในทานนี้อะไรเป็นของเลิศ. ตอบว่า ผ้าสาฎก

๒ ผืนขอรับ. พระเถระพูดว่า ผ้าสาฎก ๒ ผืนเหล่านั้นจักต้องถึงเรา. อำมาตย์

ได้ฟังดังนั้นแล้วจึงกราบทูลแก่พระราชาว่า ภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งพูดอย่างนี้. พระ-

ราชาตรัสว่า ภิกษุหนุ่มมีจิตคิดอย่างนี้ แต่ผ้าสาฎกเนื้อละเอียดควรแก่

พระมหาเถระทั้งหลายจึงตั้งไว้ด้วยหมายจะถวายพระเถระทั้งหลาย. พระราชา

เมื่อจะถวายอันเมื่อภิกษุสงฆ์ยืนเรียงกัน ผ้าสาฎก ๒ ผืนที่วางไว้ใกล้ ๆ ก็ไม่

ขึ้นสู่พระหัตถ์ ขึ้นแต่ผ้าผืนอื่น ๆ แต่ในเวลาที่ถวายภิกษุหนุ่ม ผ้าสาฎก ๒ ผืน

นั้นขึ้นสู่พระหัตถ์ของพระราชา. ท้าวเธอทรงวางไว้ในมือของภิกษุหนุ่มนั้น

มองหน้าของอำมาตย์ให้ภิกษุหนุ่มนั่งถวายทาน ทรงละสงฆ์แล้วประทับนั่งใกล้

ภิกษุหนุ่ม ตรัสว่า ท่านเจ้าข้า ท่านบรรลุธรรมเมื่อไร. ภิกษุหนุ่มนั้นไม่ทูล

ถึงคุณที่ไม่มีอยู่แม้ทางอ้อม ทูลว่า ถวายพระพร โลกุตตรธรรมของอาตมภาพ

ไม่มีดอก. ตรัสว่า ท่านเจ้าข้า แต่ก่อนท่านได้พูดไว้มิใช่หรือ. ทูลว่า ถวายพระ-

พรจริง อาตมภาพบำเพ็ญสาราณียธรรม ตั้งแต่เวลาที่ธรรมนั้นของอาตมภาพ

เต็มแล้ว สิ่งของอันเลิศก็มาถึงในสถานที่แจก. พระราชาตรัสว่า สาธุ สาธุ

ท่านเจ้าข้า คุณข้อนี้ของพระคุณท่านเหมาะจริงแล้วเสด็จกลับ. ในคำว่า ภาช-

นียฏฺาเน อคฺคภณฺฑ ปาณาติ สิ่งของอันเลิศถึงในสถานที่แจกจ่ายนี้ มี

เรื่องดังกล่าวมานี้.

อนึ่ง ชาวภาตรคาม ในพราหมณติสสภัยนคร ไม่บอกกล่าวแก่พระ-

นาคเถรี พากันหนีไป. เวลาใกล้รุ่ง พระเถรีพูดกะเหล่าภิกษุณีสาวว่า หมู่บ้าน

ช่างเงียบเหลือเกินช่วยกันดูสิ. ภิกษุณีสาวเหล่านั้นไปตรวจดู ก็รู้ว่า ชาวบ้าน

พากันอพยพไปหมดแล้ว จึงมาบอกแก่พระเถรี. พระเถรีนั้นฟังแล้วก็กล่าว

ว่า พวกท่านอย่าคิดว่าชาวบ้านเหล่านั้นอพยพไปกันเลย จงทำความเพียรใน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 364

การเล่าเรียนบาลีอรรถกถาและโยนิโสมนสิการของตนเท่านั้น เวลาภิกษาจารก็

ห่มผ้า รวมด้วยกัน ๑๒ รูปทั้งตนเอง แม้ยืนกันอยู่ที่โคนต้นไทรใกล้ประตู

บ้าน เทวดาที่สิงอยู่ที่ต้นไม้ ก็ถวายบิณฑบาตแก่ภิกษุณี ๑๒ รูป แล้วกล่าวว่า

พระแม่เจ้า อย่าไปที่อื่นเลยโปรดอยู่ที่นี้เป็นนิตย์เถิด. แต่พระเถรีมีน้องชาย

ชื่อพระนาคเถระ พระเถระคิดว่า มีภัยใหญ่เราไม่อาจอยู่ในที่นี้ได้ จักไปฝั่งโน้น

มีภิกษุ ๑๒ ทั้งตน ออกจากสถานที่อยู่ของตนมายังภาตรคามด้วยหมายใจจะ

พบพระเถรีแล้วจึงจักไป. พระเถรีทราบว่า เหล่าพระเถระมากันแล้ว จึงไป

สำนักของพระเถระเหล่านั้น ถามว่า อะไรกัน พระผู้เป็นเจ้า. พระเถระก็บอก

เรื่องนั้น. พระเถรีบอกว่า วันนี้พวกท่านจงอยู่ในวัดนี้เสียวันหนึ่ง พรุ่งนี้ ค่อย

ไป. พระเถระทั้งหลายก็พากันไปยังวัด. รุ่งขึ้นพระเถรีเที่ยวบิณฑบาตที่โคน

ไม้เข้าไปหาพระเถระพูดว่า ท่านฉันบิณฑบาตนี้เถิด. พระเถระกล่าวว่า จัก

ควรหรือพระเถรีแล้วก็ยืนนิ่ง. พระเถรีกล่าวว่า พ่อเอ๋ย บิณฑบาตนี้ ได้มา

ด้วยธรรมอย่ารังเกียจโปรดฉันเถิด. พระเถระพูดว่า ควรหรือพระเถรี. พระ

เถรีจับบาตรได้ก็โยนไปในอากาศ. บาตรก็ตั้งอยู่ในอากาศ. พระเถระก็กล่าว

ว่า พระเถรี ภัตแม้ตั้งอยู่ในที่ ๗ ชั่วลำตาล ก็เป็นภัตสำหรับภิกษุณีนั่นเอง

แล้วกล่าวอีกว่า ชื่อว่าภัยไม่ใช่มีทุกเวลา เมื่อภัยสงบ เราก็กล่าวถึงอริยวงศ์

ถูกท่านตักเตือนด้วยจิตว่า ดูก่อนท่านผู้ถือบิณฑปาติกธุดงค์ พวกท่านโปรด

ฉันอาหารของภิกษุณีเห็นปานนี้ อยู่เรื่อยไปเถิดดังนี้ ข้าพเจ้าไม่อาจช่วยได้

ท่านภิกษุณีทั้งหลาย พวกท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด แล้วออกเดินทาง. แม้

รุกขเทวดาก็คิดว่า ถ้าพระเถระฉันบิณฑบาตจากมือพระเถรี เราจักไม่นำพระ

เถระนั้นกลับ ถ้าพระเถระไม่ฉันก็จักนำกลับ ยืนเห็นพระเถระไปลงจากต้นไม้

พูดว่า โปรดให้บาตรเถิดเจ้าข้า แล้วรับบาตรนำพระเถระมาที่โคนไม้นั้นแล

ปูอาสนะถวายบิณฑบาต ให้พระเถระผู้ฉันเสร็จแล้วปฏิญาณ บำรุงภิกษุณี

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 365

๑๒ รูป ภิกษุ ๑๒ รูป ๗ ปี ในข้อนี้ว่า เทวตา อุสฺสุกฺก อาปชฺชนฺติ

เทวดาย่อมช่วยเหลือนี้มีเรื่องดังกล่าวมานี้ . จริงอยู่ ในข้อนั้นพระเถรีก็ได้เป็น

ผู้บำเพ็ญสาราณียธรรม.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อขณฺฑานิ เป็นต้น ดังต่อไปนี้ ภิกษุใด

มีสิกขาบทขาดในเบื้องต้นหรือที่สุดในกองอาบัติทั้ง ๗ ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่า

เหมือนผ้าขาดที่ชาย. อนึ่ง ภิกษุใดมีสิกขาบทขาดตรงกลางศีลของภิกษุนั้น

ชื่อว่าทะลุ เหมือนผ้าทะลุกลางผืน. ส่วนภิกษุใดมีสิกขาบทขาด ๒-๓ สิกขาบท

ตามลำดับ ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าต่าง เหมือนแม่โคสีดำสีแดงเป็นต้นอย่างใด

อย่างหนึ่งโดยสีที่ต่างกัน อยู่ตรงหลังบ้าง ท้องบ้าง. ภิกษุใดมีสิกขาบทขาด

ในระหว่าง ๆ ศีลของภิกษุนั้นชื่อว่าพร้อย เหมือนแม่โคมีลายจุดต่าง ๆ ใน

ระหว่าง ๆ. ส่วนภิกษุใดมีสิกขบทไม่ขาดเลย ศีลเหล่านั้นของภิกษุนั้นชี่อว่า

ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย. ก็ศีลนั้น ๆ ชื่อว่าเป็นไท เพราะ

กระทำให้พ้นจากความเป็นทาสตัณหา กลับเป็นไท ชื่อว่าวิญญูชนสรรเลริญแล้ว

เพราะวิญญูชนมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงสรรเสริญแล้ว ชื่อว่าอันกิเลสไม่ถูก

ต้องแล้วเพราะตัณหาและทิฏฐิไม่ถูกต้องแล้ว และเพราะอันใคร ๆ ไม่อาจ

ปรามาสว่า ท่านเคยต้องอาบัติชื่อนี้. ท่านเรียกว่า เป็นไปเพื่อสมาธิ เพราะ

ยังอุปจารสมาธิ หรือ อัปปนาสมาธิให้เป็นไป. บทว่า สีลสามญฺคตา

วิหริสฺสนติ ได้แก่จักมีศีลเสมอกับภิกษุ ผู้อยู่ในทิศาภาคนั้น ๆ อยู่. จริงอยู่

ศีลของพระโสดาบันเป็นต้น ย่อมเสมอกับศีลของพระโสดาบันเป็นต้นเหล่าอื่น

ผู้อยู่ในระหว่างสมุทรก็ดี ในเทวโลกก็ดี. ความแตกต่างกันในศีลที่ประกอบ

ด้วยมรรคผลไม่มี. ท่านหมายเอาข้อนั้น จึงกล่าวคำนี้.

บทว่า ยาย ทิฏฺิ ได้แก่สัมมาทิฏฐิที่สัมปยุตด้วยมรรค. บทว่า

อริยา ได้แก่ ไม่มีโทษ บทว่า นิยฺยาติ ได้แก่ นำทุกข์ออกไป. บทว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 366

ตกฺกรสฺส ได้แก่ ผู้กระทำอย่างนั้น. บทว่า สพฺพทุกฺขกฺขยาย ได้แก่ เพื่อ

ความสิ้นทุกข์ในวัฏฏะทั้งปวง. บทว่า ทิฏฺิสามญฺคตา ความว่า จักเป็น

ผู้เข้าถึงความเป็นผู้มีทิฏฐิเสมอกันอยู่. บทว่า วุฑฺฒิเยว ความว่า ภิกษุผู้อยู่

อย่างนี้ พึงหวังความเจริญถ่ายเดียว ไม่เสื่อมเลย.

บทว่า เอตเทว พหุล ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงโอวาท

ภิกษุทั้งหลายจึงทรงทำธรรมีกถาอย่างนี้นี่แหละบ่อย ๆ เพราะใกล้ปรินิพพาน.

บทว่า อิติ สีล แปลว่า ศีลอย่างนี้ ศีลเท่านี้. ในข้อนั้น พึงทราบว่า

จตุปาริสุทธิศีล ชื่อว่าศีล. จิตเตกัคคตา ชื่อว่าสมาธิ. วิปัสสนา ชื่อว่าปัญญา.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า สีลปริภาวิโต ดังนี้ ภิกษุทั้งหลายทั้งอยู่ในศีลอันใด

ย่อมบังเกิดสมาธิที่สัมปยุตด้วยมรรค สมาธิที่สัมปยุตด้วยผลสมาธินั้น อันศีล

นั้นอบรมแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก. ภิกษุทั้งหลายตั้งอยู่ในสมาธิใด

ย่อมบังเกิดปัญญาที่สัมปยุตด้วยมรรค ปัญญาที่สัมปยุตด้วยผลปัญญานั้น อัน

สมาธินั้นอบรมแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก. ภิกษุทั้งหลายตั้งอยู่ใน

ปัญญาอันใด ย่อมบังเกิดมรรคจิต. ผลจิต จิตนั้นอันปัญญานั้นอบรมแล้ว

ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลายโดยชอบทีเดียว. บทว่า ยถาภิรนฺต ความว่า

ชื่อว่า ความไม่ยินดียิ่ง ความหวาดสะดุ้งของพระพุทธเจ้าเป็นต้น ไม่มี. แต่

ท่านอธิบายว่า ตามความชอบใจ ตามอัธยาศัย. บทว่า อายาม แปลว่า

มาไปกันเถิด ปาฐะว่า อยาม ก็มี. อธิบายว่า ไปกันเถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสเรียกพระอานนท์ผู้ติดตามไปใกล้ ๆ ว่า อานนท์. ฝ่ายพระเถระบอกภิกษุ

ทั้งหลายว่า ผู้มีอายุ จงเตรียมถือบาตร จีวร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระ-

ประสงค์จะเสด็จไปที่โน้น . เรื่องการเสด็จมาอัมพลัฏฐิกาวัน ง่ายทั้งนั้น. คำว่า

อถ โข อายสฺมา สารีปุตฺโต ครั้งนั้นแล ท่านพระสารีบุตร ดังนี้เป็นต้น

ท่านกล่าวไว้พิสดารแล้วในสัมปสาทนียสูตร.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 367

บทว่า ปาฏลิคาเม อาวสถาคาร ได้แก่ เรือนพักสำหรับคนจรมา.

เขาว่าในปาฏลิคาม สหายของพระราชาสองพระองค์มากันเป็นนิจ พาครอบครัว

ออกจากบ้านมาพักกันเดือนหนึ่งบ้าง ครึ่งเดือนบ้าง. มนุษย์เหล่านั้นถูกรบกวน

เสมอ คิดกันว่า ในเวลาที่คนเหล่านั้นมากันก็มีที่อยู่ ดังนี้แล้วจึงสร้างศาลาใหญ่

กลางพระนคร สร้างที่เก็บสิ่งของไว้ส่วนหนึ่ง สร้างที่อยู่อาศัยไว้ส่วนหนึ่งของ

ศาลานั้น. ผู้คนเหล่านั้นได้ทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาแล้ว ก็มองเห็น

ประโยชน์อย่างนี้ว่า แม้พวกเราก็พึงไปนำพระผู้มีพระภาคเจ้ามา พระองค์เสด็จ

มาถึงสถานที่อยู่ของพวกเราด้วยพระองค์เองแล้ว วันนี้พวกเราจักอาราธนา

พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ตรัสมงคลในที่พัก เพราะฉะนั้นจึงกล่าวกันอย่างนี้.

บทว่า เยนาวสถาคาร ความว่า ได้ยินว่า ผู้คนเหล่านั้น ไม่รู้พระทัยของ

พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีพระอัธยาศัยชอบป่า

ยินดีป่า จะทรงประสงค์หรือไม่ประสงค์ประทับอยู่ในบ้าน จึงไม่จัดแจงเรือนพัก

พากันมาคิดกันว่า บัดนี้พวกเรารู้พระทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จักพา

กันไปจัดแจงเสียก่อนดังนั้น จึงพากันไปยังเรือนพัก. บทว่า สพฺพสนฺถริต

แปลว่า ปูลาดไว้ทุกสิ่งทุกอย่าง.

บทว่า ทุสฺสีโล ได้แก่ผู้ไม่มีศีล. บทว่า สีลวิปนฺโน ได้แก่มีศีล

วิบัติ มีสังวรสลาย. บทว่า ปมาทาธิกรณ ได้แก่เพราะความประมาทเป็นเหตุ.

ก็พระสูตรนี้ ใช้สำหรับคฤหัสถ์ แม้บรรพชิตก็ใช้ได้. จริงอยู่ คฤหัสถ์เลี้ยงชีพ

ด้วยการหมั่นศึกษาศิลปะไม่ว่าจะเป็นกสิกรรมวณิชกรรมพลั้งเผลอไปด้วยการทำ

ปาณาติบาตเป็นต้น ก็ไม่สามารถจะทำศิลปะนั้น ๆ ให้สำเร็จตามกาล เมื่อเป็น

เช่นนั้น รากฐานของเขาก็พินาศ. แต่ในเวลาคับแค้น กระทำปาณาติบาต

และอทินนาทาน ย่อมเสื่อมโภคะอย่างใหญ่เพราะอำนาจโทษ. ฝ่ายบรรพชิต

ทุศีล ย่อมถึงความเสื่อมจากศีล จากพุทธวจนะ จากฌาน และจากอริยทรัพย์

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 368

๗ เพราะความประมาทเป็นเหตุ. สำหรับคฤหัสถ์นั้น เกียรติศัพท์อันชั่ว ย่อม

อื้อฉาวไปในท่ามกลางบริษัท ว่าคนโน้นเกิดในตระกูลโน้น ทุศีล มีบาป

ธรรม สละทั้งโลกนี้โลกหน้า ไม่ถวายทานแม้เพียงสลากภัต. หรือสำหรับ

บรรพชิต เกียรติศัพท์อันชั่วก็ฟุ้งไปอย่างนี้ว่า ภิกษุชื่อโน้น ไม่สามารถรักษา

ศีลได้ ไม่สามารถจะเรียนพระพุทธพจน์ได้เลี้ยงชีพด้วยอเนสนกรรม มีเวชช-

กรรมเป็นต้น ประกอบด้วยอคารวะ ๖. บทว่า อวิสารโท ความว่า คฤหัสถ์

มีความกลัวว่า ก่อนอื่น คนบางพวกจักรู้เรื่องกรรมของเรา ดังนั้นก็จักข่มเรา

หรือแสดงตัวต่อราชสกุล ในที่ประชุมคนจำนวนมากแน่แท้ จึงเข้าไปหา

ประหม่า คอตก หน้าคว่ำ นั่งเอาหัวแม่มือไถพื้น ถึงเป็นคนกล้า ก็ไม่อาจ

พูดจาได้. ฝ่ายบรรพชิตมีความกลัวว่าภิกษุเป็นอันมากประชุมกัน บางรูป

จักรู้กรรมของเราแน่ ดั่งนั้น จักงดอุโบสถบ้าง ปวารณาบ้างแก่เรา จักคร่า

เราให้เคลื่อนจากเพศสมณะจึงเข้าไปหา ถึงเป็นคนกล้าก็ไม่อาจพูดจาได้. ส่วน

ภิกษุบางรูป แม้ทุศีลก็เที่ยวไปประดุจผู้ไม่ทุศีล แม้ภิกษุนั้น ก็ย่อมเป็นผู้

เก้อเขินโดยอัธยาศัยทีเดียว. บทว่า สมฺมุโฬฺห กาล กโรติ ความว่า ก็เมื่อ

ภิกษุผู้ทุศีลนั้น นอนบนเตียงเป็นที่ตาย สถานที่ที่ยึดถือพระพฤติในกรรมคือ

ทุศีล ย่อมมาปรากฏ. ภิกษุทุศีลนั้น ลืมตาก็เห็นโลกนี้ หลับตาก็เห็นปรโลก

อบาย ๔ ก็ปรากฏ แก่ภิกษุทุศีลนั้น. ภิกษุทุศีลนั้นก็เป็นประหนึ่งถูกหอก

๑๐๐ เล่ม แทงที่ศีรษะ เธอจะร้องว่า ห้ามที ห้ามที มรณะไป. ด้วยเหตุนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สมฺมุโฬห กาล กโรติ หลงตาย ดังนี้. บทที่ ๕

ก็ง่ายเหมือนกัน. เรื่องอานิสงส์ ก็พึงทราบโดยปริยายตรงกันข้ามกับที่กล่าว

ไว้แล้ว.

บทว่า พหฺเทว รตฺตึ ธมฺมิยา กถาย ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงให้อิ่มเอิบแล้ว ให้เห็นแจ้งแล้ว ให้สมาทานแล้ว ให้อาจหาญแล้ว ให้

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 369

เข้าถึงความสิ้นและความเสื่อมแล้ว ตลอดราตรีเป็นอันมาก แล้วทรงส่งไปด้วย

ธรรมกถาที่พ้นจากบาลีอย่างอื่น และด้วยกถาอนุโมทนา การถวายเรือนพัก

ประหนึ่ง ทรงพาข้ามอากาศคงคา ประหนึ่ง ทรงคั้นผึ้งรวงใหญ่ ขนาด

โยชน์หนึ่งแล้ว ให้มหาชนดื่มน้ำผึ้งฉะนั้น. บทว่า อภิกฺกนฺตา ได้แก่ล่วงไป

แล้ว สิ้นไปแล้ว. บทว่า สุญฺาคาร ความว่า ขึ้นชื่อว่า เรือนว่าง ที่แยก

เป็นส่วนหนึ่งต่างหากไม่มี. แต่ในที่นั้นนั่นแหละ เหล่าชาวบ้านปาฏลิคาม

ล้อมไว้ด้วยกำแพงคือม่านไว้ข้างหนึ่ง แล้วจัดเตียงไว้ด้วยประสงค์ว่า พระ-

ศาสดาจักทรงพักผ่อนในที่นี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสำเร็จสีหไสยา บน

เตียงนั้นด้วยมีพระพุทธประสงค์ว่า เรือนพักนี้ ตถาคต ใช้สอยแล้วด้วยอิริยาบถ

แม้ทั้ง ๔ กุศลนั้น จักมีผลมากแก่ชาวปาฏลิคามเหล่านั้น ดังนี้. ท่านหมายเอา

เรือนพักนั้น จึงกล่าวว่า สุญฺาคาร ปาวิสิ. เสด็จเข้าไปสู่เรือนว่างดังนี้.

บทว่า สุนีธวสฺสการา ได้แก่พราหมณ์ ๒ คน คือ สุนีธะคนหนึ่ง

วัสสการะคนหนึ่ง. บทว่า มหามตฺตา ได้แก่มหามัตตะ คือมหาอำมาตย์

ของพระเจ้ากรุงมคธ อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่ามหาอำมาตย์แคว้นมคธ ก็เพราะ

มหาอำมาตย์ในแคว้นมคธ ประกอบด้วยมาตรคืออิสริยยศยิ่งใหญ่. บทว่า

ปาฏลิคาเม นคร ได้แก่สร้างปาฏลิคามทำให้เป็นบาตร. บทว่า วชฺชีน

ปฏิพาหาย ได้แก่ เพื่อตัดทางขยายตัวของราชวงศ์แคว้นวัชชี.

บทว่า สหสฺเสว ได้แก่แต่ละพวกนับเป็นพัน ๆ. บทว่า วตฺถูนิ

ได้แก่ที่ปลูกเรือน. บทว่า จิตฺตานิ นมนฺติ นิเวสนาหิ มาเปต ความว่า

จิตของมหาอำมาตย์ผู้ทำนายวิชาดูพื้นที่น้อมไปเพื่อสร้างคฤหาสน์สำหรับพระ-

ราชาและมหาอำมาตย์ของพระราชา. เล่ากันว่า มหาอำมาตย์เหล่านั้นใช้อานุภาพ

แห่งศิลปะของตนมองเห็นภายใต้แผ่นดินประมาณ ๖๐ ศอก ว่าที่นี้นาคยึดไว้ ที่นี้

ยักษ์สิง ที่นี้ภูตสิง มีหินหรือตอ. เวลานั้น อำมาตย์เหล่านั้นร่ายศิลปะ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 370

สร้างขึ้นได้เหมือนปรึกษากับเทวดาทั้งหลาย. อีกอย่างหนึ่ง เทวดาสิงอยู่ในร่าง

ของอำมาตย์เหล่านั้น น้อมจิตไปเพื่อสร้างคฤหาสน์ในที่นั้น ๆ พอเขาตอกหลัก

ลงใน ๔ มุม เทวดาเหล่านั้นจึงเข้าสิงพื้นที่. เทวดาผู้มีศรัทธา ทำอย่างนั้นแก่

ตระกูลผู้มีศรัทธา เทวดาผู้ไม่มีศรัทธาก็ทำอย่างนั้นแก่ตระกูลผู้ไม่มีศรัทธา.

เพราะเหตุไร. เพราะผู้มีศรัทธามีความคิดอย่างนี้ว่า คนทั้งหลายในโลกนี้

ครั้นสร้างบ้านเรือนแล้ว ชั้นแรกนิมนต์ภิกษุสงฆ์ให้นั่ง ให้กล่าวแต่มงคล

เมื่อเป็นเช่นนี้. พวกเราก็จักได้เห็นผู้มีศีล ฟังธรรมกถา การแก้ปัญหาและ

อนุโมทนา ผู้คนให้ทานแล้วจักให้ส่วนบุญแก่เรา.

บทว่า ตาวตึเสหิ ความว่า เสียงขจรไปว่า พวกมนุษย์ในตระกูล

โน้น อาศัยมนุษย์ผู้เป็นบัณฑิตผู้หนึ่งในตระกูลหนึ่ง ย่อมเป็นบัณฑิต หรือ

ภิกษุในวิหารโน้น อาศัยภิกษุผู้เป็นพหูสูตรูปหนึ่งในวิหารหนึ่ง ย่อมเป็น

พหูสูตรูปหนึ่งในวิหารหนึ่ง ย่อมเป็นพหุสูตฉันใด. เสียงขจรไปว่า เทวดา

ชั้นดาวดึงส์ อาศัยท้าวสักกเทวราช และวิษณุกรรมเทพบุตรย่อมเป็นบัณฑิต

ฉันนั้นเหมือนกัน . เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ตาวตึเสหิ.

อธิบายว่า ย่อมสร้างเหมือนปรึกษากับเทวดาชั้นดาวดึงส์. บทว่า ยาวตา

อริย อายตน ความว่า ชื่อว่าที่เป็นที่ประชุมของมนุษย์ เผ่าอริยกะมีประมาณ

เท่าใด. บทว่า ยาวตา วณิปฺปโถ ความว่า ชื่อว่าสถานที่เป็นที่ซื้อขายโดย

กองสิ่งของที่พวกพ่อค้านำมา หรือสถานที่เป็นที่อยู่ของพวกพ่อค้าทั้งหลายมี

ประมาณเท่าใด. บทว่า อิท อคฺคนคร ความว่า อัครนครนี้จักเป็นเมือง

เจริญ เป็นเมืองใหญ่ สำหรับพวกอริยกะและพวกพ่อค้านั้น ๆ. บทว่า ปุฏ-

เภทน ได้แก่ ที่แก้ห่อสินค้า. ท่านอธิบายว่า เป็นที่ปล่อยสินค้าของเจ้าของ

สินค้าต่าง ๆ. อธิบายว่า ก็ชนทั้งหลายแม้ไม่ได้สิ่งของในสกลชมพูทวีป ก็จัก

ได้ในที่นี้นี่แหละ แม้ผู้ไม่ไปค้าขายในที่อื่น ก็จักไปในที่นี้ เพราะฉะนั้น พวก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 371

เขาจักแก้ห่อสินค้าในที่นี้เท่านั้น. ท่านแสดงว่า จริงอยู่ทุก ๆ วัน มูลค่าจัก

เกิดขึ้น ห้าแสน อย่างนี้คือ ที่ประตูพระนครทั้งสี่ด้านสี่แสน ที่ท่ามกลางพระ-

นครหนึ่งแสน.

วา ศัพท์ในบทว่า อคฺคิโต วา มีอรรถเท่ากับ ความว่า จักพินาศ

ด้วยไฟ ด้วยน้ำ หรือด้วยการแตกกันเป็น ๒ ฝ่าย อธิบายว่า ส่วนหนึ่งพินาศ

ด้วยไฟ ไม่สามารถจะดับได้ ส่วนหนึ่งแม่น้ำคงคาพัดไป ส่วนหนึ่งจักพินาศ

ไป โดยความแตกแห่งกันและกันของพวกมนุษย์ ผู้แตกกัน ด้วยอำนาจ ปิสุณ-

วาจาที่กล่าวว่า คนนี้ไม่พูดกะคนโน้น คนโน้นไม่พูดกะคนนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสดังนี้แล้ว เวลาใกล้รุ่งเสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำ

คงคา ทรงชำระพระพักตร์แล้ว ประทับนั่งรอเวลาภิกขาจารอยู่. ฝ่ายมหา

อำมาตย์ มคธชื่อสุนีธะและวัสสการะคิดว่า พระราชาของพวกเราเป็นอุปัฏฐาก

ของพระสมณโคดม พระองค์จักตรัสถามพวกเราว่า ได้ยินว่า พระศาสดาได้

เสด็จไปปาฏลิคาม พวกท่านได้เข้าเฝ้าพระองค์หรือเปล่า เมื่อกราบทูลว่า

ข้าพระองค์เข้าเฝ้าจึงตรัสถามอีกว่า พวกท่านได้นิมนต์หรือเปล่า เมื่อกราบทูล

ว่า ไม่ได้นิมนต์ จักยกโทษนิคคหะพวกเรา อนึ่งเล่าพวกเราก็จะสร้างพระนคร

ในที่ที่ยังไม่ได้สร้างก็ในที่ที่พระสมณโคดมเสด็จไปแล้ว ๆ พวกสัตว์กาลกิณีจัก

ถอยกลับไป จึงคิดว่าพวกเราจักให้พระองค์ตรัสสิ่งที่เป็นมงคลแก่พระนครดังนี้

แล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลอาราธนา เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถ-

โข สุนีธวสฺสการา เป็นต้น. บทว่า ปุพฺพณฺหสมย แปลว่า ในเวลาเช้า.

บทว่า นิวาเสตฺวา แปลว่า ทรงอันตรวาสกคาดประคดตามธรรมเนียมเข้า

บ้าน. บทว่า ปตฺตจีวรมาทาย แปลว่า ทรงถือบาตรและจีวรแนบพระองค์.

บทว่า สีลวนฺเตตฺถ ตัดเป็น สีลวนฺเต เอตฺถ. บทว่า สญฺเต

ได้แก่ ผู้สำรวมด้วยกายวาจาใจ. บทว่า ตาส ทกฺขิณมาทิเส ความว่า พึง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 372

อุทิศปัจจัยสี่ที่ถวายสงฆ์คือพึงให้ส่วนบุญแก่เทวดาประจำเรือนเหล่านั้น. บทว่า

ปูชิตา ปูชยนฺติ ความว่า เทวดาย่อมอารักขาด้วยดี ด้วยสั่งว่าผู้คนเหล่านี้

แม้ไม่ใช่ญาติของเรา ก็ยังให้ส่วนบุญแก่พวกเราถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น พวก

ท่านจงจัดการอารักขาด้วยดี. บทว่า มานิตา มานยนฺติ ความว่า เทวดา

ทั้งหลายที่เหล่าผู้คนนับถือด้วยการทำพลีกรรมตามกาลสมควร จึงนับถือ คือ

กำจัดอันตรายที่เกิดขึ้น ด้วยเห็นว่าผู้คนเหล่านี้ แม้ไม่ใช่ญาติของพวกเราก็ยัง

ทำพลีกรรมแก่พวกเราในช่วงสี่เดือนหกเดือน. บทว่า ตโต น ได้แก่ แต่นั้น

เทวดาก็ย่อมอนุเคราะห์คนผู้บัณฑิตนั้น. บทว่า โอรส ได้แก่ วางไว้ที่อกให้

เจริญเติบโต. อธิบายว่า ย่อมอนุเคราะห์เหมือนมารดาอนุเคราะห์บุตรผู้เกิด

แต่อก พยายามกำจัดอันตรายที่เกิดขึ้นฉะนั้น. บทว่า ภนฺรานิ ปสฺสติ

แปลว่า เห็นสิ่งที่ดี.

บทว่า อุลุมฺป ได้แก่พาหนะที่เขาตอกลิ่มสร้างไว้เพื่อไปฝั่งโน้น (แพ).

บทว่า กุลฺล ได้แก่พาหนะที่เขาใช้เถาวัลย์เป็นต้นมัดไว้ (ทุ่น).

คำว่า อณฺณว ในคาถาว่า เย ตรนฺติ อณฺณว นี้ เป็นชื่อแห่งสถาน

ที่น้ำลึกและกว้างโดยกำหนดอย่างต่ำที่สุดประมาณโยชน์หนึ่ง. ในบทว่า สร นี้

ท่านประสงค์เอาแม่น้ำ. มีคำอธิบายว่า ผู้ที่ข้ามสระคือตัณหาที่ทั้งลึกทั้งกว้าง

สร้างสะพานกล่าวคืออริยมรรค ละเปือกตมคือที่ลุ่มเต็มด้วยน้ำแตะต้องไม่ได้

ข้ามไป ส่วนคนผู้นี้แม้ต้องการจะข้ามแม่น้ำแม้นิดหน่อยนี้ ก็ต้องผูกแพ ส่วนผู้

มีปัญญา คือพระพุทธเจ้าและสาวกของพระพุทธเจ้าไม่ต้องใช้แพก็ข้ามได้.

จบกถาพรรณนาปฐมภาณวาร

บทว่า โกฏิคาโม ได้แก่บ้านที่สร้างไว้ท้ายปราสาทของพระเจ้ามหา

ปนาทะ. บทว่า อริยสจฺจาน ได้แก่ สัจจะที่กระทำให้เป็นพระอริยะ. บทว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 373

อนนุโพธา ได้แก่เพราะไม่ตรัสรู้ คือ ไม่รู้. บทว่า อปฏิเวธา แปลว่า

เพราะไม่แทงตลอด. บทว่า สนฺธาวิต ได้แก่ แล่นไปโดยไปจากภพสู่ภพ.

บทว่า สสริต ได้แก่ท่องเทียวไปโดยไป ๆ มา ๆ ร่ำไป. บทว่า มม เจว-

ตุมฺหากญฺจ แปลว่า อันเราและพวกท่าน. อีกนัยหนึ่ง พึงทราบความในข้อนี้

อย่างนี้ว่า บทว่า สนฺธาวิต สสริต แปลว่า ความแล่นไป ท่องเที่ยวไป.

ได้มีแล้ว ทั้งแก่เราและพวกท่าน.

บทว่า สสริตพฺพ แปลว่า ท่องเที่ยวไป. บทว่า ภวเนตฺติ สมูหตา

ได้แก่ เชือกคือตัณหาอันสามารถนำสัตว์จากภพไปสู่ภพ อันเราและพวกท่าน

กำจัดแล้ว ตัดแล้ว ทำให้ไม่เป็นไปแล้วด้วยดี.

บทว่า นาทิกา ได้แก่บ้านสองตำบล ของบุตรของอาและลุงทั้งสอง

อาศัยสระเดียวกัน. บทว่า นาทิเก ได้แก่หมู่บ้านญาติตำบลหนึ่ง. บทว่า

คิญฺชกาวสเถ ได้แก่ ที่พักก่อด้วยอิฐ. บทว่า โอรมฺภาคิยาน ได้แก่ ส่วนเบื้อง

ต่ำ อธิบายว่า ทำให้ถือปฏิสนธิในกามภพเท่านั้น. อีกอย่างหนึ่ง โอรัมภาคิย

สังโยชน์ ที่พึงละด้วยมรรคทั้งสามที่ได้ชื่อว่า โอร. ในสังโยชน์เหล่านั้น

สังโยชน์สองนี้ คือ กามฉันทะ พยาบาท ที่ข่มไม่ได้ด้วยสมาบัติ หรือตัดไม่ได้

ด้วยมรรค ไม่ให้ไปสู่รูปภพและอรูปภพเบื้องสูง. สังโยชน์สามมี สักกายทิฏฐิ

เป็นต้น นำสัตว์ แม้ที่บังเกิดในภพนั้น ให้มาบังเกิดในภพนี้อีก เพราะฉะนั้น

สังโยชน์หมดทั้งสาม จึงชื่อว่าโอรัมภาคิยสังโยชน์. บทว่า อนาวตฺติธมฺมา

ได้แก่ มีการไม่กลับมาโดยปฏิสนธิเป็นสภาวะ. ในคำว่า ราคโทสโมหาน

ตนุตฺตา นี้ พึงทราบความที่ ราคะโทสะโมหะเบาบางลง โดยอาการทั้งสอง

อย่าง คือด้วยการเกิดขึ้นในบางครั้งบางคราวและมีปริยุฏฐานกิเลสน้อย. กิเลส

มีราคะเป็นต้น ย่อมไม่เกิดขึ้นเนือง ๆ แก่พระสกทาคามี เหมือนปุถุชน แต่

เกิดในบางครั้งบางคราว แต่เมื่อเกิดขึ้น ไม่เกิดขึ้นมากๆ เหมือนปุถุชน เกิดขึ้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 374

บาง ๆ เหมือนภาชนะใส่ปลา แต่พระมหาสิวเถระผู้รจนาคัมภีร์ทีฆนิกายกล่าว

ว่า เพราะพระสกทาคามียังมีบุตรธิดา และยังมีคนสนิท ฉะนั้นจึงยังมีกิเลสหนา

แต่คำนี้ท่านกล่าวถึงกิเลสในภพเบาบาง. คำนั้น ในอรรถกถาท่านคัดค้านไว้

เพราะท่านกล่าวไว้ว่า พระโสดาบันเว้นภพเจ็ดเสีย กิเลสที่เบาบางในภพที่

แปดไม่มี สำหรับพระสกทาคามี เว้นภพสองเสีย ไม่มีกิเลสเบาบางในภพ

ทั้งห้า สำหรับพระอนาคามีเว้นรูปภพอรูปภพ ไม่มีกิเลสเบาบางในกามภพ

พระขีณาสพไม่มีกิเลสเบาบางในภพไหน ๆ เลย. คำว่า อิม โลก นี้ ท่าน

หมายเอากามาวจรโลก. ก็ในข้อนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ ก็ถ้าพระอริยบุคคลผู้

บรรลุสกทาคามิผลในมนุษยโลก แล้วบังเกิดในเทวโลกย่อมทำให้แจ้งซึ่งพระ-

อรหัต ข้อนี้ดีอย่างนี้ แต่เมื่อสามารถกลับมาสู่มนุษยโลกแล้ว ย่อมทำให้แจ้ง

ซึ่งพระอรหัต ฝ่ายพระอริยบุคคลผู้บรรลุสกทาคามิผลในเทวโลก ถ้ามาเกิดใน

มนุษยโลกย่อมทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตได้ ข้อนี้ดีอย่างนี้ แต่เมื่อสามารถไปสู่

เทวโลก ย่อมทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตเป็นแน่. ความตกไปโดยไม่เหลือ ชื่อว่า

วินิบาต ในคำว่า อวินิปาตธมฺโม นี้ อธิบายว่า ความตกไปโดยไม่เหลือของ

พระโสดาบันนั้นเป็นธรรมหามิได้ เหตุนั้น พระโสดาบันนั้น ชื่อว่า มีอันไม่

ตกต่ำเป็นธรรมดา คือมีอันไม่ตกไปโดยไม่เหลือในอบายสี่เป็นสภาวะ. บทว่า

นิยโต ได้แก่ แน่นอน โดยกำหนดแห่งธรรม. บทว่า สมฺโพธิปรายโน

ความว่า สัมโพธิกล่าวคือ มรรคสามในเบื้องบน เป็นที่ไป เป็นที่ดำเนิน เป็นที่

พึงอาศัยของบุคคลนั้น คือ อันบุคคลนั้นพึงบรรลุแน่แท้เป็นเบื้องหน้า เหตุนั้น

บุคคลนั้นชื่อว่า มีสัมโพธิเป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ด้วยบทว่า วิเหสาเวสา ทรง

แสดงว่า ดูก่อนอานนท์ นั่นเป็นความลำบากกายของตถาคต ผู้ตรวจดูญาณคติ

ญาณอุปบัติ ญาณอภิสัมปรายะ ของเหล่าสัตว์นั้น ๆ. แต่ความลำบากจิตไม่มีแก่

พระพุทธเจ้าทั้งหลาย.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 375

บทว่า ธมฺมาทาส ได้แก่ แว่น คือธรรม. บทว่า เยน ได้แก่ผู้ประ-

กอบด้วยแว่นธรรมอื่นใด. บทว่า ขีณาปายทุคฺคติวินิปาโต นี้ ท่านกล่าว

โดยไวพจน์ของนรกเป็นต้นเท่านั้น. จริงอยู่ นรกเป็นต้น ชื่อว่าอบาย เพราะ

ปราศจากอยะ คือความเจริญ ชื่อว่า ทุคติ เพราะเป็นที่ดำเนินไป เป็นที่พึ่ง

อาศัยแห่งทุกข์ ชื่อว่า วินิบาต เพราะเป็นที่ตกไปโดยไม่เหลือของเหล่าชนผู้ทำ

ชั่ว. บทว่า อเวจฺจปฺปสาเทน ได้แก่ ด้วยความเสื่อมใสอันไม่หวั่นไม่ไหว

เพราะรู้ถึงพระพุทธคุณตามเป็นจริงนั่นแล. แม้ในสองบทข้างต้นก็นัยนี้เหมือน

กัน. ส่วนความพิสดารของคำว่า อิติปิ โส ภควา เป็นต้น กล่าวไว้แล้วใน

คัมภีร์วิสุทธิมรรค. บทว่า อริยกนฺเตหิ ได้แก่เป็นที่ใคร่ เป็นที่รัก เป็นที่

ชอบใจ ของพระอริยะทั้งหลาย. ศีลห้า ชื่อว่า เป็นที่ใคร่ ของพระอริยะทั้งหลาย

เพราะท่านไม่ละแม้ในภพอื่น. ท่านหมายถึงศีลห้านั้นจึงกล่าวคำนี้ไว้. แต่ใน

ที่นี้ได้แก่สังวรทั้งหมด. คำว่า โสตาปนฺโนหมสฺสิ นี้ เป็นหัวข้อเทศนา

เท่านั้น. แต่แม้พระสกทาคามีเป็นต้น ย่อมพยากรณ์โดยนัยมีอาทิว่า สกทาคา

มีหมสฺมิ เราเป็นสกทาคามีดังนี้แล. การพยากรณ์แห่งพระอริยสาวกทั้งปวงใน

ฐานะที่ควรโดยไม่ผิดสิกขาบท (วินัย) เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต

แล้วแล.

พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เวสาลิย วิหรติ นี้ ดังต่อไปนี้. พึงทราบ

ความที่เมืองเวสาลีเป็นนครสมบูรณ์. โดยนัยที่กล่าวแล้วขันธกวินัยว่า

เตน โข ปน สมเยน เวสาลี อิทฺธาเจว โหติ ผีตา จ ดังนี้. บทว่า

อมฺพปาลิวเน ได้แก่ ในป่ามะม่วงอันเป็นสวนของนางอัมพปาลีคณิกา. บทว่า

สโต ภิกฺขเว ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเริ่มสติปัฏฐานเทศนาในที่นี้

โดยพิเศษเพื่อให้สติปรากฏในการทรงทอดทัศนาอัมพปาลีวัน. ในบทเหล่านั้น

ชื่อว่า สโต เพราะระลึกได้ ชื่อว่า สมฺปชาโน เพราะรู้ตัว อธิบายว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 376

พึงเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะอยู่. ข้าพเจ้าจักกล่าวคำที่ควรกล่าวในคำ

เป็นต้นว่า กาเย กายานุปสฺสี ไว้ในมหาสติปัฏฐานสูตร.

คำว่า นีลา เป็นต้นนี้ กล่าวรวมสีทั้งหมด. ส่วนคำว่า นีลวณฺณา

เป็นต้น เป็นการแสดงจำแนกสีนั้นนั่นแหละ. ก็ในคำนั้น ท่านกล่าวคำนี้ไว้

เพราะสีเหล่านั้น มิใช่สีเขียวปกติ หากผสมด้วยสีเขียว. บทว่า นีลวตฺถา

ความว่า ผ้าธรรมดาผ้าเปลือกไม้และผ้าไหมเป็นต้น ชื่อว่าเขียวสำหรับผ้า

เหล่านั้น. บทว่า นีลาลงฺการา ได้แก่ประดับด้วยมณีเขียว ดอกไม้เขียว.

แม้รถของเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น ก็ขจิตด้วยมณีเขียว ขลิบด้วยผ้าเขียว มีธงเขียว

ประกอบด้วยทหารสวมเกราะเขียว อาภรณ์เขียวเทียมด้วยม้าเขียว แม้ด้ามแส้

ก็เขียวเหมือนกันแล. เนื้อความในทุกบทก็พึงทราบโดยนัยนี้.

บทว่า ปฏิวฏฺเฏสิ แปลว่า ตี. คำว่า เช ในคำว่า กึ เช อมฺพปาลิ

เป็นคำร้องเรียก. ท่านอธิบายว่า แม่อัมพปาลี เหตุไรจ๊ะ ? ปาฐะว่า กิญฺจิ

ก็มี. ในคำนี้ ความก็อย่างนี้เหมือนกัน. บทว่า สาหาร ได้แก่ พร้อมด้วย

ชนบท. บทว่า องฺคุลึ โผเฏสุ ได้แก่ สั่นนิ้วมือ. บทว่า อมฺพกาย ได้แก่

มายาหญิง. คำว่า เยส เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ลงในอรรถตติยาวิภัตติ. ท่านอธิบาย

ว่า อันภิกษุเหล่าใดไม่เห็นแล้ว. บทว่า โอโลเกถ ได้แก่จงดูเสีย. บทว่า

อวโลเกถ ได้แก่จงดูบ่อย ๆ. บทว่า อุปสหรถ ได้แก่น้อมเข้ามา. อธิบายว่า

พวกเธอจงน้อมนำมาเปรียบเทียบบริษัทของเจ้าลิจฉวีนี้ เช่นกับเทวดาชั้น

ดาวดึงส์ด้วยจิตของพวกเธอ จงดูเทียบกับเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ว่า แม้เจ้า

ลิจฉวีเหล่านี้ก็เหมือนเหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์ที่สะสวยน่าเลื่อมใส มีวรรณะต่างๆ

กัน มีวรรณะเขียวเป็นต้น ฉะนั้น. ถามว่า ก็เหตุไรพระผู้มีพระภาคเจ้าจึง

ทรงห้ามอายตนะภายในมีจักษุเป็นต้นยึดถือนิมิตในอายตนะภายนอกมีรูปเป็นต้น

ด้วยสูตรหลายร้อยสูตร ในสูตรนี้กลับทรงประกอบภิกษุไว้ในการยึดถือนิมิต

ด้วยอุตสาหะอย่างใหญ่. ตอบว่า เพราะทรงมุ่งประโยชน์เกื้อกูล.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 377

ดังได้ยินมา ภิกษุบางพวกในเมืองเวสาลีนั้น ย่อหย่อนความเพียร.

พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงใช้สมบัติของเทวดาชั้นดาวดึงส์ปลอบประโลมจึง

ตรัสเพื่อให้ภิกษุเหล่านั้นเกิดอุตสาหะในสมณธรรมว่า เมื่อภิกษุกระทำสมณ

ธรรมด้วยความไม่ประมาท ก็ได้อิสริยสมบัติเห็นปานนี้ง่าย. พระผู้มีพระภาค-

เจ้าตรัสอย่างนี้ เพื่อความแจ่มแจ้งแห่งอนิจจลักษณะก็ได้. ความจริงอีกไม่นาน

เลยเจ้าลิจฉวีเหล่านี้แม้ทั้งหมด ก็จักถึงความพินาศ ด้วยอำนาจของพระเจ้า

อชาตศัตรู. ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพื่อความแจ่มแจ้งแห่งอนิจจลักษณะ

ด้วยพระพุทธประสงค์ว่า เหล่าภิกษุที่ยืนดูสิริราชสมบัติของเจ้าลิจฉวีเหล่านั้น

จักเจริญอนิจจลักษณะว่า ความพินาศแห่งสิริสมบัติเห็นปานนั้นจักปรากฏ แล้ว

จักบรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา. ในบทว่า อธิวาเสตุ ถามว่า เหตุไร

พวกเจ้าลิจฉวี ทั้งที่รู้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้ารับนิมนต์นางอัมพปาลีไว้แล้ว จึง

นิมนต์เล่า. แก้ว่าเพราะไม่ทรงเชื่อ และเพราะเป็นธรรมเนียม. ก็พวกเจ้า

ลิจฉวีเหล่านั้นคิดว่า หญิงนักเลงนั้นไม่นิมนต์ พูดว่านิมนต์. ก็ชื่อว่าการไป

นิมนต์ในเวลาไปฟังธรรมเป็นธรรมเนียมของมนุษย์นั่นเอง.

บทว่า เวฬุวคามโก ได้แก่ บ้านปาฏลิคามใกล้กรุงเวสาลี. มิตร

ก็คือมิตรในคำว่า ยถามิตฺต เป็นต้น. บทว่า สมฺภตฺตา มิตรที่เพียงพบ

เห็นกันในที่นั้น ๆ ชื่อว่า มิตรที่เคยเห็นกันมิใช่มิตรมั่นคง. บทว่า สนฺทิฏฺา

ได้แก่มิตรที่คบกันมาด้วยดีเป็นมิตรมั่นคง. อธิบายว่าพวกเธอจงเข้าไปจำพรรษา

ในที่ ๆ พวกภิกษุเห็นปานนั้นมีอยู่. เพราะเหตุไรพระผู้มีพระภาคเจ้าจงตรัส

อย่างนี้. เพราะมีพระพุทธประสงค์ให้ภิกษุเหล่านั้นอยู่เป็นผาสุก. ความจริง

เสนาสนะ. ในเวฬุวคาม ไม่เพียงพอแก่ภิกษุเหล่านั้นทั้งภิกษามีน้อย ส่วน

รอบกรุงเวสาลีเสนาสนะก็มีมาก ทั้งภิกษาก็หาได้ง่าย เพราะฉะนั้น พระองค์

จึงตรัสอย่างนี้. เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร จึงไม่ตรัสตอบว่า พวกท่านคง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 378

ไปสบาย. เพื่อทรงอนุเคราะห์ภิกษุเหล่านั้น. ได้ยินว่า พระองค์ทรงพระดำริว่า

เราอยู่ได้เพียง ๑๐ เดือนก็จักปรินิพพาน. ถ้าภิกษุเหล่านั้นจักไปไกล ก็ไม่อาจ

เห็นเราในเวลาปรินิพพาน เมื่อเป็นดังนั้น ภิกษุเหล่านั้นก็จะเกิดความร้อนใจ

ว่าพระศาสดาเมื่อปรินิพพานก็ไม่ประทานแม้เพียงสติแก่เรา ถ้าพวกเรารู้เสียก็

จะไม่พึงอยู่ไกลอย่างนี้ ไม่ตรัสตอบว่า ก็ภิกษุทั้งหลายอยู่รอบเมืองเวสาลี ก็จัก

มาฟังธรรมได้เดือนละ ๘ ครั้ง จักได้รับโอวาทของพระผู้มีพระภาคเจ้า.

บทว่า ขโร แปลว่า หยาบ. บทว่า อาพาโธ ได้แก่โรคที่เป็น

ข้าศึกกัน. บทว่า พาฬฺหา แปลว่า รุนแรง. บทว่า มรณนฺติกา ได้แก่

สามารถให้ถึงปางตาย คือใกล้ต่อความตาย. บทว่า สโต สมฺปชาโน

อธิวาเสสิ ความว่า ได้แก่ตั้งสติให้มั่นกำหนดด้วยญาณอดกลั้น. บทว่า

อวิหญฺมาโน ได้แก่ไม่กระทำอาการกระสับกระส่ายโดยคล้อยตามเวทนาไม่

ถูกเวทนาเบียดเบียน ไม่ทรงทุกข์ร้อนเลย อดกลั้นได้. บทว่า อนามนฺเตตฺวา

ได้แก่ไม่ทรงให้อุปัฏฐากรู้. บทว่า อนปฺโลเกตฺวา แปลว่า ไม่ทรงบอกลา

ภิกษุสงฆ์. ท่านอธิบายว่า ไม่ประทานโอวาทานุสาสนี. บทว่า วิริเยน ได้แก่

ด้วยความเพียรเบื้องต้น และด้วยความเพียรที่สัมปยุตด้วยผลสมาบัติ. บทว่า

ปฏิปฺฌาเมตฺวา แปลว่า ขับไล่. แม้ชีวิตก็ชื่อว่าชีวิตสังขารในคำว่า ชีวิต

สังขารนี้. ชีวิตอันธรรมใดปรุงแต่งถึงขาดก็สืบต่อตั้งอยู่ แม้ธรรมที่เป็นผล

สมาบัตินั้นก็ชื่อว่าชีวิตสังขาร. ธรรมคือผลสมาบัตินั้นท่านประสงค์เอาในที่นี้.

บทว่า อธิฏฺาย ได้แก่อธิฏฐานให้เป็นไปแล้ว. ความสังเขปในข้อนี้มีดังนี้

ว่า เราพึงเข้าผลสมาบัติที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้.

ถามว่า ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงเข้าผลสมาบัติในกาลก่อนแต่นี้

หรือ. ตอบว่า เข้าซี. แต่ว่า ผลสมาบัตินั้น เป็นขณิกสมาบัติ. จริงอยู่ขณิก

สมาบัติ ย่อมข่มเวทนาเฉพาะในภายในสมาบัติได้ทีเดียว. พอออกจากสมาบัติ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 379

เวทนาย่อมครอบงำร่างกายอีกเหมือนสาหร่ายที่ขาดเพราะไม้หรือกระเบื้องตกลง

ไปกลับคลุมน้ำตามเดิม. อนึ่ง สมาบัติของผู้กระทำหมวด ๗ แห่งรูปและหมวด

๗ แห่งอรูปให้หมดพุ่มหมดรกแล้วเข้าด้วยอำนาจแห่งมหาวิปัสสนา ชื่อว่าย่อม

ข่มได้ด้วยดี. เปรียบเหมือนสาหร่ายที่บุรุษลงน้ำแล้วเอามือและเท้าแหวกให้ดี

ต่อเวลานานจึงจะคลุมน้ำ ฉันใด ผู้ที่ออกจากผลสมาบัตินั้น ต่อเวลานาน

เวทนาจึงจะเกิดขึ้น ฉันนั้น. ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเป็นเสมือนทรงตั้ง

วิปัสสนาใหม่เอี่ยม ณ พระมหาโพธิบัลลังก์ในวันนั้น ทรงจ่อมลงด้วยอาการ

๑๔ กระทำหมวด ๗ แห่งรูป หมวด ๗ แห่งอรูป ไม่ให้เป็นพุ่ม ไม่ให้รก

แล้วทรงไม่เสวยเวทนา ด้วยมหาวิปัสสนา เข้าสมาบัติด้วยทรงประสงค์ว่า

ขอเวทนาอย่าเกิดตลอด ๑๐ เดือน. เวทนาที่ทรงข่มด้วยสมาบัติ จึงไม่เกิด

ตลอดเวลา ๑๐ เดือนเลย. เวทนาที่ทรงข่มด้วยสมาบัติ จึงไม่เกิดตลอดเวลา.

บทว่า คิลานา วุฏฺิโต ได้แก่ประชวรแล้วหายอีก. บทว่า มธุรก

ชาโตวิย ได้แก่เหมือนุบุรุษนอนหงายบนหลาว ที่เกิดภาวะเกร็งหนักและแข็ง.

บทว่า น ปกฺขายนฺติ ได้แก่ไม่แจ้ง คือไม่ปรากฏโดยวาจาต่าง ๆ. ด้วย

บทว่า ธมฺมาปิ น นปฺปฏิภนฺติ ท่านแสดงว่าแม้ธรรม คือ สติปัฏฐานไม่

ปรากฏแก่เรา. แต่ธรรมคือพระบาลี พระเถระคล่องแคล่วดีแล้ว. บทว่า

อุทาหรติ ได้แก่ไม่ประทานปัจฉิมโอวาท. ท่านพระอานนท์หมายเอาปัจฉิม

โอวาทนั้น.

บทว่า อนนฺตร อพาหร ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า

เราไม่กระทำ ๒ อย่าง โดยธรรมหรือบุคคล แล้วจักแสดงธรรมเท่านี้แก่บุคคล

อื่นก็หาไม่ ชื่อว่าทรงกระทำธรรมให้เป็นภายใน. ทรงพระดำริว่าเราจักแสดง

ธรรมเท่านี้แก่บุคคลอื่น ชื่อว่าทรงกระทำธรรมภายนอก. อนึ่ง ทรงพระดำริ

ว่าเราจักแสดงแก่บุคคลนี้ ชื่อว่าทรงกระทำบุคคลภายใน. เมื่อทรงพระดำริว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 380

เราจักไม่แสดงแก่บุคคลนี้ ชื่อว่าทรงกระทำบุคคลภายนอก. อธิบายว่าไม่ทรง

ทำอย่างนั้นแสดง. ด้วยบทว่า อาจริยมุฏฺิ ทรงแสดงว่า ชื่อว่า กำมือของ

อาจารย์ย่อมมีแก่ศาสดาภายนอกพระพุทธศาสนา. เหล่าศาสดาภายนอก ไม่

กล่าวแก่ใคร ๆ ในเวลาเป็นหนุ่ม นอนบนเตียงสำหรับตายในเวลาปัจฉิมวัย

ก็กล่าวแก่อันเตวาสิก (ศิษย์) ที่รักที่พอใจ โดยวิธีใด กิจกรรมอะไรที่เราบริหาร

ตั้งไว้ทำเป็นกำมือว่า เราจักกล่าวข้อนี้ในเวลาแก่เฒ่า ในเวลาปัจฉิมวัย ย่อม

ไม่มีแก่ตถาคต โดยวิธีนั้น. บทว่า อห ภิกฺขุสงฺฆ ความว่า เราเท่านั้นจัก

บริหารภิกษุสงฆ์. บทว่า มมุทฺเทสิโก ความว่า เราเป็นที่พำนักของภิกษุสงฆ์

นั้น เพราะอรรถว่า ภิกษุสงฆ์พึงอ้างเรา เหตุนั้น ภิกษุสงฆ์นั้น ชื่อว่ามีเราเป็น

ที่พำนัก. อธิบายว่า ภิกษุสงฆ์จงยกเราเท่านั้น จำนงเฉพาะเรา เมื่อเราล่วงลับ

ไปหรือไม่มีเหล่าภิกษุแล้ว หรือมีอันเป็นไป ก็หรือว่าภิกษุสงฆ์ไร ๆ จะมี

ความคิดอย่างที่กล่าวมานี้. บทว่า น เอว โหติ ความว่า ข้อนั้นไม่เป็นอย่างนั้น

เพราะความริษยาและความตระหนี่ เรากำจัดเสียแล้ว ณ โพธิบัลลังก์นั่นเอง.

บทว่า สกึ ตัดเป็น โส กึ. บทว่า อสีติโก แปลว่ามีอายะ ๘๐ พรรษา. คำนี้

ตรัสเมื่อทรงแสดงภาวะที่ถึงปัจฉิมวัยโดยลำดับ. บทว่า เวฬุมิสฺสเกน ได้แก่

ดามด้วยไม้ไผ่สำหรับซ่อมมีผูกเท้าแขนผูกล้อเป็นต้น. บทว่า มญฺเ ได้แก่

ยังอัตภาพให้เป็นไปเหมือนเกวียนเก่าไปได้ด้วยไม้ไผ่ดาม. ท่านแสดงว่า

พระตถาคตสำเร็จอิริยาบถ ๔ ด้วยเครื่องผูก คือ พระอรหัตผล. บัดนี้ เมื่อจะ

ทรงแสดงความข้อนั้น จึงตรัสว่า ยสฺมึ อานนฺท สมเย เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพนิมิตฺตาน ได้แก่ กลาปะ มีรูปนิมิต

เป็นต้น. บทว่า เอกจฺจาน เวทนาน ได้แก่ เวทนาที่เป็นโลกิยะ. ด้วยบทว่า

ตสฺมาติหานนฺท ทรงแสดงว่า เพราะเหตุที่ความผาสุก ย่อมมีด้วยผลสมาบัติ

วิหาร ฉะนั้น แม้พวกเธอก็จงอยู่อย่างนี้ เพื่อประโยชน์แก่ความผาสุกเถิด.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 381

บทว่า อตฺตทีปา ความว่า พวกเธอจงทำตนให้เป็นที่พึ่งอาศัยเหมือนเกาะ

ท่ามกลางมหาสมุทรอยู่เถิด. บทว่า อตฺตสรณา ได้แก่ จงเป็นผู้มีตนเป็นคติ

เท่านั้น อย่ามีอย่างอื่นเป็นคติเลย. แม้ในบทว่า ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา ก็นัยนี้

เหมือนกัน. บทว่า ตมฺตคฺเค แปลว่ามีธรรมนั้นเป็นเลิศ ต อักษรตรงกลาง

ท่านกล่าวด้วยบทสนธิ. ท่านกล่าวอธิบายว่า ดูก่อนอานนท์ เหล่าภิกษุของเรา

นั้น ตัดการประกอบด้วยความสูงสุดทั้งหมดอย่างนี้ว่า พวกภิกษุเหล่านี้ก็สูงสุด

เหล่านี้ก็สูงสุด แล้วจักมีอยู่ในธรรมอันเลิศอย่างยิ่ง คือในภาวะสูงสุด ได้แก่

จักมีธรรมอันสูงสุดอย่างยิ่งสำหรับภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เป็นผู้

ใคร่ศึกษา คือภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด มีสติปัฏฐาน ๔ เป็นอารมณ์ จักมีใน

ธรรมอันเลิศ. ทรงสรุปเทศนา ด้วยอดคือ พระอรหัตแล.

จบกถาพรรณนาทุติยภาณวาร.

บทว่า เวสาลึ ปิณฺฑาย ปาวิสิ เสด็จเข้าเมืองเวสาลีเพื่อบิณฑบาต

ถามว่า เสด็จเข้าไปเมื่อไหร่. ตอบว่า ในเวลาเสด็จออกจากอุกกเวลคามไปยัง

เมืองเวสาลี. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงจำพรรษาแล้ว ออกจากเวฬุวคาม

แล้วเสด็จกลับโดยทางที่เสด็จมาแล้ว ด้วยพุทธประสงค์ว่า จะเสด็จไปยังกรุง

สาวัตถี ถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ เสด็จเข้าสู่พระเชตวัน.

พระธรรมเสนาบดี ทำวัตรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วเข้าสู่ที่พักกลาง

วัน. เมื่อเหล่าอันเตวาสิกทำวัตรในพระเชตวันนั้นกลับไปแล้ว ท่านก็ปัดกวาด

ที่พักกลางวัน ปูแผ่นหนัง ล้างเท้า นั่งขัดสมาธิเข้าผลสมาบัติ. ครั้นท่านออก

จากผลสมาบัตินั้นตามกำหนดแล้ว เกิดปริวิตกอย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย

ปรินิพพานก่อนหรือพระอัครสาวกหนอ. ก็รู้ว่าอัครสาวกก่อน. จึงสำรวจดูอายุ

สังขารของตน. ก็รู้ว่าอายุสังขารของตนจักเป็นไปได้เพียง ๗ วันเท่านั้น จึง.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 382

ดำริว่า จักปรินิพพานที่ไหนหนอ. คิดอยู่ร่ำไปว่า ท่านราหุลปรินิพพานในดาว

ดึงส์ ท่านพระอัญญาโกญฑัญญะ ในสระฉัททันต์ เราเล่าจะปรินิพพาน ณ

ที่ไหน. ก็เกิดสติปรารภมารดาขึ้นว่า มารดาของเราแม้เป็นมารดาของพระ

อรหันต์ ๗ รูป ก็ไม่เลื่อมใสในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ มารดานั้น

มีอุปนิสัยหรือไม่หนอ ระลึกได้แล้วก็เห็นอุปนิสัยแห่งโสดาปัตติมรรค พิจารณา

ว่ามารดาจักบรรลุด้วยเทศนาของใคร ก็รู้ว่าจักบรรลุด้วยเทศนาของเรา ไม่ใช่

ของผู้อื่น ก็ถ้าหากว่าเราพึงเป็นผู้ขวนขวายน้อยเสียไซร้ คนทั้งหลายก็จักว่า

กล่าวเราเอาได้ว่า พระสารีบุตรเป็นที่พึ่งได้แม้แก่ชนอื่น ๆ จริงอย่างนั้น ในวัน

เทศนาสมจิตตสูตรของท่าน เทวดาแสนโกฏิก็บรรลุพระอรหัต เทวดาที่บรรลุ

มรรค ๓ นับไม่ถ้วน และในที่อื่นปรากฏว่ามีการบรรลุกันมากมาย อนึ่งเล่า

เพราะทำจิตให้เลื่อมใสในพระเถระ ตระกูลถึง ๘๐,๐๐๐ ตระกูล บังเกิดใน

สวรรค์ บัดนี้ พระเถระไม่อาจเพื่อกำจัดแม้เพียงความเห็นผิดของมารดาได้

เพราะฉะนั้น จึงตกลงใจว่า เราจักเปลื้องมารดาออกจากมิจฉาทิฏฐิ แล้วจัก

ปรินิพพานในห้องน้อยที่เกิด ดำริต่อไปว่า เราจักทูลลาพระผู้มีพระภาคไปใน

วันนี้นี่แหละ จึงเรียกพระจุนทะเถระมาว่า มาไปกันเถิดท่านจุนทะ ท่านจงบอก

ภิกษุบริษัท ๕๐๐ รูปของเราว่า อาวุโส ท่านจงถือบาตรและจีวร พระธรรม

เสนาบดี ประสงค์จะไปนาลกคาม. พระเถระได้ทำอย่างนั้น. ภิกษุเก็บเสนา-

สนะถือบาตรจีวรมายังสำนักพระเถระ.

พระเถระก็เก็บเสนาสนะ. ปัดกวาดที่พักกลางวัน ยืนอยู่ที่ประตูมองดู

ที่พักกลางวัน ดำริว่า บัดนี้ นี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย ไม่มีการกลับมา ผู้อัน

ภิกษุ ๕๐๐ รูป แวดล้อมแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมแล้ว

กราบทูลเป็นคำร้อยกรองกะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 383

ฉินฺโนทานิ ภวิสฺสามิ โลกนาถ มหามุนิ

คมนาคมน นตฺถิ ปจฺฉมา วนทนา อย

ชีวิต อปฺปก มยฺห อิโต สตฺตาหมจฺจเย

นิกฺขิเปยฺยามห เทห ภารโวโรปน ยถา

อนุชานาตุ เม ภนฺเต (ภควา) อนุชานาตุ สุคโต

ปรินิพฺพานกาโล เม โอสฺสฏฺโ อายุสงฺขโร

ข้าแต่พระมหามุนีโลกนาถเจ้า บัดนี้ ข้า

พระองค์ตัดสิ้นแล้ว ไม่มีการไปการมานี้เป็นการ

ถวายบังคมลาครั้งสุดท้าย ชีวิตของข้าพระองค์

น้อย ต่อไปนี้ล่วงไป ๗ วัน ข้าพระองค์จะทอด

ทิ้งเรือนร่าง เหมือนวางภาระลง ขอพระผู้มี

พระภาคเจ้าโปรดอนุญาต ขอพระสุคตโปรด

อนุญาต แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด นี้เป็นเวลาปริ-

นิพพาน ข้าพระองค์ปลงอายุสังขารแล้ว

พระเจ้าข้า.

ก็เพราะเหตุที่พวกมิจฉาทิฏฐิ ชอบยกโทษว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสว่า จงปรินิพพานเถิด ก็จะกลายเป็นว่า พรรณนาคุณของความตายไป

เมื่อตรัสว่าอย่าปรินิพพานเลย ก็จะกลายเป็นกล่าวคุณของวัฏฏสงสารไป เพราะ

ฉะนั้น พระพุทธเจ้าทั้งหลายจึงไม่ตรัสแม้คำทั้งสอง. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มี

พระภาคเจ้าจึงตรัสกะท่านว่า สารีบุตร เธอจักปรินิพพานที่ไหน. เมื่อท่าน

กราบทูลว่า ห้องน้อย ในนาลกคาม แคว้นมคธมีอยู่ ข้าพระองค์จักปรินิพพาน

ในห้องนั้น พระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า สารีบุตร บัดนี้ เธอสำคัญกาลอันควรเถิด

เวลานี้ การเห็นภิกษุเช่นนั้น สำหรับพี่น้องของเธอจักหาได้ยาก เพราะฉะนั้น

เธอจงแสดงธรรมแก่พี่น้องเหล่านั้นเถิด.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 384

พระเถระรู้ว่า พระศาสดาทรงมีพระประสงค์จะให้เราแสดงฤทธิ์ต่าง ๆ

เสียก่อนแสดงธรรม จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วโลดสูง ๗ ชั่วต้น

ตาล กลับลงมาถวายบังคมแล้วยืนอยู่ท่ามกลางอากาศชั่ว ๗ ต้นตาล แสดง

ฤทธิ์ต่าง ๆ อย่าง แล้วแสดงธรรม. ชาวนครทั้งสิ้นประชุมกัน. พระเถระลงมา

แล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่า ถึงเวลาไปของข้าพระองค์แล้ว

พระเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเหนือธรรมาสน์ ทรงพระดำริว่า

จักให้สารีบุตรแสดงฤทธิ์แล้วจึงลุกจากธรรมาสน์ เสด็จบ่ายพระพักตร์ไปยัง

พระคันธกุฏี แล้วประทับยืนบนบัลลังก์แก้วมณี. พระเถระกระทำประทักษิณ

(เวียน ๓) ๓ ครั้ง แล้วถวายบังคมในที่ ๔ แห่ง กราบทูลว่า เหนือขึ้นไปแต่

กัปนี้ ได้ ๑ อสงไขย กำไรแสนกัป ข้าพระองค์หมอบอยู่แทบบาทมูลของ

พระอโนมทัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรารถนาจะพบพระองค์ ความปรารถนานั้น

ของข้าพระองค์สำเร็จแล้ว ข้าพระองค์เห็นพระองค์แล้ว นั่นเป็นการเห็นครั้ง

แรก นี้เป็นการเห็นครั้งสุดท้าย จะไม่มีการเห็นพระองค์อีก แล้วประคอง

อัญชลีอันรุ่งเรืองด้วยทศนขสโมธาน แล้วกลับบ่ายหน้าไปจนพ้นทัศนวิสัย ตั้งแต่

บัดนี้ไป ขึ้นชื่อว่าการไปการมาในฐานะไร ๆ โดยอำนาจจุติปฏิสนธิไม่มีดังนี้

แล้วจึงถวายบังคมลาไป. แผ่นมหาปฐพีก็ไหวจนถึงน้ำรองแผ่นดิน. พระผู้มี

พระภาคเจ้าก็ตรัสกะเหล่าภิกษุผู้ยืนล้อมอยู่ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจง

ตามไปส่งพี่ชายของพวกเธอเถิด. ภิกษุทั้งหลายพากันไปจนถึงซุ้มประตู. พระ

เถระกล่าวว่า หยุดเถิดผู้มีอายุ พวกเธอจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด แล้วให้ภิกษุ

เหล่านั้นกลับไป ตนเองก็ไปพร้อมกับบริษัท.

พวกผู้คนก็พากันติดตามร่ำไรรำพันว่า แต่ก่อนพระผู้เป็นเจ้า จาริกไป

ก็กลับมา แต่ครั้งนี้ไปลับไม่กลับมา. พระเถระกล่าวว่า ผู้มีอายุ พวกท่านอย่า

ประมาท สังขารทั้งหลายก็เป็นอย่างนี้แหละ แล้วให้ผู้คนเหล่านั้นกลับไป.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 385

ครั้งนั้น พระสารีบุตร อนุเคราะห์ผู้คนตลอด ๗ วัน ในระหว่างหนทาง ถึง

นาลกคามในเวลาเย็น แล้วหยุดพักอยู่ที่โคนต้นไทร ใกล้ประตูบ้าน.

ครั้งนั้น หลานชายของพระเถระชื่อว่า อุปเรวตะ ไปนอกบ้านพบ

พระเถระเข้าไปหาแล้วไหว้ยืนอยู่. พระเถระพูดกะหลานชายว่า ย่าของเจ้าอยู่

ในเรือนหรือ. หลานชายก็ตอบว่า ขอรับกระผม. พระเถระบอกว่า เจ้าจงไป

บอกว่าเรามาที่นี้แล้ว และเมื่อเขาถามว่าเพราะเหตุไรจงบอกว่า ได้ยินว่า ท่าน

จะพักอยู่ในบ้านนี้วันเดียวจงจัดห้องน้อยที่เราเกิด และจัดที่อยู่สำหรับภิกษุ

๕๐๐ รูป. หลานไปบอกว่า ย่า จ๋า ลุงฉันมาแล้ว. ย่า ถามว่า เดี๋ยวนี้อยู่ที่

ไหนล่ะ. ตอบว่าอยู่ใกล้ประตูบ้าน ก็ถามว่ามาองค์เดียวหรือว่ามีภิกษุอื่นมาด้วย.

หลานก็ตอบว่ามีภิกษุ ๕๐๐ รูปมาด้วย. เมื่อถามว่ามาทำไม. หลานก็บอกเรื่อง

นั้น. นางพราหมณีคิดว่า ทำไมหนอจึงต้องสั่งให้จัดสถานที่อยู่สำหรับภิกษุถึง

เพียงนั้น เขาบวชเมื่อหนุ่มอยากเป็นคฤหัสถ์เมื่อแก่ จึงให้จัดห้องที่เกิด ให้ทำ

ที่อยู่สำหรับภิกษุ ๕๐๐ รูป ตามประทีปไว้ต้อนรับพระเถระ.

พระเถระกับภิกษุทั้งหลายขึ้นไปยังปราสาทเข้าไปสู่ห้องที่เกิดแล้วนั่ง

ครั้นแล้วก็ส่งภิกษุทั้งหลายไปด้วยกล่าวว่าจงไปที่อยู่ของพวกท่านกันเถิด. พอภิกษุ

ทั้งหลายไปแล้ว อาพาธกล้าก็เกิดขึ้นแก่พระเถระ. โรคลงโลหิตเกิดเวทนาใกล้

ตาย. ภาชนะหนึ่งรอง ภาชนะหนึ่งชักออก. นางพราหมณีคิดว่า ความไปแห่ง

บุตรของเราไม่เป็นที่ชอบใจ ยืนพิงประตูห้องที่อยู่ของตน. ท้าวมหาราชทั้ง ๔

ตรวจดูว่าพระธรรมเสนาบดีอยู่ที่ไหน ก็รู้ว่านอนบนเตียงที่ปรินิพพานในห้อง

น้อยที่เกิดในนาลกคาม เราจักไปดูเป็นปัจฉิมทัสสนะ แล้วพากันมาไหว้ยืนอยู่

แล้ว. พระเถระถามว่าท่านเป็นใคร ตอบว่า พวกเราเป็นท้าวมหาราชเจ้าข้า.

ถามว่ามาทำไม. ตอบว่ามาเป็นคิลานุปัฏฐาก. พระเถระส่งไปด้วยกล่าวว่าช่าง

เถิด คิลานุปัฏฐากมีอยู่ไปเสียเถิดท่าน. ครั้นท้าวมหาราชไปแล้วท้าวสักกะ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 386

จอมเทพก็มาโดยนัยนั้นเหมือนกัน. เมื่อท้าวสักกะเสด็จไปแล้ว ท้าวสุยามะ

เป็นต้น และท้าวมหาพรหมก็พากันมา. พระเถระส่งเทพและพรหมเหล่านั้นไป

อย่างนั้นเหมือนกัน.

นางพราหมณีเห็นพวกเทวดามาและไป คิดว่าพวกเหล่านั้นเป็นใคร

หนอ จึงมาไหว้แล้วไหว้อีกซึ่งบุตรของเราแล้วก็ไป จึงไปยังประตูห้องของ

พระเถระ ถามว่าเป็นอย่างไร พ่อจุนทะพระเถระบอกเรื่องนั้นแล้ว กล่าวว่า

มหาอุบาสิกามาแล้วขอรับ. พระเถระถามว่าทำไมจึงมาผิดเวลา. นางพราหมณี

ตอบว่า มาเยี่ยมเจ้าซิลูก แล้วถามว่าพวกใครมาก่อนพ่อ. พระเถระตอบว่า

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ อุบาสิกา. นางพราหมณีถามว่า พ่อ เจ้าเป็นใหญ่กว่าท้าว

มหาราชทั้ง ๔ หรือ. ตอบว่าอุบาสิกา ท้าวมหาราชเหล่านั้นก็เหมือนคนวัด

ทรงถือพระขรรค์อารักขา ตั้งแต่พระศาสดาของเราทรงถือปฏิสนธิ. ถามว่า

ครั้นท้าวมหาราชเหล่านั้นกลับไปแล้ว ใครมาอีกละลูก. ตอบว่าท้าวสุกกะ

จอมเทพ. ถามว่าเจ้าเป็นใหญ่กว่าท้าวเทวราชหรือลูก. ตอบว่าอุบาสิกา ท้าว

สักกะนั้นก็เหมือนสามเณรถือของ เมื่อพระศาสดาของเราลงจากดาวดึงส์ ก็ทรง

ถือบาตรและจีวรลงมา. ถามว่า ครั้นท้าวสักกะนั้นเสด็จกลับแล้ว ใครสว่างจ้า

มาล่ะลูก. ตอบว่าอุบาสิกาผู้นั้นชื่อท้าวมหาพรหม ชั้นสุทธาวาส เป็นทั้งผู้มี

บุญคุณ ทั้งครูของแม่ จ้ะ. ถามว่าเจ้ายังเป็นใหญ่กว่าท้าวมหาพรหมอีกหรือ.

ตอบว่า จ้ะ อุบาสิกา. ได้ยินว่า ในวันที่พระศาสดาของเราประสูติ ท้าวมหา-

พรหมทั้ง ๔ ชื่อนี้ ใช้ข่ายทองมารับพระมหาบุรุษ ครั้งนั้น เมื่อนางพราหมณี

คิดว่า บุตรของเรายังมีอานุภาพถึงเพียงนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าศาสดาของบุตร

เรา จะมีอานุภาพสักเพียงไหน. ปีติ ๕ อย่างเกิดขึ้นแผ่ไปทั่วเรือนร่างอย่าง

ฉับพลัน.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 387

พระเถระคิดว่า มารดาของเราเกิดปีติโสมนัส บัดนี้เป็นเวลาเหมาะที่

จะแสดงธรรมจึงกล่าวว่า จะคิดไปทำไมมหาอุบาสิกา. นางพราหมณีกล่าวว่า

บุตรของเรามีคุณถึงเพียงนี้ พระศาสดาของบุตรเราจักมีคุณสักเพียงไหน ดังนั้น

แม่จึงคิดอย่างนี้นะลูก. พระเถระกล่าวว่า ท่านมหาอุบาสิกา สมัยพระศาสดา

ของเราประสูติ ออกมหาภิเนษกรมณ์ตรัสรู้ และประกาศพระธรรมจักร หมื่นโลก

ธาตุก็หวั่นไหว ขึ้นชื่อว่าผู้เสมอด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติญาณทัสสนะไม่มี

แล้วกล่าวพระธรรมเทศนาอันประกอบด้วยพระพุทธคุณอย่างพิสดาร ว่าแม้

เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นต้น. เวลาจบพระธรรมเทศนา

ของบุตรที่รัก นางพราหมณีก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล แล้วกล่าวกะบุตรว่า

พ่ออุปติสสะ เหตุไร เจ้าจึงได้กระทำอย่างนี้ล่ะลูก เจ้าไม่ให้อมตธรรมชื่อนี้

แก่แม่ ตลอดเวลาถึงเพียงนี้.

พระเถระคิดว่า บัดนี้ค่าน้ำนมข้าวป้อน ที่นางสารีพราหมณีมารดา

ของเราให้ไว้ ก็ได้รับชดใช้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ จึงส่งนางพราหมณีไปด้วย

กล่าวว่าไปเถิดมหาอุบาสิกา แล้วถามว่าจวนสว่างหรือยัง. ตอบว่าจวนสว่าง

แล้วขอรับ. สั่งว่าถ้าอย่างนั้น จงประชุมพระภิกษุสงฆ์เถิด. ตอบว่าพระสงฆ์

ประชุมกันแล้วขอรับ. สั่งว่ายกเราขึ้นนั่งทีซิ. พระจุนทะ ก็ยกขึ้นให้นั่ง.

พระเถระเรียกภิกษุทั้งหลายว่าผู้มีอายุ พวกท่านอยู่กับเรามาถึง ๔๔ ปี ไม่ชอบ

ใจกรรมทางกาย หรือกรรมทางวาจาของเราอันใด ผู้มีอายุจงงดโทษนั้นเสีย

เถิด. ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่าท่านขอรับ พวกเราเที่ยวไปไม่ละท่านเหมือนเงา

ชื่อว่ากรรมที่ไม่ชอบใจถึงเพียงนี้ย่อมไม่มีแก่พวกเรา แต่ขอท่านโปรดงดโทษ

แก่พวกเราเสียด้วย. ครั้นแสงอรุณปรากฏ พระเถระยังมหาปฐพีให้เลื่อนลั่น

แล้วปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ. เทพดาและมนุษย์เป็นอันมาก

พากันกระทำสักการะในสถานที่ปรินิพพาน.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 388

ท่านพระจุนทะถือบาตรและจีวรและผ้าห่อพระธาคุไปยังพระเชตุวันพา

พระอานนทเถระเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือผ้า

กรองน้ำห่อพระธาตุกล่าวคุณของพระเถระด้วยคาถา ๕๐๐ คาถา โปรดให้สร้าง

พระธาตุเจดีย์ ได้ประทานสัญญาแก่พระอานนทเถระเพื่อเสด็จไปยังกรุงราช-

คฤห์. พระเถระก็บอกภิกษุทั้งหลาย.

ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร ได้เสด็จไปยังกรุง

ราชคฤห์. ในเวลาเสด็จไปยังกรุงราชคฤห์นั้น. พระมหาโมคคัลลานเถระก็

ปรินิพพาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาพระธาตุของพระมหาโมคคัลลานะ

แม้นั้น โปรดให้สร้างเจดีย์แล้วออกจากกรุงราชคฤห์ บ่ายพระพักตร์ไปทาง

แม่น้ำคงคา เสด็จถึงบ้านอุกกเวลคามโดยลำดับ . ณ ริมฝั่งแม่น้ำคงคาในอุกก-

เวลคามนั้นทรงมีพระภิกษุสงฆ์เป็นบริวารประทับนั่ง ณ ที่นั้นทรงแสดงพระ

สูตรที่เกี่ยวด้วยการปรินิพพานของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ออกจาก

อุกกเวลคามเสด็จถึงกรุงเวสาลี. เมื่อเสด็จเข้าไปอย่างนั้น ครั้งนั้นพระผู้มีพระ

ภาคเจ้า ในเวลาเช้าทรงอันตรวาสกถือบาตรและจีวรเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยัง

กรุงเวสาลี. กถาแสดงตามลำดับในเรื่องนี้มีดังกล่าวมาฉะนี้.

ในบทว่า นิสีทน นี้ ท่านประสงค์เอาแผ่นหนัง. บทว่า อุเทนเจติย

ท่านกล่าวถึงวัดที่สร้างตรงที่เจดีย์ของอุเทนยักษ์. แม้ในโคตมกเจดีย์เป็นต้น

ก็นัยนี้เหมือนกัน . บทว่า ภาวิตา แปลว่า เจริญแล้ว. บทว่า พหุลีกตา

แปลว่า ทำบ่อย ๆ. บทว่า ยานีกตา แปลว่า กระทำเหมือนยานที่เทียมแล้ว.

บทว่า วตฺถุกตา แปลว่า ทำเหมือนพื้นที่ เพราะอรรถว่าเป็นที่ตั้ง. บทว่า

อนุฏฺิตา แปลว่า ตั้งไว้แล้ว. บทว่า ปริจิตา แปลว่า ก่อไว้โดยรอบ คือทำ

ให้เจริญด้วยดี. บทว่า สุสมารทฺธา แปลว่า ริเริ่มด้วยดี. พระผู้มีพระภาค-

เจ้า ครั้นตรัสโดยไม่จำกัดดังกล่าวมาฉะนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงไม่จำกัดอีกจึง

ตรัสว่า ตถาคตสฺส โข เป็นต้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 389

พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องนี้ต่อไปนี้. บทว่า กปฺป ได้แก่อายุกัป.

พระตถาคตเมื่อกระทำอายุประมาณของเหล่ามนุษย์ในกาลนั้น ๆ ให้บริบูรณ์พึง

ดำรงอยู่. บทว่า กปฺปาวเสส วา ได้แก่ เกินกว่าร้อยปี ที่ตรัสไว้ว่า อปฺป

วา ภิยฺโย น้อยกว่าร้อยปีหรือเกินกว่านั้น. ส่วนพระมหาสิวเถระกล่าวว่า

ชื่อว่าการบันลือในฐานะที่ไม่สมควรของพระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่มี. จริงอยู่

พระองค์ทรงข่มเวทนาปางตายที่เกิดขึ้นในเวฬุวคามถึงสิบเดือนได้ฉันใด ก็ทรง

เข้าสมาบัตินั้นบ่อย ๆ ทรงข่มเวทนาได้ถึงสิบเดือนก็พึงทรงดำรงอยู่ได้ตลอด

ภัททกัปนี้ได้ฉันนั้น. ถามว่าก็เพราะเหตุไร พระองค์จึงไม่ทรงดำรงอยู่.

ตอบว่า เพราะขึ้นชื่อว่าสรีระที่มีใจครอง ถูกวิโ รธิปัจจัยมีฟันหักเป็นต้นครอบ

งำอยู่. ความจริงพระพุทธะทั้งหลาย ยังไม่ถึงภาวะแห่งวิโรธิปัจจัย มีฟันหัก

เป็นต้นย่อมปรินิพพานเสียในเวลาที่ทรงเป็นที่รักที่ชอบใจของมหาชนทีเดียว.

อนึ่ง เมื่อพระมหาสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ก็พึงดำรงอยู่

เหมือนตอแต่ละอัน ๆ แต่พระองค์เสด็จไปกับภิกษุหนุ่มและสามเณรเป็นบริวาร

ก็พึงถูกเขาดูหมิ่นว่าโอ้โฮ บริษัทของพระพุทธะทั้งหลาย. เพราะฉะนั้น จึงไม่

ทรงดำรงอยู่. แม้เมื่อถูกกล่าวอย่างนี้พระองค์ก็จะทรงชอบพระทัย. คำว่า

อายุกปฺโป นี้ ท่านนิยามไว้ในอรรถกถาแล้ว.

ในคำว่า ยถา ต มาเรน ปริยุฏฺิตจิตฺโต นี้ คำว่า ต เป็นเพียง

นิบาต. อธิบายว่า ปุถุชนคนไรแม้อื่น ถูกมารยึดจิต ครอบงำจิต ไม่พึงอาจ

จะรู้แจ้งแทงตลอดได้ฉันใด ท่านพระอานนท์ก็ไม่อาจรู้แจ้งแทงตลอดฉันนั้น

เหมือนกัน. ความจริงมารย่อมยึดจิตของผู้ที่ยังละวิปัลลาส ๔ ไม่ได้ทุก ๆ

ประการ. พระเถระก็ยังละวิปัลลาส ไม่ได้ ด้วยเหตุนั้น มารจึงยึดครองจิต

ท่านไว้. ถามว่า ก็มารนั้น เมื่อยึดจิต กระทำอย่างไร. ตอบว่า มารแสดงอารมณ์

คือรูปหรือให้ได้ยินอารมณ์คือเสียงที่น่ากลัว แต่นั้น เหล่าสัตว์เห็นรูปหรือได้

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 390

ยินเสียงนั้นแล้ว ก็ละสติแล้ว อ้าปาก. มารก็สอดมือเข้าทางปากของสัตว์เหล่านั้น

แล้วบีบหทัย. แต่นั้น เหล่าสัตว์ก็จะสลบสนิท. แต่สำหรับพระเถระ ไฉนมาร

จักสามารถสอดมือเข้าทางปากพระเถระได้ ได้แต่แสดงอารมณ์ที่น่ากลัว. พระ

เถระเห็นมารนั้น ก็ไม่รู้แจ้งโอภาสคือนิมิต. ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อ

ทรงทราบตรัสเรียกถึง ๓ ครั้ง เพื่อประโยชน์อะไร. ตอบว่า เพื่อทรงบรรเทา

ความโศกด้วยการยกโทษไว้เบื้องหน้าว่า เมื่อเราถูกเธออ้อนวอนว่า พระผู้มี

พระภาคเจ้าโปรดดำรงอยู่เถิดพระเจ้าข้า. เธอทำไม่ดีอย่างนั้น เธอทำผิดอย่างนี้.

ชื่อว่า มารในคำว่า มาโร ปาปิมา นี้ ชื่อว่ามาร เพราะประกอบสัตว์

ไว้ในความพินาศทำให้ตาย. บทว่า ปาปิมา เป็นไวพจน์ของคำว่า มารนั้น

นั่นเอง. จริงอยู่ มารนั้น ท่านเรียกว่า มารเพราะประกอบด้วยบาปธรรม.

แม้คำว่า กัณหะ อันตกะ นมุจิ ปมัตตพันธุก็เป็นชื่อของมารนั้นเหมือนกัน.

บทว่า ภาสิตา โข ปเนสา ความว่า ก็มารนี้ ติดตามมาที่โพธิมัณฑสถาน

ในสัปดาห์ที่ ๘ นับแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ กล่าวว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบรรลุประโยชน์ของพระองค์ ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญ

พระบารมีมาโดยลำดับแล้ว ทรงแทงตลอดพระสัมพุทธญาณแล้ว พระองค์จะ

ทรงตรวจดูโลกไปทำไม จึงทูลวิงวอนว่า บัดนี้ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรด

ปรินิพพานเสีย เหมือนในวันนี้พระเจ้าข้า. แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปฏิเสธ

แก่มารนั้นว่า เราจะไม่ปรินิพพานก่อนดังนี้เป็นต้น. มารหมายเอาข้อนั้นจึง

กล่าวว่า ภาสิตา โข ปเนสา ภนฺเต เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิยตฺตา ได้แก่ฉลาดโดยมรรค. ภิกษุ

ทั้งหลายถูกแนะนำอย่างนั้นเหมือนกัน แกล้วกล้าก็อย่างนั้น. บทว่า พหุสฺสุตา

ชื่อว่า พหูสูต เพราะมีสุตะมาก โดยพระไตรปิฎก. ชื่อว่า ธรรมธร เพราะ

ทรงธรรมนั่นแล. อีกอย่างหนึ่ง พึงทราบความในข้อนี้อย่างนี้ว่า เป็นพหูสูต

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 391

โดยประยัติ ๑ เป็นพหุสูตโดยปฏเสธ ๑ ชื่อว่า ธรรมธร เพราะทรงธรรม คือ

ปริยัติและปฏิเวธนั่นแล. บทว่า ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺนา ได้แก่ ปฏิบัติ

วิปัสสนาธรรม อันสมควรแก่อริยธรรม. บทว่า สามีจิปฏิปนฺนา ได้แก่

ปฏิบัติปฏิปทาอันเหมาะ. บทว่า อนุธมฺมจาริโน แปลว่า มีปกติประพฤติ

ธรรมอันสมควร. บทว่า สก อาจริยก ได้แก่ วาทะอาจารย์ของตน. คำ

ทั้งหมดมีว่า อาจิกฺขนฺติ เป็นต้น เป็นไวพจน์ของกันและกัน. บทว่า สห

ธมฺเนน ได้แก่ ถ้อยคำอันมีเหตุมีการณ์. บทว่า สปฺปาฏิหาริย ความว่า

จักแสดงธรรม จนถึงธรรมอันนำสัตว์ออกจากทุกข์. บทว่า พฺรหฺมจริย

ได้แก่ ศาสนพรหมจรรย์ทั้งสิ้น อันสงเคราะห์ด้วยสิกขา ๓. บทว่า อิทฺธ

ได้แก่ สำเร็จด้วยอำนาจฌานเป็นต้น. บทว่า ผีต ได้แก่ ถึงความเจริญ

โดยถึงพร้อมด้วยอภิญญา เหมือนดอกไม้ที่บานเต็มที่แล้วเป็นต้น. บทว่า

วิตฺถาริก ความว่า ได้แก่ แผ่ไปโดยประดิษฐานอยู่ในทิสาภาคนั้น ๆ. บทว่า

พาหุชญฺ ได้แก่ ชนเป็นอันมากรู้แจ้งแทงตลอดโดยตรัสรู้ของมหาชน.

บทว่า ปถุภูต ได้แก่ ถึงความแน่นหนาโดยอาการทั้งปวง. แน่นหนาอย่างไร.

แน่นหนาจนกว่าเทพยดาและมนุษย์ประกาศด้วยดีแล้ว อธิบายว่า เทวดาและ

มนุษย์ผู้เป็นวิญญูชนมีอยู่ประมาณเพียงไร เทวดาและมนุษย์ทั้งหมดนั้นประกาศ

ดีแล้ว.

บทว่า อปฺโปสฺสุกฺโก ได้แก่ ปราศจากความอาลัย. พระผู้มี

พระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนมารผู้มีบาป ตั้งแต่สัปดาห์ที่ ๘ ท่านเทียวไปเทียวมา

ร่ำร้องว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระสุคตโปรดปรินิพพานเสียบัดนี้เถิด

พระเจ้าข้า. บัดนี้ ตั้งแต่วันนี้ไป ท่านจงเลิกอุตสาหะ อย่าพยายามให้เรา

ปรินิพพานเลย. บทว่า สโต สมฺปชาโน อายุสงฺขาร โอสฺสชฺชิ ความว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทำสติตั้งมั่นด้วยดี กำหนดด้วยพระญาณ ปลงสละ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 392

อายุสังขาร. ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงปลงอายุสังขาร เหมือนเอา

มือทิ้งก้อนดิน. ทรงเกิดจิตคิดว่า จักทรงเข้าสมาบัติไม่ขาดระยะเพียง ๓ เดือน

เท่านั้น ต่อแต่นั้นจักไม่เข้า. ท่านหมายเอาข้อนั้น จึงกล่าวว่า โอสฺสชฺชิ

ปาฐะว่า อุสฺสชฺชิ ดังนี้ก็มี.

บทว่า มหาภูมิจาโล ได้แก่ มหาปฐพีหวั่นไหว. ได้ยินว่าครั้งนั้น

หมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหว. บทว่า ภึสนโก ได้แก่เกิดความน่ากลัว. บทว่า

เทวทุนฺทภิโยว ผลึสุ ได้แก่ เหล่ากองทิพย์ก็บันลือลั่น เมฆฝนก็กระหึ่ม

ครึมครางดั่งฤดูแล้ง สายฟ้ามิใช่ฤดูกาลก็แลบแปลบปลาบ. ท่านอธิบายว่า

ฝนตกชั่วขณะ.

ในคำว่า อุทาน อุทาเนสิ ถามว่า ทรงอุทานเพราะเหตุไร. ตอบว่า

เพราะได้ยินว่า ชื่อว่าใคร ๆ จะพึงพูดว่า พระผู้มีพระภาคเข้า ถูกมารติดตามไป

ข้างหลัง ๆ อ้อนวอนรบกวนว่า โปรดปรินิพพานเถิด พระเจ้าข้า ๆ ทรงปลง

อายุสังขารเพราะกลัว จึงทรงเปล่งพระอุทานที่เปล่งด้วยกำลังปีติ เพื่อแสดง

ความข้อนี้ว่า ชื่อว่าคำอุทานย่อมไม่มีแก่ผู้กลัวว่า ขอมารอย่ามีโอกาสเลย.

ในอุทานนั้น ชื่อว่า ตุละ เพราะชั่งกำหนดโดยภาวะที่ประจักษ์ของสัตว์

มีสุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอกเป็นต้นทั้งหมด. กรรมที่ชั่งได้นั้นเป็นอย่างไร. ได้แก่

กรรมฝ่ายกามาวจร. ชื่อว่า ตุละ เพราะชั่งไม่ได้. หรือ โลกิยกรรมอย่างอื่น

ที่เทียม ที่เหมือนกับกามาวจรกรรมนั้นไม่มี. กรรมที่ชั่งไม่ได้นั้นเป็นอย่างไร.

ได้แก่ กรรมฝ่ายมหัคคตะ. อีกอย่างหนึ่ง กามาวจรกรรม รูปาวจรกรรม

จัดเป็นตุละ อรูปาวจรกรรม จัดเป็นอตุละ. อีกอย่างหนึ่งกรรมที่มีวิบากน้อย

ชื่อว่า ตุละ ที่มีวิบากมาก ชื่อว่า อตุละ. บทว่า สมฺภว ได้แก่กรรมที่กระทำ

เป็นก้อน อธิบายว่า กระทำเป็นกองอันเป็นเหตุเกิด. บทว่า ภวสงฺขาร ได้แก่

กรรมที่แต่งภพใหม่. บทว่า อวสฺสชฺชิ ได้แก่ ปลง. บทว่า มุนี ได้แก่

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 393

พระมุนี คือ พระพุทธเจ้า. บทว่า อชฺฌตฺตรโต คือ ยินดีภายในแน่นอน.

บทว่า สมาหิโต คือ ตั้งมั่นแล้ว ด้วยอุปจารสมาธิ และ อัปปนาสมาธิ.

บทว่า อภินฺทิ กวจมิว ได้แก่ทำลายกิเลส ดุจเกาะ. บทว่า อตฺตสมฺภว

ได้แก่กิเลสที่เกิดแล้วในตน. ท่านอธิบายไว้ว่า พระมุนีทรงปลดปล่อยโลกิย-

กรรม กล่าวคือตุลกรรมและอตุลกรรม ที่ได้ชื่อว่า สัมภวะ เพราะอรรถว่ามี

วิบาก ว่าภวสังขาร เพราะอรรถว่า ปรุงแต่งภพและทรงยินดีภายใน ตั้งมั่น

แล้ว ทำลายกิเลสที่เกิดในตน เหมือนนักรบใหญ่ในสนามรบทำลายเกาะ

ฉะนั้น.

อีกนัยหนึ่ง บทว่า ตุล ได้แก่ ชั่งคือ พิจารณา. บทว่า อตุลญฺจ

สมฺภว ได้แก่ พระนิพพานและภพ. บทว่า ภวสงฺขาร ได้แก่กรรมที่ไปสู่

ภพ. บทว่า อวสฺสชฺชิ มุนี ความว่า พระมุนีคือพระพุทธเจ้าทรงพิจารณา

โดยนัยเป็นอาทิว่า ปัญจขันธ์ไม่เที่ยง ความดับปัญจขันธ์คือ นิพพานเป็นของ

เที่ยงแล้ว ทรงเห็นโทษในภพ และอานิสงส์ในนิพพานแล้วทรงปลดปล่อยด้วย

อริยมรรค อันกระทำความสิ้นกรรมที่ท่านกล่าวไว้อย่างนี้ว่า กรรมเครื่องปรุง

แต่งภพ อันเป็นมูลแห่งขันธ์ทั้งหลายนั้น เป็นไปเพื่อความสิ้นกรรมดังนี้.

พระองค์ทรงยินดีในภายใน ตั้งมั่นแล้ว ทรงทำลายกิเลสที่เกิดในตน เหมือน

เกราะได้อย่างไร. ความจริง พระมุนีนั้น ทรงยินดีในภายใน ด้วยอำนาจ

วิปัสสนา ทรงตั้งมั่นด้วยอำนาจสมถะ รวมความว่า พระองค์ทรงทำลายข่าย

คือกิเลสทั้งหมด ที่ตั้งรึงรัดอัตภาพดุจเกราะ ที่ได้ชื่อว่า อัตตสัมภวะ เพราะ

เกิดในตนด้วยกำลังสมถะและวิปัสสนา ตั้งแต่เบื้องต้น และละกรรมด้วยการ

ละกิเลสอย่างนี้ว่า กรรมที่ทำโดยไม่มีกิเลส ชื่อว่ายังเหลืออยู่ เพราะไม่มีปฏิสนธิ.

พึงทราบว่า ชื่อว่าความกลัวของผู้ละกิเลสได้แล้วไม่มี เพราะฉะนั้น พระมุนีไม่

ทรงกลัวแล้ว จึงทรงปลงอายุสังขาร เพราะเหตุนั้น จึงทรงเปล่งอุทาน เพื่อ

ให้รู้ว่าไม่ทรงกลัว.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 394

บทว่า ย มหาวาตา ความว่า โดยสมัยใด หรือในสมัยใด ลมใหญ่

ย่อมพัด. บทว่า มหาวาตา วายนฺตา ได้แก่ธรรมดาว่า ลมอุกเขปกะเมื่อ

เกิดขึ้น ก็พัดตัดลมที่อุ้มน้ำหนา ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ขาดสะบั้น แต่นั้นน้ำก็ตกลง

ในอากาศ เมื่อน้ำตกลงแผ่นดินก็ตกลง. ลมก็หอบรับน้ำไว้อีกด้วยกำลังของตน

เหมือนน้ำภายในธมกรก. แต่น้ำนั้นก็พุ่งขึ้น. เมื่อนำพุ่งขึ้นแผ่นดินก็พุ่งขึ้น

น้ำไหวแล้วก็ทำให้แผ่นดินไหวอย่างนี้. การไหวของน้ำและแผ่นดินย่อมมีมา

จนตราบเท่าทุกวันนี้ด้วยประการฉะนี้. แต่ความพุ่งลงและพุ่งขึ้นย่อมไม่ปรากฏ

เพราะเป็นของหนา.

บทว่า มหิทฺธิโก มหานุภาโว ความว่า สมณะหรือพราหมณ์ชื่อว่า

ผู้มีฤทธิ์มาก เพราะมีความสำเร็จมาก ชื่อว่า ผู้มีอานุภาพมากเพราะสิ่งที่จะได้

รับมาก. บทว่า ปริตฺตา แปลว่า มีกำลังน้อย. บทว่า อปฺปมาณา ได้แก่

ผู้มีกำลัง. บทว่า โส อิม ปวึ กปฺเปติ ความว่า ท่านทำฤทธิ์ให้เกิดแล้ว

เกิดความสังเวช เหมือนพระมหาโมคคัลลานะ หรือเมื่อทรงทดลอง ย่อม

ทำให้แผ่นดินไหว เหมือนสังฆรักขิตสามเณรหลานพระมหานาคเถระ.

ได้ยินว่า สามเณรนั้นขณะโกนผมเท่านั้น ก็บรรลุพระอรหัต คิดว่ามี

ภิกษุไรๆ ไหมหนอ ที่เคยบรรลุพระอรหัตในวันที่บวชนั่นเอง แล้วทำเวชยันต

ปราสาทให้ไหว. แต่นั้นก็รู้ว่า ไม่มีใคร จึงคิดว่า เราจะทำให้ไหวยืนอยู่บน

ยอดเวชยันตปราสาทแล้วใช้เท้ากระทืบก็ไม่อาจทำให้ไหวด้วยกำลังแห่งอภิญญา.

ครั้งนั้น เหล่านางรำของท้าวสักกะ ก็กล่าวกะสามเณรนั้นว่า ลูกสังฆรักขิต

เธอประสงค์จะทำเวชยันตปราสาทให้ไหวด้วยศรีษะที่มีกลิ่นเหม็นเท่านั้นพ่อเอ๋ย

ปราสาทมีโอกาสตั้งอยู่ดีแล้ว ท่านอาจทำให้ไหวอย่างไรได้. สามเณรรำลึกว่า

เทวดาเหล่านี้ เย้ยหยันกับเรา แต่เรายังไม่ได้อาจารย์ พระมหานาคเถระผู้อยู่

ประจำสมุทรอาจารย์ของเราอยู่ไหนหนอ รู้ว่าอาจารย์สร้างที่เร้นในน้ำไว้ในมหา-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 395

สมุทรนั่งพักผ่อนกลางวัน จึงไปในที่นั้นไหว้พระเถระแล้วยืนอยู่. แต่นั้นพระ

เถระพูดกะสามเณรนั้นว่า พ่อ สังฆรักขิต เจ้ายังไม่ได้ศึกษา จะเข้าไปต่อยุทธิ์

หรือแล้วถามว่า พ่อเจ้าไม่สามารถทำให้เวชยันตปราสาทให้ไหวหรือ. ตอบว่า

ผมยังไม่ได้อาจารย์นี้ขอรับ. ลำดับนั้น พระเถระจึงกล่าวกะสามเณรนั้นว่า

พ่อเอ๋ย เมื่อคนเช่นเจ้าให้ไหวไม่ได้ คนอื่นคือใครเล่าจักให้ไหวได้ เจ้าเคย

เห็นก้อนโคมัยลอยอยู่เหนือหลังน้ำไหมละพ่อ แล้วกล่าวต่อไปว่า พ่อเอ๋ย คน

ทั้งหลายเขาทำขนมเบื้อง เขาไม่ตัดที่ปลายดอก เจ้าจงรู้ด้วยอุปมานี้. สามเณร

กล่าวว่าปราสาทนั้น จักหมุนด้วยอาการเพียงเท่านี้ขอรับ แล้วอธิษฐานว่า

ขอน้ำจงมีตลอดโอกาสที่ปราสาทตั้งอยู่ บ่ายหน้าไปยังเวชยันตปราสาท. เหล่า

เทพธิดาเห็นสามเณรแล้ว พูดกันว่า สามเณรอับอายไปครั้งหนึ่งแล้ว ยังมาแล้ว

มาอีก. ท้าวสักกเทวราช ตรัสว่า พวกเจ้าอย่าพูดกับบุตรของเราเลย บัดนี้

เธอได้อาจารย์แล้ว ชั่วขณะ เธอจักทำปราสาทให้ไหวได้. สามเณรใช้นิ้วเท้า

เกี่ยวยอดปราสาท. ปราสาทก็โอเอนไปทั้ง ๔ ทิศ. เหล่าเทวดาร้องลั่น ว่า

พ่อเอย โปรดให้ปราสาทคงตั้งอยู่เถิด ๆ. สามเณรวางปราสาทไว้ที่เดิมแล้ว

ยืนบนยอดปราสาทเปล่งอุทานว่า

เราบวชวันนี้ ก็บรรลุอาสวักขัยวันนี้

เราทำปราสาทให้ไหววันนี้ โอพระพุทธ-

เจ้า ทรงมีพระคุณมโหฬาร. เราบวช

วันนี้ก็บรรลุอาสวักขัยวันนี้ เราทำปราสาท

ให้ไหววันนี้ โอพระธรรมมีพระคุณ

มโหฬาร. เราบวชวันนี้ก็บรรลุอาสวักขัย

วันนี้ เราทำปราสาทให้ไหววันนี้ โอพระ-

สงฆ์มีพระคุณมโหฬาร.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 396

คำที่จะพึงกล่าวในเรื่องแผ่นดินไหว ๖ ประการนอกจากนี้ ท่านกล่าวไว้แล้วใน

มหาปาทานสูตร.

ในเหตุเกิดแผ่นดินไหว ๘ ประการนี้ ดังกล่าวมานี้ ครั้งที่ ๑ ไหว

ด้วยธาตุกำเริบ ครั้งที่ ๒ ไหวด้วยอานุภาพของผู้มีฤทธิ์ ครั้งที่ ๓ และครั้งที่ ๔

ไหวด้วยเดชแห่งบุญ ครั้งที่ ๕ ไหวด้วยอำนาจแห่งญาณ ครั้งที่ ๖ ไหว

ด้วยอำนาจสาธุการ ครั้งที่ ๗ ไหวด้วยอำนาจความเป็นผู้มีกรุณา ครั้งที่ ๘

ไหวด้วยการร้องไห้. ครั้งเมื่อพระมหาสัตว์ลงสู่พระครรภ์พระมารดาและออก

จากพระครรภ์นั้น แผ่นดินไหวด้วยอำนาจแห่งบุญของพระองค์. ครั้งตรัสรู้

อภิสัมโพธิญาณ แผ่นดินไหวด้วยอำนาจพระญาณ ครั้งประกาศพระธรรมจักร

แผ่นดินก็ผงาดขึ้นให้สาธุการไหว ครั้งปลงอายุสังขาร แผ่นดินผงาดขึ้นด้วย

ความกรุณา ทนความเคลื่อนไหวแห่งจิตไม่ได้ก็ไหว. ครั้งปรินิพพานแผ่นดิน

ก็ถูกกระหน่ำด้วยกำลังการร้องไห้ก็ไหว. ก็ความนี้พึงทราบด้วยอำนาจเทวดา

ประจำแผ่นดิน. แต่ข้อนี้ไม่มีแก่ปฐวีธาตุ ที่เป็นมหาภูตรูป เพราะไม่มีเจตนาแล

บทว่า อิเม ในคำว่า อิเม โข อานนฺท อฏฺ เหตู นี้เป็นการ

ชี้ข้อที่ทรงแสดงมาแล้ว. ก็แลด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ท่านพระอานนท์ กำหนดว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปลงอายุสังขารวันนี้แน่แท้. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้า

แม้ทรงทราบว่าพระอานนท์กำหนดได้ ก็ไม่ประทานโอกาส ทรงประมวลเหตุ

ทั้ง ๘ แม้อย่างอื่นเข้าไว้ด้วย จึงตรัสวา อฏฺ โข อิมา ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อเนกสต ขตฺติยปริส ได้แก่ บริษัท

เช่น สมาคมพระเจ้าพิมพิสาร สมาคมพระญาติ และสมาคมเจ้าลิจฉวีเป็นอาทิ.

คำนี้ใช้ได้แม้ในจักรวาลอื่น ๆ. บทว่า สลฺลปิตปุพฺพ ได้แก่ เคยกระทำ

การสนทนาปราศรัย. บทว่า สากจฺฉา ได้แก่ เคยเข้าร่วมแม้แต่การสนทนา

ธรรม. บทว่า ยาทิสโก เตส วณฺโณ ความว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 397

ผิวขาวบ้าง ผิวดำบ้าง ผิวสองสีบ้าง พระศาสดามีพระฉวีเหลืองดังทองคำ. ก็คำนี้

ท่านกล่าวอาศัยทรวดทรง. ก็แม้ทรวดทรงของสมณพราหมณ์เหล่านั้น ปรากฏ

เพียงอย่างเดียวเท่านั้น. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้ามิใช่เหมือนชนชาติมิลักขะ

ทั้งไม่ทรงสวมมณีกุณฑลประทับนั่งโดยเพศของพระพุทธเจ้าเท่านั้น. ก็สมณ-

พราหมณ์เหล่านั้นย่อมเห็นว่าพระพุทธองค์มีทรวดทรงเสมอกับตน. บทว่า

ยาทิสโก เตส สโร ความว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น มีเสียงขาดบ้าง มีเสียง

ดังไม้ค้อนบ้าง มีเสียงเหมือนกาบ้าง พระศาสดามีพระสุระเสียงดังพรหมเท่านั้น.

แต่คำนี้ท่านกล่าวหมายถึงภาษาอื่น. ความจริง แม้หากว่า ในบริษัทนั้น พระ-

ศาสดาประทับนั่งตรัสบนราชอาสน์ สมณพราหมณ์เหล่านั้นก็จะเข้าใจว่า วันนี้

พระราชาตรัสด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะ. แต่เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสแล้ว

เสด็จหลีกไป สมณพราหมณ์เหล่านั้นเห็นพระราชาเสด็จกลับมาอีกก็จะเกิดการ

พิจารณาทบทวนว่า ผู้นี้เป็นใครกันหนอ. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โก นุ โข

อย ความว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น แม้พิจารณาทบทวนอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่า ผู้นี้

เป็นใครกันหนอ ตรัสด้วยภาษามคธ ภาษาสีหล ด้วยอาการละมุนละไม ในที่นี้

เดี๋ยวนี้ ก็หายวับไป เป็นเทวดาหรือมนุษย์. ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงแสดงธรรมแก่เหล่าชนผู้ไม่รู้อย่างนี้ เพื่อประโยชน์อะไร. ตอบว่า เพื่อ

ต้องการจะอบรม จริงอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ธรรมที่แม้เขาฟังแล้ว ก็จะเป็น

ปัจจัยในอนาคตทีเดียว เพราะเหตุนั้น ทรงมุ่งถึงอนาคตจึงทรงแสดง. พึงทราบ

เหตุเกิดแห่งบริษัททั้งหลายมีพราหมณบริษัทหลายร้อยเป็นต้น โดยอำนาจ

โสณทัณฑสมาคมและกูฏทันตสมาคมเป็นต้น และด้วยอำนาจจักรวาลอื่น.

ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำบริษัท ๘ นี้มาเพื่ออะไร ? เพื่อแสดง

ความเป็นผู้ไม่กลัว. ได้ยินว่า พระองค์นำบริษัทเหล่านั้นมาตรัสอย่างนี้ว่า

อานนท์ ความกลัว หรือ ความกล้า ไม่มีแก่ตถาคตผู้เข้าไปหาบริษัท ๘

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 398

เหล่านี้แล้วแสดงธรรม แต่ใครเล่าควรจะให้เกิดความเข้าใจอย่างนี้ว่า ตถาคต

เห็นมารแต่ละตนแล้วพึงกลัว อานนท์ ตถาคต ไม่กลัว ไม่หวาด มีสติ-

สัมปชัญญะปลงอายุสังขาร ดังนี้.

บทว่า อภิภายตนานิ แปลว่า เหตุครอบงำ. ครอบงำอะไร ครอบงำ

ธรรมที่เป็นข้าศึกบ้าง อารมณ์บ้าง. ความจริงเหตุเหล่านั้นย่อมครอบงำธรรม

ที่เป็นข้าศึก เพราะภาวะที่เป็นปฏิปักษ์ครอบอารมณ์เพราะเป็นบุคคลที่ยิ่งด้วย

ญาณ.

ก็ในคำว่า อชฺฌตฺต รูปสญฺี ดังนี้เป็นต้น บุคคลชื่อว่ามีสัญญา

ในรูปภายในด้วยอำนาจบริกรรมในรูปภายใน. จริงอยู่ บุคคลเมื่อกระทำ

บริกรรมนีลกสิณในรูปภายใน ย่อมกระทำที่ผมที่ดีหรือที่ดวงตา เมื่อกระทำ

บริกรรมในปีตกสิณ ย่อมกระทำที่มันข้น ที่ผิว ที่หลังมือ หลังเท้า หรือที่

สีเหลืองของดวงตา. เมื่อกระทำบริกรรมในโลหิตกสิณ กระทำที่เนื้อ เลือด

ลิ้น หรือที่สีแดงของดวงตา. เมื่อกระทำบริกรรมในโอทาตกสิณ ย่อมกระทำ

ที่กระดูก ฟัน เล็บ หรือที่สีขาวของดวงตา แต่บริกรรมนั้น เขียวดี เหลีองดี

แดงดี ขาวดี ก็หาไม่ ยังไม่บริสุทธิ์ทั้งนั้น.

บทว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ความว่า บริกรรมนั้นของ

บุคคลใด เกิดขึ้นภายใน แต่นิมิตเกิดในภายนอก. บุคคลนั้นมีความสำคัญว่า

รูปในภายใน ด้วยอำนาจบริกรรมในภายในและอัปปนาในภายนอกอย่างนี้

เรียกว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ผู้เดียวเห็นรูปภายนอก.

บทว่า ปริตฺตานิ ได้แก่ ไม่เติบโต. บทว่า สุวณฺณทุพฺพณฺ-

ณานิ แปลว่า มีวรรณะดีหรือวรรณะทราม. อภิภายตนะนี้ พึงทราบว่า

พึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้ด้วยอำนาจปริตตารมณ์. บทว่า ตานิ อภิภุยฺย

ความว่า คนมีท้องไส้ดีได้ข้าวเพียงทัพพีเดียวจึงมาคิดว่า จะพอกินหรือกระทำ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 399

เป็นคำเดียว ฉันใด บุคคลผู้ยิ่งด้วยญาณมีญาณกล้า คิดว่าจะพึงเข้าสมาบัติใน

อารมณ์เล็กน้อยเท่านี้จะพอหรือ. นี้ไม่หนักสำหรับเรา แล้วครอบงำรูปเหล่า

นั้นเข้าสมาบัติ. อธิบายว่า ย่อมให้ถึงอัปปนาในอภิภายตนะนั้น พร้อมกับทำ

นิมิตให้เกิดขึ้นทีเดียว. ก็ด้วยบทว่า ชานามิ ปสฺสามิ นี้ ท่านกล่าวถึง

ความคำนึงแห่งบุคคลนั้น. ก็แล เมื่อออกจากสมาบัติ ความคำนึงนั้นก็ไม่มี

ภายในสมาบัติ. บทว่า เอวสญฺี โหติ ความว่า มีสัญญาอย่างนี้ ด้วย

สัญญาในความคำนึงบ้าง ด้วยสัญญาในฌานบ้าง. จริงอยู่ สัญญา เป็นเครื่อง

ครอบงำย่อมมีแก่บุคคลนั้น แม้ภายในสมาบัติ. ส่วนสัญญาในความคำนึงย่อม

มีเมื่อออกจากสมาบัติเท่านั้น.

บทว่า อปฺปมาณานิ ความว่า มีประมาณที่เจริญแล้ว คือ ใหญ่.

ส่วนในบทว่า อภิภุยฺย นี้ เปรียบเหมือนบุรุษกินจุได้ข้าวพูนชาม ก็ยังคิดว่า

ของอย่างอื่นจงยกไว้ ข้าวนี้จักพอแก่เราหรือไม่ ไม่เห็นข้าวนั้นว่ามากฉันใด

บุคคลผู้ยิ่งด้วยญาณ มีญาณแก่กล้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน คิดว่า จะเข้าฌานใน

อารมณ์นี้ได้หรือ อารมณ์นี้ไม่มีประมาณก็หาไม่ จึงครอบงำอารมณ์เหล่านั้น

เข้าฌานด้วยคิดว่า ในการกระทำเอกัคคตาจิตไม่หนักแก่เราเลย. อธิบายว่า

ให้ถึงอัปปนาในอารมณ์นั้น พร้อมกับจิตตุปบาทนั่นแล.

บทว่า อชฺฌตฺต รูปสญฺี ความว่า เว้นจากบริกรรมสัญญาในรูป

ภายใน เพราะยังไม่ได้หรือเพราะไม่ต้องการ. บทว่า เอโก พหิทฺธา

รูปานิ ปสฺสติ ความว่า ทั้งบริกรรมทั้งนิมิตของผู้ใดเกิดขึ้นในภายนอก

อย่างเดียว ผู้นั้นมีความสำคัญว่าอรูปในภายใน ด้วยอำนาจบริกรรมและอัปปนา

ในภายนอกอย่างนี้ เรียกว่า เอโก พหิทฺธา รูปานิ ปสฺสติ ผู้เดียวเห็น

รูปในภายนอก. ข้อที่เหลือในคำนั้นมีนัยกล่าวแล้ว ในอภิภายตนะที่ ๔ ทั้ง

นั้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 400

ก็ในอภิภายตนะ ๔ เหล่านี้ ปริตตอภิภายตนะมาด้วยอำนาจวิตกจริต

อัปปมาณอภิภายตนะมาด้วยอำนาจโมหจริต สุวรรณอภิภายตนะมาด้วยอำนาจ

โทสจริต ทุพพรรณอภิภายตนะมาด้วยอำนาจราคจริต. จริงอยู่ อภิภายตนะ

เหล่านี้ เป็นสัปปายะของผู้มีจริตเหล่านี้. แม้ความที่อภิภายตนะเป็นสัปปายะ

นั้น กล่าวไว้พิสดารแล้วในจริตนิเทสในวิสุทธิมรรค.

พึงทราบวินัยในอภิภายตนะที่ ๕ เป็นต้นดังต่อไปนี้ บทว่า นีลานิ

ท่านกล่าวไว้โดยรวมทั้งหมด. บทว่า นีลวณฺณานิ ท่านกล่าวโดยวรรณะ.บทว่า

นีลนิทสฺสนานิ ท่านกล่าวโดยตัวอย่าง ท่านอธิบายว่าวรรณะที่ไม่เจือกันที่

ไม่ปรากฏช่องว่าง ปรากฏว่ามีสีเขียวเป็นอันเดียวกัน . ส่วนคำว่า นีลนิภาสานิ

นี้ ท่านกล่าวไว้โดยอำนาจโอภาส. อธิบายว่า มีแสงสีเขียวคือประกอบด้วย

รัศมีเขียว. ด้วยบทนี้ท่านแสดงความที่วรรณะเหล่านั้นบริสุทธิ์. จริงอยู่ ท่าน

กล่าวว่าอภิภายตนะ ๔ เหล่านี้ไว้โดยวรรณบริสุทธิ์เท่านั้น. บทว่า อุมฺมาร-

ปุปฺผ ความว่า จริงอยู่ดอกไม้นี้สนิทอ่อนนุ่ม แม้ที่เห็น ๆ กัน อยู่ ก็สีเขียว

ทั้งนั้น ส่วนดอกกัณณิกาเขาเป็นต้น ที่เห็น ๆ กันอยู่ก็ขาว เพราะฉะนั้นท่าน

จึงถือเอาดอกผักตบนี้เท่านั้น ดอกกัณณิกาเขาท่านหาถือเอาไม่. บทว่า

พาราณเสยฺยก แปลว่า ที่เกิดในกรุงพาราณสีได้ยินว่าในกรุงพาราณสีนั้น ทั้ง

ฝ้ายก็อ่อน ทั้งคนกรอด้าย ทั้งช่างทอก็ฉลาด. แม้น้ำก็สะอาดสนิท เพราะ

ฉะนั้นผ้านั้นจึงเกลี้ยงทั้งสองข้าง คือในข้างทั้งสองก็เกลี้ยงปรากฏว่าอ่อนสนิท.

แม้ในคำว่า ปิตานิ เป็นต้น ก็พึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้แล. เมื่อจะกำหนด

นีลกสิณ ย่อมกำหนดนิมิตในสีเขียว. ก็การกระทำกสิณก็ดี การบริกรรมก็ดี

อัปปนาวิธีก็ดี ในที่นี้มีอาทิว่า ปุปฺผสฺมึ วา วตฺถสฺมึ วา วณฺณธาตุยาอ วา

ทั้งหมดมีนัยที่กล่าวไว้โดยพิสดารแล้วในวิสุทธิมรรค.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 401

อภิภายตนะ ๘ เหล่านี้ ท่านนำมาก็เพื่อแสดงความเป็นผู้ไม่กลัว.

ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอภิภายตนะแม้เหล่านี้ แล้วจึงตรัสอย่าง

นี้ว่า อานนท์ ความกลัว หรือความกล้าไม่มีแก่ตถาคตผู้กำลังเข้าสมาบัติแม้

เหล่านี้ และกำลังออก ใครเล่าควรจะเกิดความเข้าใจอย่างนี้ว่า ตถาคตเห็น

มารผู้เดียวพึงกลัว อานนท์ ตถาคตไม่กลัว ไม่ขลาด มีสติสัมปชัญญะปลงอายุ

สังขาร.

กถาว่าด้วยเรื่องวิโมกข์ มีความง่ายทั้งนั้น. วิโมกข์ ๘ เหล่านี้ ท่าน

นำมา เพื่อความเป็นผู้ไม่กลัวเหมือนกัน. ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้น

ตรัสวิโมกข์แม้เหล่านี้แล้ว จึงตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ ความกลัวหรือ

ความกล้าไม่มีแก่ตถาคตผู้กำลังเข้าสมาบัติแม้เหล่านี้ และกำลังออก ฯลฯ ปลง

อายุสังขาร. แม้บัดนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ไม่ประทานโอกาสแก่พระอานนทเถระ

เลย ทรงเริ่มเทศนาแม้อย่างอื่นอีก โดยนัยมีว่า เอกมิทาห เป็นต้น. บรรดาบท

เหล่านั้น บทว่า ปมาภิสมฺพุทฺโธ ได้แก่เป็นผู้ตรัสรู้ครั้งแรกทีเดียว คือใน

สัปดาห์ที่ ๘. บทว่า โอสฺสฏฺโ แปลว่า ปล่อยสละ. ได้ยินว่า ครั้นกล่าว

อย่างนี้ จึงกล่าวว่า เพราะเหตุนั้น หมื่นโลกธาตุจึงไหว.

คำว่า อล นี้ เป็นคำปฏิเสธ. บทว่า โพธึ ได้แก่แทงตลอดด้วย

มรรคญาณ ๔. ด้วยบทว่า สทฺทหสิ ตฺว ท่านกล่าวว่า เธอเชื่อว่าตถาคต

กล่าวอย่างนี้ไหม. ด้วยบทว่า ตสฺมาติหานนฺท พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง

ว่า เพราะเหตุที่เธอเชื่อคำนี้ ฉะนั้นข้อนี้จึงเป็นการทำไม่ดีของเธอเอง พระผู้มี

พระภาคเจ้าเริ่มคำว่า เอกมิทาห เป็นต้น เพื่อจะยกโทษของพระเถระแต่ผู้

เดียวโดยประการต่าง ๆ เพื่อจะบรรเทาความโศกอย่างนี้ว่า เรามิได้เรียกเธอ

มาในที่นี้อย่างเดียวเท่านั้นดอก. แม้ในเวลาอื่น ๆ เราก็เรียกมาทำนิมิตอย่าง

หยาบ เธอก็มิได้ล่วงรู้นิมิตแม้นั้น อันนี้ก็เป็นความผิดพลาดของเธอผู้เดียว.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 402

บทว่า ปิเยหิ มนาเปหิ ความเป็นต่าง ๆ โดยชาติ ความละเว้นเพราะมรณะ

ความเป็นอย่างอื่นเพราะภพ (พลัดพราก) จากมารดา บิดา พี่ชาย พี่หญิง

เป็นต้น. คำว่า ต ในคำว่า ต กุเตตฺถ ลพฺภา แปลว่า เพราะฉะนั้น.

อธิบายว่า เพราะจะต้องพลัดพรากจากสัตว์และสังขารอันเป็นที่รักที่พอใจทั้ง

สิ้นแล ฉะนั้น ตถาคตบำเพ็ญบารมี ๑๐ ก็ดี บรรลุสัมโพธิญาณก็ดี ประกาศ

ธรรมจักรก็ดี แสดงยมกปาฏิหาริย์ก็ดี ลงจากเทวโลกก็ดี สรีระนั้นใดที่เกิดแล้ว

เป็นแล้ว ถูกปรุงแต่งแล้วมีความสลายไปเป็นธรรมดาขอสรีระแม้แห่งพระ

ตถาคตนั้นอย่าสลายไปเลยหนอ. นั่นไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ทั้งผู้ร้องไห้ทั้งผู้

คร่ำครวญก็สามารถจะได้ฐานะอันนั้น. บทว่า ปุน ปจฺจาคมิสฺสติ ความว่า

สิ่งที่ตถาคตสละแล้ว ตายแล้ว สิ่งนั้นก็จักกลับปรากฏอีกไม่ได้ดอก.

บทว่า ยถยิท พฺรหฺมจริย แปลว่า คือสาสนพรหมจรรย์ที่สงเคราะห์

ด้วยสิกขา ๓. บทว่า อทฺธนีย แปลว่า ทนอยู่นาน. บทว่า จิรฏฺิติก

ได้แก่ ตั้งอยู่นานด้วยอำนาจเป็นนาน. บทว่า จตฺตาโร สติปฏฺานา เป็น

อาทิ ทั้งหมดท่านกล่าวโดยเป็นโลกิยะและโลกุตตระ. ส่วนการวินิจฉัยในโพธิ

ปักขิยธรรมเหล่านี้ ท่านกล่าวไว้ในปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธินิทเทส ในวิสุทธิ

มรรคโดยอาการทั้งปวง. คำที่เหลือในที่นี้ง่ายทั้งนั้นแล.

จบกถาพรรณนาตติยภาณวาร

บทว่า นาคาวโลกิต ความว่า เหมือนอย่างว่ากระดูกของมหาชนเอา

ปลายจดปลายตั้งอยู่เหมือนอัฏฐิของพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่เกี่ยวกันเหมือนขอ

ช้าง ฉันใด อัฏฐิของพระพุทธเจ้าหาเหมือนฉันนั้นไม่. ด้วยว่าอัฏฐิของพระ

พุทธเจ้าคิดเป็นอันเดียวกัน เหมือนแท่งทองคำ เพราะฉะนั้น ในเวลาเหลียว

หลัง จึงไม่สามารถเอี้ยวพระศอได้ ก็พระยาช้าง ประสงค์ จะเหลียวดูช้าง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 403

หลังต้องเอี้ยวไปทั้งตัวฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ต้องทรงเอี้ยวพระวรกายไป

ฉันนั้น. แต่พอพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับยืนที่ประตูพระนคร ก็ทรงเกิดความ

คิดว่า จะทอดทัศนากรุงเวสาลี แผ่นมหาปฐพีนี้เหมือนจะกราบทูลว่า ข้าแต่

พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมาหลายแสนโกฏิกัป มิได้ทรง

กระทำ คือเอี้ยวพระศอแลดู จึงเปรียบเหมือนล้อดิน กระทำพระผู้มี

พระภาคเจ้าให้บ่ายพระพักตร์มุ่งไปทางกรุงเวสาลี. ท่านหมายเอาข้อนั้น จึง

กล่าวว่า นาคาวโลกิต นี้.

ถามว่า การทอดทัศนากรุงเวสาลี มิใช่เป็นปัจฉิมทัศนะอย่างเดียว

การทอดทัศนาแม้ในกรุงสาวัตถี กรุงราชคฤห์ เมืองนาลันทา บ้านปาฏลิคาม

โกฏิคาม และนาทิกคาม เวลาเสด็จออกจากที่นั้น ๆ ทั้งหมดนั้น ก็เป็นปัจฉิม

ทัศนะทั้งนั้นมิใช่หรือ เหตุไรในที่นั้นๆ จึงไม่เป็นการทอดทัศนาเป็นนาคาวโลก

(คือเป็นปัจฉิมทัศนะ). ตอบว่า เพราะไม่เป็นอัศจรรย์. จริงอยู่ พระผู้มีพระ

ภาคเจ้ากลับมาเหลียวดูในที่นั้น ข้อนั้นไม่น่าอัศจรรย์ เพราะฉะนั้น จึงไม่ชื่อว่า

ทรงเอี้ยวพระวรกายแลดู. อนึ่ง เหล่าเจ้าลิจฉวี กรุงเวสาลีใกล้พินาศ จักพินาศ

ไปใน ๓ ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้น เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น จึงสร้างเจดีย์ชื่อว่า

นาคาปโลกิตเจดีย์ ใกล้ประตูพระนคร จักบูชาเจดีย์นั้นด้วยสกัการะมีของหอม

และดอกไม้เป็นต้น ข้อนั้นก็จะมีเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขตลอดกาล

นาน เพราะฉะนั้น จึงเอี้ยวพระวรกายแลดูเพื่ออนุเคราะห์เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น.

บทว่า ทุกฺขสฺสนฺตกโร ได้แก่กระทำที่สุดแห่ววัฏฏทุกข์. บทว่า

จกฺขุมา ได้แก่ผู้มีจักษุด้วยจักษุ ๕. บทว่า ปรินิพฺพุโต ได้แก่ปรินิพพาน

ด้วยกิเลสปรินิพพาน.

บทว่า มหาปเทเส ได้แก่โอกาสใหญ่ หรือในข้ออ้างใหญ่

อธิบายว่า เหตุใหญ่ที่ท่านกล่าวอ้างผู้ใหญ่ เช่นพระพุทธเจ้าเป็นต้น. บทว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 404

อนถินนฺทิตพฺพ คืออันผู้ร่าเริงยินดีให้สาธุการควรฟังก่อนหามิได้. จริงอยู่เมื่อ

กระทำอยู่อย่างนี้ แม้ภายหลังถูกต่อว่า ว่าข้อนี้ไม่เหมาะสม ก็โต้ตอบได้ว่า

เมื่อก่อนข้อนี้เป็นธรรมเดี๋ยวนี้ไม่เป็นธรรมหรือ ชื่อว่าไม่สละลัทธิ. บทว่า

น ปฏิกฺโกสิตพฺพ ความว่า ไม่พึงกล่าวก่อนอย่างนี้ว่า คนพาลผู้นี้พูดอะไร.

ก็เมื่อถูกต่อว่า จักไม่พูดแม้แต่คำที่ควรจะพูด. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้า

จึงตรัสว่า อนภินนฺทิตฺวา อปฏิกฺโกสิตฺวา. บทว่า ปทพฺยญฺชนานิ ได้แก่

พยัญชนะกล่าวคือบท. บทว่า สาธุก อุคฺคเหตฺวา ได้แก่ ถือเอาด้วยดีว่า

ท่านกล่าวบาลีไว้ในที่นี้ กล่าวความไว้ในที่นี้ กล่าวเบื้องต้นและเบื้องปลายไว้

ในที่นี้. บทว่า สุตฺเต โอตาเรตพฺพานิ ได้แก่พึงสอบสวนในพระสูตร.

บทว่า วินเย สนฺทสฺเสตพฺพานิ ได้แก่เทียบเคียงในพระวินัย.

ก็ในที่นี้ ที่ชื่อว่าสูตรได้แก่วินัย. เหมือนที่ท่านกล่าวไว้ว่า ห้ามไว้

ในที่ไหน ห้ามไว้ในเมืองสาวัตถี ห้ามไว้ในสุตตวิภังค์ (สุต ในที่นี้หมายถึง

วินัย) ที่ชื่อวินัย ได้แก่ขันธกะ เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า โกสมฺพิย

วินยาติสาเร ในเรื่องละเมิดพระวินัย (วินัย ในที่นี้หมายถึงขันธกะ) ในเมือง

โกสัมพี. เมื่อเป็นเช่นนี้ชื่อว่าไม่ยึดถือวินัยปิฎก. ชื่อว่ายึดถือพระวินัยอย่าง

นี้คือ อุภโตวิภังค์ชื่อว่าสุตร ขันธกปริวาร ชื่อว่าวินัย. อีกนัยหนึ่ง ยึดถือปิฎก

ทั้ง ๒ อย่างนี้คือ สุตตันตปิฎก ชื่อว่าพระสูตร วินัยปิฎก ชื่อว่า วินัย. อีก

อย่างหนึ่ง ก่อนอื่น ไม่ยึดถือปิฎกทั้ง ๓ แม้อย่างนี้ สุตตันตปิฎก อภิธัมมปิฎก

ชื่อว่า สูตร วินัยปิฎก ชื่อว่า วินัย. ธรรมดาพุทธพจน์ไร ๆ ที่ชื่อว่าไม่ใช่สูตร

ก็มีอยู่ คือ ชาดก ปฏิสัมภิทา นิทเทส สุตตนิบาต ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ

วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา อปทาน.

ก็พระสุทินนเถระ คัดค้านคำนี้ทั้งหมดว่า พระพุทธวจนะ ชื่อว่าไม่ใช่

สูตรมีอยู่หรือดังนี้แล้วกล่าวว่า ปิฎก ๓ ชื่อว่าสูตร ส่วนวินัยชื่อว่าเหตุ. แต่นั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 405

เมื่อจะแสดงเหตุนั้น จึงนำสูตรนี้มาอ้างว่า ดูก่อนโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่านั้น

อันใดว่า ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อมีราคะ ไม่เป็นไปเพื่อปราศจากราคะ เป็นไป

เพื่อประกอบทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อปราศจากทุกข์ เป็นไปเพื่อมีอุปาทานไม่เป็นไป

เพื่อปราศจากอุปาทาน เป็นไปเพื่อความมักมาก ไม่เป็นไปเพื่อความมักน้อย

เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อความสันโดษ เป็นไปเพื่อความ

เกียจคร้าน ไม่เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่

ไม่เป็นไปเพื่อความสงัด เป็นไปเพื่อความสะสม ไม่เป็นไปเพื่อปราศจาก

ความสะสม. เธอพึงรู้โดยส่วนเดียวว่า นั่นไม่ใช่ธรรม นั่นไม่ใช่วินัย นั่น

ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา. ดูก่อนโคตมี เธอพึงรู้ธรรมเหล่านั้นอันใดว่า

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อปราศจากราคะ ไม่เป็นไปเพื่อราคะ เป็นไปเพื่อปราศ

จากความประกอบทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ เป็นไปเพื่อปราศ

จากอุปาทาน ไม่เป็นไปเพื่อมีอุปาทาน เป็นไปเพื่อความมักน้อย ไม่เป็นไป

เพื่อความมักมาก เป็นไปเพื่อความสันโดษ ไม่เป็นไปเพื่อไม่สันโดษ เป็นไป

เพื่อปรารภความเพียร ไม่เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน เป็นไปเพื่อความสงัด

ไม่เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ เป็นไปเพื่อปราศจากความสะสม ไม่เป็น

ไปเพื่อความสะสม เธอพึงรู้โดยส่วนเดียวว่า นั่นเป็นธรรม นั่นเป็นวินัย

นั่นเป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา. เพราะฉะนั้น พึงสอบสวนในพระไตรปิฎก

พุทธวจนะ. ที่ชื่อว่าสูตร พึงเทียบเคียงในเหตุคือวินัยมีราคะเป็นต้น ที่ชื่อว่า

วินัย ความในข้อนี้มีดังกล่าวมาฉะนี้.

บทว่า น เจว สุตฺเต โอตรนฺติ ความว่า บทพยัญชนะเหล่านั้นไม่มา

ในที่ไหนๆ ตามลำดับสูตร ยกแต่สะเก็ดมาจาก คุฬหเวสสันตระ คุฬหอุมมัคคะ

คุฬหวินัย เวทัลละ และปิฎก ปรากฏอยู่. จริงอยู่ บทพยัญชนะที่มาอย่างนี้

แต่ไม่ปรากฏในการกำจัดกิเลสมีราคะเป็นต้น ก็พึงทิ้งเสีย. ด้วยเหตุนั้นพระผู้มี

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 406

พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ดังนั้น เธอพึงทิ้งข้อนั้นเสีย. พึงทราบความ

ในที่ทุกแห่งด้วยอุบายนี้. คำว่า อิท ภิกฺขเว จตุตฺถ มหาปเทส ธาเรยฺยาถ

ความว่า เธอพึงทรงจำโอกาสเป็นที่ประดิษฐานแห่งธรรมข้อที่ ๔ นี้ไว้.

ก็ในที่นี้พึงทราบปกิณณกะดังนี้ว่า ในพระสูตร มีมหาปเทส ๔ ใน

ขันธกะ มีมหาปเทส ๔ ปัญหาพยากรณ์ ๔ สุตตะ ๑ สุตตานุโลม ๑ อาจาริย-

วาท ๑ อัตตโนมติ ๑ สังคีติ ๓.

ในปกิณณกะเหล่านั้น เมื่อถึงการวินิจฉัยธรรมว่านี้ธรรมนี้วินัย มหา

ปเทส ๔ เหล่านี้ถือเอาเป็นประมาณ ข้อใดสมในมหาปเทส ๔ เหล่านี้ ข้อ

นั้นควรถือเอา ข้อนอกนี้แม้ของผู้ถือผิด ก็ไม่ควรถือเอา. เมื่อถึงการวินิจฉัย

ข้อที่ควรและไม่ควรว่า สิ่งนี้ควร สิ่งนี้ไม่ควร มหาปเทส ๔ ที่ตรัสไว้ใน

ขันธกะโดยนัยว่า ภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร

หากว่าสิ่งนั้นเข้ากันกับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกันกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอ

ทั้งหลาย ดังนี้เป็นต้น ถือเอาเป็นประมาณ. กถาวินิจฉัยมหาปเทสเหล่านั้น

กล่าวไว้ ในอรรถกถาพระวินัยชื่อว่า สมันตปาสาทิกาโดยนัยที่กล่าวไว้ในที่นั้น

พึงทำสันนิษฐานอย่างนี้ว่า สิ่งใดที่เข้ากันได้กับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นควร นอกนั้น

ไม่ควร.

เอกังสพยากรณียปัญหา ๑ วิภัชชพยากรณียปัญหา ๑ ปฏิปุจฉาพยา-

กรณียปัญหา ๑ ฐปนียปัญหา ๑ เหล่านั้นชื่อว่า ปัญหาพยากรณ์ ๔. ในปัญหา

พยากรณ์ ๔ นั้น ถูกถามว่าจักษุไม่เที่ยงหรือ พึงพยากรณ์ก่อนโดยส่วนเดียว

ว่าไม่เที่ยงขอรับ. ในโสตะ เป็นต้นก็มีนัยนี้. นี้ชื่อว่า เอกังสกรณียปัญหา.

ถูกถามว่า จักษุหรือชื่อว่าไม่เที่ยง. พึงแจกแล้วพยากรณ์อย่างนี้ว่า ไม่ใช่

จักษุเท่านั้น แม้แต่โสตะ ก็ไม่เที่ยง แม้ฆานะ ก็ไม่เที่ยง. นี้ชื่อว่า วิภัชช-

พยากรณียปัญหา. ถูกถามว่า จักษุฉันใด โสตะ ก็ฉันนั้น โสตะฉันใด จักษุ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 407

ก็ฉันนั้นเป็นต้น. จึงย้อนถามว่า ท่านถามด้วยอรรถว่าอะไร เมื่อเขาตอบว่า

ถามด้วยอรรถว่าเห็น จึงพยากรณ์ว่า ไม่ใช่. เมื่อเขาตอบว่า ถามด้วย

อรรถว่าไม่เที่ยง จึงพยากรณ์ว่า ใช่. นี้ชื่อว่า ปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา.

แต่ถูกถามว่า นั้นก็ชีวะ นั้นก็สรีระ เป็นต้น พึงหยุดเสียด้วยกล่าวว่า ข้อนี้

พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่พยากรณ์. ปัญหานี้ไม่พึงพยากรณ์. นี้ชื่อว่าปฐนียปัญหา.

ดังนั้น เมื่อปัญหามาถึงโดยอาการนั้น ปัญหาพยากรณ์ ๔ เหล่านี้ ถือเอาเป็น

ประมาณได้. พึงพยากรณ์ปัญหานั้นด้วยอำนาจปัญหาพยากรณ์ ๔ นี้.

ก็ปิฎก ๓ ที่ยกขึ้นสู่สังคีติ ๓ ชื่อว่า สุตตะ ในปกิณณกะมีสุตตะเป็น

ต้น. ข้อที่เข้ากันได้กับกัปปิยะชื่อว่า สุตตานุโลม. อรรถกถาชื่อว่า อาจริยวาท.

ปฏิภาณของตน ตามความคาดหมายตามความรู้ ชื่อว่า อัตตโนมัติ. ในปกิณณกะ

เหล่านั้น สุตตะ ใคร ๆ คัดค้านไม่ได้ เมื่อคัดค้านสุตตะนั้น ก็เท่ากับคัดค้าน

พระพุทธเจ้าด้วย. ส่วนข้อที่เข้ากับได้กับกัปปิยะ ควรถือเอาเฉพาะข้อที่สมกับ

สุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา. แม้อาจริยวาทเล่า ก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับ

สุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา. ส่วนอัตตโนมัติ เพลากว่าเขาทั้งหมด.

แม้อัตตโนมัตินั้น ก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับสุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา.

ก็สังคีติมี ๓ เหล่านี้คือ ปัญจสติกสังคีติ (สังคายนาครั้งที่ ๑) สัตตสติก

สังคีติ (ครั้งที่ ๒) สหัสสิกสังคีติ (ครั้งที่ ๓). แม้สุตตะ. เฉพาะที่มาในสังคีติ

๓ นั้น ควรถือเอาเป็นประมาณ. นอกนั้นเป็นที่ท่านตำหนิ ไม่ควรถือเอา.

จริงอยู่ บทพยัญชนะแม้ที่ลงกันได้ในสุตตะนั้น พึงทราบว่า ลงกันไม่ได้ใน

พระสูตรและเทียบกันไม่ได้ในพระวินัย.

บทว่า กมฺมารปุตฺตสฺส ได้แก่บุตรของนายช่างทอง เล่ากันมาว่า

บุตรของนายช่างทองนั้น เป็นกุฏุมพีให้ผู้มั่งคั่ง เป็นโสดาบัน เพราะเห็นพระผู้มี

พระภาคเจ้าครั้งแรกเท่านั้น ก็สร้างวัดในสวนมะม่วงของตนมอบถวาย. ท่าน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 408

หมายเอาสวนมะม่วงนั้น จึงกล่าวว่า อมฺพวเน. บทว่า สูกรมทฺทว ได้แก่

ปวัตตมังสะ ของสุกรที่ใหญ่ที่สุดตัวหนึ่ง ไม่หนุ่มนัก ไม่แก่นัก. นัยว่า

ปวัตตมังสะนั้นนุ่มสนิท. อธิบายว่า ให้จัดปวัตตมังสะนั้น ทำให้สุกอย่างดี.

อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ก็คำว่าสูกรมัททวะนี้เป็นชื่อของข้าวสุกอ่อน ที่จัด

ปรุงด้วยปัญจโครส (ขีร นมสด ทธิ นมส้ม ฆต เนยใส ตกฺก เปรียง และ

โนนีต เนยแข็ง) และถั่ว เหมือนของสุกชื่อว่า ควปานะ ขนมผสมน้ำนมโค.

อาจารย์บางพวกกล่าวว่า วิธีปรุงรส ชื่อว่าสูกรมัททวะ ก็สูกรมัททวะนั้นมาใน

รสายนศาสตร์. สูกรมัททวะนั้น นายจุนทะตบแต่งตามรสายนวิธี ด้วย

ประสงค์ว่าการปรินิพพานจะยังไม่พึงมีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า. แต่เหล่าเทวดา

ในมหาทวีปทั้ง ๔ ซึ่งมีทวีปน้อย ๒,๐๐๐ ทวีปเป็นบริวาร ใส่โอชะลงในสูกร

มัททวะนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันลือสีหนาทนี้ว่า นาหนฺต เพื่ออะไร.

เพื่อทรงเปลื้องคำว่าร้ายของคนอื่น. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า สดับคำของ

พวกที่ต้องการจะกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ประทานสูกรมัททวะที่พระองค์

เสวยเหลือ ทั้งแก่ภิกษุ ทั้งแก่ผู้คนทั้งหลาย โปรดให้ฝังเสียในหลุม ทำให้เสียหาย

ดังนี้ จึงทรงบันลือสีหนาท เพื่อเปลื้องคำว่าร้ายของชนเหล่าอื่น ด้วยพระ

ประสงค์ว่า จักไม่มีโอกาสกล่าวร้ายได้.

บทว่า ภุตฺตสฺส สูกรมทฺทเวน ความว่า ความอาพาธอย่างแรงกล้า

เกิดขึ้นแก่พระองค์ผู้เสวย แต่ไม่ใช่เกิดเพราะสูกรมัททวะที่เสวยเป็นปัจจัย.

ก็ผิว่า พระองค์ไม่เสวยก็จักเกิดอาพาธได้ และเป็นอาพาธอันแรงกล้าเสียด้วย.

แต่เพราะเสวยโภชนะอันสนิท พระองค์จึงมีทุกขเวทนาเบาบาง. ด้วยเหตุนั้น

นั่นแล พระองค์จึงเสด็จพุทธดำเนินไปได้. บทว่า วิเรจมาโน ได้แก่พระ

องค์ทรงออกพระโลหิตอยู่เนือง ๆ. ท่านกล่าวอย่างนี้ว่า อโวจ ก็เพื่อประ-

โยชน์แก่ปรินิพพานในสถานที่ที่พระองค์มีพระพุทธประสงค์. พึงทราบความว่า

ก็พระธรรมสังคาหกเถระตั้งคาถาเหล่านี้ไว้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 409

ศัพท์ว่า อิงฺฆ เป็นนิบาตลงในอรรถว่าตักเตือน. บทว่า อจฺโฉทกา

แปลว่า มีน้ำใส. บทว่า สาโตทกา แปลว่า มีน้ำอร่อย. บทว่า สีโตทกา

แปลว่า น้ำเย็นสนิท. บทว่า เสโตทกา แปลว่า ปราศจากเปือกตม. บทว่า

สุปติฏฺา แปลว่า มีท่าดี.

บทว่า ปุกฺกุโส เป็นชื่อของบุตรเจ้ามัลละนั้น. บทว่า มลฺลปุตฺโต

แปลว่า บุตรของเจ้ามัลละ. ได้ยินว่า พวกเจ้ามัลละผลัดเปลี่ยนกันครองราช

สมบัติ. ตราบใดวาระของเจ้ามัลละเหล่าใดยังไม่มาถึง ตราบนั้นเจ้ามัลละ

เหล่านั้นก็กระทำการค้าขายไป. เจ้าปุกุสะแม้นี้ ก็ทำการค้าขายอยู่นั่นแล

จัดเกวียน ๕๐๐ เล่ม เมื่อลมพัดมาข้างหน้าก็ไปข้างหน้า เมื่อลมพัดมาข้างหลัง

ก็ส่งหมู่เกวียนไปข้างหน้าตนเองไปข้างหลัง. ในคราวนั้น ลมพัดไปข้างหลัง

เพราะฉะนั้น เขาจึงส่งหมู่เกวียนไปข้างหน้า นั่งบนยานบรรทุกรัตนะทั้งหมด

ออกจากเมืองกุสินารา เดินทางไป หมายจะไปเมืองปาวา. ด้วยเหตุนี้นั้นท่าน

จึงกล่าวว่า เดินทางไกลจากเมืองกุสินาราสู่เมืองปาวา.

บทว่า อาฬาโร เป็นชื่อของดาบสนั้น. ได้ยินว่า ดาบสนั้นมีร่าง

สูงและเหลือง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงมีชื่อว่า อาฬาระ. คำว่า กาลาโม

ได้แก่โคตร. คำว่า ยตฺร หิ นาม เท่ากับ โยหิ นาม. บทว่า เนว ทกฺขติ

แปลว่า ไม่เห็น. แต่ท่านกล่าวคำนี้ไว้เป็นอนาคตกาล เพราะประกอบกับ ยตฺร

ศัพท์. จริงอยู่ คำเห็นปานนี้ เป็นลักษณะศัพท์ในฐานะเช่นนี้. บทว่า

นิจฺฉรนฺตีสุ แปลว่าร่ำร้อง. บทว่า อสนิยา ผลนฺติยา ได้แก่ร้องไห้

โฮใหญ่ เหมือนฟ้าฝ่าแยกออก ๙ สาย.

ความจริง ฟ้าผ่ามี ๙ สาย คือ อสัญญา วิจักกา สเตรา คัคครา

กปิสีสา มัจฉวิโลลิกา กุกกุฏกา ทัณฑมณิกา และ สุกขาสนิ. บรรดาฟ้าผ่า

๙ นั้น ฟ้าผ่า ที่ชื่อว่าอสัญญา กระทำโดยไม่หมายรู้. ที่ชื่อว่าวิจักกา กระทำ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 410

ล้ออันเดียว. ที่ชื่อว่า สเตรา ตกไปเช่นกับใบเรือ. ที่ชื่อว่าคัคครา ออกเสียง

ดุจไม้ค้อนตกไป. ที่ชื่อว่า กปิสีสา เป็นเหมือนลิงยักคิ้ว. ที่ชื่อว่ามัจฉวิโลลิกา

เป็นเหมือนปลาน้ำตาไหล. ที่ชื่อกุกกุฏกา ตกเหมือนไก่. ที่ชื่อว่า ทัณฑมณิกา

ตกเช่นกับทางไถ. ที่ชื่อว่า สุกขาสนิ เพิกสถานที่ที่ตกขึ้น (ผ่าขึ้น). บทว่า

เทเว วสฺสนฺเต ได้แก่คำรามกระหึ่มแห้ง ๆ เมื่อฝนตกเป็นระยะ ๆ.

บทว่า อาตุมาย ความว่าได้อาศัยเมืองอาตุมาอยู่. บทว่า ภูสาคาเร

ได้แก่โรงลานข้าว. บทว่า เอตฺถ โส ได้แก่ หมู่มหาชนที่ชุมนุมกัน เพราะ

เหตุนี้. บทว่า กฺว อโหสิ เป็น กุหึ อโหสิ. บทว่า โส ต ภนฺเต เป็น

โส ตฺว ภนฺเต. บทว่า สิงฺคิวณฺณ ได้แก่มีสีเหมือนทองสิงคี. บทว่า

ยุคมฏฺ แปลว่า เกลี้ยงทั้งคู่. อธิบายว่า คู่ผ้าเนื้อละเอียด. บทว่า ธารณีย

ได้แก่ พึงทรงไว้ อธิบายว่า พึงห่ม เป็นระยะ ๆ. เจ้าปุกกุสะนั้น ใช้

เฉพาะในวันมหรศพเห็นปานนั้นเท่านั้น ในเวลาอื่นก็ทิ้งไป. ท่านหมายเอาคู่

ผ้ามงคลสูงสุด จึงกล่าวไว้อย่างนี้. บทว่า อนุกมฺป อุปาทาย ได้แก่อาศัย

ความเอ็นดูในเรา. บทว่า อจฺฉาเทหิ นี้เป็นคำละเมียดละไม. อธิบายว่า

จงให้แก่เราหนึ่งผืน อานนท์หนึ่งผืน.

ถามว่า ก็พระเถระรับผ้านั้นหรือ. ตอบว่า รับสิ. เพราะเหตุไร.

เพราะมีกิจถึงที่สุดแล้ว. ความจริง ท่านพระอานนท์นั้น ห้ามลาภเห็นปานนั้น

ปฏิบัติหน้าที่อุปัฏฐากก็จริงอยู่ แต่หน้าที่อุปัฏฐากของท่านนั้น ถึงที่สุดแล้ว

เพราะฉะนั้นท่านจึงได้รับ. ก็หรือว่า ชนเหล่าใดพึงพูดอย่างนี้ว่า พระอานนท์

ที่จะไม่ยินดี ท่านอุปัฏฐากมาถึง ๒๕ ปี ไม่เคยได้อะไรจากสำนักของพระผู้มี

พระภาคเจ้าเลย. เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้รับเพื่อตัดโอกาสของชนเหล่านั้น.

อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ทรงทราบว่า อานนท์แม้รับก็จักไม่ใช้ด้วยตนเอง

คงจักบูชาเราเท่านั้น แต่บุตรของเจ้ามัลละ เมื่อบูชาอานนท์ ก็จักเท่ากับบูชา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 411

พระสงฆ์ด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ กองบุญใหญ่ก็จักมีแก่บุตรเจ้ามัลละนั้น

เพราะฉะนั้น จึงโปรดให้ถวายพระเถระผืนหนึ่ง. ฝ่ายพระเถระจึงได้รับเพราะ

เหตุนั้นเหมือนกัน. บทว่า ธมฺมิยา กถาย ได้แก่กถากล่าวอนุโมทนาวัตถุทาน

บทว่า ภควโต กาย อุปนามิต ได้แก่คล้องไว้โดยทำนองนุ่งห่ม.

แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่งจากคู้ผ้านั้น. บทว่า หตจฺจิก

วิย ความว่า ถ่านเพลิงที่ปราศจากเปลว ย่อมโชติช่วงข้างใน ๆ เท่านั้น แต่

แสงแห่งถ่านเพลิงนั้นไม่มีข้างนอกฉันใด คู่ผ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ปรากฏว่า

ขาดแสงภายนอก.

ถามว่า ในคำว่า อิเมสุ โข อานนฺท ทฺวีสุ กาเลสุ เหตุไร

กายของพระตถาคตจึงบริสุทธิ์อย่างยิ่งอย่างนี้ในกาลทั้ง ๒ นี้. ตอบว่า เพราะ

ความวิเศษแห่งอาหารอย่างหนึ่ง เพราะโสมนัสมีกำลังอย่างหนึ่ง. ในกาลทั้ง ๒

นี้ เหล่าเทวดาในสากลจักรวาล ใส่โอชะลงในอาหาร. ก็โภชนะนั้นตกถึงท้อง

ก็ก่อปสันนรูป. อินทรีย์ที่มีใจเป็นที่ ๖ ก็รุ่งเรืองยิ่งนัก เพราะมีรูปที่มีอาหาร

เป็นสมุฏฐานสดใส. ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ ทรงระลึกว่า กองกิเลสที่เราสั่ง

สมมาหลายแสนโกฏิกัป วันนี้เราละได้แล้วหนอ จึงเกิดโสมนัสมีกำลังขึ้น.

จิตก็ใส. เมื่อจิตใส โลหิตก็ใส. เมื่อโลหิตใส อินทรีย์มีใจเป็นที่ ๖ ก็รุ่งเรือง

อย่างยิ่ง. ในวันปรินิพพาน ทรงรำลึกว่า วันนี้เดี๋ยวนี้ เราจะเข้าไปสู่นคร

อมตมหาปรินิพพาน ที่พระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์เข้าไปแล้ว ดังนี้ จึง

เกิดโสมนัสมีกำลังขึ้น. จิตก็ใส เมื่อจิตใส โลหิตก็ใส เมื่อโลหิตใส อินทรีย์

มีใจเป็นที่ ๖ ก็รุ่งเรืองอย่างยิ่ง. พึงทราบว่า พระวรกายของพระตถาคต

บริสุทธิ์อย่างยิ่ง มีในกาลทั้ง ๒ นี้ ด้วยอาหารและโสมนัสมีกำลังด้วยประการ

ฉะนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 412

บทว่า อุปวตฺตเน ได้แก่ ในสาลวันทรงโค้งด้านทิศตะวันออก.

บทว่า อนฺตเร ยมกสาลาน แปลว่า ระหว่างต้นสาละคู่. คาถาว่า สิงฺคิวณฺณ

เป็นต้น ท่านวางไว้ครั้งสังคายนา. พึงทราบวินิจฉัยในคาถาว่า นฺหาตฺวา จ

ปิวิตฺวา จ เป็นต้นดังต่อไปนี้. ได้ยินว่า ในกาลนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า

ลงสรงสนาน เต่าปลาภายในแม่น้ำ และแนวป่าริมฝั่งทั้ง ๒ ข้าง ทั้งหมดก็มีสี

เป็นทองทั้งนั้น. บทว่า อมฺพวน ได้แก่สวนมะม่วงริมฝั่งแม่น้ำนั้นนั่นแล.

บทว่า อายสฺมนฺต จุนฺทก ความว่า ได้ยินว่า ในขณะนั้น พระอานนทเถระ

บิดผ้าสรงน้ำเหลือไว้. พระจุนทะเถระก็อยู่ในที่ใกล้. พระผู้มีพระภาคตรัส

เรียกพระจุนทะมาแล้ว.

แม้คาถานี้ว่า คนฺตวาน พุทฺโธ นทิก กกุฏ ท่านวางไว้ในคราว

สังคีตินั่นเอง. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปวตฺตา ภควา อิธ ธมฺเม

ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศพระธรรมในศาสนานี้ อธิบายว่า ทรง

ประกาศธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์. บทว่า ปมุเข นิสีทิ ได้แก่ นั่ง

ตรงพระพักตร์พระศาสดา. ก็ด้วยคำเพียงเท่านี้ พระเถระมาถึงแล้ว. ครั้งนั้น

แล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระอานนท์ผู้มาถึงแล้วอย่างนี้.

บทว่า เต อลาภา ได้แก่ ลาภกล่าวคืออานิสงส์ทานเป็นลาภของ

คนอื่น ไม่ใช่ลาภของเธอ. บทว่า ทุลฺลทฺธ ได้แก่ การได้อัตตภาพเป็น

มนุษย์แม้ด้วยบุญวิเศษก็จัดว่าหาได้ยาก. บทว่า ยสฺสเต เท่ากับ ยสฺส ตว

ท่านใด. นอกจากข้าวสารหรือสิ่งเศร้าหมองอย่างยิ่ง ใครจะรู้ได้ พระตถาคต

เสวยบิณฑบาตครั้งหลังแม้เช่นไร แล้วเสด็จปรินิพพาน ทานอย่างใดอย่างหนึ่ง

จักเป็นอันเธอให้แน่แท้. บทว่า ลาภา ได้แก่ เป็นลาภคืออานิสงส์ในการ

ให้ทานที่มีในปัจจุบันหรือเป็นไปในสัมปรายภพ. บทว่า สุลทฺธ ได้แก่ การ

ได้อัตตภาพเป็นมนุษย์ เป็นอันเธอได้มาดีแล้ว. บทว่า สมสมผลา แปลว่า

มีผลเท่า ๆ กันโดยอาการทั้งปวง.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 413

ถามว่า พระตถาคตสรรเสริญบิณฑบาตใด ที่นางสุชาดาถวายแล้ว

ตรัสรู้ บิณฑบาตนั้นพระองค์เสวยในเวลาที่ยังมีราคะ โทสะ และโมหะ แต่

บิณฑบาตนี้ที่นายจุนทะถวายแล้ว พระองค์เสวยในเวลาที่ปราศจากราคะ

โทสะ โมหะ มิใช่หรือ แต่ไฉนบิณฑบาตทั้งสองนี้จึงมีผลเท่า ๆ กัน แก้ว่า

เพราะเสมอกันโดยการปรินิพพาน เสมอกันโดยการเข้าสมาบัติ และเสมอกัน

โดยการระลึกถึง. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยบิณฑบาตที่นางสุชาดา

ถวายแล้ว. เสด็จปรินิพพานด้วยอุปาทิเสสนิพพานธาตุ และเสวยบิณฑบาตที่

นายจุนทะถวายแล้ว เสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ รวมความว่า

มีผลเสมอกันโดยการปรินิพพาน. ก็ในวันที่พระองค์ตรัสรู้ พระองค์ทรงเข้า

สมาบัตินับได้สองล้านสี่แสนโกฏิ แม้ในวันเสด็จปรินิพพาน พระองค์ก็ทรง

เข้าสมาบัติเหล่านั้นทั้งหมด. รวมความว่า มีผลเสมอกันโดยเสมอกันด้วย

สมาบัติ. ในกาลต่อมา นางสุชาดา ได้ทราบว่า เล่ากันมาว่า ผู้ที่เราเห็นนั้น

ไม่ใช่รุกขเทวดา เป็นพระโพธิสัตว์ ได้ยินว่าพระโพธิสัตว์นั้นฉันบิณฑบาต

นั้นแล้ว ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ดำรงอยู่ได้ด้วยบิณฑบาต

นั้น ๗ สัปดาห์. เมื่อนางได้ฟังดังนั้น ก็ระลึกได้ว่า เป็นลาภของเราหนอ

จึงเกิดปีติโสมนัสอย่างแรง. ครั้นต่อมา นายจุนทะได้สดับว่า ได้ยินว่า

บิณฑบาตครั้งสุดท้ายที่เราถวาย เราได้ยอดธรรมแล้ว ได้ยินว่า พระศาสดา

เสวยบิณฑบาตของเราเสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ หวนระลึก

ได้ว่า เป็นลาภของเราหนอ จึงเกิดโสมนัสอย่างแรง พึงทราบว่ามีผลเสมอกัน

แม้โดยการเสมอกันแห่งการระลึกถึงอย่างนี้ด้วยประการฉะนี้.

บทว่า ยสสวตฺตนิก ได้แก่ เป็นไปเพื่อบริวาร. บทว่า อธิป-

เตยฺยสวตฺตนิก ได้แก่ เป็นไปเพื่อความเป็นใหญ่.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 414

บทว่า สญฺมโต ได้แก่ ผู้มีความสำรวมด้วยความสำรวมในศีล.

อธิบายว่า ตั้งอยู่ในสังวร. บทว่า เวร น จียติ ได้แก่ ไม่ก่อเวรห้า. บทว่า

กุสโล จ ชหาติ ปารปก ความว่า ก็บุคคลผู้ฉลาดผู้สมบูรณ์ด้วยปัญญาย่อม

ละบาปอกุศลอันลามก โดยไม่เหลือด้วยอริยมรรค. บทว่า ราคโทสโมหกฺ-

ขยา นิพฺพุโต ความว่า ผู้ฉลาดนั้นละอกุศลอันลามกนี้แล้วนิพพานด้วย

กิเลสนิพพาน เพราะสิ้นกิเลสมีราคะเป็นต้น. ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อ

ทรงพิจารณาเห็นทักษิณาของนายจุนทะและทักขิไณยสมบัติของพระองค์จึงทรง

เปล่งพระอุทาน ด้วยประการดังนี้.

จบกถาพรรณนาจตุตถภาณวาร

ในคำว่า มหตา ภิกฺขุสเฆน สทฺธึ นี้ จำนวนของภิกษุทั้งหลาย

กำหนดแน่ไม่ได้. พอได้ทราบว่า จำเดิมแต่พระองค์ทรงข่มเวทนาที่เวฬุวคาม

ไม่นานนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จักปรินิพพาน บรรดาภิกษุที่มาแต่ที่นั้นๆไม่มี

แม้แต่ภิกษุรูปเดียวที่ชื่อว่าหลีกไป เพราะฉะนั้น พระสงฆ์จึงมีจำนวนนับไม่ได้.

บทว่า อุปวตฺตน มลฺลาน สาลวน ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า

เสด็จจากฝั่งข้างโน้นแห่งแม่น้ำหิรัญวดีสู่สาลวโนทยาน เหมือนออกจากฝั่งแม่น้ำ

กลัมพนที ไปยังถูปารามไปทางประตูวัดของพระราชมารดา. สาลวันนั้นอยู่ที่

กรุงกุสินารา เหมือนถูปารามของกรุงอนุราธปุระ. ทางเข้าพระนครโดยทาง

ประตูทักษิณแต่ถูปาราม บ่ายหน้าไปทางทิศตะวันออก แล้วเลี้ยวไปทางทิศอุดร

ฉันใด สาลวันจากพระราชอุทยานบ่ายหนาไปทางทิศตะวันออกแล้วเลี้ยวไปทาง

ทิศอุดร ฉันนั้น เพราะฉะนั้น สาลวันนั้น ท่านจึงเรียกว่า อุปวัตตนะทางโค้ง.

บทว่า อนฺตเร ยมกสาลาน อุตฺตรสีสก ความว่า ได้ยินว่า ต้น

สาละแถวหนึ่งอยู่ทางหัวพระแท่น แถวหนึ่งอยู่ทางท้ายพระแท่น ในแถวต้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 415

สาละนั้น ต้นสาละรุ่นต้นหนึ่งอยู่ใกล้ทางส่วนพระเศียรต้นหนึ่งอยู่ใกล้พระบาท.

อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวว่า ต้นสาละที่ยืนต้นประชิดกันและกันด้วยรากลำต้น

ค่าคบและใบ ชื่อว่า ยมกสาละ. ด้วยบทว่า มญฺจก ปญฺเปหิ ท่านกล่าวว่า

ได้ยินว่า พระแท่นบรรทมในพระราชอุทยานนั้นมีอยู่ ทรงหมายถึงพระแท่นนั้น

ทรงรับสั่งให้ปู. แม้พระเถระก็จัดพระแท่นนั้นถวาย. บทว่า กิลนฺโตสฺมิ

อานนฺท นิปชฺชิสฺสามิ ความว่า ความจริง ในคำนี้ว่า

ตระกูลช้างชื่อ โคจรี กลาปะ คังเคยยะ ปิงคละ ปัพพเตยยกะ

เหมวตะ ตัมพะ มันทากินี อุโบสถ ฉัททันตะ เป็นที่ครบ ๑๐ เหล่านี้

เป็นยอดของช้างทั้งหลาย กำลังอันใดของพระตถาคต เป็นกำลังเท่ากับ

กำลังของช้างปกติพันโกฏิ โดยนัยเพิ่มด้วยคูณ ๑๐ อย่างนี้ คือกำลังของช้าง

ปกติที่เรียกว่า โคจรี ๑๐ เชือก เท่ากับกำลังของช้างตระกูลกลาปะ ๑ เชือก

เป็นต้น กำลังนั้นทั้งหมด ก็หมดสิ้นไปเหมือนน้ำที่ใส่ลงในหม้อกรองน้ำ ตั้งแต่

เวลาที่เสวยบิณฑบาตของนายจุนทะ ตั้งแต่นครปาวาถึงนครกุสินารา ระยะทาง

๓ คาวุต. ในระหว่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าต้องประทับนั่งพักถึง ๒๕ แห่ง

เสด็จมาด้วยอุตสาหะใหญ่ เสด็จเข้าสาลวันในเวลาเย็นพระอาทิตย์ตก. พระโรค

ก็มาลบล้างความไม่มีโรคเสียสิ้นด้วยประการฉะนี้. เหมือนอย่างทรงแสดงความ

ข้อนี้ เมื่อตรัสพระวาจาให้เกิดความสังเวชแก่สัตว์โลกทั้งปวง จีงตรัสว่า

กิลนฺโตสฺมิ อานนฺท นิปชฺชิสฺสามิ อานนท์ ตถาคตลำบากนัก จักนอน

ละดังนี้.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงเสด็จมาในที่นี้ด้วย

อุตสาหะใหญ่ ไม่อาจไปปรินิพพานในที่อื่นหรือ. ตอบว่า ไม่อาจไปปริพพาน

ในที่อื่นที่หามิได้ แต่เสด็จมาในที่นี้ด้วยเหตุ ๓ ประการ. จริงอยู่ พระผู้มี

พระภาคเจ้าทรงทราบความข้อนี้ว่า เมื่อเราตถาคตปรินิพพานเสียในที่อื่น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 416

อัตถุปปัตติ เหตุเกิดเรื่องของมหาสุทัสสนสูตรจักไม่มี แต่เมื่อปรินิพพานใน

นครกุสินารา ตลอดจนแสดงสมบัติที่ตถาคตพึงเสวยในเทวโลก ซึ่งเสวยแล้ว

ในมนุษยโลก ประดับด้วยภาณวาร ๒ ภาณวาร ชนเป็นอันมากฟังธรรมของ

ตถาคตแล้ว จักสำคัญกุศลว่าควรกระทำ. อนึ่ง ทรงเห็นความข้ออื่นอีกว่า

เมื่อตถาคตปรินิพพานเสียในที่อื่น สุภัททะจักไม่ได้เข้าเฝ้า ด้วยสุภัททะนั้น

เป็นเวไนยของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นเวไนยของพระสาวก สาวกทั้งหลายไม่

อาจแนะนำสุภัททะนั้นได้. แต่ตถาคตปรินิพพานเสียที่นครกุสินารา สุภัททะนั้น

ก็จักเข้าเฝ้าถามปัญหาได้ และที่สุดการตอบปัญหาเขาก็จักตั้งอยู่ในสรณะ ได้

บรรพชาอุปสมบทในสำนักเรา รับกัมมัฏฐานแล้วจักบรรลุพระอรหัตเป็น

ปัจฉิมสาวก ต่อเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่. ทรงเห็นความอีกข้อหนึ่งว่า เมื่อเราตถาคต

ปรินิพพานเสียในที่อื่น จะเกิดทะเลาะวิวาทกันยกใหญ่ในเวลาแจกพระธาตุ

แม่น้ำก็จะหลั่งไหลเป็นสายเลือด แต่เมื่อเราตถาคตปรินิพพานเสียที่นครกุสินารา

โทณพราหมณ์จักระงับการวิวาทนั้นแล้วแจกพระธาตุทั้งหลาย. พึงทราบว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาในที่นี้ด้วยพระอุตสาหะใหญ่อย่างนี้ ก็ด้วยเหตุ ๓

ประการนี้.

ในคำว่า สีหเสยฺย มีเสยยา การนอน ๔ คือ กามโภคิเสยยา

เปตเสยยา สีหเสยยา ตถาคตเสยยา.

ในเสยยาทั้ง ๔ นั้น เสยยาที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์

ผู้บริโภคกาม โดยมากนอนตะแคงซ้าย นี้ชื่อว่า กามโภคิเสยยา ด้วยว่าสัตว์

ผู้บริโภคกาม ชื่อว่านอนตะแคงขวาโดยมากไม่มี.

เสยฺยา ที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยมากพวกเปรตนอนหงาย

นี้ชื่อว่าเปตเสยยา ด้วยว่า เพราะมีเนื้อและเลือดน้อย พวกเปรตถูกร่างกระดูก

รั้งไว้ ไม่อาจนอนตะแคงข้างเดียวได้ จึงนอนหงายอย่างเดียว.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 417

เสยยาที่ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ราชสีห์ ราชาแห่งมฤค

นอนตะแคงขวา ฯลฯ มีใจยินดี นี้ชื่อว่าสีหเสยยา. ด้วยว่าเพราะเป็นสัตว์มี

อำนาจมาก สีหะ ราชาแห่งมฤค นอนวาง ๒ เท้าหน้าไว้ที่หนึ่ง วาง ๒ เท้าหลัง

ไว้ที่หนึ่ง สอดหางไว้ที่โคนขา กำหนดที่วางเท้าหน้าหลังและหางไว้ วางศีรษะ

ไว้เหนือ ๒ เท้าหน้า แม้นอนกลางวัน เมื่อตื่นก็ไม่สะดุ้งตื่น แต่ชะเง้อศีรษะ

สำรวจที่วางเท้าหน้าเป็นต้น ถ้าวางผิดที่หน่อยหนึ่ง ก็เสียใจว่า นี่ไม่เหมาะแก่

ชาติและความแกล้วกล้าของเจ้า ก็นอนเสียในที่นั้นนั่นแหละไม่ออกล่าเหยื่อ แต่

เมื่อวางไม่ผิดที่ก็จะดีใจว่า นี้เหมาะแก่ชาติและความแกล้วกล้าของเจ้า แล้วลุก

ขึ้นสะบัดแบบราชสีห์ สลัดสร้อยคอ แผดสีหนาท ๓ ครั้ง แล้วออกล่าเหยื่อ.

ส่วนไสยาในฌานที่ ๔ ท่านเรียกว่า ตถาคตไสยา ในไสยาเหล่านั้น

ในที่นี้มาแต่สีหเสยยา ด้วยว่า สีหไสยานี้เป็นยอดไสยา เพราะเป็นอิริยาบถ

มากด้วยอำนาจ.

บทว่า ปาเทน ปาท ได้แก่เอาเท้าซ้ายทับเท้าขวา. บทว่า อจฺจา-

ธาย ได้แก่ เหลื่อมกันคือวางเลยกันไปเล็กน้อย. เมื่อเอาข้อเท้าทับข้อเท้า

หรือเอาเข่าทับเข่า จะเกิดเวทนาขึ้นเนืองนิตย์ จิตจะไม่มีอารมณ์เป็นหนึ่ง

การนอนไม่สบาย แต่เมื่อวางเหลื่อมกัน โดยไม่ให้ทับกันเวทนาจะไม่เกิด

จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง การนอนจะสบาย เพราะฉะนั้น จึงนอนอย่างนี้. แต่ใน

ที่นี้เพราะทรงเข้าถึงอนุฎฐานไสยา ท่านจึงไม่กล่าวว่า ทรงมนสิการถึงอุฏฐาน

สัญญา. ก็ในที่นี้ พึงทราบอนุฏฐาน การไม่ลุกขึ้นด้วยอำนาจพระวรกาย. แต่พระ

ผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงมีโอกาสแห่งภวังคจิตม่อยหลับตลอดราตรีนั้นเลย จริง

อยู่ ในปฐมยาม ได้มีการแสดงธรรมโปรดเหล่าเจ้ามัลละ ในมัชฌิมยาม โปรด

สุภัททะ. ในปัจฉิมยามทรงโอวาทภิกษุสงฆ์ ในเวลาใกล้รุ่งเสด็จปรินิพพาน.

บทว่า สพฺพผาลิผุลฺลา ความว่า ต้นสาละทั้งคู่บานสะพรั่งดารดาษไป

ตั้งแต่โคนต้นจนถึงยอดมิใช่มีต้นสาละทั้งคู่อย่างเดียวเท่านั้น ต้นไม้แม้ทั้งหมด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 418

ก็ผลิตดอกออกสะพรั่งเหมือนกันไปหมด. มิใช่แต่ในสวนนั้นอย่างเดียวเท่านั้น

แม้ในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้น ไม้ดอกก็ผลิดอก ไม้ผลก็ออกผล. ในลำต้นของ

ต้นไม้ทุกต้นมีขันธปทุมบานที่ลำต้น สาขาปทุมบานที่กิ่งทั้งหลาย วัลลิปทุม

บานที่เถาว์ อากาสปทุมบานที่อากาศ ทัณฑปทุมแทรกพื้นแผ่นดินขึ้นมาบาน.

มหาสมุทรทั้งหมดดารดาษไปด้วยบัว ๕ สี ป่าหิมพานต์กว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์

ได้เป็นที่รื่นรมย์ยิ่งนัก เหมือนลำแพนหางนกยูงที่มัดติดกันเป็นพืด เหมือนพวง

และช่อดอกไม้ติดกันไม่มีระหว่าง เหมือนดอกไม้ประดับศีรษะ ที่ผูกเบียดกัน

เป็นอันดี และเหมือนผอบที่มีดอกไม้เต็ม. บทว่า เต ตถาคตสฺส สรีร

โอกิรนฺติ สาละคู่เหล่านั้น ถูกภุมมเทวดาเขย่าต้นกิ่งและด่าคบ โปรยลงสู่

พระสรีระของพระตถาคต คือโรยดอกลงบนพระสรีระ. บทว่า อชฺโชกิรนฺติ

หล่นเกลื่อนดังประหนึ่งจะท่วม. บทว่า อภิปฺปกิรนฺติ ได้แก่ หล่นเกลื่อน

เนือง ๆ คือบ่อย ๆ.

บทว่า ทิพฺพานิ ได้แก่ ที่เกิด ณ นันทโปกขรณี ดอกมณฑารพ

เหล่านั้น มีสีดั่งทอง มีใบประมาณเท่าฉัตรใบไม้. ติดเรณูประมาณทะนานใหญ่

มิใช่ดอกมณฑารพอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นทิพย์ แม้อย่างอื่นก็เป็นทิพย์ เช่น

ดอกปาริฉัตรและดอกทองหลางเป็นต้น บรรจุผอบทองเต็ม อันเทวดาผู้อยู่ที่ขอบ

ปากจักรวาลก็ดี ชั้นไตรทศก็ดี ในพรหมโลกก็ดี นำเข้าไปย่อมตกลงจากอวกาศ.

บทว่า ตถาคตสฺส สรีร ความว่า ไม่กระจัดกระจายเสียในระหว่าง

มาโปรยปรายเฉพาะพระสรีระของพระตถาคตด้วยกลีบเกษรและละอองเรณู.

บทว่า ทิพฺพานิปิ จนฺทนจุณณานิ ได้แก่ ผงจันทน์ ที่สำเร็จรูป

ของเหล่าเทวดา. มิใช่ผงจันทน์ที่สำเร็จรูปของเทวดาเท่านั้น เป็นของนาค

สุบรรณและมนุษย์ด้วย. มิใช่ผงจันทน์อย่างเดียวเท่านั้น ยังมีผงคันธชาตอัน

เป็นทิพย์ทั้งหมดเช่น กฤษณาและจันทน์แดงเป็นต้น ผงหรดาลแร่พลวงเงิน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 419

และทอง ชนิดที่อบด้วยกลิ่นทิพย์ทั้งหมดบรรจุเต็มหีบเงินและทองเป็นต้น

ที่เทวดาผู้อยู่ ณ ขอบปากจักรวาลเป็นต้น นำเข้าไปไม่เรี่ยราดเสียในระหว่าง

โปรยลงสู่พระสรีระของพระตถาคตเหมือนกัน.

บทว่า ทิพฺพานิปิ ตุริยานิ ได้แก่ดุริยางค์สำเร็จของเหล่าเทวดา.

มิใช่ดุริยางค์เหล่านั้นอย่างเดียว ยังมีดุริยางค์ของเหล่าเทวดาในหมื่นจักรวาล

และนาค ครุฑ มนุษย์ ต่างโดยชนิดขึงสาย หุ้มหนัง ทึบ และโพรง ทุก

ชนิด พึงทราบว่าประชุมกันในจักรวาลอันเดียว บรรเลงกันในอากาศ.

บทว่า ทิพฺพานิปิ สงฺคีตานิ ความว่า ได้ยินว่า เหล่าเทวดาผู้มี

อายุยืน ชื่อว่า วรุณ เทพวารุณ เหล่านั้น ทราบว่า พระมหาบุรุษบังเกิดใน

ถิ่นมนุษย์ จักเป็นพระพุทธเจ้า แล้วเริ่มร้อยมาลัยด้วยหมายใจว่าจักถือไปใน

วันปฏิสนธิ. และเทวดานั้น กำลังร้อยมาลัย ทราบว่า พระมหาบุรุษบังเกิด

ในครรภ์ของมารดา ถูกถามว่า พวกท่านร้อยมาลัยเพื่อใคร ตอบว่า ยังไม่

เสร็จ แล้วบอกว่า พวกเราร้อยเสร็จแล้วจักเอาไปในวันเสด็จออกจากพระ

ครรภ์ แล้วทราบว่าออกเสียแล้ว คิดว่า จะไปในวันเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์

ทราบแม้ว่า พระมหาบุรุษทรงครองเรือน ๒๙ พรรษาแล้ววันนี้ ก็เสด็จออก

มหาภิเนษกรมณ์เสียแล้ว คิดว่าจักไปในวันตรัสรู้ ก็ทราบว่าทรงทำความเพียร

ใหญ่ตลอด ๖ พรรษา วันนี้ก็ตรัสรู้เสียแล้ว คิดว่าจักไปในวันประกาศธรรมจักร

ทราบแม้อีกว่าประทับที่โพธิมัณฑสถาน ๗ สัปดาห์ เสด็จไปยังอิสิปตนมฤค-

ทายวัน ประกาศพระธรรมจักร คิดว่าจักไปวันทรงแสดงยมกปาฏิหารย์ ก็ทราบ

ว่าวันนี้ ทรงทำยมกปาฏิหารย์เสียแล้ว คิดว่า จักไปในวันเสด็จลงจากเทวโลก

ทราบว่าวันนี้ก็เสด็จลงจากเทวโลกเสียแล้ว คิดว่าจักไปวันทรงปลงอายุสังขาร

ทราบว่าวันนี้ ก็ทรงปลงอายุสังขารเสียแล้ว คิดว่ายังทำไม่เสร็จ ก็จักไปในวัน

ปรินิพพาน ทราบว่าวันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าบรรทมสีหไสยาตะแคงขวา ณ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 420

ระหว่างสาละคู่ มีพระสติสัมปชัญญะ จักปรินิพพานเวลาจวนรุ่ง แต่แว่วเสียง

ถามว่า พวกท่านร้อยมาลัยเพื่อใคร กล่าวว่า นี่อะไรกันหนอ วันนี้นี่เอง พระ-

มหาบุรุษทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระมารดา วันนี้ก็ออกจากพระครรภ์

ของมารดา วันนี้ก็เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ วันนี้ก็เป็นพระพุทธเจ้า วันนี้ก็

ประกาศพระธรรมจักร วันนี้ก็แสดงยมกปาฏิหาริย์ วันนี้ก็เสด็จลงจากเทวโลก

วันนี้ก็ทรงปลงอายุสังขาร ทราบว่า วันนี้ก็จักเสด็จปรินิพพาน พระองค์พึงทรง

ดำรงอยู่ชั่วดื่มยาคู ในวันที่ ๒ หรือไม่หนอ ข้อนี้ไม่สมควรแก่พระองค์ ผู้ทรง

บำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ แล้วบรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า จำเราจักถือเอาพวง

มาลัยที่ยังไม่เสร็จมา เมื่อไม่ได้โอกาสภายในจักรวาล ก็จักคล้องที่ขอบปาก

จักรวาลวิ่งแล่นไปตามขอบปากจักรวาล เอาหัตถ์เกี่ยวหัตถ์เรียงศอสลอน ขับ

กล่อมปรารภพระรัตนตรัย ปรารภมหาปุริสลักษณะ ๓๒ พระฉัพพัณรังสี

ทสบารมี ชาดก ๕๕๐ พระพุทธญาณ ๑๔ ในที่สุดแห่งพระพุทธคุณนั้น ๆ ก็

ต้องละไป ๆ. ท่านอาศัยสังคีตะนั้น จึงกล่าวคำนี้ว่า ทิพฺพานิปิ สงฺคีตานิ

อนฺตลิกฺเข วชฺชนฺติ ตถาคตสฺส ปูชาย ทั้งสังคีตที่เป็นทิพย์ ก็บรรเลง

ในอากาศ เพื่อบูชาพระตถาคต ดังนี้.

ก็แล พระผู้มีพระภาคเจ้า บรรทมตะแคงข้างขวา ระหว่างต้นสาละคู่

ทรงเห็นความอุตสาหะอย่างใหญ่ ของบริษัทที่ประชุมกันตั้งแต่ปฐพีจดขอบปาก

จักรวาล และตั้งแต่ขอบปากจักรวาลจดพรหมโลก จึงตรัสบอกท่านพระอานนท์.

ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถโข ภควา อายสฺมนฺต อานนฺท ฯเปฯ

ตถาคคสฺส ปูชาย. ครั้นทรงแสดงมหาสักการะอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดง

ความที่พระองค์เป็นผู้อันบริษัทไม่สักการะด้วยมหาสักการะแม้นั้น จึงตรัสว่า

น โข อานนฺท เอตฺตาวตา เป็นต้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 421

ท่านอธิบายไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนอานนท์ เราตถาคตหมอบอยู่แทบบาท

มูลของพระพุทธเจ้าพระนามว่าทีปังกร ประชุมธรรม ๘ ประการ เมื่อจะ

กระทำอภินิหาร มิใช่กระทำอภินิหาร เพื่อประโยชน์แก่พวงมาลัยของหอม

และดุริยางค์สังคีต มิใช่บำเพ็ญบารมีทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่สิ่งเหล่านั้น

เพราะฉะนั้น เราตถาคตไม่ชื่อว่า เขาบูชาแล้วด้วยการบูชาอันนี้เลย.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญวิบาก ที่แม้

พระพุทธญาณก็กำหนดไม่ได้ของการบูชา ที่บุคคลถือเพียงดอกฝ้ายดอกเดียว

ระลึกถึงพระพุทธคุณบูชาแล้วไว้ในที่อื่น ในที่นี้กลับทรงคัดค้านการบูชาใหญ่

อย่างนี้. ตอบว่า เพราะเพื่อจะทรงอนุเคราะห์บริษัทอย่างหนึ่ง เพื่อประสงค์

จะให้พระศาสนาดำรงยั่งยืนอย่างหนึ่ง.

จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่พึงคัดค้านอย่างนั้นไซร้ ต่อไปใน

อนาคต พุทธบริษัทก็ไม่ต้องบำเพ็ญศีลในฐานะที่ศีลมาถึง จักไม่ให้สมาธิ

บริบูรณ์ในฐานะที่สมาธิมาถึง ไม่ให้ถือห้องคือวิปัสสนาในฐานะที่วิปัสสนา

มาถึง ชักชวนแล้วชักชวนอีก ซึ่งอุปัฏฐากกระทำการบูชาอย่างเดียวอยู่. จริงอยู่

ชื่อว่าอามิสบูชานั้น ไม่สามารถจะดำรงพระศาสนาแม้ในวันหนึ่งบ้าง แม้ชั่วดื่ม

ข้าวยาคูครั้งหนึ่งบ้าง. จริงอยู่ วิหารพันแห่งเช่นมหาวิหาร เจดีย์พันเจดีย์ เช่น

มหาเจดีย์ ก็ดำรงพระศาสนาไว้ไม่ได้. บุญูผู้ใด ทำไว้ก็เป็นของผู้นั้นผู้เดียว.

ส่วนสัมมาปฏิบัติ ชื่อว่าเป็นบูชาที่สมควรแก่พระตถาคต. เป็นความจริงปฏิบัติ

บูชานั้นชื่อว่าดำรงอยู่แล้ว สามารถดำรงพระศาสนาไว้ได้ด้วย เพราะฉะนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงปฏิบัติบูชานั้น จึงตรัสว่า โย โข อานนฺท

เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธมฺมานุธมฺมปฏิปนฺโน ได้แก่ ปฏิบัติ

ปุพพภาคปฏิปทา อันเป็นธรรมสมควร. ก็ปฏิปทานั่นแล ท่านเรียกว่าสามีจิ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 422

ชอบยิ่ง เพราะเป็นปฏิปทาอันสมควร. ชื่อว่า สามีจิปฏิปนฺโน เพราะปฏิบัติ

ธรรมอันชอบยิ่ง. ชื่อว่า อนุธมฺมจารี เพราะประพฤติบำเพ็ญธรรมอันสมควร

กล่าวคือ บุพพภาคปฏิปทานั้นนั่นแล. ก็ศีล อาจารบัญญัติการสมาทานธุดงค์

สัมมาปทาถึงโคตรภูญาณ พึงทราบว่า ปุพพภาคปฏิปทา. เพราะฉะนั้น ภิกษุ

ตั้งอยู่ในอคารวะ ๖ ละเมิดพระบัญญัติ เลี้ยงชีวิตด้วยอเนสนา ภิกษุนี้ชื่อว่า

ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ส่วนภิกษุใดไม่ละเมิดสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้วแก่ตน

ทั้งหมดที่ขีดคั่นเขตแดนและเส้นบรรทัดของพระชินเจ้าแม้มีประมาณน้อย

ภิกษุนี้ ชื่อว่าปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม. แม้ในภิกษุณี ก็นัยนี้เหมือนกัน.

ก็อุบาสกใดยึดเวร ๕ อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประพฤติไว้แนบแน่น อุบาสกนี้ชื่อว่า

ไม่ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม. ส่วนอุบาสกปฏิบัติให้สมบูรณ์ในสรณะ ๓

ศีล ๕ ศีล ๑๐ รักษาอุโบสถเดือนละ ๘ ครั้ง ถวายทาน บูชาด้วยของหอม

บูชาด้วยมาลา บำรุงมารดาบิดา บำรุงสมณพราหมณ์ อุบาสกผู้นี้ ชื่อว่าเป็น

ผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม แม้ในอุบาสิกา ก็นัยนี้เหมือนกัน.

บทว่า ปรมาย ปูชาย แปลว่า ด้วยบูชาสูงสุด. พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงแสดงไว้ว่า แท้จริง ชื่อว่า นิรามิสบูชานี้ สามารถดำรงพระศาสนาของเรา

ไว้ได้. จริงอยู่ บริษัท ๔ นี้จักบูชาเราด้วยการบูชานี้ เพียงใด ศาสนาของเราก็จะ

รุ่งเรืองดุจจันทร์เพ็ญลอยเด่นกลางท้องฟ้าฉะนั้น.

บทว่า อปสาเทสิ แปลว่า จงออกไป. บทว่า อเปหิ แปลว่า จง

หลีกไป. ด้วยพระดำรัสคำเดียวเท่านั้น พระเถระก็วางพัดใบตาลแล้วยืน ณ

ส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงหมายเอาความที่พระองค์ไม่มีอุปัฏฐาก

ประจำในปฐมโพธิกาลจึงตรัสคำนี้ว่า อุปฏฺาโก เป็นต้น. เมื่อพระเถระทูล

อย่างนี้ว่า นี้ท่านอุปวาณะเจ้าข้า. พระอานนท์กำหนดความที่พระอุปวาณะมี

ความผิดว่า เอาเถอะ เราจักกราบทูลความที่พระอุปวาณะนั้นไม่มีความผิด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 423

พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เยภุยฺเยน อานนฺท เป็นต้น. บรรดาคำเหล่านั้น

คำว่า เยถุยฺเยน นี้ ท่านกล่าวหมายเอาอสัญญีสัตว์และอรูปเทวดาถูกเมินเฉย.

บทว่า อปฺผุโฏ ได้แก่ ไม่สัมผัส หรือไม่แตะต้อง.

ได้ยินว่า ในส่วนที่ใกล้ชิดพระผู้มีพระภาคเจ้า เทวดาผู้มีศักดาใหญ่

เนรมิตอัตตภาพอันละเอียดในโอกาสเท่าปลายขนทราย ๑๐ องค์ๆ. ข้างหน้าแห่ง

เทวดา ๑๐ องค์ ๆ นั้น มีเทวดา ๒๐ องค์ ๆ. ข้างหน้าเทวดา ๒๐ องค์ ๆ

มีเทวดา ๓๐ องค์ ๆ ข้างหน้าเทวดา ๓๐ องค์ ๆ มีเทวดา ๔๐ องค์ ๆ ข้างหน้า

เทวดา ๔๐ องค์ ๆ มีเทวดา ๕๐ องค์ๆ ข้างหน้าเทวดา ๕๐ องค์ ๆ มีเทวดา

ยืนเฝ้าอยู่ ๖๐ องค์ ๆ เทวดาเหล่านั้นไม่เบียดกันและกันด้วยมือเท้าหรือผ้า. ไม่

มีเหตุที่จะพึงกล่าวว่า ออกไปอย่าเบียดเสียดเรา. เทวดาทั้งหลายก็เป็นเช่น

กับที่ตรัสไว้ว่า สารีบุตร เทวดาเหล่านั้นแล ๑๐ องค์บ้าง ๒๐ องค์บ้าง ๓๐

องค์บ้าง ๔๐ องค์บ้าง ๕๐ องค์บ้าง ๖๐ องค์บ้าง ยืนในโอกาสแม้เพียงปลาย

เหล็กแหลมจรดกัน ไม่เบียดซึ่งกันและกันเลย.

บทว่า โอธาเรนฺโต แปลว่า ยืนบัง. ได้ยินว่า พระเถระร่างใหญ่

เช่นกับลูกช้าง ห่มผ้าบังสุกุลจีวร ก็ดูเหมือนใหญ่มาก.

บทว่า ตถาคตสฺส ทสฺสนาย ความว่า เทวดาทั้งหลาย เมื่อไม่

ได้เห็นพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงติเตียนอย่างนี้. ถามว่า ก็เทวดาเหล่านั้น

ไม่สามารถมองทะลุพระเถระหรือ. ตอบว่า ไม่สามารถสิ. ด้วยว่า เหล่าเทวดา

สามารถมองทะลุเหล่าปุถุชนได้ แต่มองทะลุเหล่าพระขีณาสพไม่ได้ ทั้งไม่อาจ

เข้าไปใกล้ด้วย. เพราะพระเถระมีอานุภาพมาก มีอำนาจมาก. ถามว่า ก็เพราะ

เหตุไรพระเถระจึงมีอำนาจมาก ผู้อื่นไม่เป็นพระอรหันต์หรือ. ตอบว่า เพราะ

ท่านเป็นอารักขเทวดาในเจดีย์ของพระกัสสปพุทธเจ้าอยู่. เล่ากันว่า เมื่อพระ-

วิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว ชนทั้งหลายได้พากันสร้างพระเจดีย์

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 424

องค์หนึ่ง บรรจุพระสารีริกธาตุสรีระอันเป็นเช่นกับแท่งทองคำทึบ. จริงอยู่

พระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืน ย่อมมีพระเจดีย์องค์เดียวเท่านั้น คนทั้งหลาย

ใช้แผ่นอิฐทองยาว ๑ ศอก กว้างหนึ่งคืบ หนา ๘ นิ้ว ก่อพระเจดีย์นั้น

ประสานด้วยหรดาลและมโนศิลาแทนดิน ชะโลมด้วยน้ำมันงาแทนน้ำ แล้ว

สถาปนาประมาณโยชน์หนึ่ง. ต่อนั้น ภุมมเทวดาก็โยชน์หนึ่ง จากนั้น ก็

อาสัฏฐกเทวดา จากนั้น ก็อุณหวลาหกเทวดา จากนั้น ก็อัพภวลาหกเทวดา

จากนั้น ก็เทวดาชั้นจาตุมมหาราช จากนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์สถาปนาโยชน์

หนึ่ง. พระเจดีย์จึงมี ๗ โยชน์ ด้วยประการฉะนี้.

เมื่อผู้คนถือเอามาลัยของหอมและผ้าเป็นต้นมา อารักขเทวดาทั้งหลาย

ก็พากันถือดอกไม้มาบูชาพระเจดีย์ทั้งที่ผู้คนเหล่านั้นเห็นอยู่. ครั้งนั้น พระ

เถระนี้เป็นพราหมณ์มหาศาล ถือผ้าเหลืองผืนหนึ่งไป. เทวดาก็รับผ้าจากมือ

พราหมณ์นั้นไปบูชาพระเจดีย์. พราหมณ์เห็นดังนั้น ก็มีจิตเลื่อมใสตั้งความ

ปรารถนาว่า ในอนาคตกาล แม้เราก็จักเป็นอารักขเทวดาในพระเจดีย์ของ

พระพุทธเจ้า เห็นปานนี้ ดังนี้แล้ว จุติ จากอัตภาพนั้น ก็ไปบังเกิดใน

เทวโลก. เมื่อพราหมณ์นั้นท่องเที่ยวอยู่ในมนุษยโลกและเทวโลก พระกัสสปะ

ผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จอุบัติในโลกแล้วปรินิพพาน. พระธาตุสรีระของพระองค์

ก็มีแห่งเดียวเท่านั้น. ผู้คนทั้งหลายนำพระธาตุสรีระนั้น สร้างพระเจดีย์โยชน์

หนึ่ง. พราหมณ์เป็นอารักขเทวดาในพระเจดีย์นั้น เมื่อพระศาสดาอันตรธาน

ไป. ก็บังเกิดในสวรรค์ในกาลของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราจุติจากสวรรค์นั้น

แล้ว ถือปฏิสนธิในตระกูลใหญ่ ออกบวชแล้ว บรรลุพระอรหัต. พึงทราบ

พระเถระมีอำนาจมากเพราะเป็นอารักขเทวดาในพระเจดีย์มาแล้ว ด้วยประการ

ฉะนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 425

ด้วยบทว่า เทวตา อานนฺท อุชฺฌายนฺติ พระผู้มีพระภาคเจ้า

ทรงแสดงว่า ดูก่อนอานนท์ เหล่าเทวดาติเตียน มิใช่บุตรเรามีความผิดอะไรอื่น.

เพราะเหตุไร ท่านพระอานนท์ จึงทูลว่า พระเจ้าข้า เหล่าเทวดาเป็นอย่างไร

จึงใส่ใจ. ทูลถามว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์ตรัสว่า เหล่าเทวดา

ติเตียน ก็เหล่าเทวดานั้นเป็นอย่างไร จึงใส่ใจพระองค์จะยับยั้งการปรินิพพาน

ของพระองค์หรือ. เมื่อเป็นดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงภาวะที่

เหล่าเทวดาเหล่านั้นยับยั้งไม่ได้ว่า เราไม่กล่าวเหตุแห่งการยับยั้ง จึงตรัสว่า

สนฺตานนฺท เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อากาเส ปวีสญฺนิโย ได้แก่ เนรมิต

แผ่นดินในอากาศมีความสำคัญในอากาศนั้นว่าเป็นแผ่นดิน. บทว่า กนฺทนติ

แปลว่า ร้องไห้. บทว่า ฉินฺนปาท วิย ปปตนฺติ ได้แก่ ล้มฟาดลงดังขาด

กลางตัว. บทว่า วิวฏฺฏนฺติ ได้แก่ ล้มลงกลิ้งไป. อีกอย่างหนึ่ง ล้มกลิ้งไป

ข้างหน้าที ข้างหลังที ข้างซ้ายที ข้างขวาที เรียกกันว่ากลิ้งเกลือก. บทว่า

สนฺตานนฺท เทวตา ปวีย ปวีสญฺนิโย ความว่า ได้ยินว่า เหล่าเทวดา

ไม่อาจทรงตัวอยู่ได้ เหนือแผ่นดินปกติ. เหล่าเทวดาย่อมจมลงในแผ่นดินนั้น

เหมือนหัตถกพรหม. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนหัตถกะ

ท่านจงเนรมิตอัตภาพอย่างหยาบ. เพราะฉะนั้น ท่านหมายเอาเหล่าเทวดาที่

เนรมิตแผ่นดินในแผ่นดิน จงกล่าวว่า เหล่าเทวดามีความสำคัญในแผ่นดินว่า

เป็นแผ่นดิน. บทว่า วีตราคา ได้แก่ เหล่าเทวดาที่เป็นพระอนาคามีและ

ขีณาสพที่มีโทมนัสอันละได้แล้วเช่นเดียวกับเสาหิน.

บทว่า วสฺส วุฏฺา ความว่า ได้ยินว่า ครั้งพุทธกาล ภิกษุประชุมกัน

๒ เวลา คือ จวนเข้าพรรษาเพื่อรับกัมมัฏฐาน ๑ ออกพรรษาแล้วเพื่อบอก

กล่าวคุณวิเศษที่บังเกิดเพราะการประกอบเนืองๆซึ่งพระกัมมัฏฐานที่รับมาแล้ว ๑.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 426

ครั้งพระพุทธกาลฉันใด แม้ในเกาะสีหลก็ฉันนั้น. ภิกษุที่อยู่ฝั่งแม่น้ำคงคาข้าง

โน้นประชุมกันที่โลหประสาท ภิกษุที่อยู่ฝั่งแม่น้ำคงคาอีกฝั่งหนึ่ง ก็ประชุมกัน

ที่ติสสมหาวิหาร. ในภิกษุ ๒ พวกนั้น ภิกษุพวกที่อยู่ฝั่งแม่น้ำคงคาฝั่งโน้น

ถือเอาไม้กวาดสำหรับกวาดขยะทิ้งแล้วประชุมกันที่มหาวิหาร โบกปูนพระเจดีย์

ออกพรรษาแล้วก็มาประชุมกันที่โลหประสาท ทำวัตรอยู่ในที่อันผาสุก ออก

พรรษาแล้วก็มาสวดบาลีและอรรถกถาที่ตนช่ำชองแล้วที่โรงเรียนนิกายทั้ง ๕

ในโลหปราสาท. พิจารณาถึงภิกษุที่เรียนบาลีหรืออรรถกถาผิดพลาด ว่าท่าน

เรียนในสำนักใครให้ยึดถือไว้ให้ตรง. ฝ่ายภิกษุที่อยู่ในแม่น้ำคงคาอีกฝ่ายหนึ่ง

ก็ประชุมกันในติสสมหาวิหาร บรรดาภิกษุที่ประชุม ๒ เวลาอย่างนี้ ภิกษุ

เหล่าใดเรียนกัมมัฏฐานก่อนเข้าพรรษาไปแล้วกลับมาบอกคุณวิเศษ ท่านหมาย

เอาภิกษุเห็นปานนั้นจึงกล่าวว่า ปุพฺเพ ภนฺเต วสฺส วุตฺถา เป็นต้น.

บทว่า มโนภาวนีเย ได้แก่ให้เจริญแล้วอบรมแล้วด้วยใจ อธิบายว่า

ภิกษุเหล่าใดเจริญเพิ่มพูนมโนมนะ ลอยกิเลสดุจธุลีมีราคะเป็นต้นเสีย ภิกษุ

เห็นปานนั้น. ได้ยินว่า พระเถระถึงพร้อมด้วยวัตรพบภิกษุแก่ก็แข็งไม่ยอมนั่ง

ออกไปต้อนรับ รับร่ม บาตรจีวรและเคาะตั่งถวาย เมื่อท่านนั่งในที่นั้นแล้ว

ก็ทำวัตรจัดเสนาสนะถวาย พบภิกษุใหม่ก็นิ่งยังไม่นั่ง เข้าไปหาใกล้ ๆ พระ-

เถระนั้นปราศจากความไม่เสื่อมแห่งวัตรปฏิบัตินั้น จึงได้กล่าวอย่างนี้. ครั้งนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระดำริว่า อานนท์ คิดว่าเราจักไม่ได้พบภิกษุที่น่า

เจริญใจ เอาเถอะ เราจักบอกสถานที่จะพบภิกษุผู้น่าเจริญใจแก่เธอ ที่เธอ

อยู่ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา ก็จักได้พบเหล่าภิกษุที่น่าเจริญใจได้ ดังนี้ แล้วจึง

ตรัสว่า จตฺตาริมานิ เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สทฺธสฺส ความว่า วัตรทั้งหมดมีเจติยัง-

คณวัตร เป็นต้น ที่เธอทำตั้งแต่เช้าย่อมปรากฏแก่กุลบุตรผู้มีจิตเลื่อมใสใน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 427

พระพุทธเจ้าเป็นต้น ผู้สมบูรณ์ด้วยวัตร. บทว่า ทสฺสนียานิ ได้แก่ ควรจะ

เห็น คือ ควรไปเพื่อจะเห็น. บทว่า สเวชนียานิ ได้แก่ ให้เกิดสลดใจ. บทว่า

านานิ ได้แก่เหตุหรือถิ่นสถาน. คำว่า เย หิ เกจิ นี้ ท่านกล่าวเพื่อแสดง

ถึงการจาริกไปในเจดีย์มีประโยชน์. บรรดาบทเหล่านั้นด้วยบทว่า เจติยจาริก

อาหิณฺฑนฺตา ท่านแสดงว่าก่อนอื่นภิกษุเหล่าใด กวาดลานพระเจดีย์ในที่นั้นๆ

ชำระอาสนะ รดน้ำที่ต้นโพธิ์แล้วเที่ยวไป ในภิกษุเหล่านั้นไม่จำต้องกล่าวถึง

เลย. เหล่าภิกษุที่ออกไปจากวัดด้วยคิดว่า จักไปไหว้พระเจดีย์ในวัดโน้น มีจิต

เลื่อมใส แม้กระทำกาละในระหว่างๆก็จักบังเกิดในสวรรค์โดยไม่มีอันตรายเลย.

ด้วยบทว่า อทสฺสน อานนฺท ทรงแสดงว่า การไม่เห็นมาตุคามเสีย

ได้เลย เป็นข้อปฏิบัติธรรมอันสมควรในข้อนี้ จริงอยู่ ภิกษุเปิดประตูนั่งบน

เสนาสนะ ตราบใดที่ไม่เห็นมาตุคามที่มายืนอยู่ที่ประตู ตราบนั้น ภิกษุนั้น

ย่อมไม่เกิดโลภ จิตไม่หวั่นไหวโดยส่วนเดียวเท่านั้น. แต่เมื่อยังเห็นอยู่แม้ทั้ง

๒ อย่างนั้นก็พึงมี. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อทสฺสน

อานนฺท ด้วยบทว่า ทสฺสเน ปน ภควา สติ กถ พระอานนท์ทูลถามว่า

เมื่อการเห็นในที่ ๆ ภิกษุเข้าไปรับภิกษาเป็นต้น ภิกษุจะพึงปฏิบัติอย่างไร.

ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า บุรุษผู้ยืนถือมีดด้วยกล่าวว่า ถ้าท่านพูดกับ

เรา ๆ จะตัดศีรษะท่านเสียในที่นี้แหละ หรือนางยักษิณียืนพูดว่า ถ้าท่านพูด

กับเรา ๆ จะแล่เนื้อท่านเคี้ยวกินเสียในที่นี้ นี่แหละยังจะดีกว่า เพราะความ

พินาศเหตุมีข้อนั้นเป็นปัจจัย ย่อมมีได้อัตตภาพเดียวเท่านั้น ไม่ต้องเสวยทุกข์

ที่กำหนดไม่ได้ในอบายทั้งหลาย ส่วนเมื่อมีการเจรจาปราศรัยกับมาตุคามอยู่

ความคุ้นก็มี เมื่อมีความคุ้น ช่องทางก็มี ภิกษุผู้มีจิตถูกราคะครอบงำก็ถึงความ

พินาศแห่งศีล ต้องไปเต็มอยู่ในอบาย เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง

ตรัสว่า อนาลาโป ดังนี้. สมจริงดังคำที่ท่านกล่าวไว้ว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 428

บุคคลพึงพูดกับบุคคลผู้มีดาบในมือกับปีศาจ

นั่งชิดกับอสรพิษ ผู้ที่ถูกคนมีดาบ ปีศาจ อสรพิษ

ถัดแล้วย่อมไม่มีชีวิต ภิกษุพูดกับมาตุคามสองต่อ

สอง ก็ไม่มีชีวิตเหมือนกัน.

บทว่า อาลปนฺเน ปน ความว่า ถ้ามาตุคามถามวันขอศีล ใคร่ฟัง

ธรรม ถามปัญหา ก็หรือมีกิจกรรมที่บรรพชิตจะพึงทำแก่มาตุคามนั้น มาตุคาม

นั้น ก็จะพูดกะภิกษุผู้ไม่พูดในเวลาเห็นปานนี้ว่า ภิกษุองค์นี้เป็นใบ้ หูหนวก

ฉันแล้วก็นั่งปากแข็ง เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงพูดโดยแท้. ท่านพระอานนท์ทูล

ถามว่า พระเจ้าข้า ภิกษุเมื่อพูดอย่างนี้ จะพึงปฏิบัติอย่างไร. ลำดับนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาพระโอวาทที่ว่า มาเถิด ภิกษุทั้งหลาย พวก

เธอจงตั้งจิตคิดว่ามารดาในสตรีปูนมารดา ตั้งจิตคิดว่าพี่สาวในสตรีปูนพี่สาว

ตั้งจิตคิดว่าลูกสาวในสตรีปูนลูกสาวจึงตรัสว่า อานนท์ พึงตั้งสติไว้.

บทว่า อพฺยาวฏา ได้แก่ไม่เกี่ยวพัน ไม่ขวนขวาย. บทว่า สทตฺเถ

ฆฏถ ได้แก่พยายามในพระอรหัตอันเป็นประโยชน์สูงสุด. บทว่า อนุยุญฺชถ

ได้แก่จงประกอบเนือง ๆ เพื่อบรรลุพระอรหัตนั้น . บทว่า อปฺปมตฺตา ได้แก่

ไม่อยู่ปราศจากสติ. ชื่อว่าผู้มีเพียร เพราะประกอบด้วยธรรมเครื่องย่างกิเลส

คือความเพียร ชื่อว่ามีตนส่งไป คือมีจิตส่งไปอยู่ เพราะเป็นผู้ไม่อาลัยใน

กายและชีวิต. ด้วยบทว่า กถ ปน ภนฺเต ท่านพระอานนท์ทูลถามว่า ชน

เหล่านั้นมีกษัตริย์บัณฑิตเป็นต้น จะพึงปฏิบัติอย่างไร เขาจักสอบถามข้า

พระองค์แน่แท้ว่า ท่านอานนท์ เราจะพึงปฏิบัติในพระสรีระของพระตถาคต

อย่างไร ข้าพระองค์จะให้คำตอบแก่เขาอย่างไร. บทว่า อหเตน วตฺเถน ได้

แก่ผ้าใหม่ที่ทำในแคว้นกาสี ไม่ซึมน้ำมัน เพราะเนื้อละเอียด แต่ผ้าสำลีซึม

เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า วิหเตน กปฺปาเสน. บทว่า อยสาย ได้แก่

รางทอง. ก็รางทอง ท่านประสงค์เอาว่า อยส ในที่นี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 429

ถามว่า ในคำว่า ราชา จกฺกวตฺติ เหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า จึง

ทรงอนุญาตการสร้างสถูปแก่พระราชาผู้อยู่กลางเรือนสวรรคตแล้ว ไม่ทรง

อนุญาตสำหรับภิกษุผู้มีศีล. ตอบว่า เพราะไม่อัศจรรย์. แท้จริง เมื่อทรง

อนุญาตสถูป สำหรับภิกษุปุถุชน ก็ไม่พึงมีโอกาสสำหรับสถูปทั้งหลายในเกาะ

สีหล ถึงในที่อื่น ๆ ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น สถูปเหล่านั้น ไม่อัศจรรย์

เพราะเหตุนั้น จึงไม่ทรงอนุญาต. พระเจ้าจักรพรรดิบังเกิดพระองค์เดียวเท่านั้น

ด้วยเหตุนั้น สถูปของพระองค์จึงอัศจรรย์. ส่วนสำหรับภิกษุปุถุชนผู้มีศีล จะ

ทำสักการะแม้อย่างใหญ่ อย่างภิกษุผู้ปรินิพพานก็ควรเหมือนกัน.

ส่วนโรงกลม ท่านประสงค์เอาว่าวิหารในคำว่า วิหาร นี้. เข้าไปสู่

วิหารนั้น. บทว่า กปิสีส ได้แก่ ไม้กลอนที่ตั้งอยู่ในที่ปลายเท้าแขนประตู.

บทว่า โรทมาโน อฏฺาสิ ความว่า ได้ยินว่า ท่านพระอานนท์คิดว่า พระ

ศาสดาตรัสสถานที่อยู่ซึ่งให้เกิดความสังเวชแก่เรา ตรัสการจาริกไปในเจดีย์ว่า

มีประโยชน์ ตรัสตอบปัญหาเรื่องที่จะพึงปฏิบัติในมาตุคาม ตรัสบอกการปฏิบัติ

ในสรีระของพระองค์ ตรัสถูปารหบุคคล ๘ จำพวก วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า

ปรินิพพานแน่. เมื่อท่านคิดอย่างนี้แล้วก็เกิดโทมนัสอย่างรุนแรง. ครั้งนั้น ท่าน

ปริวิตกอย่างนี้ว่า ชื่อว่า การร้องไห้ในที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ผาสุก เรา

จักไปในที่ส่วนหนึ่ง บรรเทาความโศกให้เบาบาง. ท่านได้ทำเหมือนอย่างนั้น.

ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า พระอานนท์ยืนร้องไห้. บทว่า อทญฺจ วตมฺหิ

ตัดเป็น อหญฺจ วต อมฺหิ. ปาฐะว่า อห วตมฺหิ ดังนี้ก็มี. บทว่า โย มม

อนุกมฺปโก แปลว่า ผู้ใด อนุเคราะห์สั่งสอนเรา. พูดกันมาว่า ตั้งแต่วันพรุ่ง

นี้ เดี๋ยวนี้ เราจักถวายน้ำสำหรับล้างพระพักตร์แก่ใคร จะล้างพระบาทแก่ใคร

จักปฏิบัติเสนาสนะแก่ใคร จักรับบาตรและจีวรของใคร จาริกไป.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 430

บทว่า อามนฺเตสุ ได้แก่ ไม่เห็นพระเถระในระหว่างจึงตรัสเรียก.

บทว่า เมตฺเตน กายกมฺเมน ได้แก่ ด้วยกายกรรม มีอันถวายน้ำล้างพระ

พักตร์เป็นต้น ที่ปฏิบัติไปด้วยอำนาจจิตมีเมตตา. บทว่า หิเตน ได้แก่ อัน

กระทำไปเพื่อความเจริญแห่งประโยชน์เกื้อกูล. บทว่า สุเขน ได้แก่ อันกระ

ทำไปด้วยอำนาจสุขกาย สุขใจ. อธิบายว่า ไม่มีทุกข์กายทุกข์ใจ. บทว่า

อทฺวเยน ได้แก่ไม่กระทำให้เป็น ๒ ส่วน. ท่านอธิบายว่า ทำต่อหน้าไม่ทำลับ

หลังอย่างหนึ่ง ทำลับหลังไม่ทำต่อหน้าอย่างหนึ่ง ทำไม่แบ่งแยกอย่างนั้น.

บทว่า อปฺปมาเณน ได้แก่เว้นจากประมาณ. ทรงแสดงว่า จริงอยู่ แม้จักร

วาลคับแคบนัก แม้ภวัคคพรหมก็ต่ำนัก เพราะกายกรรมที่ท่านทำมา. บทว่า

เมตฺเตน วจีกมฺเมน ได้แก่วจีกรรม มีบอกเวลาล้างพระพักตร์เป็นต้น ที่

ปฏิบัติไปด้วยอำนาจจิตมีเมตตา. อีกอย่างหนึ่ง แม้ฟังโอวาทแล้วทูลว่า

สาธุ ภนฺเต ดีละ พระเจ้าข้า. จัดเป็นเมตตาวจีกรรมเหมือนกัน. บทว่า

เมตฺเตน มโนกมฺเมน ความว่า ด้วยมโนกรรมที่ปฏิบัติแต่เช้าตรู่ แล้วนั่ง

บนอาสนะอันสงัดแล้วปฏิบัติอย่างนี้ว่า ขอพระศาสดา จงเป็นผู้ไม่มีโรค ไม่มี

ทุกข์เบียดเบียน จงเป็นสุขเถิด. ด้วยคำว่า กตปุญฺโสิ ทรงแสดงว่า ท่าน

เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยอภินิหาร (บุญเก่า) ตลอดแสนกัป. ด้วยบทว่า กตปุญฺโ-

มฺหิ ทรงแสดงว่า ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ เธออย่าวางใจประมาท โดยที่แท้จง

ประกอบความเพียรเนือง ๆ เธอประกอบความเพียรเนือง ๆ อย่างนี้แล้ว จัก

เป็นผู้ไม่มีอาสวะโดยฉับพลัน จักบรรลุพระอรหัตในเวลาสังคายนาธรรม ก็

การปรนนิบัติที่เธอกระทำแก่พระพุทธเจ้าเช่นเราชื่อว่าไร้ผลหามิได้. ก็แลครั้น

ตรัสอย่างนี้แล้ว ทรงเริ่มพรรณนาคุณของพระอานนท์ประหนึ่งแผ่ไปทั่วมหา

ปฐพี ประหนึ่งแผ่ไปทั่วอวกาศ ประหนึ่งยกสู่ยอดจักรวาลคีรี ประหนึ่งยก

สิเนรุบรรพต ประหนึ่งจับต้นหว้าใหญ่เขย่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า

จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 431

ในพระบาลีนั้น เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสว่า เยปิ

เต ภิกฺขเว เอตรหิ. เพราะพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ ไม่มี. แต่พึงทราบ

คำนั้น โดยพระบาลีนี้ว่า พระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ แม้ในระหว่างแห่งจักรวาล

ไม่มีฉันใด. บทว่า ปณฺฑิโต แปลว่า เฉียบแหลม. บทว่า กุลโล ได้แก่

ฉลาด ในธรรมมีขันธ์ธาตุ และ อายตนะ เป็นต้น.

บทว่า ภิกฺขุปริสา อานนฺท ทสฺสนาย ความว่า ชนเหล่าใด ประ-

สงค์จะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เข้าไปหาพระเถระ และชนเหล่าใดมาได้ยิน

คุณของพระเถระว่า ได้ยินว่า ท่านพระอานนท์น่าเลื่อมใสรอบด้าน งามน่าชม

เป็นพหุสูต ผู้งามในสงฆ์ ท่านหมายเอาชนเหล่านั้นจึงกล่าวว่า ภิกษุบริษัท

เข้าไปพบพระอานนท์. ในบททั้งปวงก็มีนัยนี้. บทว่า อตฺตมนา ชื่อว่า มีใจ

เป็นของตน คือมีจิตยินดีเพราะเห็นสมด้วยการฟังมา. บทว่า ธมฺม ได้แก่

ธรรมคือปฏิสันถารเห็นปานนี้ว่าผู้มีอายุ พอทนได้หรือ พอเป็นไปได้หรือ

เธอจงทำกิจในโยนิโสมนสิการ จงบำเพ็ญอาจาริยวัตรและอุปัชฌายวัตร. ใน

ธรรมคือปฏิสันถารนั้น มีการกระทำที่ต่างกันในภิกษุณีทั้งหลายดังนี้ว่า ภิกษุณี

ทั้งหลาย ๔ พวก ท่านสมาทานประพฤติครุธรรม ๘ บ้างละหรือ. เมื่ออุบาสก

ทั้งหลายมาไม่กระทำปฏิสันถารอย่างนี้ว่า ท่านไม่เจ็บปวดศีรษะหรืออวัยวะบ้าง

หรือ. แต่จะกระทำปฏิสันถารอย่างนี้ว่า ท่านอุบาสกทั้งหลาย สรณะ ๓ เป็น

อย่างไร ท่านรักษาศีล ๕ รักษาศีลอุโบสถเดือน ๘ ครั้ง จงกระทำวัตรคือ

การบำรุงมารดาบิดา จงปฏิบัติสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม. ในอุบาสิกา

ทั้งหลายก็นัยนี้เหมือนกัน.

บัดนี้ เมื่อจะทรงกระทำข้อเปรียบเทียบกับพระเจ้าจักรพรรดิสำหรับ

พระอานนทเถระ. จึงตรัสว่า จตฺตาโรเม ภิกฺขเว เป็นต้น. บรรดาบทเหล่า

นั้น บทว่า ขตฺติยา ได้แก่ชาติกษัตริย์ผู้ได้รับมุรธาภิเษก และมิได้รับมุรธา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 432

ภิเษก. ได้ยินว่า กษัตริย์เหล่านั้น สดับคำพรรณนาคุณของจักรพรรดินั้นว่า

ธรรมดาว่าพระเจ้าจักรพรรดิงาม น่าชม น่าเลื่อมใส สัญจรไปได้ทางอากาศ

เถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงธรรม เป็นธรรมราชาดังนี้ย่อมดีใจ ในเมื่อได้เห็น

สมด้วยได้ยินพระคุณ. บทว่า ภาสติ ได้แก่ ทรงกระทำปฏิสันถารว่า พ่อเอ๋ย

อย่างไรเรียกว่าบำเพ็ญราชธรรม อย่างไรเรียกว่ารักษาประเพณี. แต่ใน

พราหมณ์ทั้งหลาย ทรงกระทำปฏิสันถารอย่างนี้ว่า ท่านอาจารย์อย่างไร ชื่อว่า

สอนมนต์ เหล่าศิษย์ก็เรียนมนต์ พวกท่านจงทำทักษิณา ผ้า หรือโคแดง.

ในคฤหบดีทั้งหลาย ทรงทำปฏิสันถารอย่างนี้ว่า พ่อเอ๋ย พวกท่านไม่ถูกเบียด

เบียนด้วยอาชญา หรือด้วยภาษีอากรจากพระราชามีบ้างหรือ ฝนตกต้องตาม

ฤดูกาลไหม ข้าวกล้าสมบูรณ์ไหม. ในสมณะทั้งหลายก็ทรงทำปฏิสันถารอย่าง

นี้ว่า ท่านเจ้าข้า บริขารสำหรับบรรพชิตหาได้ง่ายไหม พวกท่านอย่าประมาท

ในสมณธรรม.

บทว่า ขุทฺทกนครเก ได้แก่นครเล็ก ที่คับแคบ เป็นนครที่ยังต้อง

พัฒนา. บทว่า อุชฺชงฺคลนครเก ได้แก่ นครที่มีพื้นไม่เรียบ. บทว่า

สาขนครเก ได้แก่นครเล็กเสมือนกิ่งของนครใหญ่อื่น เหมือนกิ่งเล็ก ๆ ของ

ต้นไม้ทั้งหลายฉะนั้น. บทว่า ขตฺติยมหาสาลา ได้แก่ พระมหากษัตริย์ผู้เป็น

ขัตติยมหาศาล. ในบททั้งปวงก็นัยนี้. บรรดามหาศาลเหล่านั้น ที่ชื่อว่าขัตติย-

มหาศาลได้แก่เหล่ากษัตริย์ที่เก็บทรัพย์ไว้ร้อยโกฏิบ้าง พันโกฏิบ้าง จ่ายกหาปณ

ประจำวันออกไปวันละ ๑ เล่มเกวียน ตกเย็นกหาปณะรับเข้าวันละ ๒ เล่ม

เกวียน. ที่ชื่อว่าพราหมณมหาศาล ได้แก่เหล่าพราหมณ์ที่เก็บทรัพย์ไว้แปด

สิบโกฏิ จ่ายกหาปณะไปวันละ ๑ กุมภะ ตกเย็นรับเข้าวันละ ๑ เล่มเกวียน.

ที่ชื่อว่าคฤหบดีมหาศาล ได้แก่เหล่าคฤหบดีที่เก็บทรัพย์สมบัติไว้ ๔๐ โกฏิ

จ่ายกหปณะประจำวัน ๆ ละ ๕ อัมพณะ ตกเย็นรับเข้าวันละ ๑ กุมภะ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 433

บทว่า มา เหว อานนฺท อวจ ได้แก่ อานนท์ เธออย่าพูดอย่างนั้น.

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอไม่ควรพูดว่า นี่นครเล็ก ความจริง เรา

ตถาคตมาที่นครนี้ ด้วยความอุตสาหะอย่างใหญ่ ด้วยความบากบั่นอย่างใหญ่

ยืน นั่ง หลายครั้ง ก็เพื่อจะกล่าวถึงสมบัติของนครนี้โดยแท้ แล้วจึงตรัสว่า

ภูตปุพฺพ เป็นต้น.

บทว่า สุภิกฺขา ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยของเคี้ยวและของกิน. บทว่า

หตฺถิสทฺเทน ความว่า เมื่อช้างเชือกหนึ่งร้องขึ้น ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือกก็ร้อง

ตาม ดังนั้น กุสาวดีราชธานี จึงไม่สงัดจากเสียงช้าง. จากเสียงม้าก็เหมือนกัน.

ก็สัตว์ทั้งหลายในราชธานีนี้มีบุญ มีรถที่เทียมด้วยม้าสินธพ ๔ ตัว ตามกัน

และกันสัญจรไปในระหว่างถนน ฉะนั้น จึงชื่อว่าไม่สงัดด้วยเสียงรถ. อนึ่ง

ดุริยางค์ มีกลองเป็นต้น ในนครนั้นก็ย่ำกันอยู่เป็นนิตย์. ดังนั้น จึงชื่อว่าไม่

สงัดจากเสียงกลองเป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺมสทฺโท ได้แก่

เสียงกังสดาล. บทว่า ตาลสทฺโท ได้แก่ เสียงตาลที่เคาะด้วยมือและตาลราง

สี่เหลียน. บางอาจารย์ กล่าวว่า กูฏเภริสทฺโท เสียงกลองกูฏ ดังนี้ก็มี. บทว่า

อสถ ปิวถ ขาทถ แปลว่า จงกิน จงดื่ม จงเคี้ยว. ก็ในเรื่องนี้มีความสังเขป

ดังนี้. กุสาวดีราชธานี ไม่สงัดจากเสียงที่สิบนี้ว่า เชิญบริโภคเถิด ท่านผู้

เจริญ มีเสียงไม่ขาดเลย. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า ในนครอื่น ๆ มี

เสียงเห็นปานนี้ว่า พวกเจ้าจงทิ้งหยากเยื่อ จงถือจอบ จงถือกระเช้า เราจัก

ไปแรมคืน พวกเจ้าจงถือห่อข้าวสาร จงถือห่อข้าวสุก จงให้จัดโล่และอาวุธ

ดังนี้ฉันใด ในกุสาวดีนี้หามีเสียงเห็นปานนี้ฉันนั้นไม่. ก็แลครั้นตรัสว่าจาก

เสียงที่สิบ ดังนี้แล้ว ทรงจบมหาสุทัสสนสูตรทั้งหมดว่า ดูก่อนอานนท์

กุสาวดีราชธานีล้อมรอบด้วยกำแพง ๗ ชั้นแล้ว จึงตรัสว่า คจฺฉ ตฺว อานนฺท

ดังนี้เป็นต้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 434

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิกฺกมถ ความว่า พวกท่าน จงก้าว

มาข้างหน้า. ถามว่า ก็พวกเจ้ามัลละแห่งกรุงกุสินารา ไม่ทรงทราบว่าพระผู้มี

พระภาคเจ้าเสด็จมา ดอกหรือ. ตอบว่าทรงทราบ. ธรรมดาว่า ในสถานที่ๆ

พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จไป ๆ ย่อมโกลาหลมากทั้งที่ยังไม่เสด็จมา ก็เพราะ

ทรงประชุมกันด้วยกรณียะบางอย่าง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าพวกเจ้า

มัลละเหล่านั้น มาแล้วจักต้องจัดโอกาสที่ยืนที่นั่งถวายแก่ภิกษุสงฆ์ จึงส่ง

พระอานนท์ไปที่สำนักของเจ้ามัลละเหล่านั้น แม้ในเวลาอันไม่ควร. โน อักษร

ในคำว่า อมฺหาก จ โน นี้ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า อฆาวิโน ได้แก่ กุล-

ทุกข์. บทว่า เจโตทุกฺขสมปฺปิโต ได้แก่ผู้เปี่ยมด้วยโทมนัส. บทว่า กุล-

ปริวตฺตโส กุลปริวตฺตโส เปตฺวา ความว่า พวกเจ้ามัลละเป็นตระกูล ๆ

คือสังเขปว่า ตระกูล เป็นส่วน ๆ โดยอยู่ถนนเดียวกันและตรอกเดียวกัน.

บทว่า สุภทฺโท นาม ปริพฺพาชโก ได้แก่ ปริพพาชกผู้นุ่งห่มผ้า

จากตระกลอุทิจจพราหมณมหาศาล. บทว่า กงฺขาธมฺโม ได้แก่ธรรมคือ

ความเคลือบแคลง. ถามว่าก็เพราะเหตุไร สุภัททปริพพาชกนั้นจึงมีความคิด

อย่างนี้ในวันนี้. ตอบว่า เพราะมีอุปนิสัยอย่างนั้น. ได้ยินว่า แต่ก่อนได้มีพี่

น้อง ๒ คน ในการบำเพ็ญบุญ. พี่น้อง ๒ คนนั้น ได้กระทำข้าวกล้าร่วมกัน

ใน ๒ คนนั้น พี่ชายคิดว่าเราจักถวายทานข้าวกล้าอันเลิศปีละ ๙ ครั้ง. ฤดู

หว่าน ถวายเมล็ดอันเลิศ. ในฤดูข้าวตั้งท้องปรึกษากับน้องชายว่า จักผ่า

ท้องกล้าถวาย. น้องชายบอกว่า พี่ต้องการจะให้ข้าวกล้าอ่อนพินาศไปหรือ.

พี่ชายรู้ว่าน้องชายไม่ยินยอม จึงแบ่งนากัน ผ่าท้องข้าวจากส่วนของตน คั้นน้ำ

นม ปรุงด้วยเนยใสและน้ำอ้อย. ในฤดูเป็นข้าวเม่าก็ให้กระทำข้าวเม่าถวาย.

ในเวลาเกี่ยวก็ให้ถวายข้าวอันเลิศ. ในเวลามัดขะเน็ด ก็ได้ถวายข้าวอันเลิศ

ในเวลาทำขะเน็ด. ในเวลาทำเป็นฟ่อนเป็นต้น ก็ได้ถวายข้าวอันเลิศเวลาทำ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 435

ฟ่อน ข้าวอันเลิศขณะขนไว้ในลาน ข้าวอันเลิศขณะนวด ข้าวอันเลิศในขณะ

อยู่ในฉาง. ได้ถวายทานเลิศในข้าวกล้าปีละ ๙ ครั้ง ดังกล่าวมาฉะนี้. ส่วน

น้องชายเสร็จทำนาแล้วจึงจะถวาย. ในพี่น้อง ๒ คนนั้น พี่ชายเกิดเป็นพระ

อัญญาโกณฑัญญเถระ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูว่า เราจะพึงแสดงธรรม

โปรดแก่ใครก่อนหนอ จึงทรงพระดำริว่า พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้ถวาย

ทานอันเลิศในข้าวกล้าปีละ ๙ ครั้ง เราจักแสดงธรรมอันเลิศนี้แก่เขา จึงทรง

แสดงโปรดก่อนคนอื่นทั้งหมด. ท่านดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล พร้อมกับพรหม

๑๘ โกฏิ. ส่วนน้องชายล่าช้าคิดได้อย่างนี้ในเวลาพระศาสดาปรินิพพานเพราะ

ถวายทานในภายหลัง จึงได้เป็นผู้มีความประสงค์จะเฝ้าพระศาสดา.

บทว่า มา ภควนฺต วิเหเสิ ความว่า ได้ยินว่า พระเถระเข้าใจว่า

ขึ้นชื่อว่า อัญญเดียรถีย์เหล่านั้น เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส

มาก ๆ เพื่อประโยชน์แก่การแก้ปัญหานั้น ก็จักทรงลำบากทั้งทางกายและวาจา

ด้วยว่า โดยปกติพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงลำบากอยู่แล้วจึงกล่าวอย่างนี้.

ปริพพาชก ก็ตามใจพระเถระด้วยคิดว่า ภิกษุรูปนี้ ไม่ให้โอกาสแก่เราผู้ต้อง

การประโยชน์ ก็ได้แต่ตามใจ จึงกล่าว ๒-๓ ครั้ง. บทว่า อสฺโสสิ โข

ความว่า เมื่อพระเถระยืนพูดอยู่ใกล้ประตูม่าน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงได้ยิน

ด้วยพระโสตตามปกติ. ก็แลครั้น แล้วจึงตรัสว่า อล อานนฺท เป็นต้น เพราะ

พระองค์เสด็จมาด้วยอุตสาหะอันใหญ่ เพื่อโปรดสุภัททะนั่นแล. ศัพท์ว่า อล

ในคำว่า อล อานนฺท นั้น เป็นนิบาต. ได้ในอรรถว่า ปฏิเสธ. บทว่า

อญฺาเปกฺโข ว แปลว่า เป็นผู้ใคร่จะรู้.

บทว่า อพฺภญฺีสุ ได้เเก่ รู้อย่างที่เจ้าลัทธิเหล่านั้นปฏิญญา. ท่าน

อธิบายว่า ปฏิญญานั้นของเจ้าลัทธิเหล่านั้น เป็นนิยยานิกะไซร้ พวกเขาทั้ง

หมด ก็รู้ทั่วถึง ถ้าปฏิญญาของพวกเขาไม่เป็นนิยยานิกะไซร้ พวกเขาก็ไม่รู้

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 436

เพราะฉะนั้น ปฏิญญาของเจ้าลัทธิเหล่านั้น เป็นนิยยานิกะหรือไม่เป็นนิยยานิกะ.

ใจความของปัญหานั้น มีอย่างนี้เท่านั้น. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

ปฏิเสธว่า อย่าเลย เพราะไม่เป็นฐานะอย่างหนึ่ง เพราะไม่มีโอกาสอย่างหนึ่ง

ด้วยการตรัสถึงความที่ปฏิญญาของเจ้าลัทธิเหล่านั้น ไม่เป็นนิยยานิกะ จึงทรง

แสดงธรรมอย่างเดียว. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาด้วยพระพุทธประสงค์ว่า

จักทรงแสดงธรรมโปรดพวกเจ้ามัลละตอนปฐมยาม แสดงธรรมโปรดสุภัททะ

ตอนมัชฌิมยาม สอนภิกษุสงฆ์ตอนปัจฉิมยาม เสด็จปรินิพพานในเวลาใกล้รุ่ง.

บทว่า สมโณปิ ตตฺถ น อุปลพฺภติ ความว่า ในธรรมวินัยนั้น

ไม่มีแม้สมณะที่ ๑ คือพระโสดาบัน แม้สมณะที่ ๒ คือพระสกทาคามี แม้

สมณะที่ ๓ คือพระอนาคามี แม้สมณะที่ ๔ คือพระอรหันต์ ก็ไม่มีในธรรม

วินัยนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสโดยไม่กำหนดเทศนาเบื้องต้น บัดนี้ เมื่อ

ทรงกำหนดศาสนาของพระองค์จึงตรัสว่า อิมสฺมึ โข เป็นต้น. บทว่า สุญฺา-

ปรปฺปวาทา สมเณภิ ความว่า ปรัปปวาท (ลัทธิของเจ้าลัทธิอื่น) สูญว่าง

เปล่า จากสมณะ ๑๒ จำพวก คือผู้เริ่มวิปัสสนาเพื่อประโยชน์แก่มรรค ๔ รวม

๔ จำพวก ผู้ตั้งอยู่ในมรรค ๔ จำพวก ผู้ตั้งอยู่ในผล ๔ จำพวก. บทว่า

อิเม จ สุภทฺท ความว่า ภิกษุ ๑๒ จำพวกเหล่านี้. ในคำว่า สมฺมา วิหเรยฺยุ

พระโสดาบันบอกฐานะที่ตนบรรลุแก่ผู้อื่นทำผู้อื่นนั้นให้เป็นโสดาบัน ชื่อว่าอยู่

โดยชอบ. ในพระสกทาคามีเป็นต้นก็นัยนี้. พระผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค

กระทำแม้ผู้อื่นให้เป็นผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรคก็ชื่อว่า อยู่โดยชอบ. ในพระ

ผู้ตั้งอยู่ในมรรคที่เหลือก็นัยนี้. พระผู้เริ่มวิปัสสนา เพื่อโสดาปัตติมรรค

กำหนดกัมมัฏฐานที่ตนคล่องแคล่ว กระทำแม้ผู้อื่นให้เป็นผู้เริ่มวิปัสสนาเพื่อ

โสดาปัตติมรรคก็ชื่อว่าอยู่โดยชอบ. ในพระผู้เริ่มวิปัสสนาเพื่อมรรคที่เหลือก็

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 437

นัยนี้. ท่านหมายเอาความข้อนี้จึงกล่าวว่า สมฺมา วิหเรยฺย. บทว่า อสุญฺโ

โลโก อรหนฺเตหิ อสฺส ความว่า พึงไม่ว่างเว้นเหมือนป่าไม้อ้อ ป่าไม้แขม.

บทว่า เอกูนตึส วยสา ได้แก่ ทรงมีพระชนมายุ ๒๙ พรรษาโดย

วัย. คำว่า ย ในคำว่า ย ปริพฺพชฺชึ นี้ เป็นเพียงนิบาต. บทว่า กึ กุสลา-

นุเอสี ได้แก่ ทรงเสาะแสวงว่าอะไรเป็นกุศลท่านประสงค์สัพพัญญุตญาณ ว่า

กุศลคืออะไร ในคำว่า กึ กุสลานุเอสี นั้น อธิบายว่า ทรงแสวงหาสัพพัญ-

ตญาณนั้น. ด้วยบทว่า ยโต อหึ ทรงแสดงว่า จำเดิมแต่กาลใด แต่ระหว่าง

นี้เราบวชมาเกิน ๕๐ พรรษา. บทว่า ายสฺส ธมฺมสฺส ได้แก่ ธรรมคือ

อริยมรรค. บทว่า ปเทสวตฺติ เป็นไปในประเทศคือ แม้ในทางแห่งวิปัสสนา.

บทว่า อิโต พหิทฺธา ภายนอกศาสนาของเรา. บทว่า สมโณปิ นตฺถิ แม้

สมณะผู้บำเพ็ญวิปัสสนา ผู้อยู่ในทางแห่งวิปัสสนาไม่มี ท่านอธิบายว่า สมณะ

ที่ ๑ แม้ที่เป็นโสดาบันไม่มี.

บทว่า เย เอตฺถ ความว่า เธอเหล่าใดอันพระศาสดาอภิเษกโดยอัน

เตวาสิกาภิเสก เฉพาะพระพักตร์ในพระศาสนานี้ เป็นลาภของเธอเหล่านั้น เธอ

เหล่านั้นได้ดีแล้ว. ได้ยินว่า ในลัทธิภายนอก อาจารย์พูดกับอันเตวาสิกผู้ใดว่า

จงบรรพชาผู้นี้ จงโอวาทสั่งสอนผู้นี้ อันเตวาสิกผู้นั้นย่อมเป็นอันอาจารย์ตั้ง

ไว้ในฐานะของตน เพราะฉะนั้น ข้อเหล่านี้ว่า จงบวชผู้นี้ จงโอวาทสั่งสอน

ผู้นี้ เป็นลาภของอันเตวาสิกผู้นั้น. สุภัททปริพาชกถือลัทธิภายนอกนั้นนั่น

แหละ จึงกล่าวแม้กะพระเถระอย่างนี้.

บทว่า อลตฺถ โข แปลว่า ได้แล้วอย่างไร. ได้ยินว่า พระเถระ

นำสุภัททะนั้นไปในที่แห่งหนึ่งเอาน้ำจากคณโฑรดศีรษะบอกตจปัญจกกัมมัฏ-

ฐาน ปลงผมและหนวด ให้ครองผ้ากาสายะแล้วให้สรณะแล้วนำไปยังสำนัก

พระผู้มีพระภาคเจ้า. พระผู้มีพระภาคเจ้า ให้อุปสมบทแล้ว ตรัสบอกกัมมัฏ-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 438

ฐาน. เธอรับกัมมัฏฐานไว้แล้ว อธิษฐานจงกรมในที่ส่วนหนึ่งแห่งอุทยาน

พากเพียรพยายามชำระวิปัสสนาบรรลุอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาแล้วมาถวาย

บังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งลง. ท่านหมายเอาอุปสมบทกรรมนั้นจึงกล่าวว่า

อจิรูปสมฺปนฺโน โข ปน เป็นต้น. ก็ท่านพระสุภัททะนั้น ได้เป็นปัจฉิมสักขี

สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล. คำของพระสังคีติกาจารย์ว่า ในบรรดาสาวก

เหล่านั้น รูปใดบรรพชาเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ภายหลัง

ได้อุปสมบทเรียนกัมมัฏฐานบรรลุพระอรหัตก็ดี ได้แม้อุปสมบท เมื่อพระผู้มี

พระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ภายหลังเรียนกัมมัฏฐานบรรลุอรหัตก็ดี เรียน

แม้กัมมัฏฐานเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระชนม์อยู่ ภายหลังบรรลุอรหัตก็ดี

แม้ทุกรูปนั้น ก็ชื่อว่าปัจฉิมสักขีสาวก. ส่วนท่านสุภัททะนี้ บรรพชาอุปสมบท

เรียนกัมมัฏฐานบรรลุพระอรหัต เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่.

จบกถาพรรณนาปัญจมภาณวาร.

บัดนี้ เพื่อจะแสดงการประทานพระโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ ที่ทรงเริ่มไว้

นั้นจึงกล่าวคำว่า อถ โข ภควา เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า

เทสิโต ปญฺตฺโต ความว่า ทั้งธรรมก็ทรงแสดงแล้วบัญญัติแล้ว ทั้งวินัย

ก็ทรงแสดงบัญญัติแล้ว. อธิบายว่า ชื่อว่าทรงบัญญัติ ได้แก่ทรงแต่งตั้งแล้ว.

บทว่า โส โว มมจฺจเยน ได้แก่ ธรรมและวินัยนั้นจะเป็นศาสดาของท่านทั้ง

หลายโดยที่เราล่วงไป.

จริงอยู่ เรายังเป็นอยู่นี้แลแสดงอุภโตวิภังควินัย พร้อมทั้งขันธก

บริวารแก่เธอทั้งหลาย ในวัตถุที่จัดไว้ด้วยอำนาจกองอาบัติทั้ง ๗ ว่า นี้อาบัติ

เบา นี้อาบัติหนัก นี้อาบัติที่แก้ไขได้ นี้อาบัติที่แก้ไขไม่ได้ นี้อาบัติที่เป็น

โลกวัชชะ นี้เป็นปัณณัติวัชชะ นี้อาบัติออกได้ในสำนักบุคคล นี้อาบัติออก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 439

ได้ในสำนักคณะ นี้อาบัติออกได้ในสำนักสงฆ์. วินัยปิฎกแม้ทั้งสิ้นนั้น เมื่อ

เราปรินิพพานแล้วจักทำกิจของศาสดาของพวกท่านให้สำเร็จ. อนึ่ง เรายังเป็น

อยู่นี้แหละ ก็จำแนกแยกแยะธรรมเหล่านี้แสดงสุตตันตปิฎกด้วยอาการนั้นว่า

เหล่านี้สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์

๗ อริยมรรคมีองค์ ๘ สุตตันตปิฎกแม้ทั้งสิ้นนั้นจักทำกิจแห่งศาสดาของท่าน

ทั้งหลายให้สำเร็จ. อนึ่ง เรายังดำรงอยู่นี้แหละ จำแนกแยกแยะธรรมเหล่านี้

คือ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ สัจจะ ๔ อินทรีย์ ๒๒ เหตุ ๙ อาหาร ๔

ผัสสะ ๗ เวทนา ๗ สัญญา ๗ สัญเจตนา ๗ จิตต์ ๗ แม้ในจิตนั้น ธรรม

เท่านี้ เป็นกามาวจร เท่านี้เป็นรูปาวจร เท่านี้เป็นอรูปาวจร เท่านี้เป็นธรรม

เนื่องกัน เท่านี้เป็นธรรมไม่เนื่องกัน เท่านี้เป็นโลกิยะ เท่านี้เป็นโลกุตตระ

แล้วแสดงอภิธรรมปิฎก เป็นสมันตปัฏฐาน ๒๔ ประดับมหาปัฏฐานอนันตนัย

อภิธรรมปิฎกแม้ทั้งสิ้น เมื่อเราปรินิพพานแล้ว จักทำกิจแห่งศาสดาของเธอ

ทั้งหลายให้สำเร็จ.

อนึ่ง พระพุทธวจนะนี้ทั้งหมด ที่เราภาษิตแล้ว กล่าวแล้ว ตั้งแต่

ตรัสรู้ จนถึงปรินิพพานมีมากประเภทอย่างนี้ คือ ปิฎก ๓ นิกาย ๕ องค์ ๙

แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์. พระธรรมขันธ์แปดหมื่นสี่พันเหล่านี้ดำรงอยู่

ด้วยประการฉะนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงเหตุเป็นอันมากอย่างนี้ว่า

เราจักปรินิพพานผู้เดียว อนึ่ง เราบัดนี้ก็โอวาทสั่งสอนผู้เดียวเหมือนกัน เมื่อ

เราปรินิพพานแล้ว พระธรรมขันธ์แปดหมื่นสี่พันเหล่านี้ก็จักโอวาทสั่งสอน

ท่านทั้งหลาย ทรงโอวาทว่าธรรม วินัย นั้นจักเป็นศาสดาของท่านทั้งหลาย

เมื่อเราล่วงไป แล้วเมื่อทรงย้ำแสดงจารีตในอนาคตกาล จึงตรัสว่า ยถา โข

ปน เป็นต้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 440

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมุทาจรนฺติ ได้แก่ ย่อมกล่าวย่อมร้อง

เรียก. บทว่า นาเมน วา โคตฺเตน วา ได้แก่ นวกะพึงร้องเรียกโดยชื่อ

อย่างนี้ว่า ติสสะ นาคะ หรือโดยโคตรอย่างนี้ว่า กัสสปโคตร หรือโดยวาทะ

ว่า อาวุโส อย่างนี้ว่า อาวุโสติสสะ อาวุโสกัสสปะ บทว่า ภนฺเตติวา

อายสฺมาติวา ได้แก่ พึงเรียกอย่างนี้ว่า ภนฺเต ติสสะ อายฺสมา ติสสะ.

บทว่า สมูหนตุ ไคัแก่ เมื่อจำนงอยู่ จงถอน. อธิบายว่า ผิว่า

ปรารถนา. ก็พึงถอนเสีย. ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่

ตรัสโดยส่วนเดียวว่า จงถอนเสีย แต่ตรัสด้วยคำเป็นวิกัป. ตอบว่า เพราะ

ทรงเห็นกำลังของมหากัสสปะ. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมทรงเห็นว่า

เมื่อตรัสว่า จงถอนเสีย พระมหากัสสปะจักไม่ถอนในเวลาทำสังคายนา เพราะ

ฉะนั้น จึงตรัสไว้ด้วยคำเป็นวิกัป นั่นและ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มาใน

ปัญจสติกสังคีติโดยนัยเป็นต้นว่า บรรดาพระเถระเหล่านั้นพระเถระบางเหล่า

กล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เสีย นอกนั้นก็เป็นอาบัติเล็กน้อย ๆ. ก็การ

วินิจฉัยในเรื่องอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาชื่อสมันตปาสาท-

ทิกา.

ก็อาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระนาคเสนรู้จักอาบัติเล็ก ๆ น้อย เพราะ

ถูกพระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ท่านพระนาคเสน อาบัติเล็กเป็นอย่างไร อาบัติ

น้อยเป็นอย่างไร ? ทูลตอบว่า มหาบพิตร ทุกกฏเป็นอาบัติเล็ก ทุพภาษิตเป็น

อาบัติน้อย. ส่วนพระมหากัสสปะเถระ เมื่อไม่รู้อาบัติเล็ก อาบัติน้อยนั้นจึง

ประกาศว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบททั้งหลายของพวก

เราที่เป็นส่วนของคฤหัสถ์ก็มีอยู่ แม้คฤหัสถ์ทั้งหลายก็รู้ว่า ข้อนี้ควรแก่ท่าน

ทั้งหลายที่เป็นสมณสักยบุตร ข้อนี้ไม่ควรแก่ท่านทั้งหลายที่เป็นสมณสักยบุตร

ถ้าเราจะถอนสิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ เสีย ผู้คนทั้งหลายก็จักว่ากล่าวเอาได้ว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 441

สิกขาบทที่พระสมณโคดมบัญญัติเอาไว้แก่สาวกทั้งหลายอยู่ได้ชั่วควันไฟ สาวก

เหล่านี้ศึกษาในสิกขาบททั้งหลายตราบเท่าที่ศาสดายังดำรงอยู่ เพราะศาสดา

ของสาวกเหล่านี้ปรินิพพานเสียแล้ว สงฆ์ไม่พึงบัญญัติในข้อที่ไม่ทรงบัญญัติ

ไม่พึงถอนในข้อที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว พึงสมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลาย

ที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว นี้เป็นญัตติ. ท่านประกาศกรรมวาจาดังกล่าวมานี้. ข้อนั้น

ไม่ควรถืออย่างนี้ ก็ท่านพระนาคเสนกล่าวไว้อย่างนั้น ด้วยประสงค์จะไม่ให้

ปรวาที (ฝ่ายตรงกันข้าม) มีโอกาส. ท่านพระมหากัสสปเถระ ประกาศ

กรรมวาจานี้ก็ด้วยประสงค์จะไม่เพิกถอนอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ แล. แม้เรื่อง

พรหมทัณฑ์ท่านก็วินิจฉัยไว้แล้วในอรรถกถาวินัยชื่อสมันตปาสาทิกา เพราะ

มาแล้วในบาลีสังคีติ.

บทว่า กงฺขา คือ ทางสองแพร่ง. บทว่า วิมติ คือ ไม่สามารถจะ

วินิจฉัยได้. ความสังเขปในข้อนี้อย่างนี้ว่า ผู้ใดพึงบังเกิดความสงสัยว่า เป็น

พระพุทธเจ้าหรือไม่ใช่พระพุทธเจ้าหนอ เป็นพระธรรมหรือไม่ใช่พระธรรม

หนอ เป็นพระสงฆ์หรือไม่ใช่พระสงฆ์หนอ เป็นมรรคหรือมิใช่มรรคหนอ

เป็นปฏิปทาหรือไม่ใช่ปฏิปทาหนอ เราจะกล่าวข้อนั้นแก่เธอทั้งหลาย ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย เธอจงถามดังนี้. บทว่า สตฺถุคารเวนาปิ น ปุจฺเฉยฺยาก

ความว่า ถ้าพวกเธอไม่ถามด้วยความเคารพในศาสดาอย่างนี้ว่า พวกเราบวช

ในสำนักของพระศาสดา แม้ปัจจัย ๙ ก็เป็นของพระศาสดาของพวกเราเหล่า

นั้น ก็ไม่ควรจะทำความสงสัยตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ในวันนี้ ไม่ควรจะทำ

ความสงสัยในกาลภาคหลัง. บทว่า สหายโกปิ ภิกฺขเว สหายกสฺส อาโร-

เจตุ ทรงแสดงว่า บรรดาท่านทั้งหลาย ผู้ใดเห็นคบกันแล้วกับภิกษุใด ผืนนั้น

จงบอกภิกษุนั้นว่า ข้าพเจ้าจะบอกแก่ภิกษุรูปหนึ่ง ท่านทั้งหลายฟังคำภิกษุนั้น

แล้วจักหมดความสงสัยทุกรูป. บทว่า เอวปสนฺโน ความว่า ข้าพเจ้าเชื่ออย่าง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 442

นี้. บทว่า าณเมว ความว่า กระทำความเป็นผู้หมดความสงสัยให้ประจักษ์

ชื่อว่า ความรู้นั่นแลของตถาคตในข้อนี้ มิใช่เพียงความเชื่อ. บทว่า อิเมสญฺหิ

อานนฺท ความว่าบรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูป ที่นั่งอยู่ภายในม่านเหล่านี้. บทว่า โย

ปจฺฉิมโก ความว่า ภิกษุใดต่ำสุดโดยคุณ. ท่านกล่าวหมายถึงพระอานนท์

เถระเท่านั้น. บทว่า อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ ความว่า จงยังกิจทั้งปวงให้

สำเร็จด้วยความไม่ไปปราศจากสติ. ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงบรรทม

ที่เตียงปรินิพพาน ประทานพระโอวาทที่ประทานมา ๔๕ พรรษา รวมลงใน

บทคือความไม่ประมาทอย่างเดียวเท่านั้น. ก็คำนี้ว่า ปจฺฉิม วาจา เป็นคำ

ของพระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย ต่อแต่นี้ไป เพื่อจะแสดงข้อที่พระผู้มีพระภาค-

เจ้าทรงกระทำบริกรรมในพระปรินิพพาน จึงกล่าวคำมีอาทิว่า อถ โข ภควา

ปมชฺฌาน.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปรินิพฺพุโต ภนฺเต ความว่า ท่าน

พระอานนท์ เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าเข้านิโรธสมาบัติไม่มีอัสสาสปัสสาสะ จึง

ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วหรือ. ท่านพระอนุรุทธตอบว่า ยัง

ผู้มีอายุ. พระเถระทราบเรื่อง. ได้ยินว่า พระเถระเข้าสมาบัตินั้น ๆ พร้อมกับ

พระศาสดานั่นแล จึงรู้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากเนวสัญญานาสัญญา

ยตนะ แล้วดำเนินไป บัดนี้ เข้านิโรธสมาบัติ ชื่อว่าการทำกาละในภายใน

นิโรธสมาบัติไม่มี.

ในพระบาลีนี้ว่า ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงออกจากสัญญา

เวทยิตนิโรธเข้าเนวสัญญานาสัญญาตนะ ฯลฯ ออกจากตติยฌาน เข้าจตุตถ-

ฌาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าปฐมฌานในฐานะ ๒๔ ทุติยฌานในฐานะ ๑๓

ตติยฌานก็เหมือนกัน เข้าจตุตถฌานในฐานะ ๑๕. เข้าอย่างไร. คือเข้าปฐม

ฌานในฐานะ ๒๔ เหล่านี้ มีอสุภะ ๑๐ อาการ ๓๒ กสิณ ๘ เมตตา กรุณา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 443

มุติตา อานาปานสติปริจเฉทากาส เป็นต้น. แต่เว้นอาการ ๓๒ และอสุภะ

๑๐ เข้าทุติยฌานในฐานะที่เหลือ ๑๓ และเข้าตติยฌานในฐานะ ๑๓ นั้นเหมือน

กัน. อนึ่ง เข้าจตุตถฌานในฐานะ ๑๕ เหล่านี้ คือกสิณ ๘ อุเบกขาพรหม

วิหาร อานาปานสติ ปริจเฉทากาส อรูป ๔. กล่าวโดยสังเขปเท่านี้. แต่

พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ธรรมสามี เสด็จเข้าพระนครคือปรินิพพาน เสด็จเข้า

สมาบัติทั้งหมดนับได้ ยี่สิบสี่แสนโกฏิ แล้วเข้าเสวยสุขในสนาบัติทั้งหมด

เหมือนคนไปต่างประเทศ กอดคนที่เป็นญาติฉะนั้น.

ในคำนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากจตุตถฌานในลำดับมา

เสด็จปรินิพพาน คือ ในลำดับทั้ง ๒ คือ ในลำดับแห่งฌาน ในลำดับแห่ง

ปัจจเวกขณญาณ. พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้ว หยั่งลงสู่ภวังค์

แล้วปรินิพพานในระหว่างนั้น ชื่อว่าระหว่างฌาน ในลำดับ ๒ นั้น. พระผู้

มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากฌานแล้วพิจารณาองค์ฌานอีก หยั่งลงสู่ภวังค์ แล้ว

ปรินิพพานในระหว่างนั้นนั่นแหละ ชื่อว่าระหว่างปัจจเวกขณญาณ. แม้ทั้ง ๒

นี้ก็ชื่อว่าระหว่างทั้งนั้น. ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเข้าฌานเสด็จออกจากฌาน

พิจารณาองค์ฌานแล้วปรินิพพานด้วยภวังคจิตที่เป็นอัพยากฤตเป็นทุกขสัจจะ.

สัตว์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่ว่าพระพุทธเจ้าหรือพระสาวก อย่างต่ำ มดดำ มดแดง

ต้องกระทำกาละด้วยภวังคจิตที่เป็นอัพยากฤตเป็นทุกขสัจทั้งนั้นแล. เรื่องแผ่น

ดินใหญ่ไหวเป็นต้น มีนัยดังกล่าวไว้แล้วแล.

บทว่า ภูตา ได้แก่ สัตว์ทั้งหลาย บทว่า อปฺปฏิปุคฺคโล ได้แก่

ปราศจากบุคคลที่เปรียบเทียบได้. บทว่า พลปฺปตฺโต คือ ผู้ถึงพลญาณ ๑๐.

บทว่า อุปฺปาทวยธมฺมิโน ได้แก่ มีอันเกิดและดับเป็นสภาวะ. บทว่า เตส

วูปสโม ความว่า ความระงับสังขารเหล่านั้น ก็คือพระนิพพานอันไม่มี

ปัจจัยปรุงแต่งแท้จริง เป็นสุข. บทว่า นาหุ อสฺสาสปสฺสาโส คือไม่เกิด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 444

อัสสาสปัสสาสะ. บทว่า อเนโช ชื่อว่า อเนชะ เพราะไม่มีกิเลสเป็นเครื่อง

ไหวคือตัณหา. บทว่า สนฺติมารพฺภ ได้แก่ ปรารภอาศัยหมายเอาอนุปาทิ-

เสสนิพพาน บทว่า ย กาลมกริ ผู้ใดได้กระทำกาละ. ท่านอธิบายว่า ผู้มี

อายุ พระพุทธมุนี คือศาสดาของเราพระองค์ใด ทรงปรารภสันติว่า เราจัก

ถึงสันติได้ทรงทำกาละแล้ว บัดนี้พระพุทธมุนีพระองค์นั้น มีจิตทั้งมั่นคงที่

ไม่เกิดอัสสาสปัสสาสะ คือไม่มีไม่เป็นไป. บทว่า อสลฺลีเนน คือด้วยจิตไม่

หดหู่ เบิกบานดีแล้วแล. บทว่า เวทน อชฺฌาวสยิ ทรงอดกลั้นเวทนาแล้ว

คือไม่กระสับกระส่าย เป็นไปตามอำนาจของเวทนา. บทว่า วิโมกฺโข ได้แก่

หลุดพ้นไม่ติดขัดด้วยธรรมอะไร ๆ ถึงความไม่มีบัญญัติ โดยประการทั้งปวง

เป็นเช่นเดียวกับความดับของไฟที่โพลงแล้ว. ท่านกล่าวว่า ตทาสิ หมายเอา

แผ่นดินไหวที่ท่านกล่าวไว้ในหนหลังอย่างนี้ว่า แผ่นดินใหญ่ไหวพร้อมกับ

ปรินิพพาน. จริงอยู่ความไหวแห่งแผ่นดินนั้น ทำให้เกิดขนลุก และน่าสะพรึง

กลัว. บทว่า สพฺพาการวรูเปเต แปลว่า เข้าถึงเหตุอันประเสริฐทั้งปวง.

บทว่า อวีตราคา ได้แก่ ปุถุชน พระโสดาบัน และพระสกทาคามี.

จริงอยู่ ปุถุชน พระโสดาบันและพระสกทาคามีเหล่านั้นยังละโทมนัสไม่ได้.

เพราะฉะนั้น ท่านแม้เหล่านั้นประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญ วางมือทั้งสอง

ไว้เหนือศีรษะร้องไห้. เรื่องทั้งหมดพึงทราบโดยนัยก่อนนั่นแหละ.

บทว่า อุชฺฌายนฺติ คือ เทวดายกโทษกล่าวอยู่ว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้ง

หลายไม่อาจอดกลั้นแม้ด้วยตนเองได้ จักปลอบโยนชนที่เหลือได้อย่างไร.

บทว่า กถ ภูตา ปน ภนฺเต อนุรุทฺธ ความว่า ท่านผู้เจริญ พวกเทวดา

เป็นอย่างไร. พระอนุรุทธะกำหนดว่า เทวดาเหล่านั้นจะยับยั้งการปรินิพพาน

ของพระศาสดาได้หรือ. ต่อมา เพื่อจะแสดงความเป็นไปของเทวดาเหล่านั้น

พระเถระจึงกล่าวว่า สนฺตาวุโส เป็นต้น. คำนั้นมีข้อความที่กล่าวไว้แล้วทั้ง

นั้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 445

บทว่า รตฺตาวเสส คือราตรีที่ยังเหลือระยะเวลาเล็กน้อยเพราะ

ปรินิพพานในเวลาใกล้รุ่ง. บทว่า ธมฺมิยา กถาย คือไม่มีธรรมกถาที่แยก

ออกไปเป็นอย่างอื่น. แต่ว่า พระเถระเจ้าทั้งสองยังเวลาให้ล่วงไปด้วยกถาที่

เกี่ยวด้วยมรณะเห็นปานนี้ว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระยามัจจุราชนี้ ไม่ละอาย

ต่อพระศาสดาผู้ไม่มีบุคคลเปรียบในโลกพร้อมทั้งเทวโลก ก็จะป่วยกล่าวไปใย

ว่าจะละอายต่อโลกิยมหาชน. ก็เมื่อพระเถระทั้งสองกล่าวกถาอยู่นั้น อรุณก็

ขึ้นโดยครู่เดียวเท่านั้น. บทว่า อถโข ความว่า เมื่ออรุณขึ้น พระเถระก็

กล่าวต่อพระเถระ.

บทว่า เตน กรณีเยน ความว่า กรณียะอันใดอย่างนี้ คือจะพึงจัด

สักการะมีดอกไม้และของหอมเป็นต้น ในที่ปรินิพพานเช่นไรหนอ. จะพึงจัด

ที่นั่งสำหรับภิกษุสงฆ์เช่นไร. จะพึงจัดขาทนียะ โภชนียะ เช่นไร. อันผู้รู้

เรื่องพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วจะพึงกระทำ พวกเจ้ามัลละประชุมกัน

ด้วยกรณียะเช่นนั้น. บทว่า สพฺพญฺจ ตาลาวจร ได้แก่ เครื่องดุริยางค์

ทุกชนิด. บทว่า สนฺนิปาเตถ ความว่า ตีกลองเรียกประชุม. เจ้ามัลละ

เหล่านั้น ได้กระทำกันอย่างนั้น. บทว่า มณฺฑลมาเล ได้แก่ นำมาลัยวง

ด้วยผ้า. บทว่า ปฏิยาเทนฺตา แปลว่า จัด. บทว่า ทกฺขิเณน ทกฺขณ

คือ ทิศาภาคด้านทักษิณแห่งพระนคร. บทว่า พาหิเรน พาหิร ได้แก่ ไม่เข้า

ไปภายในพระนคร นำไปข้างนอก โดยข้างนอกพระนครนั่นแหละ. บทว่า

ทกฺขิณโต นครสฺส ความว่า ตั้งไว้ในสถานที่เช่นเดียวกับประตูด้านทักษิณ

ของกรุงอนุราธปุระ กระทำสักการะสัมมานะแล้วจักทำฌาปนกิจในสถานที่

เช่นเดียวกับพระเชตวัน.

บทว่า อฏฺ มลฺลปาโมกฺขา ได้แก่ พวกเจ้ามัสละรุ่นมัชฌิมวัย

สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง. บทว่า สีส นฺหาตฺวา ได้แก่ ชำระศีรษะอาบน้ำแล้ว.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 446

บทว่า อายสฺมนฺต เถร ความว่า พระเถระผู้เดียวปรากฏว่าเป็นผู้มีทิพยจักษุ

เพราะฉะนั้น เมื่อพระเถระองค์อื่น ๆ แม้มีอายุ พวกเจ้ามัลละเหล่านั้น ก็

เรียนถามเฉพาะพระเถระ ด้วยประสงค์ว่า ท่านพระอนุรุทธเถระนี้ จักบอกแก่

พวกเราได้ชัดเจน. บทว่า กถ ปน ภนฺเต เทวตาน อธิปฺปาโย ความว่า

พวกเจ้ามัลละเรียนถามว่า ท่านเจ้าข้า ก่อนอื่น พวกเรารู้ความประสงค์ของ

พวกเรา แต่ความประสงค์ของเหล่าเทวดาเป็นอย่างไร. พระเถระเมื่อจะแสดง

ความประสงค์ของพวกเจ้ามิลละเท่านั้น จึงกล่าวว่า ตุมฺหาก โข เป็นต้น.

คำว่า เจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ชื่อว่า มกุฏพันธนะนี้ เป็นชื่อของศาลา

มงคลเป็นที่แต่งพระองค์ของพวกเจ้ามัลละ. ก็ศาลานี้ ท่านเรียกว่าเจดีย์ เพราะ

อรรถว่า ท่านสร้างไว้อย่างงดงาม. ในคำว่า ยาว สนฺธิสมลสงฺกฏิรา นี้

ที่ต่อเรือน ชื่อว่าสันธิ บ่อกำจัดกองคูถ (บ่อคูถ) ชื่อว่า สมละ ที่เทขยะ

ชื่อว่า สังกฏิระ. บทว่า ทิพฺเพหิ จ มานุสเกหิ จ นจฺเจหิ ความว่า การ

ฟ้อนรำของเหล่าเทวดามี ณ เบื้องบน ของเหล่ามนุษย์มี ณ เบื้องล่าง. ในการ

ขับร้องเป็นต้น ก็นัยนี้. อนึ่ง ในระหว่างเหล่าเทวดา ก็มีเหล่ามนุษย์ ใน

ระหว่างเหล่ามนุษย์ก็มีเทวดา ทั้งเทวดาและมนุษย์ได้พากันไปสักการะบูชา

แม้ด้วยประการดังกล่าวมานี้.

บทว่า มชฺเฌน มชฺฌ นครสฺส หริตฺวา ความว่า เมื่อพระสรีระ

ของพระผู้มีพระภาคเจ้าถูกเขานำมาอย่างนี้ ภรรยาของพันธุลเสนาบดี ชื่อว่า

มัลลิกา ทราบว่า เขานำพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้ามา ก็คิดว่าเราจัก

ให้เขานำเครื่องประดับชื่อมหาลดาประสาธน์ เช่นเดียวกับเครื่องประดับของนาง

วิสาขา ซึ่งเราเก็บไว้ไม่ได้ใช้สอยมาตั้งแต่สามีของตนตายไป จักบูชาพระศาสดา

ด้วยมหาลดาประสาธน์นี้ ดังนี้แล้ว ให้ทำความสะอาดมหาลดาประสาธน์นั้น

ชำระด้วยน้ำหอมแล้ววางไว้ใกล้ประตู. เขาว่า เครื่องประดับนั้น มีอยู่ในสถาน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 447

ที่ ๓ แห่ง คือ ที่เรือนของสตรีทั้งสองนั้น (นางวิสาขา และนางมัลลิกา) และ

เรือนของโจรชื่อว่า เทวนานิยะ. ก็นางมัลลิกานั้น กล่าวว่า เมื่อพระสรีระของ

พระศาสดามาถึงประตูแล้ว พ่อทั้งหลาย จงวางพระสรีระของพระศาสดา

ลงแล้ว สวมเครื่องประดับนี้ที่พระสรีระของพระศาสดา. เครื่องประดับ

นั้น สวมตั้งแต่พระเศียรจนจรดพื้นพระบาท พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า

ซึ่งมีพระฉวีวรรณเหมือนทองคำ ประดับด้วยมหาลดาประสาธน์ ที่ทำด้วยรัตนะ

๗ ประการ ก็รุ่งเรืองยิ่งนัก. นางมัลลิกานั้นเห็นดังนั้นแล้ว ก็มีจิตผ่องใส

ทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระองค์ จักโลดแล่นอยู่ใน

วัฏฏสงสารตราบใด ตราบนั้น กิจด้วยเครื่องประดับ จงอย่าแยกจากข้าพระ-

องค์ ขอสรีระจงเป็นเช่นเดียวกับเครื่องประดับที่สวมใส่อยู่เป็นนิตย์เถิด. ครั้งนั้น

พวกเจ้ามัลลปาโมกข์ ยกพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยเครื่องมหาลดาประ-

สาธน์ ที่ทำด้วยรัตนะ ๗ ประการ ออกทางประตูทิศบูรพา วางพระสรีระของ

พระผู้มีพระภาคเจ้าลง ณ มกุฏพันธนะเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละทางเบื้องทิศบูรพา

แห่งพระนคร.

บทว่า ปาวาย กุสินาร ความว่า ท่านพระมหากัสสปะ เดินทางไกล

ด้วยหมายใจว่า จักเที่ยวไปบิณฑบาตในนครปาวาแล้วจักไปยังนครกุสินารา.

ในคำว่า นั่ง ณ โคนไม้นี้ เหตุไร ท่านจึงไม่กล่าวว่าพักกลางวัน. เพราะท่าน

ไม่นั่งเพื่อต้องการจะพักกลางวัน. ความจริง เหล่าภิกษุบริวารของพระเถระ

ล้วนแต่จำเริญสุข มีบุญมาก ท่านเดินทางด้วยเท้าบนแผ่นดินที่เสมือนแผ่นหิน

อันร้อนในเวลาเที่ยง พากันลำบาก. พระเถระเห็นภิกษุเหล่านั้น ก็คิดว่า

ภิกษุทั้งหลายพากันลำบาก ทั้งสถานที่ ๆ จะไปก็ยังอยู่ไกล จักพักเสียเล็กน้อย

ระงับความลำบาก ตอนเย็น ถึงนครกุสินาราจักเข้าเฝ้าพระทศพล จึงแวะลง

จากทาง ปูสังฆาฏิที่โคนไม้แห่งหนึ่ง แล้วเอาน้ำจากคณโฑน้ำลูบมือและเท้า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 448

ให้เย็นแล้วนั่งลง. แม้เหล่าภิกษุบริวารของท่าน ก็นั่ง ณ โคนไม้ ใช้โยนิ

โสมนสิการทำกัมมัฏฐาน นั่งสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย. ดังนั้น ท่านจึงไม่

กล่าวว่าพักกลางวัน. เพราะนั่งเพื่อต้องการบรรเทาความเมื่อยล้า.

บทว่า มนฺทารวปุปฺผ คเหตฺวา ได้แก่ เอาไม้เสียบดอกมณฑารพ

ขนาดถาดใหญ่ถือมาดังร่ม. บทว่า อทฺทสา โข ได้แก่ เห็นอาชีวกเดินมา

แต่ไกล. ก็แลครั้นเห็นแล้ว พระเถระคิดว่า นั่นดอกมณฑารพปรากฏอยู่ในมือ

ของอาชีวกนี่ ก็ดอกมณฑารพนั้น ไม่ปรากฏในถิ่นมนุษย์เสมอ ๆ จะมีก็ต่อเมื่อ

ผู้มีฤทธิ์บางท่านแผลงฤทธิ์ และต่อเมื่อพระสัพพัญญูโพธิสัตว์เสด็จลงสู่พระครรภ์

ของพระมารดาเป็นต้น แต่วันนี้ ผู้มีฤทธิ์ไร ๆ ก็ไม่ได้แสดงฤทธิ์นี่ พระศาสดา

ของเราก็ไม่เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา ไม่ได้เสด็จออกจากพระครรภ์

ทั้งวันนี้พระองค์ก็มิได้ตรัสรู้ ไม่ได้ประกาศพระธรรมจักร ไม่ได้แสดงยมก

ปาฏิหาริย์ ไม่ได้เสด็จลงจากเทวโลก ไม่ได้ทรงปลงอายุสังขาร แต่พระศาสดา

ของเราทรงพระชรา จักเสด็จปรินิพพานเสียเป็นแน่แล้ว. ลำดับนั้น พระเถระ

เกิดจิตคิดว่า จักถามเขา จึงดำริว่า ก็ถ้าเรานั่งถาม ก็จักเป็นการกระทำความ

ไม่เคารพในพระศาสดา ดังนี้แล้วจึงลุกขึ้น ห่มบังสุกุลจีวรสีเมฆที่พระทศพล

ประทาน ประหนึ่งพญาช้างฉัททันต์ หลีกออกจากที่ยืน คลุมหนังแก้วมณี

ฉะนั้น ยกอัญชลีอันรุ่งเรืองด้วยทศนัขสโมทานไว้เหนือเกล้า ผินหน้าตรงต่อ

อาชีวกด้วยคารวะที่ทำในพระศาสดา กล่าวถามว่า ผู้มีอายุ ท่านทราบข่าวพระ

ศาสดาของเราบ้างไหม.

ถามว่า ก็ท่านพระมหากัสสปะ รู้การปริพพานของพระศาสดา หรือ

ไม่รู้จึงถาม. อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า การรู้ของพระขีณาสพทั้งหลาย ต้องเนื่อง

ด้วยอาวัชชนะ ความนึก ก็ท่านพระมหากัสสปะนี้ไม่รู้ จึงถาม เพราะท่าน

ไม่ได้นึกไว้. พระเถระมากด้วยสมาบัติ ยังชีวิตให้เป็นไปด้วยการมากไปด้วย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 449

สมาบัติเป็นนิตย์ ในที่อยู่กลางคืน ที่พักกลางวัน ที่เร้นและที่มณฑปเป็นต้น

เข้าบ้านของตระกูลก็เข้าสมาบัติทุกประตูเรือน ออกจากสมาบัติแล้วจึงรับภิกษา

เขาว่า พระกระทำความตั้งใจอย่างนี้ว่า ด้วยอัตภาพสุดท้ายนี้ เราจักอนุเคราะห์

มหาชน ชนเหล่าใด ถวายภิกษาหรือทำสักการะด้วยของหอม... และดอกไม้

เป็นต้นแก่เรา ทานนั้นของชนเหล่านั้นจงมีผลมาก ดังนี้ เพราะฉะนั้น ท่าน

จึงไม่รู้เพราะมากไปด้วยสมาบัติ. ดังนั้น อาจารย์พวกหนึ่งจึงกล่าวว่า ท่านไม่รู้

จึงถาม. คำนั้น ไม่ควรถือเอา. เพราะว่าไม่มีเหตุที่จะไม่รู้ในข้อนั้น. การ

ปรินิพพานของพระศาสดา ได้เป็นการกำหนดไว้ชัดแล้วด้วยนิมิตทั้งหลาย

มีหมื่นโลกธาตุไหวเป็นต้น พระเถระผู้รู้อยู่จึงถามเพื่อให้เกิดสติแก่ภิกษุทั้งหลาย

ด้วยคิดว่า ก็ในบริษัทของพระเถระ ภิกษุบางเหล่าก็เคยเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า

บางเหล่าก็ไม่เคยเห็น บรรดาภิกษุเหล่านั้น แม้ภิกษุเหล่าใดเคยเห็นแล้ว

ภิกษุแม้เหล่านั้นก็ยังอยากจะเห็น แม้ภิกษุเหล่าใดไม่เคยเห็น แม้ภิกษุเหล่านั้น

ก็ยากจะเห็นเหมือนกัน บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใดไม่เคยเห็น ภิกษุ

เหล่านั้นก็ไปเพราะกระหายที่จะเห็นยิ่งนัก ถามว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่ไหน

ทราบว่าปรินิพพานเสียแล้ว ก็จะไม่อาจจะดำรงตัวอยู่ได้ ทิ้งบาตรจีวร นุ่งผ้า

ผืนเดียวบ้าง นุ่งไม่ดีบ้าง ห่มไม่ดีบ้าง ทุบอกร่ำร้องไห้ ในที่นั้น ผู้คนทั้งหลาย

จักแสดงโทษของเราว่า เหล่าภิกษุผู้ถือบังสุกุลจีวริกังคธุดงค์ ที่มากับพระมหา

กัสสปะร้องไห้เสียเองเหมือนสตรี ภิกษุเหล่านั้นจักปลอบโยนพวกเราได้อย่างไร

ก็ป่าใหญ่นคงจะว่างเปล่า เมื่อภิกษุทั้งหลายร้องไห้เหมือนในที่นี้ ขึ้นชื่อว่า

โทษคงจะไม่มี เพราะรู้เรื่องเสียก่อน แม้ความโศกเศร้าก็คงจะเบาบางดังนี้.

บทว่า อชฺช สตฺตาห ปรินิพฺพุโต สมโณ โคตโม แปลว่า

นับถึงวันนี้ พระสมณโคดมปรินิพพานได้ ๗ วันแล้ว. บทว่า ตโต เม อิท

ได้แก่ ดอกมณทารพนี้ ข้าพเจ้าเก็บมาแล้วแต่สถานที่ปรินิพพานของพระสมณ

โคดมนั้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 450

บทว่า สุภทฺโท นาม วุฑฺฒปพฺพชิโต ความว่า คำว่า สุภัททะ

เป็นชื่อของภิกษุนั้น แต่เพราะภิกษุนั้น บวชในเวลาเป็นคนแก่ ท่านจึงเรียกว่า

วุฑฒบรรพชิต. ก็เพราะเหตุไร สุภัททะภิกษุนั้นจึงกล่าวอย่างนี้. เพราะ

อาฆาตในพระผู้มีพระภาคเจ้า. ได้ยินว่า สุภัททะภิกษุนี้นั้น เคยเป็นช่างตัดผม

ในเมืองอาตุมานคร ที่มาในขันธกะ บวชเมื่อแก่ ทราบว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า

เสด็จออกจากนครกุสินาราไปยังอาตุมานครพร้อมกับภิกษุ ๒๕๐ รูป. พระผู้มี

พระภาคเจ้ากำลังเสด็จมา จึงคิดว่าจักกระทำยาคูทานถวายในเวลาเสด็จมา จึง

เรียกบุตร ๒ คน ซึ่งเตรียมตัวจะเป็นสามเณร บอกว่า พ่อเอ๋ย เขาว่า พระผู้มี

พระภาคเจ้าเสด็จมายังอาตุมานคร พร้อมกับภิกษุหมู่ใหญ่ประมาณ ๒๕๐ รูป

ไปเถิดพ่อ จงถือเครื่องมีดโกนพร้อมกับทะนานและถังไปทุกลำดับบ้านเรือน

จงรวบรวมเกลือบ้าง น้ำมันบ้าง ข้าวสารบ้าง ของเคี้ยวบ้าง เราจักกระทำยาคู

ทานถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมา. บุตร ๒ คนนั้นก็ได้กระทำอย่างนั้น.

ผู้คนเห็นเด็กเหล่านั้นมีเสียงเพราะ มีไหวพริบ บ้างประสงค์จักให้

กระทำ บ้างประสงค์จะไม่ให้กระทำ แต่ก็ให้กระทำทั้งนั้น ถามว่า พ่อเอ้ยเจ้า

จักรับไปในเวลาทำหรือ. เด็ก ๒ คนนั้นบอกว่า พวกข้าไม่ต้องการอะไรอื่น

แต่พ่อของเราประสงค์จะถวายยาคูทาน ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมา.

ผู้คนได้ฟังดังนั้นแล้วก็ไม่ค่อยนำพา ยอมให้สิ่งที่เด็กทั้ง ๒ นั้น อาจนำไปได้

หมด ที่ไม่อาจนำไปได้ก็ส่งคนไป. ครั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมายังอาตุมา-

นครก็เข้าไปยังโรงลานข้าว ตกเย็น สุภัททะภิกษุก็ไปยังประตูบ้าน เรียก

มนุษย์มากล่าวว่า อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้รับอะไร ๆ อย่างอื่น

จากสำนักของท่านทั้งหลาย ข้าวสารเป็นต้นที่เด็กของข้าพเจ้านำมาเพียงพอแก่

สงฆ์ พวกท่านจงให้เพียงงานฝีมือเถิด. ถามว่า พวกข้าพเจ้าจะทำอย่างไรเจ้าข้า.

สุภัททะภิกษุพูดว่า พวกท่านจงถือเอาสิ่งนี้ ๆ แล้วให้ถือเครื่องอุปกรณ์ทั้งหมด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 451

ให้สร้างเตาไฟที่วิหาร ตนเองนุ่งกาสาวะดำผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง แล้วสั่งว่า

จงทำสิ่งนี้ ครุ่นคิดอยู่ ตลอดทั้งคืน สละทรัพย์หนึ่งแสนให้เขาจัดยาคูสำหรับ

ดื่มกิน และน้ำผึ้ง น้ำอ้อยงบ. ยาคูที่พึงกินแล้วดื่ม ชื่อว่ายาคูสำหรับกินดื่ม.

ของมีเนยใส น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ปลา เนื้อ ดอกไม้ ผลไม้ และรสเป็นต้น

อย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่าของเคี้ยว ใส่ของเคี้ยวทั้งหมดลงในยาคูนั้น. คันธชาติ

ที่หอม ที่เขาใช้ทาศีรษะสำหรับผู้ต้องการเล่นกีฬาก็มี.

ครั้นเวลาเช้าตรู่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติพระสรีรกิจแล้ว มีภิกษุ

สงฆ์แวดล้อม เสด็จบ่ายพระพักตร์เข้าไปยังอาตุมานครเพื่อเที่ยวบิณฑบาต.

ผู้คนทั้งหลายก็บอกแก่สุภัททะภิกษุนั้นว่า พระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จเข้า

บ้านบิณฑบาต ท่านจัดยาคูไว้เพื่อใคร. พระสุภัททะภิกษุนั้น นุ่งห่มผ้ากาสาวะดำ

เหล่านั้น เอามือข้างหนึ่งจับทัพพีและกระบวย คุกเข่าข้างขวาลงที่พื้นดิน ถวาย

บังคมดุจพรหมทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า โปรดทรง

รับยาคูของข้าพระองค์เถิด. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามและทรงฟัง

คำนั้นแล้ว ทรงติเตียนพระสุภัททะวุฑฒบรรพชิตนั้น. เพราะเรื่องนั้น ทรง

บัญญัติ ๒ สิกขาบทคือ สิกขาบทว่าด้วยการชักชวนในสิ่งเป็นอกัปปิยะ และ

สิกขาบทว่า ด้วยการรักษาเครื่องมีดโกน โดยนัยที่มาในขันธกะว่า พระตถาคต

แม้ทรงทราบ ก็ทรงถามดังนี้เป็นต้น แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่า

ภิกษุผู้แสวงหาโภชนะล่วงไปถึงหลายโกฏิกัป พวกเธอบริโภคโภชนะที่เป็น

อกัปปิยะของพวกเธอ อันเกิดขึ้นโดยไม่ชอบธรรม จักต้องไปบังเกิดในอบาย

ทั้งหลาย หลายแสนอัตภาพ จงหลีกไป อย่ามายุดยื้อ ดังนี้แล้ว ได้เสด็จ

บ่ายพระพักตร์ไปเที่ยวภิกษุ แม้ภิกษุรูปหนึ่ง ก็ไม่รับอะไร ๆ เลย.

พระสุภัททะเสียใจ ก็ผูกอาฆาตในพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระผู้มี

พระภาคเจ้านี้เข้าใจว่าเรารู้ทุกสิ่งจึงเที่ยวไป ถ้าไม่ทรงประสงค์จะรับ ก็ควรส่ง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 452

คนไปบอก ขึ้นชื่อว่า อาหารที่สุกแล้วนี้ เมื่อจะตั้งอยู่นานตลอดไป พึงตั้งอยู่

ได้เพียง ๗ วัน แท้จริง ของนี้จะพึงเป็นของที่เราจัด ไว้ตลอดชีวิต พระองค์

ก็ทรงทำให้พินาศเสียสิ้น พระผู้มีพระภาคเจ้านี้ไม่ทรงหวังดีต่อเราเสียเลย.

เมื่อพระทศพลยังทรงพระชนม์อยู่ จึงไม่อาจกล่าวอะไร ๆ ได้. ได้ยินว่า พระ

สุภัททะนั้นคิดอย่างนี้ว่า พระมหาบุรุษนี้ บวชจากตระกูลสูง ถ้าเราพูดอะไรไป

ก็จักทรงคุกคามเราผู้เดียว. พอได้ฟังว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้นี้นั้น ปรินิพพาน

แล้วในวันนี้ ก็ร่าเริงยินดีประดุจได้ลมหายใจ จึงกล่าวอย่างนี้. พระเถระฟังคำ

นั้นแล้ว มิได้สำคัญว่าประหนึ่งถูกประหารที่หทัย ประหนึ่งฟ้าปราศจากเมฆ

ผ่าลงบนกระหม่อม. แต่พระเถระเกิดธรรมสังเวช. พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพาน

ได้เพียง ๗ วัน แม้วันนี้ พระสรีระของพระองค์ มีพระฉวีวรรณดังทองคำ

ก็ยังดำรงอยู่ทีเดียว. กากบาปเสี้ยนหนามอันใหญ่เกิดขึ้นเร็วอย่างนี้ในพระศาสนา

ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำมาด้วยทุกข์ยาก ก็คนบาปนี้ นี้เมื่อเติบโต ได้คน

อื่นเห็นบาปนั้นเป็นพรรคพวก ก็อาจจะทำพระศาสนาให้เสื่อมถอยได้.

ลำดับนั้น พระเถระคิดว่า ก็ถ้าเราจักให้หลวงตาผู้นี้นุ่งผ้าเก่า เอาขี้เถ้า

โรยศีรษะ ขับไล่ไป. ผู้คนทั้งหลายก็จะพากันยกโทษพวกเราว่า เมื่อพระสรีระ

ของพระสมณโคดมยังคงอยู่ เหล่าสาวกก็วิวาทกัน เพราะฉะนั้น เราจึงอดกลั้น

ไว้ก่อน ก็ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว ก็เสมือนกองดอกไม้ที่ยังไม่ได้

ควบคุม ในธรรมที่ทรงแสดงแล้วนั้น เปรียบเหมือนดอกไม้ทั้งหลายที่ต้องลม

ย่อมกระจัดกระจายไป ฉันใด สิกขาบท ๑-๒ สิกขาบทในวินัยก็จักพินาศ

ปัญหาวาระ ๑-๒ วาระ ในสูตรก็จักพินาศ ภูมิอื่น ๑-๒ ภูมิ ในอภิธรรม

ก็จักพินาศ ในเมื่อเวลาล่วงไป ๆ ด้วยอำนาจบุคคลชั่วเห็นบาปนี้ ก็ฉันนั้น

เหมือนกัน. เมื่อมูลรากพินาศไปอย่างนี้ พวกเราก็จักเป็นเสมือนปีศาจ. เพราะ

ฉะนั้น เราจำจักต้องสังคายนาธรรมวินัย เมื่องเป็นดังนี้ ธรรมนี้ วินัยนี้ ก็จัก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 453

มั่นคงเหมือนดอกไม้ที่คุมไว้ด้วยด้ายเหนียว ก็เพื่อประโยชน์อย่างนี้ พระผู้มี

พระภาคเจ้าจึงเสด็จต้อนรับเรา ตลอดทาง ๓ คาวุต (๓๐๐ เส้น) ประทาน

อุปสมบทด้วยโอวาท ๓ ประการ ทรงเปลี่ยนจีวรจากพระวรกาย ตรัสปฏิปทา

เปรียบด้วยดวงจันทร์ ประหนึ่งสั่นมือในอากาศ ทรงยกย่องเราเป็นกายสักขี

(มีวิหารธรรมเสมอด้วยพระองค์) ทรงมอบความเป็นสกลศาสนทายาท ๓ ครั้ง

ว่า เมื่อภิกษุเช่นเรายังดำรงอยู่ ภิกษุชั่วผู้นี้จักไม่ได้ความเจริญในพระศาสนา.

อธรรมยังไม่รุ่งเรือง ธรรมก็จะไม่เสื่อมถอย อวินัยยังไม่รุ่งเรือง วินัยก็จะไม่

เสื่อมถอย ฝ่ายอธรรมวาทียังไม่มีกำลัง ฝ่ายธรรมวาทีก็จะไม่อ่อนกำลัง ฝ่าย

อวินัยวาทียังไม่มีกำลัง ฝ่ายวินัยวาทีก็จะไม่อ่อนกำลัง เพียงใด เราก็จักสังคายนา

ธรรมและวินัยเพียงนั้น. แต่นั้น เหล่าภิกษุรวบรวมภิกษุที่เป็นสภาคกัน เพียง

พอแก่ตน ๆ ก็จักกล่าวสิ่งที่ควรและไม่ควรได้ เมื่อเป็นดังนี้ ภิกษุชั่วผู้นี้ตนเอง

ก็ประสบนิคคหะ ไม่อาจเงยศีรษะได้อีก พระศาสนาก็จักมั่นคงและแพร่หลาย.

พระเถระคิดว่า เราเกิดจิตคิดอย่างนี้แล้ว ยังไม่อาจบอกใครๆ ได้แต่ปลอบโยน

ภิกษุสุงฆ์. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อถโข อายสฺมา มหากสฺสโป

ฯเปฯ เนต าน วิชฺชติ ดังนี้.

บทว่า จิตก ได้แก่ จิตกาธาน ที่ทำด้วยไม้จันทน์ประดับด้วยรัตนะ

สองพัน. บทว่า อาลิมฺเปสฺสาม ได้แก่ ช่วยกันจุดไฟ. บทว่า น สกฺโกนฺติ

คือ ชนทั้งหลาย ๘ คนบ้าง ๑๖ คนบ้าง ถือคบไฟเป็นคู่ ๆ เพื่อติดไฟ พัดด้วย

ใบตาล เป่าด้วยสูบ แม้กระทำการณ์นั้น ๆ ก็ไม่อาจทำให้ไฟติดได้. พึงทราบ

วินิจฉัยในคำว่า เทวตาน อธิปฺปาโย นี้ดังนี้. ได้ยินว่า เทวดาเหล่านั้น เป็น

เทวดาอุปัฏฐากของพระเถระนั่นเอง. ความจริง เพราะจิตเลื่อมใสพระอสีติ

มหาสาวก อุปัฏฐาก ๘๐,๐๐๐ ตระกูล ของพระมหาสาวกเหล่านั้น ก็ไปบังเกิด

ในสวรรค์. ลำดับนั้น เหล่าเทวดาผู้มีจิตเลื่อมใสในพระเถระแล้วบังเกิดใน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 454

สวรรค์ ไม่เห็นพระเถระในสมาคมนั้น คิดว่า พระเถระประจำตระกูลของ

พวกเราไปเสียที่ไหนหนอ ก็เห็นท่านเดินอยู่ระหว่างทาง จึงพากันอธิษฐานว่า

เมื่อพระเถระประจำตระกูลของพวกเรายังไม่ได้ถวายบังคมพระสรีระของพระผู้มี

พระภาคเจ้า ขอจิตกาธานอย่าเพิ่งติดไฟ ดังนี้. เหล่าผู้คนฟังเรื่องนั้นแล้วคิดว่า

เขาว่าพระมหากัสสปะ กล่าวว่า ดูก่อนท่านภิกษุ เราจักถวายบังคมพระบาท

ของพระทศพล พร้อมกับภิกษุ ๕๐๐ รูป ดังนี้แล้วจึงมา เมื่อยังมาไม่ถึง

จิตกาธานก็จักไม่ติดไฟ ผู้เจริญ ภิกษุนั้นเป็นเช่นไร ดำ ขาว สูง เตี้ย

เมื่อภิกษุเช่นนี้ยังดำรงอยู่ ทำไมพระทศพลจึงปรินิพพาน ดังนี้แล้ว บางพวก

ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นเดินสวนทาง บางพวกทำถนนให้สวยงาม ยืน

สำรวจทางที่จะมา.

คำว่า อถโข อายสฺมา มหากสฺสโป เยน กุสินารา ฯเปฯ สิรสา

วนฺทิ ความว่า ได้ยินว่า พระเถระกระทำประทักษิณจิตกาธาร พลางรำลึก

กำหนดว่า ตรงนี้พระเศียร ตรงนี้พระบาท. แต่นั้น พระเถระก็ยืนใกล้พระบาท

ทั้งสอง เข้าจตุตถฌาน อันเป็นบาทแห่งอภิญญา ออกจากฌานแล้วอธิษฐานว่า

ขอพระยุคลบาทของพระทศพล ที่มีลักษณะจักรอันประกอบด้วยซี่ ๑,๐๐๐ ซี่

ประดิษฐานแล้ว จงชำแรกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ พร้อมกับชั้นสำลี รางทอง และ

จิตกาธานไม้จันทน์ออกเป็น ๒ ช่อง ประดิษฐานเหนือเศียรเกล้าของข้าพระองค์

ด้วยเถิด. พร้อมด้วยจิตอธิษฐาน พระยุคลบาท ก็ชำแรกคู่ผ้า ๕๐๐ คู่ เป็นต้น

เหล่านั้นโผล่ออกมา ประหนึ่งจันทร์เพ็ญออกจากระหว่างพลาหกฉะนั้น. พระ

เถระเหยียดมือทั้ง ๒ เสมือนดอกปทุมแดงที่คลี่บานแล้ว จับพระยุคลบาทของ

พระศาสดา อันมีพระฉวีวรรณดังทองคำจนถึงข้อพระบาทไว้มั่นแล้ว ประดิษ-

ฐานไว้เหนือเศียรเกล้าอันประเสริฐของตน. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เผย

พระบาทถวายบังคมพระบาทของผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 455

มหาชน เห็นความอัศจรรย์ดังนั้นแล้ว บันลือสีหนาทกระหึ่มขึ้น

พร้อมกัน บูชาด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นแล้วไหว้ตามความพอใจ. ก็แล

พอพระเถระ มหาชน และภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านั้น ถวายบังคมแล้ว ก็ไม่มี

กิจที่จะต้องอธิษฐานอีก. ด้วยอำนาจการอธิษฐานตามปกติเท่านั้น ฝ่าพระยุคล

บาทของพระผู้มีพระภาคเจ้ามีวรรณะดังน้ำครั่ง พ้นจากมือของพระเถระแล้ว

ไม่กระทำไม้จันทน์เป็นต้นอะไรให้ไหว ประดิษฐานอยู่ในที่เดิม. จริงอยู่

เมื่อพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าออกมาหรือเข้าไป ใยสำลีก็ดี เส้นผ้า

ก็ดี หยาดน้ำมันก็ดี ชิ้นไม้ก็ดี ไม่เคลื่อนจากที่เลย. ทั้งหมดตั้งอยู่ตามเดิม

นั่นแล. แต่เมื่อพระยุคลบาทของพระตถาคตตั้งขึ้นแล้วก็หายวับไป เหมือน

พระจันทร์และพระอาทิตย์อัสดงคต มหาชนพากันร้องไห้ยกใหญ่. น่ากรุณา

ยิ่งกว่าครั้งปรินิพพานเสียอีก.

ก็คำว่า สมเยว ภควโต จิตโก ปชฺชลิ นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจ

มองไม่เห็นใคร ๆ ผู้พยายามจะติดไฟ. ก็จิตกาธานนั้นติดไฟพรึบเดียวโดยรอบ

ด้วยอานุภาพของเทวดา. บทว่า สรีราเนว อวสิสฺสึสุ ความว่า เมื่อก่อนได้

ชื่อว่า สรีระ ก็เพราะตั้งอยู่ด้วยโครงร่างอันเดียวกัน บัดนี้ท่านกล่าวว่าสรีระ

ทั้งหมดกระจัดกระจายไปแล้ว. อธิบายว่า พระธาตุทั้งหลาย ก็เสมือนดอก

มะลิตูม เสมือนแก้วมุกดาที่เจียรนัยแล้ว และเสมือนจุณทองคำยังเหลืออยู่.

จริงอยู่ สรีระของพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืนทั้งหลาย ย่อมติดกันเป็นพืด

เช่นกับแท่งทองคำ. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานพระธาตุให้กระจาย

ว่า เราอยู่ได้ไม่นานก็จะปรินิพพาน ศาสนาของเรายังไม่แพร่หลายไปในที่ทั้ง

ปวงก่อน เพราะฉะนั้น เมื่อเราแม้ปรินิพพานแล้ว มหาชนถือเอาพระธาตุแม้

ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดทำเจดีย์ในที่อยู่ของตน ๆ ปรนนิบัติ จงมีสวรรค์

เป็นที่ไปในเบื้องหน้า. ถามว่า พระธาตุอย่างไหนของพระองค์กระจัดกระจาย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 456

อย่างไหนไม่กระจัดกระจาย. ตอบว่า พระธาตุ ๗ เหล่านี้คือ พระเขี้ยวแก้ว

๔ พระรากขวัญ ๒ พระอุณหิส ๑ ไม่กระจัดกระจาย นอกนั้นกระจัดกระจาย.

บรรดาพระธาตุเหล่านั้น พระธาตุเล็ก ๆ ทั้งหมดได้มีขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์

ผักกาด พระธาตุใหญ่ขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารหักกลาง พระธาตุขนาดใหญ่ยิ่ง

มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวหักกลาง.

บทว่า อุทกธารา ความว่า ท่อน้ำขนาดปลายเท่าแขนก็ดี ขนาดแข้ง

ก็ดี ขนาดลำตาลก็ดี ตกจากอากาศดับไป. คำว่า อุทก สาลโตปิ นี้ ท่าน

กล่าวหมายต้นสาละที่ยืนต้นล้อมอยู่. ท่อน้ำออกจากระหว่างลำต้น และระหว่าง

ด่าคบของต้นสาละเหล่านั้นดับไฟ. จิตกาธานของพระผู้มีพระภาคเจ้าขนาดใหญ่.

เกลียวน้ำขนาดเท่างอนไถ แม้ชำแรกดินโดยรอบ เช่นเดียวกับพวงแก้วผลึก

ผุดขึ้นจับจิตกาธาร. บทว่า คนฺโธทเกน ได้แก่ น้ำหอมนานาชนิด ที่เขา

บรรจุหม้อทอง หม้อเงินให้เต็มนำมา. บทว่า นิพฺพาเปสุ ความว่า เหล่าเจ้า

มัลละดับจิตกาธานเกลี่ยด้วยไม้ ๘ อัน ที่ทำด้วยทองและเงิน. ก็เมื่อไฟกำลังไหม้

จิตกาธานนั้นอยู่ เปลวไฟก็พุ่งขึ้นจากระหว่างกิ่ง ค่าคบและใบของต้นสาละที่

ยืนต้นล้อมอยู่. ใบ กิ่ง หรือ ดอกไม่ไหม้เลย. ทั้งมดแดง ทั้งลิง ทั้งสัตว์

เล็ก ๆ เที่ยวไปโดยระหว่างเปลวไฟ. ธรรมดาในท่อน้ำที่ตกจากอากาศก็ดี ใน

ท่อน้ำที่ออกจากต้นสาละก็ดี ในท่อน้ำที่ชำแรกแผ่นดินออกไปก็ดี ควรถือเอา

เป็นประมาณ.

ก็แลครั้นดับจิตกาธานอย่างนี้แล้ว เหล่าเจ้ามัลละก็ให้ประพรมด้วย

คันธชาติ ๔ ชนิด ที่สัณฐาคาร โปรยดอกไม้มีข้าวตอกเป็นที่คำรบห้า ติด

เพดานผ้าไว้เบื้องบน ขจิตด้วยดาวทองเป็นต้น ห้อยพวงของหอมพวงมาลัย

และพวงแก้ว ให้ล้อมม่านและเสื่อลำแพนไว้สองข้างตั้งแต่สัณฐาคารจนถึงมงคล

ศาลาที่ประดับศีรษะ กล่าวคือมกุฏพันธน์ แล้วติดเพดานผ้าไว้เบื้องบน จิต

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 457

ด้วยดาวทองเป็นต้น ห้อยพวงของหอมพวงมาลัยและพวงแก้วแม้ในที่นั้น ให้

ยกธง ๕ สี โดยสีก้านมณีและไม้ไผ่ ล้อมธงชัยและธงปฏากไว้โดยรอบ ตั้งต้น

กล้วยและหม้อบรรจุน้ำไว้เต็ม ที่ถนนทั้งหลาย อันรดน้ำและเกลี้ยงเกลาก็ตาม

ประทีปมีด้าม วางรางทองพร้อมด้วยพระธาตุทั้งหลายไว้บนคอช้างที่ประดับ

แล้ว บูชาด้วยมาลัยและของหอมเป็นต้น เล่นสาธุกีฬา นำเข้าไปภายในพระ

นคร วางไว้บนบัลลังก์ที่ทำด้วยรัตนะ ๗ ประการ ณ สัณฐาคาร กั้นเฉวตฉัตร

ไว้เบื้องบน. ครั้นกระทำดังนี้แล้ว ครั้งนั้น เหล่าเจ้ามัลละชาวนครกุสินารา

ให้ทหารถือหอกเป็นลูกกรง ให้ทหารถือธนูเป็นกำแพงล้อมที่สัณฐาคาร บูชา

พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการฟ้อนรำ การขับร้อง การประโคม

ด้วยมาลัย ของหอม ตลอด ๗ วัน บัณฑิตพึงทราบดังกล่าวมาฉะนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สตฺติปญฺชร กริตฺวา ได้แก่ จัดเหล่า

บุรุษถือหอกล้อมไว้. บทว่า ธนุปาการ ได้แก่ จัดเหล่าช้างเรียงลำดับกระพอง

ต่อกันล้อมไว้ก่อน .จากนั้น จัดเหล่าม้าเรียงลำดับคอต่อกัน ต่อนั้น จัดเหล่า

รถเรียงลำดับปลายลิ่มล้อรถต่อกัน ต่อนั้น จัดเหล่าราบยืนเรียงลำดับแขนต่อ

กัน ปลายรอบแถวทหารเหล่านั้น จัดเหล่าธนูเรียงลำดับต่อกันล้อมไว้. เหล่า

เจ้ามัลละจัดอารักขาตลอดที่ประมาณโยชน์หนึ่ง โดยรอบ ๗ วัน ทำประหนึ่ง

ลูกโคสวมเกราะ ด้วยประการฉะนี้.

ท่านหมายเอาข้อนั้นจึงกล่าวว่า ธนุปาการ ปริขิปาเปตฺวา ดังนี้.

ถามว่า ก็เพราะเหตุไร เหล่าเจ้ามัลละเหล่านั้น จึงได้กระทำดังนั้น. ตอบว่า

ใน ๒ สัปดาห์แรกจากนี้ เจ้ามัลละเหล่านั้น กระทำโอกาสที่ยืนและนั่ง

สำหรับภิกษุสงฆ์ จัดแจงของเคี้ยวของฉันถวาย ไม่ได้โอกาสที่จะเล่นสาธุกีฬา.

แต่นั้น เจ้ามัลละเหล่านั้นดำริกันว่า พวกเราจักเล่นสาธุกีฬาตลอดสัปดาห์นี้.

ข้อที่ใคร ๆ รู้ว่าพวกเราประมาท แล้วมายึดเอาพระธาตุทั้งหลายไปเสีย มีฐานะ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 458

ที่จะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น พวกเราจักต้องตั้งกองรักษาการณ์ไว้แล้วเล่น

กีฬากัน. ด้วยเหตุนั้น เจ้ามัลละเหล่านั้นจึงได้กระทำดังนั้น.

บทว่า อสฺโสสิ โข ราชา ความว่า พระเจ้าอาชาตศัตรูทรงทราบ

เรื่องแล้ว. ได้ยินว่า เหล่าอำมาตย์ของท้าวเธอ ครั้งแรกทีเดียวคิดว่า ธรรมดา

ว่าพระศาสดาปรินิพพานแล้ว ใคร ๆ ก็ไม่อาจนำพระองค์มาได้อีก แต่ไม่มีผู้

เสมอเหมือนพระราชาของเรา ด้วยศรัทธาของปุถุชน ถ้าพระราชาพระองค์นี้

จักทรงสดับโดยทำนองนี้ หฤทัยของท้าวเธอจักต้องแตก แต่พวกเราควรระวัง

รักษาพระราชาไว้ดังนี้. อำมาตย์เหล่านั้นจึงนำรางทอง ๓ ราง บรรจุของ

อร่อย ๆ ไว้เต็มนำไปยังราชสำนัก กราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ พวกข้าพระองค์

ฝันไป พระองค์ควรทรงผ้าเปลือกไม้สองชั้นแล้วบรรทมในรางที่เต็มด้วยของ

อร่อย ๆ ๔ อย่าง พอที่ช่องพระนาสิกโผล่ เพื่อขจัดความฝันนั้นเสียพระราชา

สดับคำของเหล่าอำมาตย์ผู้หวังดี ทรงรับสั่งว่า เอาสิพ่อ แล้วได้ทรงกระทำ

อย่างนั้น. ลำดับนั้นอำมาตย์ผู้หนึ่ง เปลื้องเครื่องประดับแล้วสยายผม ผินหน้า

ไปทางทิศที่พระศาสดาปรินิพพาน ประคองอัญชลีทูลพระราชาว่า พระเจ้าข้า

ขึ้นชื่อว่าสัตว์ผู้หลุดพ้นจากความตาย หามีไม่ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น

ทรงเป็นผู้เจริญชนมายุ เป็นเจติยสถาน เป็นบุญเขต เป็นพระแท่นอภิเษก

เป็นศาสดาของเราทั้งหลาย ปรินิพพานแล้ว ณ นครกุสินารา พระราชาทรง

สดับแล้ว ก็ถึงวิสัญญีภาพ (สลบ) ปล่อยไออุ่นในรางอันเต็มด้วยของอร่อย

๔ อย่าง ลำดับนั้น เหล่าอำมาตย์ก็ยกพระองค์ขึ้นจากรางที่ ๑ นั้น ให้บรรทม

ณ รางที่ ๒. ท้าวเธอกลับฟื้นขึ้นมาตรัสถามว่า พ่อเอ๋ย พวกเจ้าพูดอะไรนะ.

กราบทูลว่า พระมหาราชเจ้า พระศาสดาปรินิพพานแล้ว เจ้าข้า. พระราชา

ก็กลับทรงวิสัญญีภาพอีก ปล่อยไออุ่นลงในรางของอร่อย ๔ อย่าง. ลำดับนั้น

เหล่าอำมาตย์ช่วยกันยกท้าวเธอขึ้นจากรางที่ ๒ นั้นแล้ว ให้บรรทมในรางที่ ๓.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 459

ท้าวเธอทรงกลับพื้นขึ้นมาตรัสถามว่า พ่อเอ๋ย พวกเจ้าพูดอะไรนะ. กราบทูล

ว่า พระศาสดาปรินิพพานแล้ว พระเจ้าข้า. พระราชาก็ทรงวิสัญญีภาพอีก.

ครั้งนั้น เหล่าอำมาตย์ช่วยกันยกพระองค์ขึ้นให้สรงสนาน เอาหม้อน้ำรดน้ำ

ลงบนพระเศียร.

พระราชาทรงจำได้แล้ว ลุกจากที่ประทับนั่งสยายพระเกศา ที่มีวรรณะ

ดั่งแก้วมณีอบด้วยของหอมทอดพระปฤษฏางค์ ที่มีวรรณะดังแผ่นทองคำ

เอาฝ่าพระหัตถ์ตบพระอุระ จับพระอุระที่มีวรรณะดังผลตำลึงทองคำ ประหนึ่ง

ว่าจะเสียบด้วยนิ้วพระหัตถ์อันกลมกลึง ที่มีวรรณะดุจหน่อแก้วประพาฬ ทรง

คร่ำครวญ เสด็จลงไปในระหว่างถนน ด้วยเพศของคนวิกลจริต ท้าวเธอมี

นางรำที่แต่งตัวแล้วเป็นบริวาร เสด็จออกจากพระนครไปยังสวนมะม่วงของ

หมอชีวกทอดพระเนตรสถานที่ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งแสดงธรรม

พร่ำปริเทวนาการซ้ำ ๆ ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้สัพพัญญูประทับนั่งแสดง

ธรรมที่นี้ มิใช่หรือ ? ทรงบรรเทาความโศกศัลย์ของข้าพระองค์ พระองค์

ทรงนำความโศกศัลย์ของข้าพระองค์ออกไป ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้า

พระองค์มายังสำนักของพระองค์แล้ว แต่บัดนี้ พระองค์ไม่ประทานแม้คำโต้

ตอบแก่ข้าพระองค์ และตรัสคำเป็นต้นอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า

ข้าพระองค์สดับมาในเวลาอื่น มิใช่หรือ ? ว่าในเวลาเห็นปานนั้น พระองค์

มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จจาริกไป ณ ภาคพื้นชมพูทวีป แต่บัดนี้

ข้าพระองค์ก็ได้แต่ฟังเรื่องอันไม่เหมาะ. ไม่ควร แก่พระองค์เลย แล้วทรง

รำลึกพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถาประมาณ ๖๐ คาถา ทรงพระ

ดำริว่า อะไร ๆ ย่อมไม่สำเร็จได้ด้วยปริเทวนาการของเรา จำเราจักให้นำ

พระบรมธาตุของพระทศพลมา. ทรงสดับมาอย่างนี้แล้ว ครั้นแล้ว เมื่อทรง

หายวิสัญญีภาพเป็นต้นแล้ว ก็โปรดส่งทูตไป. ท่านหมายเอาเรื่องนั้น จึงกล่าว

ว่า อถ โข ราชา เป็นอาทิ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 460

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทูต ปาเหสิ ได้แก่ ทรงส่งทูตและ

บรรณาคารไป. พระเจ้าอชาตศัตรูทรงพระดำริว่า ถ้าพวกเจ้ามัลละจักให้ ก็เป็น

การดี ถ้าเขาไม่ให้ ก็จำเราจักต้องนำมาด้วยอุบาย นำมาให้ได้ดังนี้แล้ว ทรง

จัดกองทัพ ๔ เหล่า เสด็จออกไปด้วยพระองค์เอง. แม้เหล่าเจ้าลิจฉวีเป็นต้น

ก็ส่งทูตไป เสด็จออกไปด้วยพระองค์เอง พร้อมด้วยกองทัพ ๔ เหล่าเหมือน

พระเจ้าอชาตศัตรูฉะนั้น. ถ้ามีคำถามว่า บรรดาเจ้าเหล่านั้น เจ้ามัลละชาวนคร

ปาวา มีระยะใกล้กว่าเขาทั้งหมด อยู่ในนครปาวาระยะ ๓ คาวุต แต่นครกุสิ-

นารา แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้านครปาวาแล้ว ก็ยังเสด็จไปนครกุสินารา

เมื่อเป็นเช่นนั้น เพราะเหตุไร พวกเจ้ามัลละนครปาวา จึงไม่เสด็จมาเสียก่อน.

ตอบว่า เพราะว่าพวกเจ้าเหล่านั้น มีบริวารมาก เมื่อทำกิจกะปริวารที่มาก

จึงมาภายหลัง. บทว่า เต สงฺเฆ คเณ เอตทโวจุ ความว่า พวกเจ้าและ

พราหมณ์ทั้งหมดเหล่านั้น รวมเป็นชาวนคร ๗ นคร พากันมาแล้ว ยื่นคำ

ขาดว่า เหล่าเจ้ามัลละจะให้พระบรมธาตุแก่พวกเราหรือจะรบ. แล้วตั้งทัพล้อม

นครกุสินาราไว้ เหล่าเจ้ามัลละก็ได้กล่าวคำโต้ตอบไปว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า

เสด็จปรินิพพานในคามเขตของพวกเรานี่.

ได้ยินว่า เจ้าเหล่านั้น ตรัสอย่างนี้ว่า พวกเราไม่ได้ส่งข่าวของพระ

ศาสดา พวกเราไปก็ไม่ได้นำข่าวมา แต่พระศาสดาเสด็จมาเอง ทรงส่งข่าวไป

รับสั่งให้เรียกพวกเรา แต่แม้พวกท่านก็ไม่ให้พระรัตนะที่เกิดในคามเขตของ

พวกท่านแก่พวกเรา ธรรมดาว่า พระรัตนะที่เสมอด้วยพระพุทธรัตนะไม่มีใน

โลก พร้อมทั้งเทวโลก พวกเราได้พระรัตนะอันสูงสุดเห็นปานนี้ จักไม่ยอมให้

ก็พวกท่านเท่านั้นดื่มน้ำนมจากถันของมารดา พวกเราไม่ได้ดื่มก็หาไม่. พวก

ท่านเท่านั้นเป็นลูกผู้ชาย พวกเราไม่ได้เป็นลูกผู้ชายหรือ เป็นไรก็เป็นกัน ต่าง

ทำอหังการส่งสาส์นโต้ตอบกัน ใช้มานะขู่คำรามต่อกันและกัน. ก็เมื่อมีการรบ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 461

กัน ฝ่ายเหล่าเจ้ามัลละกรุงกุสินารา น่าได้ชัยชนะ. เพราะเหตุไร ? เพราะเหล่า

เทวดาที่พากันมาเพื่อบูชาพระบรมธาตุ ต้องเป็นฝ่ายของเจ้ามัลละกรุงกุสินารา

เหล่านั้นแน่. แต่ในพระบาลีมาเพียงเท่านี้ว่า เหล่าเจ้ามัลละกรุงกุสินารากล่าวว่า

พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานในคามเขตของพวกเรา พวกเราจักไม่ยอมให้

ส่วนแบ่งแห่งพระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้.

บทว่า เอว วุตฺเต โทโณ พฺราหฺมโณ ความว่า โทณพราหมณ์

สดับเรื่องการวิวาทของกษัตริย์พราหมณ์เหล่านั้นแล้ว ดำริว่า พวกเจ้าเหล่านี้

ก่อวิวาทกันในสถานที่พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพาน เป็นการไม่สมควร การ

ทะเลาะกันนี้ ควรจะพอกันที จำเราจักระงับการวิวาทกันนั้นเสียดังนี้แล้ว ก็ไป

กล่าวข้อความนี้ แก่หมู่คณะ เจ้าเหล่านั้น. กล่าวว่าอย่างไร ? โทณพราหมณ์

ยืนในที่ดอน (สูง) ได้กล่าวคาถาที่ชื่อว่า โทณครรชิต (การบันลือของโทณ-

พราหมณ์) ประมาณ ๒ ภาณวาร. บรรดาภาณวารทั้ง ๒ นั้น ก่อนอื่น

พวกเจ้าเหล่านั้นไม่รู้แม้แต่บทเดียว. จบภาณวารที่ ๒ พวกเจ้าทั้งหมดพูดกันว่า

ผู้เจริญนั้นดูเหมือนเสียงของท่านอาจารย์นี่ ๆ แล้วก็พากันเงียบเสียง. เขาว่า

ในภาคพื้นชมพูทวีป คนที่เกิดในเรือนของตระกูลโดยมาก ชื่อว่า ไม่เป็นศิษย์

ของโทณพราหมณ์นั้นไม่มีเลย. ครั้งนั้น โทณพราหมณ์รู้ว่า เจ้าเหล่านั้น ฟัง

คำของตนแล้วเงียบเสียง นิ่งอยู่ จึงได้กล่าวซ้ำ ได้กล่าว ๒ คาถานี้ว่า สุณนฺตุ

โภนฺโต เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อมฺหาก พุทฺโธ แปลว่า พระพุทธเจ้า

ของพวกเรา. บทว่า อหุ ขนฺติวาโท ความว่า พระองค์แม้ไม่บรรลุพุทธภูมิ

ทรงบำเพ็ญบารมีทั้งหลาย ไม่ทรงทำความโกรธในคนอื่น ๆ ได้กระทำแต่ขันติ

อย่างเดียว ทรงสรรเสริญขันติอย่างเดียว สมัยเสวยพระชาติเป็นขันติวาทีดาบส

สมัยเป็นธรรมปาลกุมาร สมัยเป็นพระยาช้างฉัททันต์ สมัยเป็นพญานาคชื่อ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 462

ภูริทัตตะ สมัยเป็นพญานาคชื่อจัมเปยยกะ สมัยเป็นพญานาคชื่อสังขปาละ สมัย

เป็นกระบี่ใหญ่ และในชาดกอื่น ๆ เป็นอันมาก. จะป่วยกล่าวไปใย บัดนี้

พระพุทธเจ้าของพวกเรา ทรงบรรลุลักษณะความเป็นผู้คงที่ในอิฏฐารมณ์และ

อนิฏฐารมณ์ได้มีพระวาทะเรื่องขันติ. การที่พวกเราจะมาประหัตประหารกัน

ในเหตุเรื่องส่วนแบ่งพระสรีระของพระองค์ผู้เป็นบุคคลสูงสุด อย่างเช่นกล่าว

มานี้นั้น ไม่ดีเลย. คำว่า น หิ สาธุย ตัดบทว่า น หิ สาธุ อย. บทว่า

สรีรภาเค แปลว่า นิมิตแห่งส่วนของพระสรีระ อธิบายว่า เหตุส่วนแห่งพระ-

บรมธาตุ. บทว่า สิย สมฺปหาโร ท่านอธิบายว่า การสัมปหารกันด้วยอาวุธ

ไม่พึงดีเลย. บทว่า สพฺเพว โภนฺโต สหิตา ความว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ

ทั้งหลาย พวกท่านทั้งหมด จงเกื้อกูลกันอย่าแตกกันเลย. บทว่า สมคฺคา

ได้แก่ จงเป็นผู้ประชุมพร้อมกัน พูดคำเดียวกัน สามัคคีกัน ทางกายและทาง

วาจาเถิด. บทว่า สมฺโมทมานา ได้แก่ จงเป็นผู้บรรเทิงต่อกันและกัน แม้

ทางจิตเถิด. บทว่า กโรมฏฺ ภาเค ความว่า จงแบ่งพระสรีระของพระ

ผู้มีพระภาคเจ้าเป็นส่วน. บทว่า จกฺขุมโต ได้แก่พระพุทธเจ้าผู้มีจักษุด้วย

จักษุ ๕. โทณพราหมณ์ได้กล่าวเหตุเป็นอันมากให้เข้าใจกันว่า มิใช่พวกท่าน

พวกเดียวที่เลื่อมใส แม้มหาชนก็เลื่อมใส ในชนเหล่านั้น ผู้ชื่อว่า ไม่ควรจะ

ได้ส่วนแบ่งพระสรีระไม่มีแม้แต่คนเดียว.

บทว่า เตส สงฺฆาน คณาน ปฏิสฺสุณิตฺวา ความว่า เพราะหมู่คณะ

ที่มาประชุมกันจากที่นั้น ๆ เหล่านั้น รับฟัง (ยินยอม) โทณพราหมณ์จึงแบ่ง

พระสรีระของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็น ๘ ส่วน เท่า ๆ กัน. ลำดับความในเรื่อง

นั้น มีดังนี้.

เล่ากันว่า เพราะเจ้าเหล่านั้นยินยอม โทณพราหมณ์จึงสั่งให้เปิดรางทอง.

เจ้าทั้งหลายก็มายืนที่รางทองนั่นแล ต่างแลเห็นพระบรมธาตุทั้งหลายมีวรรณะ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 463

ดั่งทองคำ พากันรำพันว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าสัพพัญญู แต่ก่อนข้า

พระองค์ทั้งหลาย ได้เห็นพระสรีระของพระองค์มีวรรณะดังทองคำ ประดับ

ด้วยพระมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ จิตด้วยพระพุทธรัศมีมีวรรณะ ๖

ประการ งามรุ่งเรืองด้วยพระอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ แต่บัดนี้ ก็เหลือแต่

พระบรมธาตุ มีวรรณะดั่งทองคำ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า การณ์นี้ไม่สมควร

แก่พระองค์เลย. สมัยนั้น แม้โทณพราหมณ์รู้ว่าเจ้าเหล่านั้นเผลอก็ฉวยพระ-

เขี้ยวแก้วเบื้องขวา เก็บไว้ในระหว่างผ้าโพก. ต่อมาภายหลังจึงแบ่งเป็น ๘ ส่วน

เท่า ๆ กัน พระบรมธาตุทั้งหมด รวมได้ ๑๖ ทะนาน โดยทะนานตามปกติ

เจ้านครแต่ละพระองค์ได้ไปองค์ละ ๒ ทะนานพอดี.

ส่วนเมื่อโทณพราหมณ์กำลังแบ่งพระบรมธาตุอยู่นั้นแล. ท้าวสักกะ

จอมเทพสำรวจดูว่า ใครหนอฉกเอาพระเขี้ยวแก้วเบื้องขวาของพระผู้มีพระภาค-

เจ้า ซึ่งเป็นปัจจัยแห่งการตรัสเรื่องสัจจะ เพื่อทรงประสงค์ตัดความสงสัย

ของโลกพร้อมทั้งเทวโลกไป ก็ทรงเห็นว่า พราหมณ์ฉกเอาไป. ทรงดำริว่า

แม้พราหมณ์ก็ไม่อาจทำสักการะอันควรแก่พระเขี้ยวแก้วได้ จำเราจะถือเอา

พระเขี้ยวแก้วนั้นไปเสีย แล้วทรงถือเอาจากระหว่างผ้าโพก บรรจุไว้ในผอบ

ทองคำ นำไปยังเทวโลกประดิษฐานไว้ ณ พระจุฬามณีเจดีย์. ฝ่ายพราหมณ์

ครั้นแบ่งพระบรมธาตุแล้ว ไม่เห็นพระเขี้ยวแก้ว แต่เพราะตนฉกเอาโดยกิริยา

ของขะโมย จึงไม่อาจแม้แต่จะถามว่า ใครฉกเอาพระเขี้ยวแก้วของเราไป.

เห็นแต่การยกโทษลงในตนเองว่า เจ้าเท่านั้นแบ่งพระบรมธาตุมิใช่หรือ ทำไม

เจ้าไม่รู้ว่า พระบรมธาตุของตนมีอยู่ก่อนเล่า. ลำดับนั้น พราหมณ์คิดว่า

ทะนานทองคำนี้ ก็มีคติดังพระบรมธาตุ เราจักทำทะนานทองคำที่ตวงพระบรม-

ธาตุของพระตถาคตเป็นสถูป แล้วจึงทูลว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายโปรดประทาน

ทะนานลูกนี้แก่ข้าพระเจ้าเถิด. แม้เหล่าเจ้าโมริยะ เมืองปิปผลิวัน ก็ส่งทูตไป

ตระเตรียมการรบ ยกออกไปเหมือนพระเจ้าอชาตศัตรูเป็นต้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 464

พระเจ้าอชาตศัตรู ได้ทรงสร้างพระสถูปบรรจุพระสรีระของพระผู้มี

พระภาคเจ้าและงานมหกรรมในกรุงราชคฤห์. ถามว่า ได้ทรงทำอย่างไร ?

ตอบว่า ได้ทรงทำการมหกรรมตั้งแต่กรุงกุสินาราจนถึงกรุงราชคฤห์เป็นระยะ

ทาง ๒๕ โยชน์. ในระหว่างนั้น ทรงให้ทำทางกว้าง ๘ อุสภะปราบพื้นเรียบ

สั่งให้ทำการบูชาในทางแม้ ๒๕ โยชน์ เช่นที่เหล่าเจ้ามัลละสั่งให้ทำการบูชา

ระหว่างมกุฏพันธนเจดีย์และสัณฐาคาร ทรงขยายไปในระหว่างตลาดในที่ทุก

แห่ง เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก ทรงให้ล้อมพระบรมธาตุที่บรรจุไว้ในราง

ทองคำ ด้วยลูกกรงหอก ให้ผู้คนชุมนุมกันเป็นปริมณฑล ๕๐๐ โยชน์ ใน

แคว้นของพระองค์. ผู้คนเหล่านั้นรับพระบรมธาตุ เล่นสาธุกีฬา ออกจาก

กรุงกุสินารา พบเห็นดอกไม้มีสีดั่งทองคำในที่ใด ๆ ก็เก็บดอกไม้เหล่านั้น

ในที่นั้น ๆ บูชาพระบรมธาตุในระหว่างหอก เวลาดอกไม้เหล่านั้นหมดแล้ว

ก็เดินต่อไป เมื่อถึงฐานแอกแห่งรถในคันหลัง ก็พากันเล่นสาธุกีฬาแห่งละ ๗

วัน ๆ เมื่อผู้คนรับพระบรมธาตุมากันด้วยอาการอย่างนี้ เวลาก็ล่วงไป ๗ ปี

๗ เดือน ๗ วัน. เหล่ามิจฉาทิฏฐิพากันติเตียนว่า ตั้งแต่พระสมณโคดมปรินิพพาน

พวกเราก็วุ่นวาย ด้วยการเล่นสาธุกีฬา โดยพลการ การงานของพวกเราเสียหาย

หมด แล้วก็ขุ่นเคืองใจ ไปบังเกิดในอบายประมาณ ๘๖,๐๐๐ คน.

เหล่าพระขีณาสพ ระลึกแล้วเห็นว่า มหาชนขุ่นเคืองใจ พากันบังเกิด

ในอบาย แล้วดำริว่า พวกเราจักให้ท้าวสักกะเทวราชทรงทำอุบายนำพระบรม

ธาตุมา ดังนี้ จึงพากันไปยังสำนักท้าวสักกะเทวราชนั้น ทูลบอกเรื่องนั้นแล้ว

ทูลว่า ท่านมหาราช ขอได้โปรดทรงทำอุบายนำพระบรมธาตุมาเถิด. ท้าว

สักกะตรัสว่า ท่านเจ้าข้า ขึ้นชื่อว่า ปุถุชนที่มีศรัทธาเสมอด้วยพระเจ้าอชาต

ศัตรูไม่มี พระองค์ไม่ทรงเชื่อเราดอก ก็แต่ว่า ข้าพเจ้าจักแสดงสิ่งที่น่าสะพรึง

กลัว. เสมือนมารที่น่าสะพรึงกลัว จักประกาศเสียงดังลั่น จักทำเป็นคนไข้สั่น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 465

ระรัว เหมือนคนผีเข้า ขอพระคุณเจ้าทูลว่า มหาบพิตร พวกอมนุษย์เขา

โกรธเคือง ได้โปรดให้นำพระบรมธาตุไปโดยเร็ว ด้วยอุบายอย่างนี้ ท้าวเธอ

ก็จักทรงให้นำพระบรมธาตุไป. ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะ ก็ได้ทรงทำทุกสิ่งทุก

อย่างดังกล่าวนั้น ฝ่ายพระเถระทั้งหลายก็เข้าไปเฝ้าพระราชาทูลว่า ถวายพระพร

พวกอมนุษย์เขาโกรธเคือง โปรดให้นำพระบรมธาตุไปเถิด. พระราชาตรัสว่า

ท่านเจ้าข้า จิตของโยมยังไม่ยินดีก่อน แต่เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะให้เขานำพระ

บรมธาตุไป. ในวันที่ ๗ ผู้คนทั้งหลายก็นำพระบรมธาตุมาถึง. ท้าวเธอทรง

รับพระบรมธาตุที่มาด้วยอาการอย่างนั้น ทรงสร้างพระสถูปไว้ ณ กรุงราชคฤห์

และทรงทำมหกรรม แม้เหล่าเจ้าพวกอื่น ๆ ก็นำไปตามสมควรแก่กำลังของ

ตน ๆ สร้างพระสถูปไว้ ณ สถานของตน ๆ แล้วทำมหกรรม. บทว่า เอวเมต

ภูตปุพฺพ ความว่า การแบ่งพระบรมธาตุ และการสร้างพระสถูป ๑๐ แห่งนี้

เคยมีมาแล้วในชมพูทวีปด้วยประการฉะนี้. ภายหลัง พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลาย

จึงกล่าวไว้.

เมื่อสถาปนาพระสถูปกันดั่งนี้แล้ว พระมหากัสสปเถระเห็นอันตราย

ของพระบรมธาตุทั้งหลาย จึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าอชาตศัตรูทูลว่า ถวายพระพร

ควรเก็บพระบรมธาตุไว้อย่างนี่แหละ พระเจ้าอชาตศัตรูตรัสว่า ดีละท่านเจ้าข้า

กิจด้วยการเก็บพระบรมธาตุของโยม จงยกไว้ก่อน แต่โยมจะนำพระบรมธาตุ

ที่เหลือมาได้อย่างไร. ทูลว่า ถวายพระพร การนำพระบรมธาตุมา ไม่ใช่

ภาระของมหาบพิตร แต่เป็นภาระของพวกอาตมภาพ. ตรัสว่า ดีละท่านเจ้าข้า

ขอพระคุณเจ้าโปรดนำพระบรมธาตุมาเถิด โยมจะเก็บไว้. พระเถระเว้นไว้

เพียงที่ราชตระกูลนั้น ๆ ปกปิดไว้พระบรมธาตุส่วนที่เหลือ ก็นำมา. ส่วนพระ

บรมธาตุทั้งหลายในรามคาม เหล่านาค เก็บรักษาไว้. พระเถระดำริว่า อันตราย

ของพระบรมธาตุเหล่านั้นไม่มี ต่อไปในอนาคตกาล คนทั้งหลาย จักเก็บไว้

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 466

ในพระมหาเจดีย์ ในมหาวิหาร ลังกาทวีปดังนี้ แล้วไม่นำพระบรมธาตุเหล่า

นั้นมา นำมาจากนครทั้ง ๗ ที่เหลือประดิษฐานไว้ ณ ทิศตะวันออกและทิศใต้

แห่งกรุงราชคฤห์ อธิษฐานว่า หินอันใดมีอยู่ในที่นี้ หินอันนั้นจงอันตรธาน

ไป ขอฝุ่นจงสะอาดด้วยดี ขอน้ำอย่าขึ้นถึงดังนี้.

พระราชา สั่งให้ขุดที่นั้น คุ้ยฝุ่นออกจากที่นั้นก่ออิฐแทน โปรดให้

สร้างเจดีย์สำหรับพระอสีติมหาสาวก. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า แม้เมื่อมีคน

ถามว่า พระราชา โปรดให้สร้างอะไรไว้ในที่นี้ ตอบว่า ให้สร้างพระเจดีย์

สำหรับพระมหาสาวกทั้งหลาย. แต่ในที่นั้นลึก ๘๐ ศอก โปรดให้ปูเครื่องลาด

โลหะไว้ภายใต้ สร้างผอบที่ทำด้วยไม้จันทน์เหลืองเป็นต้น และพระสถูปไว้

อย่างละ ๘ ๆ. ครั้งนั้น พระราชาใส่พระบรมธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้

ในผอบจันทน์เหลือง ทรงใส่ผอบจันทน์เหลืองแม้นั้น ลงในผอบจันทน์เหลือง

อีกใบหนึ่ง แล้วทรงใส่ผอบจันทน์เหลืองแม้นั้น ลงในผอบจันทน์เหลืองอีกใบ

หนึ่ง ดังกล่าวมาฉะนี้ เป็นอันทรงรวมผอบ ๘ ใบไว้ในใบเดียวกัน ด้วยอุบาย

อย่างนั้นแล ทรงใส่ผอบทั้ง ๘ ผอบนั้นลงในพระสถูปจันทน์เหลือง ๘ สถูป

ทรงใส่สถูปจันทน์เหลืองทั้ง ๘ สถูปลงในผอบจันทน์แดง ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบ

จันทน์แดงทั้ง ๘ ผอบลงในพระสถูปจันทน์แดง ๘ สถูป ทรงใส่ถูปจันทน์

แดงทั้ง ๘ สถูปลงในผอบงา ทรงใส่ผอบงาตั้ง ๘ ผอบลงในสถูปงา ๘ สถูป

แล้วทรงใส่สถูปงาทั้ง ๘ สถูปลงในผอบรัตนะล้วน ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบรัตนะ

ล้วน ๘ ผอบลงในสถูปรัตนะล้วน ๘ สถูป ทรงใส่สถูปรัตนะล้วน ๘ สถูป

ลงในผอบทองคำ ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบทองคำ ๘ ผอบลงในสถูปทองคำ ๘

สถูป ทรงใส่สถูปทองคำ ๘ สถูปลงในผอบเงิน ๘ ผอบ ทรงใส่ผอบเงิน ๘

ผอบลงในสถูปเงิน ๘ สถูป ทรงใส่สถูปเงิน ๘ สถูปลงในผอบมณี ๘ ผอบ

ทรงใส่ผอบมณี ๘ ผอบลงในสถูปมณี ๘ สถูป ทรงใส่สถูปมณี ๘ สถูปลงใน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 467

ผอบทับทิม ๘ ผอบ แล้วทรงใส่ผอบทับทิมลงในสถูปทับทิม ๘ สถูป ทรง

ใส่สถูปทับทิม ๘ สถูปลงในผอบแก้วลาย ๘ ผอบ แล้วทรงใส่ผอบแก้วลาย ๘

ผอบลงในสถูปแก้วลาย ๘ สถูป ทรงใส่สถูปแก้วลาย ๘ สถูปลงในผอบแก้ว

ผลึก ๘ ผอบ แล้วทรงใส่ผอบแก้ว ผลึกลงในสถูปแก้วผลึก ๘ สถูป.

เจดีย์แก้วผลึกมีก่อนเจดีย์ทั้งหมด ถือเอาเป็นประมาณแห่งเจดีย์ใน

ถูปาราม. บนเจดีย์แก้วผลึกนั้น โปรดให้สร้างเรือนทำด้วยรัตนะล้วน. บน

เรือนรัตนะนั้น ให้สร้างเรือนทำด้วยทองคำไว้ บนเรือนทองคำนั้น ให้สร้าง

เรือนด้วยเงินไว้ บนเรือนเงินนั้น ให้สร้างเรือนทำด้วยทองแดงไว้ บนเรือน

ทองแดงนั้น โรยเมล็ดทรายทำด้วยรัตนะทั้งหมด เกลี่ยดอกไม้น้ำ ดอกไม้บก

ไว้ ๑,๐๐๐ ดอก โปรดให้สร้างชาดก ๕๕๐ ชาดก พระอสีติมหาเถระ พระเจ้า

สุทโธทนมหาราช พระนางมหามายาเทวี สหชาติทั้ง ๗ ทั้งหมดดังกล่าวมานี้

ทำด้วยทองคำทั้งสิ้น. โปรดให้ตั้งหม้อน้ำเต็ม ที่ทำด้วยทองและเงินอย่างละ ๕๐๐

หม้อ ให้ยกธงทอง ๕๐๐ ธง ให้ทำประทีปทอง ๕๐๐ ดวง ประทีปเงิน ๕๐๐ ดวง

ทรงใส่ไส้ผ้าเปลือกไม้ไว้ในประทีปเหล่านั้น บรรจุน้ำมันหอม. ครั้งนั้น ท่าน

พระมหากัสสปะ อธิษฐานว่า พวงมาลัยอย่าเหี่ยว กลิ่นหอมอย่าหาย ประทีป

อย่าไหม้ แล้วให้จารึกอักษรไว้ ที่แผ่นทองว่า แม้ในอนาคตกาลครั้งพระกุมาร

พระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าอโศกมหาราช ท้าวเธอจัก

ทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลายไป ดังนี้. พระราชาทรงเอาเครื่อง

ประดับทั้งหมดบูชา ทรงปิดประตูแล้วเสด็จออกไปตั้งแต่แรก. ท้าวเธอครั้น

ปิดประตูทองแดงแล้ว ทรงคล้องตรากุญแจไว้ที่เชือกผูก ทรงวางแท่งแก้วมณี

แท่งใหญ่ไว้ที่ตรงนั้นนั่นเอง โปรดให้จารึกอักษรไว้ว่า ในอนาคตกาล เจ้า

แผ่นดินที่ยากจน จงถือเอาแก้วมณีแท่งนี้ กระทำสักการะพระบรมธาตุทั้ง

หลายเทอญ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 468

ท้าวสักกะเทวราช เรียกวิสสุกรรมเทพบุตรมาทรงส่งไปด้วยพระดำรัส

สั่งว่า พ่อเอ๋ย พระเจ้าอชาตศัตรูทรงเก็บพระบรมธาตุแล้ว เจ้าจงตั้งกองรักษา

การณ์ไว้ที่นั้น. วิสสุกรรมเทพบุตรมาประกอบหุ่นยนต์มีโครงร่างร้าย รูปไม้

(หุ่นยนต์) ถือพระขรรค์สีแก้วผลึก ในห้องพระบรมธาตุ เคลื่อนตัวได้เร็ว

เสมือนลม. วิสสุกรรมเทพบุตรประกอบหุ่นยนต์แล้ว ติดลิ่มสลักไว้อันเดียว

เท่านั้น เอาสิลาล้อมไว้โดยรอบ โดยอาการเสมือนเรือนสร้างด้วยอิฐ ข้างบน

ปิดด้วยสิลาแผ่นเดียว ใส่ฝุ่นแล้วทำพื้นให้เรียบ แล้วประดิษฐานสถูปหินไว้

บนที่นั้น. เมื่อการเก็บพระบรมธาตุเสร็จเรียบร้อยอย่างนี้แล้ว แม้พระเถระ

ดำรงอยู่จนตลอดอายุก็ปรินิพพาน แม้พระราชาก็เสด็จไปตามยถากรรม พวก

มนุษย์แม้เหล่านั้น ก็ตายกันไป.

ต่อมาภายหลัง เมื่อครั้งอโศกกุมารเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระธรรม

ราชาพระนามว่าอโศก ทรงรับพระบรมธาตุเหล่านั้นไว้แล้ว ได้ทรงกระทำให้

แพร่หลาย. ทรงกระทำให้แพร่หลายอย่างไร ? พระเจ้าอโศกนั้น อาศัยนิโครธ

สามเณร ทรงได้ความเลื่อมใสในพระศาสนา โปรดให้สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐

วิหารแล้ว ตรัสถามภิกษุสงฆ์ว่า โยมให้สร้างวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหารแล้ว จัก

ได้พระบรมธาตุมาจากไหนเล่าท่านเจ้าข้า. ภิกษุสงฆ์ทูลว่า ถวายพระพร

พวกอาตมภาพฟังมาว่า ชื่อว่าที่เก็บพระบรมธาตุมีอยู่ แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน.

พระราชาให้รื้อพระเจดีย์ในกรุงราชคฤห์ ก็ไม่พบ ทรงให้ทำพระเจดีย์คืนดี

อย่างเดิมแล้ว ทรงพาบริษัท ๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไปยัง

กรุงเวสาลี แม้ในที่นั้น ก็ไม่ได้ ก็ไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ แม้ในที่นั้น ก็ไม่ได้

แล้วไปยังรามคาม เหล่านาคในรามคาม ก็ไม่ยอมให้รื้อพระเจดีย์. จอบที่ตก

ต้องพระเจดีย์ ก็หักเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย. ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ในที่นั้น

ก็ไม่ได้ ก็ไปยังเมืองอัลลกัปปะเวฏฐทีปะ ปาวา กุสินารา ในที่ทุกแห่งดั่งกล่าว

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 469

มานี้ รื้อพระเจดีย์แล้วก็ไม่ได้พระบรมธาตุเลย ครั้นทำเจดีย์เหล่านั้นให้คืนดี

ดั่งเดิมแล้ว ก็กลับไปยังกรุงราชคฤห์อีก ทรงประชุมบริษัท ๔ แล้วตรัสถามว่า

ใครเคยได้ยินว่า ที่เก็บพระบรมธาตุ ในที่ชื่อโน้น มีบ้างไหม. ในที่ประชุมนั้น

พระเถระรูปหนึ่ง อายุ ๑๒๐ ปี กล่าวว่า อาตมาภาพก็ไม่รู้ว่า ที่เก็บพระบรมธาตุ

อยู่ที่โน้น แต่พระมหาเถระบิดาอาตมภาพ ให้อาตมภาพครั้งอายุ ๗ ขวบ

ถือหีบมาลัย กล่าวว่า มานี่ สามเณร ระหว่างกอไม้ตรงโน้น มีสถูปหินอยู่

เราไปกันที่นั้นเถิด แล้วไปบูชา ท่านพูดว่า สามเณร ควรพิจารณาที่ตรงนี้.

ถวายพระพร อาคมภาพรู้เท่านี้ พระราชาตรัสว่า ที่นั่นแหละ แล้วสั่งให้ตัด

กอไม้ แล้วนำสถูปหินและฝุ่นออก ก็ทรงเห็นพื้นโบกปูนอยู่ แต่นั้นทรงทำลาย

ปูนโบกและแผ่นอิฐแล้วเสด็จสู่บริเวณตามลำดับ ทอดพระเนตรเห็นทรายรัตนะ

๗ ประการ และรูปไม้ (หุ่นยนต์) ถือดาบ เดินวนเวียนอยู่ ท้าวเธอรับสั่งให้

เหล่าคนผู้ถือผีมา แม้ให้ทำการเช่นสรวงแล้ว ก็ไม่เห็นที่สุดโต่งสุดยอดเลย

จึงทรงนมัสการเทวดาทั้งหลายแล้วตรัสว่า ข้าพเจ้ารับพระบรมธาตุเหล่านี้แล้ว

บรรจุไว้ในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร จะทำสักการะ ขอเทวดาอย่าทำอันตรายแก่

ข้าพเจ้าเลย.

ท้าวสักกะเทวราช เสด็จจาริกไปทรงเห็นพระเจ้าอโศกนั้นแล้ว เรียก

วิสสุกรรมเทพบุตรมาสั่งว่า พ่อเอ๋ย พระธรรมราชาอโศก จักทรงนำพระบรม-

ธาตุไป เพราะฉะนั้น เจ้าจงลงสู่บริเวณไปทำลายรูปไม้(หุ่นยนต์) เสีย วิสสุกรรม

เทพบุตรนั้น ก็แปลงเพศเป็นเด็กชาวบ้านไว้จุก ๕ แหยม ยืนถือธนูตรง

พระพักตร์ของพระราชาแล้ว ทูลว่า ข้าจะนำไป มหาราชเจ้า. พระราชาตรัสว่า

นำไปสิพ่อ. วิสสุกรรมเทพบุตรจับศรยิงตรงที่ผูกหุ่นยนต์นั้นแล ทำให้ทุกอย่าง

กระจัดกระจายไป. ครั้งนั้น พระราชาทรงถือตรากุญแจ ที่ติดอยู่ที่เชือกผูก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 470

ทอดพระเนตรเห็นแท่งแก้วมณีและเห็นอักษรจารึกว่า ในอนาคตกาล เจ้า

แผ่นดินที่ยากจนถือเอาแก้วมณีแท่งนี้แล้ว จงทำสักการะพระบรมธาตุทั้งหลาย

ทรงกริ้วว่า ไม่ควรพูดหมิ่นพระราชาเช่นเราว่า เจ้าแผ่นดินยากจน ดังนี้แล้ว

ทรงเคาะซ้ำ ๆ กันให้เปิดประตู เสด็จเข้าไปภายในเรือนประทีปที่ตามไว้ เมื่อ

๒๑๘ ปี ก็โพลงอยู่อย่างนั้นนั่นเอง ดอกบัวขาบก็เหมือนนำมาวางไว้ขณะนั้น

เอง เครื่องลาดดอกไม้ก็เหมือนลาดไว้ขณะนั้นเอง เครื่องหอมก็เหมือนเขาบด

วางไว้เมื่อครู่นี้เอง. พระราชาทรงถือแผ่นทอง ทรงอ่านว่า ต่อไปในอนาคต

กาล ครั้งกุมารพระนามว่า อโศก จักเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นพระธรรมราชา

พระนามว่า อโศก ท้าวเธอจักทรงกระทำพระบรมธาตุเหล่านี้ให้แพร่หลาย

ดังนี้ แล้วตรัสว่า ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้า มหากัสสปเถระเห็นตัวเราแล้ว

ทรงคู้พระหัตถ์ซ้ายปรบกับพระหัตถ์ขวา. ท้าวเธอเว้นเพียงพระบรมธาตุที่ปก

ปิดไว้ในที่นั้น ทรงนำพระบรมธาตุที่เหลือทั้งหมดมาแล้ว ปิดเรือนพระบรม-

ธาตุไว้เหมือนอย่างเดิม ทรงทำที่ทุกแห่งเป็นปกติอย่างเก่าแล้ว โปรดให้

ประดิษฐานปาสาณเจดีย์ไว้ข้างบนบรรจุพระบรมธาตุไว้ในวิหาร ๘๔,๐๐๐ วิหาร

ทรงไหว้พระมหาเถระแล้ว ตรัสถามว่า ท่านเจ้าข้า โยมเป็นทายาทในพระพุทธ

ศาสนาได้ไหม พระมหาเถระทูลว่า ถวายพระพร มหาบพิตรยังเป็นคน

ภายนอกของพระศาสนา จะเป็นทายาทของอะไรเล่า. ตรัสถามว่า ก็โยมบริจาค

ทรัพย์ถึง ๙๖ โกฏิ ให้สร้างวิหารไว้ถึง ๘๔,๐๐๐ วิหาร ยังไม่เป็นทายาท

คนอื่นใครเล่าจะเป็นทายาท. พูดว่า ขอถวายพระพร มหาบพิตร ได้ชื่อว่าเป็น

ปัจจยทายก ก็ผู้ใดบวชบุตรหรือธิดาของตน ผู้นี้จึงจะชื่อว่า เป็นทายาทของ

พระศาสนา. ท้าวเธอจึงให้บวชพระโอรสและพระธิดา. ครั้งนั้น พระเถระ

ทั้งหลายทูลพระองค์ว่า ขอถวายพระพร บัดนี้ มหาบพิตรเป็นทายาทในพระ

ศาสนาแล้ว.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 471

บทว่า เอวเมต ภูตปุพุพ ความว่า แม้การเก็บพระบรมธาตุในอดีต

กาลนี้ เคยมีมาแล้วในภาคพื้นชมพูทวีป ด้วยประการฉะนี้. แม้การกสงฆ์ผู้ทำ

สังคายนาครั้งที่ ๓ ก็วางบทนี้ไว้. ก็คาถาเป็นต้นว่า อฏฺโทณ จกฺขุมโต

สรีร เป็นต้นนี้ พระเถระชาวสีหลทวีป กล่าวไว้แล้วแล.

จบอรรถกถามหาปรินิพพานสูตรที่ ๓

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 472

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 473

๔. มหาสุทัสสนสูตร

เรื่องพระอานนทเถระ

[๑๖๓] ข้าพเจ้าฟังมาแล้วอย่างนี้ :-

สมัยหนึ่ง อันเป็นสมัยแห่งการปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้า

ประทับที่ป่าสาละตรงที่แวะพักผ่อน ของพวกเจ้ามัลละ ระหว่างคู่สาละใกล้

กรุงกุสินารา. ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่

ประทับ ถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่งในที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว.

ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอ

พระผู้มีพระภาคเจ้าอย่าได้ปรินิพพานในเมืองเล็กเมืองดอน เมืองกิ่งนครนี้

พระพุทธเจ้าข้า นครใหญ่อื่น เช่นเมืองจำปา ราชคฤห์ สาวัตถี สาเกต

โกสัมพี พาราณสี ก็ยังมีอยู่ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จไปปรินิพพานใน

เมืองเหล่านั้นเถิด ในเมืองเหล่านั้น กษัตริย์มหาศาล พราหมณ์มหาศาล

คหบดีมหาศาล จำนวนมากเลื่อมใสในพระตถาคตเจ้า พวกท่านเหล่านั้นจัก

กระทำการบูชาพระสรีระของพระตถาคตเจ้า.

เรื่องพระเจ้าจักพรรดิมหาสุทัสสนะ

อานนท์ เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า กุสินาราเป็นเมืองเล็กเมืองดอน

เมืองกิ่งนครเลย. อานนท์ เรื่องเคยมีมาแล้ว พระราชาพระนามว่า

มหาสุทัสสนะเป็นกษัตริย์ได้รับมุรธาภิเษก มีอาณาเขตปกครองจรด ๔ มหา-

สมุทร เป็นผู้พิชิต ทรงปกครองบ้านเมืองอย่างมั่นคง. อานนท์ เมืองกุสินารา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 474

นี้ เป็นราชธานีชื่อกุสาวดีของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ. โดยส่วนยาวทางทิศ

ตะวันออก และทิศตะวันตก ๑๒ โยชน์ โดยส่วนกว้างทางทิศเหนือ และ

ทิศใต้ ๗ โยชน์. อานนท์ กุสาวดีราชธานี เป็นเมืองมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ มี

คนมากเกลื่อนกล่นไปด้วยคน และหาอาหารได้ง่าย. อานนท์ ราชธานีชื่อ

อาลกมันทาของพวกเทวดาเป็นเมืองมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์มีชนมาก เกลื่อนกล่น

ไปด้วยหมู่ยักษ์ และหาอาหารได้ง่าย แม้ฉันใด อานนท์ กุสาวดีราชธานี

เป็นเมืองมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ มีคนมาก มีคนพลุกพล่านและอาหารก็หาได้ง่าย

ฉันนั้นนั่นแหละ อานนท์ กุสาวดีราชธานีเป็นราชธานีที่ไม่เงียบจากเสียง ๑๐

อย่าง ทั้งกลางวันและกลางคืน คือเสียงช้าง เสียงม้า เสียงรถ เสียงกลอง

เสียงตะโพน เสียงพิณ เสียงขับร้อง เสียงกังสดาล เสียงประโคม และเสียง

เรียกกันว่า จงกิน จงดื่ม จงเคี้ยว เป็นที่ ๑๐. อานนท์ กุสาวดีราชธานีมี

กำแพงล้อมรอบ ๗ ชั้น กำแพง ๑ สร้างด้วยทองคำ กำแพง ๑๐ สร้างด้วยเงิน

กำแพง ๑ สร้างด้วยไพฑูรย์ กำแพง ๑ สร้างด้วยแก้วผลึก กำแพง ๑

สร้างด้วยแก้วทับทิม กำแพง ๑ สร้างด้วยบุษราคัมและอีกกำแพง ๑ สร้างด้วย

แก้วทุกอย่างมารวมกัน. อานนท์ กุสาวดีราชธานี มีประตู ๔ ชนิด คือ

เป็นประตูทองคำ ๑ ประตูเงิน ๑ ประตูแก้วไพฑูรย์ ๑ ประตูแก้วผลึก ๑ ใน

แต่ละประตูปักเสาระเนียดไว้ ๗ ต้น แต่ละต้นปักลึก ๓ ชั่วคน เหนือพื้นดิน

ขึ้นมาสูง ๑๒ ชั่วคน เสาทองต้น ๑ เสาเงินต้น ๑ เสาแก้วไพฑูรย์ต้น ๑ เสา

แก้วผลึกต้น ๑ เสาแก้วทับทิมต้น ๑ เสาบุษราคัมต้น ๑ และเสาที่เอาแก้วทุก

อย่างมาสร้างรวมกันอีกต้น ๑ อานนท์ กุสาวดีราชธานี มีแถวตาลล้อม ๗ แถว

คือ แถวตาลทอง ๑ แถวเงิน ๑ แถวไพฑูรย์ ๑ แถวแก้วผลึก ๑ แถวแก้ว

ทับทิม ๑ แถวบุษราคัม ๑ แถวที่สำเร็จด้วยแก้วทุกอย่างอีก ๑. แถวตาลทอง

ลำต้นแล้ว ไปด้วยทอง ใบและผลแล้วไปด้วยเงิน แถวตาลเงินลำต้นเป็นเงิน ใบ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 475

และผลเป็นทอง. แถวตาลแก้วไพฑูรย์ลำต้นเป็นแก้วไพฑูรย์ ใบและผลเป็น

แก้วผลึก. แถวตาลแก้วผลึกลำต้นเป็นแก้วผลึก ใบและผลเป็นแก้วไพฑูรย์.

แถวตาลแก้วทับทิม ลำต้นเป็นบุษราคัม ใบและผลเป็นแก้วทับทิม. แถวตาลที่

เป็นแก้วทุกอย่างปนกัน ลำต้นก็เป็นแก้วทุกอย่าง ใบและผลเป็นแก้วทุก

ชนิด. ก็แลอานนท์ แถวตาลเหล่านั้นที่ถูกลมพัด มีเสียงไพเราะ ยวนใจ

ชวนให้ฟัง และน่าเคลิบเคลิ้ม. อานนท์เสียงแห่งดนตรีที่ประกอบด้วยองค์ห้า

ที่นักดนตรีผู้ฉลาดปรับดีแล้ว ประโคมดีแล้ว บรรเลงดีแล้ว ย่อมเป็นเสียง

ไพเราะ ยวนใจ ชวนให้ฟัง และให้เคลิบเคลิ้ม แม้ฉันใด อานนท์ เสียง

แถวตาลเหล่านั้น ที่ถูกลมพัดก็เป็นเสียงไพเราะ ยวนใจ ชวนให้ฟัง และให้

เคลิบเคลิ้มฉันนั้นนั่นแล. อานนท์ โดยสมัยนั้น พวกนักเลง พวกนักเลง

พวกนักดื่ม แห่งกรุงกุสาวดี ก็คลอเสียงประสาน กับเสียงแถวตาลที่ถูกลมพัด

เหล่านั้น.

กถาว่าด้วยการปรากฏแห่งจักรรัตนะ

[๑๖๔] อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีแก้ว ๗ อย่าง และ

ฤทธิ์ ๔ อย่าง. แก้ว ๗ อย่างอะไรบ้าง.

อานนท์ ในแก้ว ๗ ประการนี้ คือ

จักรแก้ว เป็นทิพย์ ประกอบด้วย กำ กง ดุม บริบูรณ์ด้วยอาการ

ทุกอย่าง ปรากฏแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ผู้เสด็จสนานพระเศียร รักษาอุโบสถ

ประทับอยู่บนปราสาทชั้นบนอันประเสริฐ ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำนั้น เมื่อ

พระเจ้ามหาสุทัสสนะทอดพระเนตรเห็น ก็ทรงพระดำริว่า ก็แลข้อนี้ เราเคย

ฟังมาว่า พระราชาผู้เป็นกษัตริย์ มุรธาภิเษกองค์ใด สนานพระเศียรแล้วทรง

พระอุโบสถอยู่บนปราสาทอันประเสริฐ ในวันอุโบสถขึ้น ๑๕ ค่ำ นั้น ปรากฏ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 476

จักรแก้วอันเป็นทิพย์ มีกำกงดุมบริบูรณ์ด้วยรายละเอียดทุกอย่างขึ้นมา พระ-

ราชาองค์นั้น ย่อมเป็นจักรพรรดิ เราเห็นจะต้องเป็นพระเจ้าจักรพรรดิหรือ.

อานนท์ ทีนั้นพระเจ้ามหาสุทัสสนะ เสด็จลุกขึ้นจากที่ประทับทรงผ้าสะไบ-

เฉวียงบ่า และทรงใช้พระหัตถ์ซ้ายจับพระเต้าทอง พระหัตถ์ขวาทรงชูจักรขึ้น

ตรัสว่า โอจักรแก้วจงหมุนไปเถิด โอจักรแก้วจงพิชิตเถิด. อานนท์ ทันใด

นั้นจักรแก้วก็หมุนไปทิศตะวันออก. พระเจ้ามหาสุทัสสนะ พร้อมกับกองทัพ ๔

เหล่าก็ตามติดไป. ก็แหละอานนท์ จักรแก้วไปหยุดในประเทศใด พระเจ้า

มหาสุทัสสนะ พร้อมกับกองทัพ ๔ เหล่า ก็เสด็จเข้าไปพักในประเทศนั้น.

เหล่าพระราชาฝ่ายตรงข้าม (อริราชศัตรู) ทางทิศตะวันออก ก็เข้ามาเฝ้า

พระเจ้ามหาสุทัสสนะ กราบทูลว่า มหาราช เชิญเสด็จพระราชดำเนินมาเถิด

มหาราช ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายการต้อนรับมหาราช ราชสมบัติของหม่อมฉัน

ขอยกถวายแก่พระองค์ มหาราช ขอพระองค์จงพระราชทานพระบรมราโชวาท.

พระเจ้ามหาสุทัสสนะมีพระราชดำรัสอย่างนี้ว่า อย่าฆ่าสัตว์ อย่าลักทรัพย์ อย่า

ประพฤติผิดในกาม อย่ากล่าวเท็จ อย่าดื่มน้ำเมา และจงเสวยสมบัติตามที่เคย

เสวยเถิด. อานนท์ ก็แล เหล่าพระราชาฝ่ายตรงกันข้าม ทางทิศตะวันออก

ได้เป็นบริวารของพระเจ้ามหาสุทัสสนะแล้ว. อานนท์ ครั้งนั้นแล จักรแก้ว

นั้นก็ย่างเข้าสู่ทะเลทิศตะวันออก หมุนไปทางทิศใต้ ย่างเข้าสู่ทะเลทาง

ทิศใต้หมุนไปทางทิศตะวันตก ย่างเข้าสู่ทะเลตะวันตกหมุนไปทางทิศเหนือ.

พระเจ้ามหาสุทัสสนะ พร้อมกับกองทัพ ๔ เหล่าก็เสด็จตามติดไป. ดูก่อน

อานนท์ ก็จักรแก้วหยุดอยู่ในประเทศใด พระเจ้ามหาสุทัสสนะพร้อมด้วย

จตุรงคเสนาก็เสด็จเข้าไปประทับในประเทศนั้น. อานนท์ก็แล เหล่าพระราชา

ฝ่ายตรงข้ามในทิศเหนือก็เสด็จมาเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ แล้วกราบทูลอย่างนี้

ว่า มหาราช ขอจงเสด็จพระราชดำเนินมาเถิด พระองค์เสด็จมาดีแล้ว

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 477

ราชสมบัติของหม่อมฉันย่อมเป็นของพระองค์ ขอพระองค์จงประทานพระ-

บรมราโชวาท. พระเจ้ามหาสุทัสสนะจึงตรัสอย่างนี้ว่า พวกท่านไม่พึงฆ่าสัตว์

ไม่พึงถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้ ไม่พึงประพฤติผิดในกาม ไม่พึงกล่าวเท็จ

ไม่พึงดื่มน้ำเมา และจงเสวยสมบัติตามที่เคยเสวยเถิด. อานนท์ ก็แลเหล่า

พระราชาฝ่ายตรงข้ามทางทิศเหนือ ต่างยอมเป็นบริวารของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ

แล้ว. อานนท์ ครั้งนั้นแล จักรแก้วนั้น ครั้นพิชิตแผ่นดินจรดขอบทะเล

แล้ว ก็กลับมาสู่กรุงกุสาวดีหยุดอยู่กับที่เหมือนถอดเพลาออก ตรงหน้ามุขศาล

ใกล้ประตูพระราชวัง ของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทำให้พระราชวังของพระเจ้า -

มหาสุทัสสนะ สง่างาม. อานนท์ จักรแก้วเห็นปานนี้ได้ปรากฏแก่พระเจ้า

มหาสุทัสสนะแล้ว.

กถาว่าด้วยการปรากฏของหัตถิรัตนะเป็นต้น

[๑๖๕] อานนท์ ข้ออื่นยังมีอีก ช้างแก้ว ได้ปรากฏแล้วแก่พระเจ้า

มหาสุทัสสนะ เป็นพระยาช้างชื่ออุโบสถขาวปลอด เป็นที่ตั้งแห่งคชลักษณ์

ครบ ๗ ประการ มีฤทธิ์เหาะได้. พระเจ้ามหาสุทัสสนะทอดพระเนตรเห็นช้าง

นั้น ก็ทรงเลื่อมใสตรัสว่า ผู้เจริญ ยานช้างนี้ถ้าพึงฝึกหัดก็จะดี. อานนท์

ทันทีนั้น ช้างแก้วนั้นก็ถึงการฝึกหัดเหมือนช้างแสนรู้ตัวเจริญที่ได้รับการฝึก

อย่างดีมาแล้วสิ้นกาลนานฉะนั้น. อานนท์ เล่ากันมาว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนะ

เมื่อจะทรงทดลองช้างแก้วนั้นเอง ตอนเช้า เสด็จขึ้นเลียบไปทั่วแผ่นดินจม

จรดขอบทะเล แล้วเสด็จกลับมาสู่กรุงกุสาวดี เสวยพระกระยาหารเช้า. อานนท์

ช้างแก้วเห็นปานนี้ ปรากฏแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนะแล้ว.

[๑๖๖] อานนท์ ยังมีข้ออื่นอีก ม้าแก้วได้ปรากฏขึ้นแก่พระเจ้ามหา

สุทัสสนะ เป็นพญาม้าชื่อวลาหก สีขาวล้วน ศีรษะดำเหมือนกา มีผมเป็นพวง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 478

เหมือนหญ้าปล้อง มีฤทธิ์เหาะได้. พระเจ้ามหาสุทัสสนะทอดพระเนตรเห็น

ก็ทรงเลื่อมใส ตรัสว่า ผู้เจริญ ยานคือม้าถ้าฝึกหัดได้ ก็จะเป็นยานม้าที่ดี.

ทันใดนั้น อานนท์ ม้าแก้วนั้นก็เข้าถึงการฝึกหัดเหมือนม้าอาชาไนยชั้นดี ได้

รับการฝึกมาเป็นอย่างดีสิ้นกาลนาน. อานนท์ เล่ากันมาว่า พระเจ้ามหา-

สุทัสสนะจะทรงพิสูจน์ม้าแก้วนั้นเอง ตอนเช้าก็เสด็จขึ้นทรงแล้ว ควบไปทั่ว

แผ่นดินจนจรดขอบทะเล แล้วเสด็จกลับกรุงกุสาวดี เสวยพระกระยาหารเช้า.

อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีม้าแก้วเห็นปานนี้แล้ว.

[๑๖๗] อานนท์ ข้ออื่นยังมีอีก พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงมีแก้วมณี

เป็นแก้วมณีชนิดไพฑูรย์ ชั้นงาม มีกำเนิด แปดเหลี่ยม เจียระไนอย่างดี

สุกใสแวววาว มีอาการสมบูรณ์ทุกอย่าง. อานนท์ ก็แหละ แก้วมณีนั้นแล

มีรัศมีแผ่ไปตั้งโยชน์หนึ่งโดยรอบ. อานนท์ เคยมีเรื่องเล่าว่า พระเจ้ามหา-

สุทัสสนะ จะทรงทดลองแก้วมณีดวงนั้นเอง ทรงเตรียมกองทัพสี่เหล่าแล้ว

เอาแก้วมณีวางบนยอดธงเสด็จออกไปในกลางคืนที่มืดมิด. อานนท์ ก็แลพวก

ชาวบ้านโดยรอบต่างเข้าใจว่า เป็นกลางวัน จึงพากันประกอบการงานด้วยแสง

นั้น. อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงมีแก้วมณีเห็นปานนี้แล้ว.

[๑๖๘] อานนท์ ยังมีข้ออื่นอีก นางแก้วได้ปรากฏขึ้นแก่พระเจ้า

มหาสุทัสสนะเป็นหญิงมีรูปงาม น่าชม น่าเลื่อมใส ถึงพร้อมด้วยผิวพรรณที่

งดงามอย่างยิ่ง ไม่สูงนัก ไม่เตี้ยนัก ไม่ผอมนัก ไม่อ้วนนัก ไม่ดำนัก ไม่

ชาวนัก ไม่ถึงกับเป็นผิวทิพย์ แต่ก็ล่วงผิวหญิงมนุษย์. อานนท์ ก็แหละ

สัมผัสทางกายของนางแก้วนั้นแล เป็นดังนี้ คือเป็นเหมือนปุยนุ่นหรือปุยฝ้าย.

ก็แลอานนท์ เมื่ออากาศเย็น ตัวนางแก้วนั้นเอง ก็ร้อน เมื่ออากาศร้อน ก็

เย็น. อานนท์ ก็แล กลิ่นจันทร์ฟุ้งจากกาย กลิ่นอุบลฟุ้งจากปากของนาง

แก้วนั้นแหละ. อานนท์ ก็แลนางแก้วนั้นแล ตื่นก่อนนอนหลังพระเจ้ามหา-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 479

สุทัสสนะเสมอ คอยฟังรับสั่ง ประพฤติชอบพระหฤทัยเพ็ดทูลด้วยคำที่น่ารัก.

อานนท์ ก็แล นางแก้วนั้นเอง แม้แต่ทางใจ ก็ไม่ประพฤตินอกพระหฤทัย

พระเจ้ามหาสุทัสสนะ แล้วทางกายจะพึงมีแต่ไหนเล่า. อานนท์ ก็แล พระเจ้า

มหาสุทัสสนะ ทรงมีนางแก้วเห็นปานนี้แล้ว.

[๑๖๙] อานนท์ ยังมีข้ออื่นอีก คฤหบดีแก้ว ได้ปรากฏแล้วแก่

พระเจ้ามหาสุทัสสนะ เขามีตาทิพย์ที่เกิดแต่ผลกรรมที่เป็นเหตุให้เขาเห็นขุม

ทรัพย์ทั้งที่มีเจ้าของ ทั้งที่หาเจ้าของมิได้. เขาเข้าเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ

แล้วกราบทูลว่า ขอเดชะ พระองค์ ไม่ต้องทรงเป็นห่วง ข้าพระพุทธเจ้าจัก

กระทำหน้าที่เรื่องพระราชทรัพย์ด้วยทรัพย์แก่พระองค์. อานนท์ มีเรื่องเล่ากัน

มาว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนะ จะทรงทดลองคฤหบดีแก้วนั้นแล จึงเสด็จขึ้น

ประทับเรือ หยั่งลงสู่กระแสกลางแม่คงคา มีรับสั่งกับคฤหบดีแก้วอย่างนี้ว่า

คฤหบดี ฉันต้องการเงินทอง.

คฤหบดี. . มหาราชเจ้า ถ้ากระนั้น โปรดเทียบเรือเข้าไปริมตลิ่ง.

พระราชา. . คฤหบดี ตรงนี้แหละ ฉันต้องการเงินทองจริง ๆ.

อานนท์ ทันใดนั้น คฤหบดีแก้วนั้น ก็เอามือทั้งสองข้างจุ่มลงน้ำ

แล้วก็ยกเอาหม้อที่เต็มไปด้วยเงินทอง พลางกราบทูลพระเจ้ามหาสุทัสสนะว่า

มหาราชเจ้า เท่านี้พอหรือยัง ทำเท่านี้หรือ มหาราชเจ้า พระเจ้ามหา-

สุทัสสนะตรัสอย่างนี้ว่า คฤหบดี เท่านี้ก็พอแล้ว ทำเพียงเท่านี้เถิด คฤหบดี

เท่านี้ก็เป็นอันท่านบูชาแล้ว อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีคฤหบดีแก้ว

เห็นปานนี้แล้ว.

[๑๗๐] อานนท์ ข้ออื่นยังมีอีก พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงมีปริณายก

แก้ว ซึ่งเป็นบัณฑิต มีความสามารถ เป็นนักปราชญ์ เข้มแข็ง เพื่อจะให้

พระเจ้ามหาสุทัสสนะเสด็จเข้าไปยังที่ที่ควรเข้าไป ให้หลีกไปยังที่ที่ควรหลีก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 480

ทรงยับยั้งสิ่งที่ควรยับยั้ง เขาเข้าเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ แล้วกราบทูลอย่าง

นี้ว่า ขอเดชะ ขอพระองค์ ไม่ต้องทรงเป็นห่วง ข้าพระพุทธเจ้าจักปกครอง.

อานนท์ ปริณายกแก้ว เห็นปานนี้ ได้ปรากฏแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนะแล้ว.

อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ได้ทรงถึงพร้อมด้วยแก้ว ๗ ประการเหล่านี้.

กถาว่าด้วยฤทธิ ๔

[๑๗๑] อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีพระฤทธิ์ ๔ ประการ

๔ ประการ เป็นไฉน.

อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีพระรูปงาม น่าชม น่าเลื่อมใส

ทรงมีพระฉวีวรรณผ่องใสยิ่งกว่ามนุษย์เหล่าอื่นในโลกนี้. อานนท์ พระเจ้า

มหาสุทัสสนะได้ทรงมีพระฤทธิ์ นี้เป็นที่หนึ่ง.

[๑๗๒] อานนท์ ข้ออื่นยังมีอีก พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ได้ทรงมี

พระชนมายุยืนนาน ทรงดำรงพระชนม์ยืนนานยิ่งกว่า พวกมนุษย์เหล่าอื่น.

อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงมีพระฤทธิ์ นี้เป็นที่สอง.

[๑๗๓] อานนท์ ข้ออื่นยังมีอีก พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ได้ทรงเป็นผู้

มีอาพาธน้อย มีพระโรคน้อย ทรงมีพระเตโชธาตุอันเกิดแต่กรรมอันมีวิบาก

เสมอกัน ไม่เย็นจัด และไม่ร้อนจัด ยิ่งกว่าพวกมนุษย์เหล่าอื่น. อานนท์

พระเจ้ามหาสุทัสสนะ. ได้ทรงมีพระฤทธิ์ นี้เป็นที่สาม.

[๑๗๔] อานนท์ ข้ออื่นยังมีอีก พระเจ้ามหาสุทัสสนะ. ได้ทรงเป็น

ที่รัก ที่ชอบใจของพวกพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย. อานนท์ พระเจ้ามหา-

สุทัสสนะ ได้ทรงเป็นที่รัก ที่ชอบใจของพราหมณ์ และคฤหบดีทั้งหลาย

เหมือนบิดาเป็นที่รักที่ชอบใจของบุตรทั้งหลายฉะนั้น. อานนท์ ก็พวกพราหณ์

และคฤหบดีได้เป็นที่รักที่โปรดปรานของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ. อานนท์

พวกพราหมณ์และคฤหบดี ได้เป็นที่รักที่โปรดปรานแม้ของพระเจ้ามหา-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 481

สุทัสสนะ เหมือนบุตรเป็นที่รักที่โปรดปรานของบิดานั่นเทียว. อานนท์ เรื่อง

เคยมีแล้ว พระเจ้ามหาสุทัสสนะ เสด็จไปพระราชอุทยานกับกองทัพ ๔

เหล่า. อานนท์ ครั้งนั้นแล พวกพราหมณ์และคฤหบดี เข้าไปเฝ้าพระเจ้า-

มหาสุทัสสนะ พลางกราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ขอพระองค์อย่าด่วนเสด็จไป

จนกว่าพวกข้าพระองค์ พึงเฝ้าพระองค์ได้นาน ๆ. อานนท์ ฝ่ายพระเจ้ามหา

สุทัสสนะ ก็ตรัสกับสารถีว่า สารถี เธออย่าด่วนขับรถไป จนกว่าเราจะพึงเห็น

พวกพราหมณ์ และคฤหบดีได้นาน ๆ. อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ได้

ทรงมีพระฤทธิ์ นี้เป็นที่ ๔. อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ได้ทรงมีพระฤทธิ์

๔ ประการนี้.

การสร้างสระโบกขรณี

[๑๗๕] อานนท์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ได้ทรงดำริว่า

ถ้ากระไร เราพึงขุดสระโบกขรณีห่างกันเป็นระยะร้อยชั่วธนู ในระหว่างต้น

ตาลเหล่านี้. อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงให้ขุดสระโบกขรณีห่างกันเป็น

ระยะร้อยชั่วธนู ระหว่างต้นตาลเหล่านั้น. อานนท์ ก็แล สระโบกขรณี

เหล่านั้น ก่อด้วยอิฐ ๔ ชนิด คือ อิฐชนิดหนึ่งเป็นทอง ชนิดหนึ่งเป็นเงิน

ชนิดหนึ่งเป็นแก้วไพฑูรย์ ชนิดหนึ่งเป็นแก้วผลึก. อานนท์ ก็แลบรรดาสระ

เหล่านั้นแต่ละสระได้มีบันไดสระละ ๔ ชนิด คือ บันไดหนึ่งเป็นทอง บันได

หนึ่งเป็นเงิน บันไดหนึ่งเป็นแก้วไพฑูรย์ บันไดหนึ่งเป็นแก้วผลึก. บันได

ทองได้มีเสาทอง ลูกบันไดและพนักเป็นเงิน. บันไดเงินได้มีเสาเงิน ลูกบันได

และพนักเป็นทอง. บันไดแก้วไพฑูรย์มีเสาแก้วไพฑูรย์ ลูกบันไดและพนัก

เป็นแก้วผลึก. บันไดแก้วผลึก เสาก็เป็นแก้วผลึก ลูกบันไดและพนักเป็น

แก้วไพฑูรย์. อานนท์ ก็แลสระโบกขรณีเหล่านั้น มีเวทีสองชั้น แวดล้อม

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 482

คือ เวทีชั้นหนึ่งเป็น. ชั้นหนึ่งเป็นเงิน. เวทีทองได้มีแม่บันไดเป็นทอง

ลูกพนักเป็นเงิน. เวทีเงินมีแม่บันไดเป็นเงิน ลูกและพนักเป็นทอง. อานนท์

ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงพระดำริว่า ถ้ากระไร เราพึงให้ปลูก

ดอกไม้เห็นปานนี้ คือ อุบล ปทุม โกมุท บุณฑริก. อันผลิดอกในทุกฤดู

ไม่ให้ชนทั้งหมดที่มาแล้วกลับไปมือเปล่า ที่สระโบกขรณีเหล่านี้. อานนท์

พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงให้ปลูกดอกไม้เห็นปานนี้คือ อุบล ปทุมโกมุท ปุณฑริก

อันผลิดอกในทุกฤดู ไม่ให้ชนทั้งหมด มีมือเปล่ากลับไปที่สระโบกขรณี

เหล่านั้น. อานนท์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงพระดำริว่า ถ้า

กระไร เราพึงวางคนสำหรับเชิญคนให้อาบน้ำที่ฝั่งสระโบกขรณีเหล่านี้ จะได้

เชิญคนผู้มาแล้ว ๆ ให้อาบ. อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ จึงทรงวางคน

สำหรับเชิญคนให้อาบน้ำที่ฝั่งสระโบกขรณีเหล่านั้น สำหรับเชิญคนผู้มาแล้ว ๆ

ให้อาบ. อานนท์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงดำริว่า ถ้ากระไร

เราพึงตั้งโรงทานเห็นปานนี้ คือ ข้าวสำหรับผู้ต้องการข้าว น้ำสำหรับผู้ต้อง

การน้ำ ผ้าสำหรับผู้ต้องการผ้า ยานสำหรับผู้ต้องการยาน ที่นอนสำหรับผู้

ต้องการที่นอน สตรีสำหรับผู้ต้องการสตรี เงินสำหรับผู้ต้องการเงิน และ

ทองสำหรับผู้ต้องการทองใกล้ฝั่งสระโบกขรณีเหล่านั้น. อานนท์ พระเจ้ามหา

สุทัสสนะ ได้ทรงตั้งโรงทานเห็นปานนั้นคือ ข้าวสำหรับผู้ต้องการข้าว น้ำ

สำหรับผู้ต้องการน้ำ ผ้าสำหรับผู้ต้องการผ้า ยานสำหร้บผู้ต้องการยาน ที่นอน

สำหรับผู้ต้องการที่นอน สตรีสำหรับผู้ต้องการสตรี เงินสำหรับผู้ต้องการเงิน

และทองสำหรับผู้ต้องการทอง ใกล้ฝั่งสระโบกขรณีเหล่านั้น.

[๑๗๖] อานนท์ ครั้งนั้นแล พวกพราหมณ์ และคฤหบดี นำเอา

ทรัพย์จำนวนมาก เข้าไปเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะแล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า

ขอเดชะ ทรัพย์จำนวนมากนี้ พวกข้าพระพุทธเจ้าเจาะจงนำมาถวายแด่พระ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 483

องค์ผู้เดียว ขอพระองค์ทรงรับเอาทรัพย์นั้นไว้เถิด. พระเจ้าสุทัสสนะตรัสตอบ

ว่า อย่าเลยท่าน สมบัติของฉันนี้ ที่เก็บภาษีอย่างเป็นธรรมมามากพอแล้ว

ทรัพย์นั้นจงเป็นของพวกท่านเถิด และขอให้พวกท่านช่วยนำเอาออกจากนี้

คนละมาก ๆ ไปด้วย. พวกเขาถูกพระราชาทรงปฏิเสธแล้ว ก็พากันหลีกไป

หาที่ส่วนหนึ่ง ปรึกษากันอย่างนี้ว่า การที่พวกเราขนเอาสมบัติเหล่านั้นกลับ

ไปเรือนของตนอีกครั้งหนึ่งแบบนี้ ไม่เหมาะแก่พวกเราเลย เอาอย่างนี้เถิด

คือพวกเราช่วยกันสร้าง พระราชวังถวายพระเจ้ามหาสุทัสสนะเถิด. แล้วพวก

นั้นก็เข้าเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ กราบทูลอย่างนี้ว่า ขอเดชะ พวกข้าพระ-

พุทธเจ้าต้องให้สร้างพระราชวังถวายแด่พระองค์. อานนท์ พระเจ้ามหา

สุทัสสนะ ทรงรับด้วยความนิ่งแล้วแล.

เรื่องท้าวสักกะให้สร้างปราสาทประทับ

[๑๗๗] อานนท์ ครั้งนั้นแล ท้าวสักกะ จอมทวยเทพ ทรงทราบ

ความดำริในพระหฤทัยของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ ด้วยพระหฤทัย แล้วทรง

เรียกวิศวกรรมเทพบุตรมาสั่งว่า เออ นี่ วิศวกรรมจงมา เธอจงไปสร้าง

พระราชวัง ชื่อ ธรรมปราสาท ถวายแด่พระเจ้ามหาสุทัสสนะเถิด อานนท์

วิศวกรรมเทพบุตรรับเทวบัญชาของท้าวสักกะจอมทวยเทพว่า อย่างนั้น ขอ

ความเจริญจงมีแด่พระองค์เถิด แล้วก็หายจากหมู่เทพชั้นดาวดึงส์ มาปรากฏ

เฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ รวดเร็วเหมือนคนมีกำลังเหยียด

แขนที่คู้เข้าออก หรือคู้แขนเหยียดออกเข้าฉะนั้น. อานนท์ ทีนั้น วิศวกรรม

เทพบุตร ได้กราบทูลพระเจ้ามหาสุทัสสนะอย่างนี้ว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า

จักสร้างพระราชวังชื่อธรรมปราสาทแด่พระองค์. อานนท์ พระเจ้ามหา-

สุทัสสนะทรงรับด้วยการนิ่งแล้วแล. อานนท์ วิศวกรรมเทพบุตร สร้าง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 484

ธรรมปราสาทถวายแด่พระเจ้ามหาสุทัสสนะแล้ว. อานนท์ ธรรมปราสาทยาว

ไปทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก หนึ่งโยชน์ กว้างไปทางทิศเหนือ และ

ทิศใต้ กึ่งโยชน์. อานนท์ วัสดุที่เอามาก่อสร้างธรรมปราสาทสูงกว่า ๓ ชั่วคน

ด้วยอิฐ ๔ ชนิด คือเป็นอิฐทองพวกหนึ่ง อิฐเงินพวกหนึ่ง อิฐไพฑูรย์พวก

หนึ่ง อิฐผลึกพวกหนึ่ง. อานนท์ ธรรมปราสาทมีเสา ๘๔,๐๐๐ ต้น แบ่ง

เป็น ๔ ชนิด คือ เป็นเสาทองชนิดหนึ่ง เสาเงินชนิดหนึ่ง เสาไพฑูรย์ชนิด

หนึ่ง เสาผลึกชนิดหนึ่ง. อานนท์ ธรรมปราสาทปูกระดาน ๔ สี คือ กระดาน

ทองสีหนึ่ง กระดานเงินสีหนึ่ง กระดานไพฑูรย์หนึ่ง กระดานผลึกสีหนึ่ง.

อานนท์ ธรรมปราสาทมี ๒๔ บันได แบ่งเป็น ๔ ชนิด คือบันไดทองหนึ่ง

บันไดเงินหนึ่ง บันไดไพฑูรย์หนึ่ง บันไดผลึกหนึ่ง. สำหรับบันไดทองมีแม่

บันไดสำเร็จไปด้วยทอง ลูกบันได และพนัก แล้วไปด้วยเงิน. บันไดเงินมี

แม่บันไดเป็นเงิน ขั้นและพนักบันไดเป็นทอง. บันไดไพฑูรย์มีแม่บันไดล้วน

แล้วไปด้วยไพฑูรย์ ขั้นและพนักบันไดเป็นผลึก. บันไดผลึกมีแม่บันไดเป็น

ผลึก ขั้นและพนักบันไดล้วนแล้วไปด้วยไพฑูรย์. อานนท์ ในธรรมปราสาท

มีเรือนยอด ๘๔,๐๐๐ ยอด แบ่งเป็น ๔ ชนิด คือ ยอดหนึ่งเป็นทอง ยอด

หนึ่งเป็นเงิน ยอดหนึ่งเป็นไพฑูรย์ ยอดหนึ่งเป็นผลึก. ที่เรือนยอดทอง

ตั้งบัลลังก์เงินไว้. บัลลังก์ทอง ตั้งไว้ที่เรือนยอดเงิน. ที่เรือนยอดไพฑูรย์

ตั้งบัลลังก์งาช้างไว้. บัลลังก์บุษราคำ ตั้งไว้ที่เรือนยอดผลึก. ใกล้ประตูเรือน

ยอดทอง ประดิษฐานตาลเงินไว้ ลำต้นแล้วไปด้วยเงิน ใบและผลเป็นทอง.

ใกล้ประตูเรือนยอดเงิน ประดิษฐานตาลทองไว้ลำต้นแล้วไปด้วยทอง ใบและ

ผลเป็นเงิน. ใกล้ประตูเรือนยอดไพฑูรย์ ประดิษฐานตาลผลึกไว้ ลำต้นแล้ว

ไปด้วยผลึก ใบและผลเป็นไพฑูรย์. ใกล้ประตูเรือนยอดผลึก ประดิษฐาน

ตาลไพฑูรย์ไว้ ลำต้นล้วนแล้วไปด้วยไพฑูรย์ ใบและผลเป็นผลึก.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 485

กถาว่าด้วยการสร้างธรรมปราสาท

[๑๗๘] อานนท์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีพระดำริ

อย่างนี้ว่า ถ้ากระไร เราพึงให้สร้างป่าตาลที่แล้วไปด้วยทองทั้งหมด ใกล้

ประตูเรือนยอดหลังใหญ่ ซึ่งเป็นที่ที่เรานั่งพักผ่อนตอนกลางวัน. อานนท์

พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงให้สร้างป่าตาลที่แล้วไปด้วยทองทั้งหมด ใกล้ประตู

เรือนยอดหลังใหญ่ ซึ่งเป็นที่ที่พระองค์ประทับนั่งพักผ่อนตอนกลางวันแล้ว.

อานนท์ ธรรมปราสาทแวดล้อมไปด้วยไพทีสองชั้น คือชั้นหนึ่งแล้วไปด้วย

ทอง อีกชั้นหนึ่ง แล้วไปด้วยเงิน. แม่บันไดของไพทีที่แล้วไปด้วยทอง

ก็สำเร็จไปด้วยทอง ขั้นและพนักสำเร็จไปด้วยเงิน. แม่บันไดของไพทีที่แล้วไป

ด้วยเงิน ก็สำเร็จไปด้วยเงิน ขั้นและพนักเอาทองมาทำ. อานนท์ ธรรมปราสาท

แวดล้อมไปด้วยข่าย ลูกกระพรวนสองข่าย คือข่ายหนึ่งเป็นข่ายทอง อีกข่าย

หนึ่งเป็นข่ายเงิน. ข่ายทอง แขวนกระดึงเงิน. ข่ายเงิน แขวนกระดึงทอง.

อานนท์ เมื่อข่ายกระดึง เหล่านั้นแล ถูกลมพัด ก็มีเสียงไพเราะน่าใคร่

ทำให้คึกคักและน่าหลงใหลด้วย. อานนท์ เสียงดนตรีมีองค์ ๕ ที่นักดนตรี

ผู้ฉลาดปรับดีแล้ว ประโคมดีแล้ว บรรเลงดีแล้ว เป็นเสียงไพเราะน่าใคร่

ทำให้คึกคัก และชักให้หลงใหล แม้ฉันใด อานนท์ เมื่อข่ายกระดึง เหล่า

นั้นแลถูกลมพัด ก็มีเสียงไพเราะน่าใคร่ ทำให้คึกคักและชักให้หลงใหล

ฉันนั้นเหมือนกัน. อานนท์ ก็ส่วนพวกนักเลง นักเล่น พวกนักดื่มคอเหล้า

แห่งกรุงกุสาวดี สมัยนั้น ต่างพากันคลอเสียงตามเสียงข่ายกระดึง ที่ถูกลมพัด

เหล่านั้น. อานนท์ ธรรมปราสาทที่สร้างแล้วนั่นแล เพ่งดูไม่ได้ ทำให้

ตาพร่า. เหมือนพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้นสู่นภาบนท้องฟ้าที่ปราศจากเมฆฝน

บริสุทธิ์ ส่องจ้าในสรทสมัยเดือนท้ายฤดูฝน เพ่งดูไม่ได้ทำให้ตาพร่า ฉันใด

ธรรมปราสาทก็ฉะนั้นเหมือนกัน ยากที่จะดู ย่อมทำนัยน์ตาให้พร่าพราย.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 486

กถาว่าด้วยการสร้างธรรมาโบกขรณี

อานนท์ ต่อมา พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงพระดำริอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ

เราจะพึงให้สร้างสระชื่อธรรมาโบกขรณี ข้างหน้าธรรมปราสาท. อานนท์

แล้วก็พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงให้สร้างสระชื่อธรรมาโบกขรณีไว้ข้างหน้า

ธรรมปราสาท. อานนท์ ธรรมาโบกขรณี ยาวไปทางทิศตะวันออก และ

ตะวันตกหนึ่งโยชน์ กว้างไปทางทิศเหนือ และทิศใต้กึ่งโยชน์. อานนท์

ธรรมาโบกขรณีใช้อิฐสี่ชนิดก่อ คือ อิฐชนิดหนึ่งแล้วไปด้วยทอง ชนิดหนึ่ง

แล้วไปด้วยเงิน ชนิดหนึ่งแล้วไปด้วยไพฑูรย์ ชนิดหนึ่งแล้วไปด้วยผลึก.

อานนท์ ก็แล ธรรมาโบกขรณี มี ๒๔ บันได แบ่งเป็น ๔ ชนิด บันไดชนิด

หนึ่งแล้วไปด้วยทอง. บันไดชนิดหนึ่งแล้วไปด้วยเงิน. บันไดชนิดหนึ่งแล้ว

ไปด้วยไพฑูรย์. บันไดชนิดหนึ่งแล้วไปด้วยผลึก. บันไดทองเอาทองมาทำ

เป็นแม่บันได ลูกและพนักบันไดเป็นเงิน. บันไดเงิน เอาเงินมาทำเป็นแม่

บันได ลูกและพนักบันไดเป็นทอง. บันไดไพฑูรย์ เอาไพฑูรย์มาทำเป็นแม่

บันได ลูกและพนักบันไดเป็นผลึก. บันไดผลึก เอาผลึกมาทำเป็นแม่บันได

ลูกและพนักบันไดเป็นไพฑูรย์. อานนท์ ธรรมาโบกขรณีมีไพที่ล้อมสองชั้น

คือ ไพทีทองหนึ่ง ไพทีเงินหนึ่ง. ไพทีทองเอาทองมาทำเป็นแม่บันได ลูก

และพนักบันไดเป็นเงิน. ไพทีเงินเอาเงินมาทำเป็นแม่บันได ลูกและพนัก

เป็นทอง. อานนท์ ธรรมาโบกขรณี มีแถวตาลล้อมไว้ ๗ แถว คือ แถวตาล

ทอง ๑ แถวตาลเงิน ๑ แถวตาลไพฑูรย์ ๑ แถวตาลผลึก ๑ แถวตาลทับทิม ๑

แถวตาลบุษราคัม ๑ แถวตาลผสมแก้วทุกชนิด ๑. ตาลทองมีลำต้นเป็นทอง

ใบและผลเป็นเงิน. ตาลเงินมีลำต้นเป็นเงินใบและผลเป็นทอง. ตาลไพฑูรย์

มีลำต้นเป็นไพฑูรย์ใบและผลเป็นผลึก. ตาลผลึกมีลำต้นเป็นผลึกใบและผล

เป็นไพฑูรย์. ตาลทับทิมมีลำต้นเป็นโกเมนใบและผลเป็นบุษราคัม. ตาล

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 487

บุษราคัมมีลำต้นเป็นบุษราคัมใบและผลเป็นโกเมน. ทับทิมตาลผสมแก้วทุก

ชนิด เอาแก้วทุกชนิดมาทำเป็นลำต้นใบและผลก็ผสมแก้วทุกชนิด. อานนท์

ก็แล เมื่อแถวตาลเหล่านั้นถูกลมพัดก็มีเสียงไพเราะ น่าใคร่ ทำให้ใจคึกคัก

และชักให้หลงใหล. เหมือนกับเสียงดนตรีมีองค์ ๕ ที่นักดนตรีผู้ชำนาญปรับ

ดีแล้ว ประโคมแล้ว บรรเลงดีแล้ว เป็นเสียงที่ไพเราะ น่าใคร่ ทำให้ใจคึกคัก

และชักให้หลงใหลแม้ฉันใด ดูก่อนอานนท์ เสียงแห่งแถวต้นตาลเหล่านั้น

ต้องลมพัดก็ฉันนั้นเหมือนกัน. ส่วนพวกนักเลง นักเล่น นักดื่ม แห่งกรุง

กุสาวดีสมัยนั้น ต่างก็พากันคลอเสียงตามเสียงแถวตาลที่ถูกลมพัด. อานนท์

ก็แหละ ครั้นเมื่อเสร็จธรรมปราสาท และธรรมาโบกขรณีแล้ว พระเจ้ามหา-

สุทัสสนะ ก็โปรดให้เลี้ยงดูพวกสมณะที่รู้กันทั่วไปว่าเป็นสมณะ หรือพวก

พราหมณ์ที่ยอมรับกันว่าเป็นพราหมณ์ในสมัยนั้นให้อิ่มหนำสำราญด้วยของน่า

ใคร่ทุกชนิด เสด็จขึ้นสู่ธรรมปราสาท ด้วยประการฉะนี้.

จบ ภาณวารที่หนึ่ง

การเข้าปฐมฌานเป็นต้น

[๑๗๙] อานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ทรงพระดำริ

อย่างนี้ว่า นี้เป็นผลของกรรมอะไรของเราหนอ เป็นวิบากของกรรมอะไรที่

เป็นเหตุให้เรามีฤทธิ์อย่างนี้ มีอานุภาพใหญ่อย่างนี้ ในบัดนี้. อานนท์ ครั้งนั้น

แล พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ได้ทรงมีพระดำริอย่างนี้ว่า นี้เป็นผลของกรรม

สามอย่างของเรา เป็นวิบากของกรรมสามอย่างที่เป็นเหตุให้เรามีฤทธิ์ใหญ่

อย่างนี้ มีอานุภาพใหญ่อย่างนี้ในบัดนี้ คือเป็นผลเป็นวิบากแห่งทาน ทมะ

สัญญมะ อานนท์ ที่นั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะ เสด็จเข้าเรือนยอดหลังใหญ่

แล้วประทับยืนที่ประตูเรือนยอดหลังใหญ่ ทรงเปล่งพระอุทานว่า หยุดกาม

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 488

วิตก หยุดพยาบาทวิตก หยุดวิหิงสาวิตก เท่านี้พอละ กามวิตก เท่านี้พอละ

พยาบาทวิตก เท่านี้พอละ วิหิงสาวิตก. อานนท์ ทีนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะ

เสด็จเข้าสู่เรือนยอดหลังใหญ่ ประทับบนบัลลังก์ที่แล้วไปด้วยทองทรงสงัดจาก

กาม สงัดจากอกุศลธรรม ทรงเข้าถึงฌาน ที่ ๑ ซึ่งมีวิตก มีวิจาร มีปีติและ

สุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เพราะระงับวิตก วิจาร จึงทรงเข้าถึงฌานที่ ๒ ซึ่งมีความ

ผ่องใสแห่งใจในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและ

สุขที่เกิดแต่สมาธิอยู่ เพราะคลายปีติเสียได้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีสัม-

ปชัญญะ เสวยความสุขทางกาย เข้าถึงฌานที่ ๓ ที่พวกอาจารย์ต่างพูดว่า

เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติ มีปรกติอยู่เป็นสุขอยู่ เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะ

ดับโสมนัสและโทมนัสก่อน ๆ จึงเข้าถึงฌานที่ ๔ ที่ไม่ใช่ทุกข์ไม่ใช่สุข มี

อุเบกขาและสติบริสุทธิ์อยู่.

การเจริญพรหมวิหาร

[๑๘๐] อานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะ เสด็จออกจาก

เรือนยอดหลังใหญ่แล้วทรงเข้าสู่เรือนยอดที่แล้วไปด้วยทอง ประทับบนบัลลังก์

ที่แล้วไปด้วยเงิน ทรงแผ่ไปตลอดทิศหนึ่งด้วยพระหฤทัยที่สหรคตด้วยเมตตา

แล้วอยู่ ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น. ด้วย

ประการฉะนี้ ทรงแผ่ไปทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง ทุกหนทุกแห่ง

จนสิ้นหมดทั้งโลก ด้วยพระหฤทัยที่สหรคตด้วยเมตตา อันไพบูลย์ถึงความ

เป็นใหญ่หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทอยู่ ด้วยพระหฤทัยที่สหรคต

ด้วยกรุณา. ด้วยพระหฤทัยสหรคตด้วยมุทิตา. ทรงแผ่ไปตลอดทิศหนึ่ง ด้วย

พระหฤทัยที่สหรคตด้วยอุเบกขาอยู่ ทิศที่ ๒ ก็อย่างนั้น ทิศที่ ๓ ก็อย่างนั้น

ทิศที่ ๔ ก็อย่างนั้น ด้วยประการฉะนี้ ทรงแผ่ไปทั้งเบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องขวาง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 489

ทุกหนทุกแห่งจบสิ้นหมดทั้งโลก ด้วยพระหฤทัยที่สหรคตด้วยอุเบกขาอันไพบูลย์

ถึงความเป็นใหญ่ไม่มีประมาณ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาทอยู่.

[๑๘๑] อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีพระนคร ๘๔,๐๐๐ แห่ง

มีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุข มีปราสาท ๘๔,๐๐๐ องค์ มีธรรมปราสาทเป็น

ประมุข มีเรือนยอด ๘๔,๐๐๐ หลัง มีเรือนยอดหลังใหญ่เป็นประมุข มีบัลลังก์

๘๔,๐๐๐ ที่ เป็นบัลลังก์แล้วด้วยทอง แล้วด้วยเงิน แล้วด้วยงาช้าง แล้ว

ด้วยบุษราคัม ลาดด้วยขนเจียม ลาดด้วยสักหลาด ลาดด้วยผ้าปักลวดลาย

ลาดด้วยหนังกวาง อย่างดี มีพนักสูงมีนวมแดงสองข้าง มีช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก

มีเครื่องแต่งเป็นทอง ปักธงทอง หุ้มด้วยตาข่ายทอง มีพญาช้างอุโบสถเป็น

ประมุข มีม้า ๘๔,๐๐๐ ตัว มีเครื่องแต่งเป็นทอง ปักธงทอง หุ้มด้วยตาข่าย

ทอง มีพญาม้าวลาหกเป็นประมุข มีรถ ๘๔,๐๐๐ คัน หุ้มด้วยหนังราชสีห์

หุ้มด้วยหนังเสือโคร่ง หุ้มด้วยหนังเสือเหลือง หุ้มด้วยผ้าขนสัตว์สีเหลือง มี

เครื่องแต่งเป็นทอง ปักธงทอง หุ้มด้วยตาข่ายทอง มีรถไพชยันต์เป็นประมุข

มีมณี ๘๔,๐๐๐ ดวง มีแก้วมณีเป็นประมุข มีสตรี ๘๔,๐๐๐ นาง มีพระนาง

สุภัททาเทวีเป็นประมุข มีคหบดี ๘๔,๐๐๐ คน มีคหบดีแก้วประมุข มีกษัตริย์

ผู้สวามิภักดิ์ ๘๔,๐๐๐ องค์ มีปริณายกแก้วเป็นประมุข มีแม่โคนม ๘๔,๐๐๐ ตัว

กำลังให้นม กำลังเอาถาดทองสัมฤทธิ์รองรับ มีผ้า ๘๔,๐๐๐ โกฏิพับ เป็น

ผ้าเปลือกไม้อย่างดี ผ้าฝ้ายอย่างดี ผ้าไหมอย่างดี และผ้าขนสัตว์อย่างดี.

อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะ ทรงมีพระกระยาหารเต็มภาชนะ ๘๔,๐๐๐ สำรับ

มีคนนำมาถวายทั้งเวลาเช้าและเวลาเย็น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 490

กถาว่าด้วยพระนางสุภัททาเทวี

[๑๘๒] อานนท์ ก็สมัยนั้นแล ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก มาสู่ที่เฝ้าพระ-

เจ้ามหาทัสสนะ ทุกเช้า ทุกเย็น. อานนท์ ครั้งนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรง

มีพระดำริอย่างนี้ว่า พวกช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือกเหล่านี้แล มาสู่ที่เฝ้าเราทั้งเช้า

เย็น ถ้าไฉน ช้าง ๔๒,๐๐๐ เชือกพึงมาสู่ที่เฝ้าโดยล่วงไปร้อยปี ต่อครั้ง.

อานนท์ ทีนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะรับสั่งเรียกปริณายกแก้ว มาตรัสสั่งว่า ดู

ก่อน ปริณายกแก้ว พวกช้าง ตั้ง ๘๔,๐๐๐ เชือกเหล่านี้ มาสู่ที่เฝ้าเราทั้งเช้า

และเย็น อย่ากระนั้นเลย ช้างเพียง ๔๒,๐๐๐ เชือกจงมาสู่ที่เฝ้าแต่ละครั้งโดย

ล่วงไปทุก ๆ ร้อยปี. ปริณายกแก้วรับพระราชโองการของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ

ว่า อย่างนั้น ขอเดชะ. อานนท์ ครั้งนั้นโดยสมัยอื่น ช้างจึงมาสู่ที่เฝ้าพระ-

มหาสุทัสสนะคราวละสี่หมื่นสองพันเชือก โดยล่วงไปทุก ๆร้อยปี. อานนท์ ครั้ง

นั้นแล พระนางสุภัททาเทวี โดยล่วงไปหลายปี หลายร้อยปี หลายพันปี ทรง

พระดำริว่า เราได้เฝ้าพระเจ้ามหาทัสสนะมานานแล้ว ถ้ากระไร เราพึงเข้าไป

เฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะเถิด. อานนท์ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททาเทวี รับ

สั่งเรียกนางสนมมาตรัสว่า พวกท่านในที่นี้ จงสระหัว จงห่มผ้าสีเหลือง

พวกเราได้เฝ้าพระเจ้ามหาทัสสนะนานแล้ว พวกเราพึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้ามหา-

สุทัสสนะ. พวกนางสนมรับสนองพระเสาวนีย์ ของพระนางสุภัททาเทวีว่า

อย่างนั้น. พระแม่เจ้า แล้วก็สระหัวห่มผ้าสีเหลือง เข้าไปเฝ้าพระนางสุภัททา

เทวีถึงที่ประทับ. อานนท์ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททาเทวีรับสั่งกับปริณายก

แก้วว่า พ่อปริณายกแก้ว ท่านจงจัดกองทัพ ๔ เหล่า พวกเราได้เฝ้าพระเจ้า

มหาสุทัสสนะนานมาแล้ว พวกเราพึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้ามหาสุทัสสนะ. อานนท์

ปริณายกแก้วรับพระเสาวนีย์ของพระนางสุภัททาเทวีว่า อย่างนั้น พระเทวี-

เจ้า แล้วจัดกองทัพ ๔ เหล่า เสร็จแล้วกราบทูลพระนางสุภัททาเทวีว่า พระ-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 491

เทวีเจ้า ข้าพระพุทธเจ้า จัดกองทัพ ๔ เหล่าสำหรับพระองค์เสร็จแล้ว ขอพระเทวี

เจ้าโปรดทรงสำคัญเวลาอันสมควรเถิด. อานนท์ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททา

เทวี พร้อมกับนางสนมเสด็จเข้าไปจนถึงธรรมปราสาทด้วยกองทัพ ๔ เหล่า

เสด็จขึ้นธรรมปราสาทแล้วเสด็จเข้าไปจนถึงเรือนยอดหลังใหญ่ แล้วประทับ

ยืนเหนี่ยวบานประตูแห่งเรือนยอดหลังใหญ่. อานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้า

มหาสุทัสสนะ ทรงได้ยินเสียงทรงดำริว่า อะไรหนอ นั้นเหมือนเสียงคน

จำนวนมาก แล้วเสด็จออกจากเรือนยอดหลังใหญ่ ได้ทอดพระเนตรเห็น

พระนางภัททาเทวีประทับยืนยึดประตู แล้วตรัสกับพระนางสุภัททาเทวีอย่างนี้

ว่า เทวี หยุดตรงนั้นแหละ อย่าเข้ามา. อานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะ

รับสั่งกะบุรุษคนใดคนหนึ่งว่า แน่พ่อ เธอจงมาช่วยกันยกบัลลังก์ทองจากเรือน

ยอดหลังใหญ่ เอาไปตั้งที่สวนตาลที่แล้วไปด้วยทองทุกอย่าง. บุรุษนั้นก็สนอง

พระดำรัสของพระเจ้ามหาสุทัสสนะว่า อย่างนั้น ขอเดชะ. แล้วก็ไปยกบัลลังก์

ทองจากเรือนยอดหลังใหญ่ เอาไปตั้งที่สวนตาลที่แล้วไปด้วยทองทุกอย่าง.

อานนท์ ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงสำเร็จสีหไสยาสน์ด้วยพระปรัศว์

เบื้องขวา ซ้อนพระบาทเหลื่อมพระบาทมีพระสติสัมปชัญญะ.

[๑๘๓] อานนท์ ลำดับนั้น พระนางสุภัททาเทวี ได้ทรงมีพระดำริ

อย่างนี้ว่า พระอินทรีย์ของพระเจ้ามหาสุทัสสนะบริสุทธิ์ผ่องใส พระฉวีวรรณ

ขาวผ่อง ขอให้พระเจ้ามหาสุทัสสนะอย่าได้เสด็จสวรรคตเลย. แล้วได้ตรัส

อย่างนี้กับพระเจ้ามหาสุทัสสนะว่า ขอเดชะ เหล่านี้เป็นพระนคร ๘๔,๐๐๐ นคร

มีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุขของพระองค์ ขอเดชะ ขอพระองค์จงบังเกิดความ

พอพระหฤทัยในพระนครเหล่านั้นเถิด จงทรงห่วงใยในพระชนมชีพเถิด ขอ

เดชะ เหล่านี้คือปราสาทแปดหมื่นสี่พันองค์ของพระองค์ มีธรรมปราสาทเป็น

ประมุข ขอเดชะ ขอพระองค์จงบังเกิดความพอพระหฤทัยในปราสาทเหล่านั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 492

เถิด จงทรงห่วงใยในพระชนมชีพเถิด ขอเดชะ เหล่านี้คือเรือนยอดแปดหมื่น

สี่พันหลังของพระองค์ มีเรือนยอดหลังใหญ่เป็นประมุข ขอเดชะ ขอพระองค์

จงบังเกิดความพอพระหฤทัยในเรือนยอดเหล่านั้นเถิด จงทรงห่วงใยในพระ-

ชนมชีพเถิด ขอเดชะ เหล่านี้คือบัลลังก์แปดหมื่นสี่พันที่ของพระองค์ทำด้วย

ทอง เงิน งาช้าง บุษราคัม ลาดด้วยขนเจียม ลาดด้วยสักหลาด ลาดด้วย

ผ้าปักลวดลาย ลาดด้วยหนังกวางอย่างดี มีพนักสูง มีนวมแดงสองข้าง ขอ

เดชะ ขอพระองค์จงบังเกิดความพอพระหฤทัยในบัลลังก์เหล่านั้นเถิด จงทรง

ห่วงใยในพระชนมชีพเถิด ขอเดชะ เหล่านี้คือ ช้างแปดหมื่นสี่พันเชือกของ

พระองค์ มีเครื่องแต่งเป็นทอง ปักธงทอง หุ้มด้วยตาข่ายทอง มีพญาช้าง

อุโบสถเป็นประมุข ขอเดชะ ขอพระองค์จงบังเกิดความพอพระหฤทัยในช้าง

เหล่านั้นเถิด จงทรงห่วงใยในพระชนมชีพเถิด ขอเดชะ เหล่านี้คือ ม้า

แปดหมื่นสี่พันตัวของพระองค์ มีเครื่องแต่งเป็นทอง ปักธงทอง หุ้มด้วย

ตาข่ายทอง มีพญาม้าวลาหกเป็นประมุข ขอเดชะ ขอพระองค์จงบังเกิดความ

พอพระราชหฤทัยในม้าเหล่านั้นเถิด จงทรงห่วงใยในพระชนมชีพเถิด ขอเดชะ

เหล่านี้คือรถแปดหมื่นสี่พันคันของพระองค์ หุ้มด้วยหนังราชสีห์ หุ้มด้วยหนัง

เสือโคร่ง หุ้มด้วยหนังเสือเหลือง หุ้มด้วยผ้าขนสัตว์สีเหลือง มีเครื่องแต่งเป็น

ทอง ปักธงทอง หุ้มด้วยตาข่ายทอง มีรถไพชยันต์เป็นประมุข ขอเดชะ

ขอพระองค์จงบังเกิดความพอพระหฤทัยในรถเหล่านั้นเถิด ขอจงทรงห่วงใยใน

พระชนมชีพเถิด ขอเดชะ เหล่านี้คือแก้วแปดหมื่นสี่พันดวงของพระองค์มี

แก้วมณีเป็นประมุข ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงบังเกิดความพอพระหฤทัยใน

แก้วเหล่านั้นเถิด ขอจงทรงห่วงใยในพระชนมชีพเถิด ขอเดชะ เหล่านี้คือ

สตรีแปดหมื่นสี่พันนางของพระองค์มีหญิงแก้วเป็นประมุข ขอเดชะ ขอพระ-

องค์จงทรงบังเกิดความพอพระหฤทัยในสตรีเหล่านั้นเถิด ขอจงทรงห่วงใยใน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 493

พระชนมชีพเถิด ขอเดชะ เหล่านี้คือ คฤหบดี ๘๘,๐๐๐ คน ของพระองค์

มีคฤหบดีแก้วเป็นประมุข ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงบังเกิดความพอพระ-

หฤทัยในคฤหบดีเหล่านั้นเถิด ขอจงทรงห่วงใยในพระชนมชีพเถิด ขอเดชะ

เหล่านั้นคือกษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ พระองค์ ผู้จงรักภักดีต่อพระองค์มีปริณายกแก้ว

เป็นประมุข ขอเดชะ. ขอพระองค์จงทรงบังเกิดความพอพระหฤทัยในกษัตริย์

เหล่านั้นเถิด จงทรงห่วงใยในพระชนมชีพเถิด ขอเดชะ เหล่านี้คือ แม่โคนม

๘๔,๐๐๐ ตัว ของพระองค์ ซึ่งกำลังหลั่งน้ำนม กำลังเอาถาดสำริดไปรอง

ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงบังเกิดความพอพระหฤทัยในแม่โคนมเหล่านั้นเถิด

ขอจงทรงห่วงใยในพระชนมชีพเถิด ขอเดชะ เหล่านี้คือ ผ้า ๘๔,๐๐๐ โกฏิ

พับของพระองค์ เป็นผ้าเปลือกไม้อย่างดี ผ้าฝ้ายอย่างดี ผ้าไหมอย่างดี ผ้า

ขนสัตว์อย่างดี ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงบังเกิดความพอพระหฤทัยในผ้า

เหล่านั้นเถิด จงทรงห่วงใยในพระชนมชีพเถิด ขอเดชะ เหล่านี้คือ ถาด

พระกระยาหาร ๘๔,๐๐๐ สำรับ ของพระองค์ซึ่งมีคนนำมาถวายในเวลาเช้า และ

เวลาเย็น ขอเดชะ ขอพระองค์จงทรงบังเกิดความพอพระหฤทัยในถาดพระ-

กระยาหารเหล่านั้นเถิด ขอจงทรงห่วงใยในพระชนมชีพเถิด.

ว่าด้วยความสลดพระทัยของพระเจ้ามหาสุทัสสนะ

เมื่อพระนางกราบทูลอย่างนี้แล้ว อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้ตรัส

อย่างนี้กับพระนางสุภัททาเทวีว่า เทวี เธอได้ทักทายเราด้วยของน่ารัก น่า

ใคร่ น่าพอใจ มานานแล้ว ก็แต่ในเวลาภายหลัง เธอจะทักเรา ด้วยของที่

ไม่น่ารัก ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ. ขอเดชะ ก็แลพระองค์จะให้หม่อมฉันทัก

ทายพระองค์อย่างไร. เทวี เธอจงทักทายเราดังนี้ว่าความเป็นต่าง ๆ ความ

พลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากของน่ารัก น่าพอใจทั้งหมดทีเดียว ย่อมมี

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 494

ขอเดชะ ขอพระองค์อย่าทรงมีความห่วงใยในสวรรคต การตายของผู้มีความห่วง

ใยเป็นทุกข์ และความตายของผู้มีความห่วงใยย่อมถูกติเตียน ขอเดชะ เหล่า

นี้คือ นคร ๘๔,๐๐๐ ของทูลกระหม่อมมีกุสาวดีราชธานีเป็นประมุข ขอเดชะ

ขอพระองค์จงละความพอพระหฤทัยในนครเหล่านั้นเสียเถิด อย่าทรงห่วงใย

พระชนมชีพ ขอเดชะ เหล่านี้คือ ปราสาท ๘๔,๐๐๐ องค์ ของทูลกระหม่อม

ฯลฯ ขอทูลกระหม่อมอย่าทรงห่วงใยในพระชนมชีพ ขอเดชะ เหล่านี้เป็น

เรือนยอด ๘๔,๐๐๐ หลังของทูลกระหม่อม ฯลฯ ขอทูลกระหม่อมอย่าทรงห่วง

ใยในพระชนมชีพ ขอเดชะ เหล่านี้เป็นบัลลังก์ ๘๔,๐๐๐ ที่ของทูลกระหม่อม

เป็นบัลลังก์ที่ทำด้วยทอง ด้วยเงิน ด้วยงา ด้วยบุษราคัม ลาดด้วยขนแกะ

ลาดด้วยสักหลาด ลาดด้วยผ้าปักลวดลาย ลาดด้วยหนังกวางอย่างดี มีพนัก

สูง มีนวมแดงทั้งสองข้าง ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมจงละความพอพระทัย

ในบัลลังก์เหล่านั้นเสีย ขอทูลกระหม่อมอย่าทรงห่วงใยในพระชนมชีพ ขอเดชะ

เหล่านี้เป็นช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือกของทูลกระหม่อม มีเครื่องแต่งเป็นทอง ปัก

ธงทอง คลุมด้วยตาข่ายทอง มีพญาช้างอุโบสถเป็นประมุข ขอเดชะ ขอทูล

กระหม่อมจงละความพอพระหฤทัยในช้างเหล่านั้นเสียเถิด ขอทูลกระหม่อม

อย่าได้ห่วงใยพระชนมชีพ ขอเดชะ เหล่านี้เป็นม้า ๘๔,๐๐๐ ตัวของทูลกระ-

หม่อม มีเครื่องแต่งเป็นทอง ปักธงทอง มีตาข่ายทองคลุม มีพญาม้าวลาหก

เป็นประมุข ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมจงละความพอพระหฤทัยในม้าเหล่านั้น

เสียเถิด ขอทูลกระหม่อมอย่าทรงห่วงใยในพระชนมชีพ ขอเดชะ เหล่านี้เป็น

รถ ๘๔,๐๐๐ คันของพระองค์ หุ้มด้วยหนังราชสีห์ หุ้มด้วยหนังเสือโคร่ง

หุ้มด้วยหนังเสือเหลือง หุ้มด้วยผ้าขนสัตว์สีเหลือง มีเครื่องแต่งเป็นทอง

ปักธงทอง คลุมด้วยตาข่ายทอง มีรถไพชยันต์ เป็นประมุข ขอเดชะ ขอ

ทูลกระหม่อมจงทรงละความพอพระหฤทัยในรถเหล่านั้นเสียเถิด ขอทูลกระ-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 495

หม่อมอย่าได้ทรงห่วงใยในพระชนมชีพ ขอเดชะ เหล่านี้เป็นมณี ๘๔,๐๐๐

ดวงของทูลกระหม่อม มีแก้วมณีเป็นประมุข ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมจง

ทรงละความพอพระทัยในมณีเหล่านั้นเสียเถิด ขอทูลกระหม่อมอย่าได้ทรงห่วง

ใยในพระชนม์ชีพ ขอเดชะ เหล่านี้สตรี ๘๔,๐๐๐ นางของทูลกระหม่อม

มีพระนางสุภัททาเทวีเป็นประมุข ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมจงทรงละความ

พอพระทัยในสตรีเหล่านั้นเสียเถิด ขอทูลกระหม่อมอย่าได้ทรงห่วงใยในพระ-

ชนม์ชีพ ขอเดชะ เหล่านี้คือ คฤหบดี ๘๔,๐๐๐ คน ของทูลกระหม่อม

มีคฤหบดีแก้วเป็นประมุข ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมจงทรงละความพอพระทัย

ในคฤหบดีเหล่านั้นเสียเถิด ขอทูลกระหม่อมอย่าได้ทรงห่วงใยในพระชนม์ชีพ

ขอเดชะ เหล่านี้คือ กษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ พระองค์ ผู้จงรักภักดีของทูลกระหม่อม

มีปริณายกแก้วเป็นประมุข ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมจงทรงละความพอพระ-

หฤทัยในกษัตริย์เหล่านั้นเสียเถิด ขอทูลกระหม่อมอย่าได้ทรงห่วงใยในพระ-

ชนม์ชีพ ขอเดชะ เหล่านี้เป็นแม่โคนม ๘๔,๐๐๐ ตัว ของทูลกระหม่อม

ซึ่งกำลังกำดัดหลั่งนม กำลังเอาถาดสำริดไปรองรับ ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อม

จงทรงละความพอพระหฤทัยในแม่โคนมเหล่านั้นเสียเถิด ขอทูลกระหม่อม

อย่าได้ทรงห่วงใยในพระชนม์ชีพ ขอเดชะ เหล่านี้เป็นผ้า ๘๔,๐๐๐ โกฏิพับ

เป็นผ้าเปลือกไม้อย่างดี ผ้าฝ้ายอย่างดี ผ้าไหมอย่างดี ผ้าขนสัตว์อย่างดี ขอ

เดชะ ขอทูลกระหม่อมจงทรงละความพอพระหฤทัยในผ้าเหล่านั้นเสียเถิด ขอ

ทูลกระหม่อมอย่าอาลัยในพระชนม์ชีพ ขอเดชะ พระกระยาหาร ๘๔,๐๐๐ สำรับ

มีคนนำมาถวายทั้งเวลาเช้าและเย็น เหล่านี้ของทูลกระหม่อม ขอเดชะ ขอทูล

กระหม่อมจงทรงละความพอพระหฤทัยในพระกระยาหารนั้น อย่าได้อาลัยใน

พระชนม์ชีพ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 496

อานนท์ เมื่อพระเทวีกราบทูลอย่างนี้ พระเทวีสุภัททาทรงกันแสง

หลั่งพระอัสสุชล. อานนท์ ครั้งนั้นแล พระนางสุภัททาเทวีทรงซับน้ำพระ-

เนตรแล้ว ได้กราบทูลอย่างนี้ กับพระเจ้ามหาสุทัสสนะว่า ขอเดชะ ความ

เป็นต่าง ๆ กัน ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่นจากสิ่งที่น่ารักน่าชอบใจ

ทั้งปวงย่อมมี ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมอย่าทรงมีความอาลัยสวรรคตเลย

กาลกิริยาของผู้มีอาลัยเป็นทุกข์ กาลกิริยาของผู้อาลัยบัณฑิตติเตียน ขอเดชะ

พระนคร ๘๔,๐๐๐ เหล่านี้แล มีพระนครกุสาวดี ของทูลกระหม่อมเป็น

ประมุข ขอเดชะ ทูลกระหม่อมจงทรงละความพอพระทัยในนครเหล่านั้น

อย่าทรงอาลัยในพระชนมชีพเลย ขอเดชะ ปราสาท ๘๔,๐๐๐ เหล่านี้มีธรรม

ปราสาทของทูลกระหม่อมเป็นประมุข ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมจงทรงละความ

พอพระทัยในปราสาทเหล่านั้น อย่าได้อาลัยในพระชนมชีพเลย ขอเดชะ

เรือนยอด ๘๔,๐๐๐ มีเรือนยอดหลังใหญ่เป็นประมุข ของทูลกระหม่อมเหล่า

นั้น ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมจงทรงละความพอพระทัยในเรือนยอดเหล่านั้น

อย่าได้ทรงอาลัยในพระชนมชีพเลย ขอเดชะ บัลลังก์ ๘๔,๐๐๐ ที่เหล่านี้ของ

ทูลกระหม่อม เป็นทอง เป็นเงิน ทำด้วยงา ล้วนด้วยแก้วบุษราคัม บุลาด

ด้วยขนเจียม ด้วยสักหลาด ด้วยผ้าปักเป็นลวดลาย บุลาดด้วยหนังกวางอย่าง

ดี มีพนักสูง มีนวมสีแดง ทั้งสองข้าง ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อม จงทรง

ละความพอพระทัยในบัลลังก์เหล่านั้น อย่าได้อาลัยในพระชนมชีพ ขอเดชะ

ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือกมีเครื่องแต่ง ทำด้วยทอง ปักธงทอง คลุมด้วยตาข่าย

ทอง ของทูลกระหม่อม เหล่านี้มีช้างตระกูลอุโบสถเป็นประมุข ขอเดชะ ขอ

ทูลกระหม่อมจงทรงละความพอพระทัยในช้างเหล่านั้น อย่าได้ทรงมีอาลัยใน

พระชนมชีพ ขอเดชะ ม้า ๘๔,๐๐๐ เหล่านี้ของทูลกระหม่อมมีเครื่องแต่งทำ

ด้วยทอง ปักธงทอง ปกปิดด้วยตาข่ายทอง มีพระยาม้าวลาหกเป็นประมุข

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 497

ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมจงทรงละความพอพระทัยในม้าเหล่านั้น ขออย่าได้

ทรงอาลัยในพระชนมชีพ ขอเดชะ รถ ๘๔,๐๐๐ เหล่านี้ของทูลกระหม่อม

หุ้มด้วยหนังราชสีห์ หนังเสือโคร่ง หนังเสือเหลือง หุ้มด้วยผ้าขนสัตว์สีเหลือง

มีเครื่องแต่งทำด้วยทอง ปักธงทอง คลุมด้วยตาข่ายทอง มีรถไพชยันต์เป็น

ประมุข ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมจงทรงละความพอพระทัยในรถเหล่านั้น

อย่าได้อาลัยในพระชนมชีพ ขอเดชะ แก้ว ๘๔,๐๐๐ ดวงเหล่านั้น ของทูล

กระหม่อม มีแก้วมณีเป็นประมุข ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมจงทรงละความ

พอพระทัยในแก้วเหล่านั้น อย่าได้ทรงอาลัยในพระชนมชีพ ขอเดชะ หญิง

๘๔,๐๐๐ คนเหล่านี้ของทูลกระหม่อม มีนางแก้วเป็นประมุข ขอเดชะ ขอทูล

กระหม่อมจงทรงละความพอพระทัยในหญิงเหล่านั้น อย่าได้ทรงอาลัยในพระ

ชนมชีพ ขอเดช ะ คฤหบดี ๘๔,๐๐๐ คนเหล่านี้ของทูลกระหม่อม มีคฤหบดี

แก้วเป็นประมุข ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมทรงละความพอพระทัยในคฤหบดี

เหล่านั้น อย่าได้ทรงอาลัยในพระชนมชีพ ขอเดชะ กษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ พระ

องค์เหล่านี้ของทูลกระหม่อมผู้จงรักภักดี มีปริณายกแก้วเป็นประมุข ขอเดชะ

ขอทูลกระหม่อมจงทรงละความพอพระทัยในกษัตริย์เหล่านั้น อย่าได้ทรงอาลัย

ในพระชนมชีพ ขอเดชะ แม่โคนม ๘๔,๐๐๐ ตัวเหล่านี้ของทูลกระหม่อม

กำลังกำดัดหลั่งน้ำนม กำลังเอาถาดรองรับ ขอเดชะ ขอทูลกระหม่อมจงทรง

ละความพอพระทัยในแม่โคนมเหล่านั้น อย่าได้ทรงอาลัยในพระชนมชีพ

ขอเดชะ ผ้าเปลือกไม้อย่างดี ผ้าฝ้ายอย่างดี ผ้าไหมอย่างเนื้อดี และผ้าขน

สัตว์อย่างดี ๘๔,๐๐๐ โกฏิพับเหล่านี้ ของทูลกระหม่อม ขอเดชะ ขอทูล

กระหม่อมจงทรงละความพอพระทัยในผ้าเหล่านั้น อย่าได้อาลัยในพระชนมชีพ

ขอเดชะ ถาดพระกระยาหาร ๘๔,๐๐๐ สำรับเหล่านี้ มีคนนำมาถวายทั้งเวลาเช้า

และเวลาเย็น ของทูลกระหม่อม ขอเดชะ ทูลกระหม่อมจงทรงละความพอ

พระทัยในพระกระยาหารเหล่านั้น อย่าได้ทรงอาลัยในพระชนมชีพ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 498

พระเจ้ามหาสุทัสสนะสวรรคต

[๑๘๔] อานนท์ ครั้งนั้นแล พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้เสด็จสวรรคต

แล้ว ต่อกาลไม่นาน อานนท์ คฤหบดี หรือ บุตรคฤหบดี บริโภคโภชนะที่

ชอบใจ ย่อมเมาในอาหารฉันใด อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะได้เสวยเวทนา

ที่มีการสวรรคตเป็นที่สุด ฉันนั้นนั่นแล. อานนท์ ก็แลพระเจ้ามหาสุทัสสนะ

สวรรคตแล้ว ทรงเข้าถึงสุคติพรหมโลก. อานนท์ พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรง

เล่น อย่างพระกุมารอยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี ทรงดำรงตำแหน่งอุปราชอยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี

ทรงครองราชสมบัติอยู่ ๘๔,๐๐๐ ปี ทรงดำรงเพศคฤหัสถ์ประพฤติพรหม

จรรย์ในธรรมประสาท ๘๔,๐๐๐ ปี. พระเจ้ามหาสุทัสสนะทรงเจริญพรหม

วิหารธรรมสี่ หลังจากสวรรคตเพราะพระกายแตก ได้เสด็จเข้าถึงพรหมโลก

แล้ว.

กถาว่าด้วยความสังเวช

[๑๘๕] อานนท์ เธอคงจะคิดอย่างนี้ว่า สมัยนั้น พระเจ้ามหา

สุทัสสนะได้เป็นคนอื่น อานนท์ ข้อนั้นเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น สมัยนั้น เรา

ได้เป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนะ พระนคร ๘๔,๐๐๐ ของเรานั้น มีกรุงกุสาวดี

ราชธานีเป็นประมุข ปราสาท ๘๔,๐๐๐ เหล่านั้น ของเรามีธรรมปราสาทเป็น

ประมุข เรือนยอด ๘๔,๐๐๐ เหล่านั้น ของเรามีเรือนยอดหลังใหญ่เป็นประมุข

บัลลังก์ ๘๔,๐๐๐ เหล่านั้นของเรา ทำด้วยทอง เงิน งา บุษราคัม บุลาด

ด้วยขนเจียม ลาดด้วยสักหลาด ลาดด้วยผ้าอย่างดี ปักเป็นลวดลาย บุลาด

ด้วยหนังกวางอย่างดี มีพนักสูงอย่างดี มีนวมแดงสองข้าง ช้าง ๘๔,๐๐๐

เชือกเหล่านั้นของเรา มีเครื่องแต่งทำด้วยทอง ปักธงทอง คลุมด้วยตาข่าย

ทอง มีพระยาช้างตระกูลอุโบสถเป็นประมุข ม้า ๘๔,๐๐๐ ตัวของเราเหล่านั้น

มีเครื่องแต่งเป็นทอง ปักธงทอง คลุมด้วยตาข่ายทอง มีพระยาม้าวลาหกเป็น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 499

ประมุข รถ ๘๔,๐๐๐ เหล่านั้นของเรา หุ้มด้วยหนังราชสีห์ เสือโคร่ง เสือ

เหลือง และผ้าขนสัตว์สีเหลือง มีเครื่องแต่งทำด้วยทอง มีธงทอง คลุมด้วย

ตาข่ายทอง มีรถไพชยันต์เป็นประมุข แก้ว ๘๔,๐๐๐ ดวงเหล่านั้นของเรา มี

แก้วมณีเป็นประมุข หญิง ๘๔,๐๐๐ คนเหล่านั้นของเรา มีพระนางสุภัททาเทวี

เป็นประมุข คฤหบดี ๘๔,๐๐๐ คนเหล่านั้นของเรา มีคฤหบดีแก้วเป็นประมุข

กษัตริย์ ๘๔,๐๐๐ พระองค์เหล่านั้นของเรา ผู้จงรักภักดีมีปริณายกแก้วเป็น

ประมุข แม่โคนม ๘๔,๐๐๐ ตัวเหล่านั้นของเรา กำลังกำดัดหลั่งน้ำมัน กำลัง

เอาภาชนะสำริดรองรับ ผ้าเปลือกไม้อย่างเนื้อดี ผ้าฝ้ายอย่างเนื้อดี ผ้าไหมอย่าง

เนื้อดี ผ้าขนสัตว์อย่างเนื้อดีของเรา มี ๘๔,๐๐๐ โกฏิพับ ถาดพระกระยาหาร

๘๔,๐๐๐ สำรับเหล่านั้นของเรา มีคนใส่อาหารนำมาถวายทั้งเวลาเช้าและ เย็น

อานนท์ ก็แล บรรดาพระนคร ๘๔,๐๐๐ เหล่านั้น พระนครที่เราอยู่ครอบ

ครอง สมัยนั้น คือกุสาวดีราชธานี พระนครเดียวเท่านั้น อานนท์ ก็แล

บรรดาประสาท ๘๔,๐๐๐ เหล่านั้น ปราสาทที่เราอยู่ครอบครอง สมัยนั้น คือ

ธรรมปราสาท หลังเดียวเท่านั้น อานนท์ ก็แล บรรดาเรือนยอด ๘๔,๐๐๐

เหล่านั้น เรือนยอดที่เราอยู่ครอบครอง สมัยนั้น คือเรือนยอดหลังใหญ่หลัง

เดียวเท่านั้น อานนท์ ก็แล บรรดาบัลลังก์ ๘๔,๐๐๐ เหล่านั้น บัลลังก์ที่เรา

ใช้เสวยสมัยนั้น จะเป็นบัลลังก์ทอง เงิน งา หรือบุษราคัมนั้นก็ตาม บัลลังก์

เดียวเท่านั้น อานนท์ ก็แล บรรดาช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือกเหล่านั้น ช้างที่เราขี่

สมัยนั้น คือพระยาช้างตระกูลอุโบสถ เชือกเดียวเท่านั้น อานนท์ ก็แล บรรดา

ม้า ๘๔,๐๐๐ ตัวเหล่านั้น ม้าที่เราขี่คือ พระยาม้าวลาหกตัวเดียวเท่านั้นอานนท์

ก็แล บรรดารถ ๘๔,๐๐๐ เหล่านั้น รถคันที่เราขี่สมัยนั้น คือรถไพชยันต์

คันเดียวเท่านั้น อานนท์ ก็แล บรรดาหญิง ๘๔,๐๐๐ เหล่านั้น หญิงที่บำรุง

เราสมัยนั้น จะเป็นนางกษัตริย์หรือว่าเป็นหญิงแพศย์ หญิงคนเดียวเท่านั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 500

อานนท์ ก็แล บรรดาผ้า ๘๔,๐๐๐ โกฏิพับเหล่านั้น ผ้าที่เรานุ่งห่มสมัยนั้น จะ

เป็นผ้าเปลือกไม้อย่างดี ผ้าฝ้ายอย่างดี ผ้าไหมอย่างดี หรือเป็นผ้าขนสัตว์อย่างดี

ก็ตาม ผ้าคู่เดียวเท่านั้น อานนท์ ก็แล บรรดาถาดพระกระยาหาร ๘๔,๐๐๐ สำรับ

เหล่านั้น ถาดพระกระยาหารที่เราบริโภคคำข้าวสุกทนา หนึ่งเป็นอย่างยิ่ง และ

กับพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้น ถาดพระกระยาหารเดียวเท่านั้น อานนท์ เธอจงดูซิ

สังขารเหล่านั้นล่วงไป ดับไป แปรไปหมดแล้ว อานนท์ สังขารทั้งหลาย

ไม่เที่ยง อย่างนี้ อานนท์ สังขารทั้งหลายไม่ยั่งยืนอย่างนี้แล อานนท์ สังขาร

ทั้งหลายไม่น่ายินดีอย่างนี้แล อานนท์ ข้อนี้ควรจะเบื่อ หน่ายในสังขารทั้งปวง

เทียว ควรจะคลายกำหนัด ควรละหลุดพ้น อานนท์ ก็แล เราย่อมรู้ที่ทอด

ทิ้งร่างกาย เราทิ้งร่างกายในประเทศนี้ การที่เราเป็นพระเจ้าจักรพรรดิทรง

ความเป็นธรรมราชา เป็นใหญ่ในแผ่นดินมีสมุทรทั้ง ๔ เป็นขอบเขต เป็นผู้

พิชิตมีชนบทมั่นคง สมบูรณ์ด้วยรัตนะเจ็ดประการ ทิ้งร่างกายนี้เป็นที่เจ็ด

อานนท์ ก็แล เราไม่เล็งเห็นประเทศนั้นในโลกทั้งเทวโลก มารโลก พรหม

โลก ในหมู่สัตว์ทั้งสมณะพราหมณ์พร้อมทั้งเทวดา และมนุษย์ที่พระตถาคต

จะทอดทิ้งร่างกายเป็นครั้งที่แปด ดังนี้.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้พระสุคตตรัสคำนี้แล้ว ลำดับนั้น พระศาสดา

ได้ตรัสคาถาประพันธ์นี้อื่นอีกว่า

[๑๘๖] สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิด

ขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้ว

ย่อมดับไป การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้น

เป็นความสุข ดังนี้.

จบมหาสุทัสสนสูตรที่ ๔

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 501

อรรถถกถามหาสุทัสสนสูตร

มหาสุทัสสนสูตรขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนี้. การพรรณนา

ตามลำดับบทในมหาสุทัสสนสูตรนั้น มีดังนี้ ในคำว่า เอาแก้วทุกอย่างมา

สร้างปนกัน นั้น อิฐก้อนหนึ่งทำด้วยทอง ก้อนหนึ่งทำด้วยเงิน ก้อนหนึ่ง

ทำด้วยแก้วไพฑูรย์ ก้อนหนึ่งทำด้วยแก้วผลึก ก้อนหนึ่งทำด้วยโกเมน ก้อนหนึ่ง

ทำด้วยบุษราคัม ก้อนหนึ่งทำด้วยรัตนะทุกอย่าง. กำแพงนี้อยู่ภายในกำแพง

ทั้งหมด สูงประมาณ ๖๐ ศอก. แต่พระเถระพวกหนึ่งกล่าวว่า ชื่อว่านคร เมื่อ

คนยืนอยู่ภายในแลดูก็จะมีสัณฐานกลม เพราะฉะนั้น กำแพงที่อยู่ข้างนอกทั้งหมด

จึงสูง ๖๐ ศอก กำแพงที่เหลือจึงต่ำโดยลำดับ. พวกหนึ่งกล่าวว่า นครนี้ เมื่อคน

ยืนอยู่ภายนอกแลดู ก็จะมีสัณฐานกลม เพราะฉะนั้น กำแพงในที่สุด จึงสูง ๖๐

ศอก กำแพงที่เหลือจึงต่ำโดยลำดับ. พวกหนึ่งกล่าวว่า นครนี้ เมื่อคนยืนอยู่

ภายในและภายนอกแลดู ก็จะมีสัณฐานกลม เพราะฉะนั้น กำแพงในท่ามกล่าว

จึงสูง ๖๐ ศอก กำแพงภายใน ๓ แห่ง และภายนอก ๓ แห่ง จึงต่ำโดยลำดับ.

บทว่า เอกสิกา คือ เสาระเนียด. บทว่า ติโปริสงฺคา ความว่า

แขนบุรุษคนหนึ่งพันแขนกัน ๓ คน รวมกันเป็น ๑๕ แขน. ก็เสาระเนียด

เหล่านั้น ตั้งอยู่อย่างไร. โดยข้างนอกพระนคร ใกล้ปีกพระทวารใหญ่

แต่ละแห่ง มีเสาระเนียดแห่งละ ๑ ต้น ใกล้ปีกพระทวารเล็กแต่ละแห่ง มี

เสาระเนียดแห่งละ ๑ ต้น ระหว่างพระทวารใหญ่ และพระทวารเล็กแห่งละ

๓ ต้น.

บรรดาต้นตาลที่ทำด้วยรัตนะทั้งหมดในแถวตาลทั้งหลาย ตาลต้นหนึ่ง

ทำด้วยทอง เพราะฉะนั้น พึงทราบลักษณะที่กล่าวแล้วในกำแพงนั่นเทียว.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 502

แม้ในใบและผลทั้งหลาย ก็มีนัยเช่นเดียวกัน. ก็แถวตาลเหล่านั้น สูง ๘๐ ศอก

ตั้งอยู่ในระหว่างกำแพงแห่งละ ๑ แถว ในพื้นที่ราบเรียบซึ่งเกลี่ยด้วยทราย. บทว่า

วคฺคู แปลว่า ฉลาดดี. บทว่า รชนีโย แปลว่า สามารถเพื่อกำหนัด. บทว่า

กมนีโย แปลว่า เมื่อฟังแม้ตลอดวัน ก็ไม่เบื่อ. บทว่า มทนีโย แปลว่า

ทำให้เกิดเมาใจ เมาคน. บทว่า ปญฺจงฺคิกสฺส ความว่า ประกอบด้วยองค์

๕ ประการ คือ อาตฏะ วิตฏะ อาตฏวิตฏะ สุริระ ฆนะ. ในองค์ ๕

ประการนั้น ดุริยางค์ ที่หุ้มหนังหน้าเดียว ในบรรดากลองเป็นต้น ซึ่งหุ้ม

ด้วยหนัง ชื่อว่า อาตฏะ ดุริยางค์ที่หุ้มทั้ง ๒ หน้า ชื่อว่า วิตฏะ ดุริยางค์

ที่หุ้มทั้งหมด ชื่อว่า อาตฏวิตฏะ. ปี่แลสังข์เป็นต้น ชื่อว่า สุสิระ. สัมม-

ตาลเป็นต้น ชื่อว่า ฆนะ. บทว่า สุวินีตสฺส ความว่าขึงดีแล้ว ด้วยทำให้

หย่อนเป็นต้น. บทว่า สุปฏิตาพิตสฺส ความว่า ตีเทียบดีแล้ว เพื่อให้รู้ว่า

พอดี. บทว่า กุสเลหิ สมนฺนาหตสฺส ความว่า บรรเลงโดยผู้เชี่ยวชาญ

ซึ่งสามารถที่จะบรรเลง. บทว่า ธุตฺตา แปลว่า นักเลงการพนัน. บทว่า

โสณฺฑา ความว่า นักเลงสุรา. นักเลงสุราเหล่านั้นเทียว ชื่อว่า นักดื่ม

ด้วยความสามารถดื่มได้บ่อย ๆ. บทว่า ปริจาเรสุ แปลว่า ถือจังหวะมือ

จังหวะเท้าฟ้อนเล่น. บทว่า สีสนฺหาตสฺส แปลว่า ทรงอาบด้วยน้ำกลิ่นหอม

ทั่วพระเศียร.

บทว่า อุโปสถิกสฺส ความว่า ทรงสมาทานองค์อุโบสถ. บทว่า

อุปริปาสาทวรคตสฺส ความว่า เสด็จขึ้นปราสาทอันประเสริฐ ทรงเสวย

พระกระยาหารแล้ว เสด็จเข้าไปยังห้องศิริ เบื้องบน คือ บนพื้นใหญ่

แห่งพระปราสาทอันประเสริฐ แล้วทรงระลึกถึงศีล. ได้ยินว่า ครั้งนั้น

พระราชาทรงแก้ปัญหาตั้งแสน ตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ทรงถวายมหาทาน ทรง

ชำระพระเศียร ด้วยน้ำหอม ๑๖ หม้อ เสวยพระกระยาหารเช้า ทรงสพักสไบ

อันบริสุทธิ์ ประทับนั่งสมาธิในห้องบรรทมบนพระปราสาทอันประเสริฐ ทรง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 503

ระลึกถึงเหตุแห่งบุญ ซึ่งสำเร็จด้วยทาน ทมะ และสัญญมะ ของพระองค์. นี้

เป็นธรรมดาของพระเจ้าจักรพรรดิทั้งปวง. เมื่อพระเจ้าจักรพรรดิเหล่านั้น

ทรงระลึกถึงศีลอย่างนั้น จักรรัตนะอันเป็นทิพย์ เช่นกับก้อนแก้วมณีสีเขียว

อันมีสมุฏฐานจากบุญกรรม ปัจจัยและฤดูดังกล่าวแล้ว ย่อมปรากฏเหมือน

พื้นน้ำสมุทรด้านปราจีน ถูกคลื่นพัด เหมือนอากาศอันประดับประดาแล้ว

ฉะนั้น. จักรรัตนะนั้น ได้ปรากฏแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิราช

ฉันนั้นเหมือนกัน.

จักรรัตนะนี้นั้น ท่านกล่าวว่าเป็นทิพย์ เพราะประกอบด้วยอานุภาพอัน

เป็นทิพย์. จักรรัตนะมีกำตั้งพัน จึงชื่อว่า สหสฺสาร. มีกงและมีดุม จึงชื่อ

ว่า สเนมิก สนาภิก. บริบูรณ์ด้วย อาการทั้งปวง จึงชื่อว่า สพฺพา-

การปริปูร.

จักรในมหาสุทัสสนสูตร นั้นด้วย เป็นรัตนะด้วย เพราะอรรถว่า ให้

เกิดความยินดี เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า จักรรัตนะ. ก็จักรรัตนะท่านกล่าวว่า

สนาภิก ด้วยดุมใด ดุมนั้น ทำด้วยแก้วมณีสีเขียว. ก็ท่ามกลางแห่งดุม ซึ่ง

ทำด้วยเงินแท้ รุ่งโรจน์เหมือนเบียดเสียดด้วยระเบียบฟันที่ขาวสนิท. ล้อมด้วย

แผ่นเงินทั้งภายนอกและภายใน ทั้งสอง เหมือนมณฑลแห่งจันทร์ที่มีจุดใน

ท่ามกลางฉะนั้น. ก็ลวดลายที่แกะสลักในที่อันสมควรในแผ่นล้อมดุม และซี่

นั้น ปรากฏว่าจัดแบ่งไว้เป็นอย่างดี. ความบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวงแห่งดุม

แห่งจักรรัตน์เพียงเท่านี้ก่อน. จักรรัตนะนั้นท่านกล่าวว่า สหสฺสาร ด้วย

กำเหล่าใด กำเหล่านั้นทำด้วยรัตนะเจ็ดประการ ถึงพร้อมด้วยแสงสว่าง

เหมือนรัศมีแห่งพระอาทิตย์ฉะนั้น. อาการมีลวดลายสลักด้วยก้อนแก้วแห่งกำ

แม้เหล่านี้ ปรากฏเป็นจักร แบ่งเป็นอย่างดีทีเดียว. นี้เป็นความสมบูรณ์โดย

อาการทั้งปวงแห่งกำแห่งจักรรัตนะนั้น. อนึ่ง จักรรัตนะนั้น ท่านกล่าวว่า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 504

สเนมิก ด้วยกงใด กงนั้นทำด้วยแก้วประพาฬอันแดงจัด บริสุทธิ์สนิท เหมือน

กับจะเยาะเย้ยศิริแห่งกลุ่มรัศมีพระอาทิตย์อ่อน ๆ ฉะนั้น. ก็ในที่ต่อแห่งกงนั้น

ลวดลายที่สลักกลม มีศิริเป็นก้อนขาวแดงบริสุทธิ์ดี ดาดาษด้วยชมพูนุทสีแดง

ปรากฏเป็นอันจัดแบ่งไว้เป็นอย่างดี. นี้คือ ความบริบูรณ์ โดยอาการทั้งปวง

แห่งกงจักรรัตนะนั้น. ก็ในระหว่างกำ ทั้งสิบ แห่งจักรรัตนะนั้น ใน

เบื้องหลังแห่งบริเวณกง มีก้อนแก้วประพาฬจับลม แกะสลักเป็นศีรษะภายใน

เหมือนกลุ่มควันฉะนั้น.

จักรรัตนะใดที่ต้องลมแล้ว มีเสียงไพเราะ ยวนใจ ชวนให้ฟัง ให้

เคลิบเคลิ้มเหมือนเสียงดนตรีที่ประกอบด้วยองค์ ห้า ที่บรรเลงโดยผู้ชำนาญ

ดีแล้วฉะนั้น ก็จักรรัตนะนั้น ในเบื้องบนแห่งคัน แก้วประพาฬมีฉัตรขาว

ในข้างทั้งสอง มีแถวลวดลายดอกทองคำรวมกันเป็นสองแถว ภายในดุมและ

ซี่แม้ทั้งสอง ล้อมกงซึ่งงามพร้อมด้วยคันแก้วประพาฬร้อยคัน ทรงฉัตรขาวตั้ง

ร้อย มีแถวลวดลายดอกทองคำที่รวมประชุมสองร้อยอย่างนี้เป็นบริวาร มี

มุขสีหะสองมุข มีพวงแก้วมุกดาประมาณเท่าลำตาล ๒ พวง อันสวยงามเหมือน

ประกายแสะพระจันทร์เพ็ญ ดาดาษด้วยผ้ากัมพลสีแดงเสมอเหมือนดวงพระ-

อาทิตย์อ่อน ๆ รอน ๆ จะเย้อความงามที่แผ่กระจายในอากาศ และแม่น้ำคงคา

ฉะนั้น ห้อยระย้าอยู่ มีวงจักร ๓ วง พร้อมกับจักรรัตนะปรากฏเหมือนหมุน

ในอากาศ พร้อมกันฉะนั้น นี้ ความบริสุทธิ์ทุกอย่างโดยประการทั้งปวงแห่ง

จักรรัตนะนั้น.

ก็จักรรัตนะนี้นั้น สมบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวงดังนี้ เหมือนกับมวล

มนุษย์บริโภคอาหารเย็นตามปกติ นั่งบนอาสนะที่ปูลาด ที่ประตูบ้านของตน ๆ

สนทนากัน เด็ก ๆ กำลังเล่นในทางสี่แพร่ง เป็นต้น ให้อากาศไม่สูงนัก

ไม่ต่ำนัก ประมาณปลายไม้ให้สว่างไสวอยู่ เหมือนให้ได้ยินเสียงสัตว์ทั้งหลาย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 505

ด้วยเสียงไพเราะซึ่งฟังได้ตั้งแต่ปลายกิ่งไม้ ถึงสิบสองโยชน์ ทำให้นัยน์ตา

มองเห็นด้วยสีอันรุ่งเรืองด้วยแสงต่าง ๆ ถึงโยชน์ เหมือนกับโฆษณา บุญญา-

นุภาพแห่งพระเจ้าจักรพรรดิ กลับมายังราชธานี. ลำดับนั้น ด้วยการฟังเสียง

จักรรัตนะนั่นเอง มวลมนุษย์ที่แลดูทิศตะวันออก มีจิตจดจ่อว่า นี้เป็นเสียง

ของใครจากที่ไหนหนอ ต่างก็กล่าวกะกันว่า ท่านผู้เจริญ ดูอัศจรรย์จริง

แต่กาลก่อนพระจันทร์เพ็ญขึ้นเพียงดวงเดียว แต่วันนี้ ไฉนจึงขึ้นเป็น ๒ ดวง

ก็นั่นเป็นพระจันทร์เพ็ญคู่เหมือนราชหงษ์คู่ประดับท้องฟ้า เหมือนอย่างแต่

กาลก่อน. คนอื่นก็กล่าวกะคนนั่นว่า พูดอะไรเพื่อน ท่านเคยเห็นพระจันทร์

๒ ดวงขึ้นพร้อมกันแต่ที่ไหน นั่นเป็นพระอาทิตย์ทรงกลดมิใช่หรือ. คนอื่น

ยิ้มแล้วกล่าวกะคนนั้นว่า ท่านเป็นบ้าหรือ พระอาทิตย์พึงตกเดี๋ยวนี้มิใช่หรือ

พระอาทิตย์นั้น จักขึ้นตามพระจันทร์เพ็ญนี้อย่างไร ก็นั่นจักเป็นวิมานของผู้มี

บุญคนหนึ่ง ซึ่งรุ่งโรจน์ด้วยแสงรัตนะ แน่แท้. มนุษย์แม้ทั้งหมด

เหล่านั้น ต่างไม่เชื่อกัน ก็กล่าวกะคนเหล่าอื่นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ พูดมาก

ไปทำไม นี้ไม่ใช่พระจันทร์เพ็ญ ไม่ใช่พระอาทิตย์ ไม่ใช่วิมานของเทพ และ

ไม่ใช่ศิริสมบัติของเหล่าเทพปานนี้ แต่พึงเป็นจักรรัตนะอย่างหนึ่งแน่นอน.

เมื่อชนนั้นสนทนากันอย่างนี้แล้ว จักรรัตนะนั้น ก็ละเสียซึ่งมณฑลแห่งพระ

จันทร์มุ่งตรงต่อราชธานี.

แต่นั้น ถ้าพูดว่า จักรรัตนะนี้ เกิดแก่ใครหนอ ก็จะมีคนพูดว่า

จักรรัตนะนั่นไม่เกิดแก่ใครอื่น แต่เกิดแก่พระเจ้ามหาจักรพรรดิผู้มีพระบารมี

บริบูรณ์ของพวกเรามิใช่หรือ. ลำดับนั้น มหาชนนั้นและชนผู้อื่น ๆ ทั้งหมด

ก็ติดตามจักรรัตนะนั่นเทียว. จักรรัตนะแม้นั้น เหมือนประสงค์จะให้รู้ถึง

ภาวะเป็นไปแห่งตนเพื่อประโยชน์แก่พระเจ้าจักรพรรดิ วนเลียบพระนครสูง

ประมาณกำแพงถึง ๗ ครั้ง ทำประทักษิณพระนครของพระเจ้าจักรพรรดิแล้ว

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 506

ประดิษฐานอยู่ในที่เช่นสีหบัญชรด้านเหนือ ภายในแห่งราชธานี ปรากฏเหมือน

ให้มหาชนสะดวกแก่การบูชา ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นฉะนั้น. ก็เมื่อ

จักรรัตนะนั้นตั้งอยู่อย่างนี้แล้ว ก็จะมีพระราชาพระองค์ผู้ประสงค์จะทอดพระ-

เนตรดูจักรรัตนะซึ่งมีกลุ่มแสงทำให้ภายในปราสาทสว่างไสวด้วยแสงรัตนะหลาก

สี ซึ่งพุ่งออกมาทางช่องบานหน้าต่าง. แม้ปริชนผู้มากับพระราชานั้น ก็ปรารภ

ถึงคำน่ารักแห่งจักรรัตนะนั้น จึงประกาศเนื้อความนั้น.

ลำดับนั้น พระราชาทรงมีพระสรีระ ผุดผ่องด้วยพระปีติ และ

ปราโมทย์เป็นกำลัง ทรงเลิกสมาธิเสด็จลุกขึ้นจากพระราชอาสน์ เสด็จไปใกล้

สีหบัญชร ทรงเห็นจักรรัตนะนั้น ทรงพระดำริว่า ก็จักรรัตนะนั้น เราได้ฟัง

แล้ว ดังนี้เป็นต้น. จักรรัตนะนั้นทั้งหมดได้เป็นอย่างนั้น แก่พระเจ้ามหา-

สุทัสสนจักรพรรดิราช. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า รญฺโ มหา

สุทสฺสนสฺส ฯเปฯ อสฺส นุโข อห ราชา จกฺกวตฺติ. ในบทนั้นมีอรรถ

ว่า พระราชาพระองค์นั้น เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ. ถามว่า เป็นพระเจ้า

จักรพรรดิ ด้วยเหตุมีประมาณเท่าใด.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นจักรรัตนะพุ่งขึ้นไปสู่อากาศ แม้เพียงหนึ่ง

องคุลีสององคุลี ทรงแสดงกิจจะพึงกระทำ เพื่อยังจักรรัตนะนั้นเป็นไป ณ

บัดนี้ จึงตรัสว่า อถโข อานนฺท เป็นต้น.

ในบทเหล่านั้น บทว่า อุฏฺายาสนา ความว่า เสด็จลุกจากพระราช-

อาสนะที่ประทับแล้ว เสด็จมาใกล้จักรรัตนะ. บทว่า สุวณฺณภิงฺคาร คเหตฺวา

ความว่า ทรงยกพระสุวรรณภิงคารมีทะนานเช่นงวงช้าง.

บทว่า อนฺวเทว ราชา มหาสุทสฺสโน สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนาย

ความว่า ก็พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิราช นั้น ทรงพระนามว่า จักรพรรดิ

ชั่วกาลใกล้เคียงกับจักรรัตนะพุ่งขึ้นเวหาใกล้เคียงกับพระเจ้าพรรดิทั้งหลาย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 507

ทรงรินน้ำแล้วตรัสว่า ขอจักรรัตนะจงอภิชิตจักรภพ. ก็ครั้นจักรรัตนะเป็นไป

แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิเสด็จติดตามจักรรัตนะนั้น เสด็จไปยังยานอันประเสริฐ

แล้ว พุ่งขึ้นสู่เวหาส. ลำดับนั้น ปริชนและอันใดชนของพระราชานั้น ถือ

ฉัตรและจามรเป็นต้น ต่อจากนั้น หมู่อุปราชและเสนาบดีพร้อมกับพลกำลัง

ประดับประดาด้วยเสื้อผ้าเกราะเป็นต้น รุ่งเรืองด้วยแสงอาภรณ์ต่าง ๆ ตกแต่ง

ด้วยธงปฏากอันสวยงาม พุ่งขึ้นสู่เวหาสแวดล้อมพระราชา. ก็บรรดาเภรีราชยุต

ก็ให้ตีเที่ยวไปในถนนพระนคร เพื่อสงเคราะห์ชนว่า ดูก่อนพ่อทั้งหลาย จักร

รัตนะได้บังเกิดแก่พระราชาของพวกเราแล้ว ท่านทั้งหลายจงตกแต่งประดับ

ประดา ตามสมควรแก่ทรัพย์ของตน ๆ แล้วมาประชุม. และแม้มหาชนละกิจ

ทั้งปวงตามปกติด้วยเสียงจักรรัตนะนั่นเทียว ถือของหอมและดอกไม้เป็นต้น

ประชุมกันแล้ว. มหาชนแม้นั้นทั้งหมด เหาะขึ้นเวหาสแวดล้อมพระราชานั่น

เทียว. ก็มหาชนใด ๆ ประสงค์จะไปกับพระราชา มหาชนนั้น ๆ ก็ไปสู่อากาศ

เทียว. บริษัทยาวกว้างประมาณสิบสองโยชน์อย่างนี้. ในบริษัทนั้น แม้คน

หนึ่ง จะมีสรีระขาดแตก หรือผ้าเปื้อนก็ไม่มี. จริงอยู่ พระเจ้าจักรพรรดิทรง

มีราชบริวารอันสะอาด. ขึ้นชื่อว่า บริษัทของพระเจ้าจักรพรรดิ เหาะได้

เหมือนวิทยาธร เป็นเช่นกับแก้วมณีที่เกลื่อนกล่นในท้องฟ้าสีเขียว. บริษัทแม้

ของพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิราช ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น

ท่านจึงกล่าวว่า อนฺวเทว ราชา มหาสุทสฺสโน สทฺธึ จตุรงฺคินิยา เสนาย.

ก็จักรรัตนะนั้น ย่อมพุ่งไปบนท้องฟ้าเหนือยอดไม้โดยไม่สูงนัก ไม่

ต่ำนัก เหมือนคนต้องการดอกผล และเถาวัลย์ ของต้นไม้ ก็อาจจับดอกผล

เหล่านั้นได้ง่าย และเหมือนคนยืนอยู่บนแผ่นดิน ก็อาจจะสังเกตว่า นั่นพระ-

ราชา นั่นอุปราช นั่นเสนาบดี. ก็ในบรรดาอิริยาบถมียืนเป็นต้น ผู้ใดต้อง

การอิริยาบถใด ผู้นั้นก็ดำเนินไปด้วยอิริยาบถนั้นได้. ก็ในที่นี้ผู้ขวนขวาย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 508

ศิลปะมีจิตรกรรมเป็นต้น เมื่อทำกิจของตน ๆ ไป กิจทั้งปวงของชนเหล่านั้น

ก็ย่อมสำเร็จในอากาศนั้นเทียวเหมือนแผ่นดิน จักรรัตนะนั้น พาบริษัท

พระเจ้าจักรพรรดิไปด้วยอาการอย่างนี้ และละเขาพระสุเมรุทางเบื้องซ้ายไปสู่

ปุพพวิเทหประเทศ ประมาณแปดพันโยชน์ในส่วนเบื้องบนแห่งมหาสมุทร.

ในที่นั้น ภูมิภาคใดส่วนกว้างล้อมรอบได้ ๑๒ โยชน์ ควรแก่การอยู่อาศัยของ

บริษัท ๑๖ โยชน์ มีอาหารเครื่องอุปกรณ์หาได้ง่าย สมบูรณ์ด้วยร่มเงาและน้ำ

มีภาคพื้นสะอาดสม่ำเสมอ น่ารื่นรมย์ จักรรัตนะนั้น ตั้งอยู่เหมือนไม่หวั่นไหว

ในส่วนเบื้องบนแห่งภูมิภาคนั้น ๆ ลำดับนั้น ด้วยสัญญาณนั้น มหาชนนั้นก็ลง

ทำกิจทั้งปวงมีการอาบและการกินเป็นต้น ตามใจชอบ สำเร็จการอยู่. จักรรัตนะ

ทั้งปวงได้เป็นเช่นนั้น แม้ของพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิก็เป็นเช่นนั้น ด้วย

เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ดูก่อนอานนท์ ก็จักรรัตน์ประดิษฐ์อยู่ในประเทศใด

พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ ก็เสด็จเข้าไปประทับอยู่ในประเทศนั้น พร้อม

ด้วยจตุรงคเสนา.

ครั้นพระเจ้าจักรพรรดิประทับอยู่อย่างนี้แล้ว พระราชาทั้งหลายใน

ประเทศนั้น แม้ได้ฟังแล้วว่า จักรมาแล้ว ก็ย่อมไม่ประชุมกำลังพลเตรียมรบ.

เพราะในระหว่างอุบัติขึ้นแห่งจักรรัตนะ ธรรมดาสัตว์ที่จะพยายามยกอาวุธต่อ

พระราชานั้น ด้วยสำคัญว่าเป็นศัตรูไม่มีเลย. นี้เป็นอานุภาพแห่งจักรรัตนะ.

ก็ข้าศึกศัตรูที่เหลือของพระราชานั้น ย่อมเข้าถึงการฝึกด้วยอานุภาพแห่งจักร.

ธรรมดาการฝึกศัตรูเป็นหน้าที่ของพระราชาผู้เป็นใหญ่แห่งคน ด้วยเหตุนั้น

ท่านจึงกล่าวถึงจักรของพระราชานั้น. เพราะฉะนั้น พระราชาเหล่านั้นแม้ทั้ง

หมดทรงถือบรรณาการอันสมควรแก่ราชศิริสมบัติของตน ๆ เสด็จเข้าเฝ้า

พระราชานั้น ทรงน้อมพระเศียร ทำการบูชาพระบาทแห่งพระราชานั้น ด้วย

อภิเษกแห่งรัศมีแก้วมณีพระโมลีของตนถึงซึ่งการต้อนรับพระราชานั้นด้วยพระ

วจนะว่า ข้าแต่พระมหาราช ขอพระองค์จงเสด็จมาดังนี้เป็นต้น. พระราชา

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 509

ทั้งหลายก็ได้กระทำอย่างนั้น แก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิราชเหมือนกัน.

ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เย โข ปนานนฺท ปุรตฺถิมาย ทิสาย ฯเปฯ

อนุสาส มหาราช ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สฺวาคต แปลว่า เสด็จมาดีแล้ว. ท่าน

กล่าวว่า ก็ครั้นพระราชาองค์หนึ่งเสด็จมา ราชศัตรูก็เศร้าโศก ครั้นเสด็จไป

ก็ทรงเพลิดเพลิน ครั้นพระราชาบางองค์เสด็จมา ราชศัตรูก็ทรงเพลิดเพลิน

ครั้นเสด็จไป ก็ทรงเศร้าโศก พระองค์ก็เป็นเช่นนั้น ทรงเสด็จมาเพลิดเพลิน

เสด็จไปเศร้าโศก เพราะฉะนั้น การเสด็จมาของพระองค์ จึงเป็นการเสด็จมา

ดี ก็ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว พระเจ้าจักรพรรดิจะไม่ตรัสว่า ท่านทั้งหลายจง

นำพลีอันสมควร มีประมาณเท่านี้ให้แก่เราบ้าง จะไม่ตัดเอาโภคะของพระราชา

องค์อื่นไป พระราชทานแก่พระราชาอีกองค์บ้าง แต่จะทรงหยิบยกคำว่า

ปาณาติปาตา เป็นต้น ขึ้นกล่าวด้วยปัญญาอันสมควร แก่ความที่พระองค์

เป็นธรรมราชา ทรงแสดงพระธรรมด้วยพระวจนะอันเป็นที่รัก อันละเอียด

อ่อน โดยนัยเป็นอาทิว่า ดูกรพ่อทั้งหลาย ท่านจงดู ขึ้นชื่อว่า การฆ่าสัตว์

นั่น อันเสพแล้ว เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อนรก ย่อมพระ

ราชทานพระโอวาทเป็นอาทิว่า ไม่พึงฆ่าสัตว์ดังนี้. แม้พระเจ้ามหาสุทัสสนจักร

พรรดิ ก็ทรงกระทำอย่างนี้เหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า พระเจ้า

มหาสุทัสสนจักรพรรดิตรัสอย่างนี้ว่า ท่านไม่พึงฆ่าสัตว์ ฯลฯ และท่านพึง

บริโภคตามสมควร.

ถามว่า ก็พระราชาแม้ทั้งหมด ทรงถือเอาพระโอวาทนี้ของพระราชา

หรือไม่. ตอบว่า พระราชาแม้ทั้งหมด ยังไม่ถือเอาพระโอวาทแม้ของพระ

พุทธเจ้า จักถือเอาพระโอวาทของพระราชาได้อย่างไร. เพราะฉะนั้น พระ

ราชาเหล่าใด ทรงเป็นบัณฑิต เฉลียวฉลาด มีปัญญา พระราชาเหล่านั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 510

ก็จะทรงถือเอา. แต่พระราชาทั้งหมดทรงตามเสด็จ เพราะฉะนั้น พระผู้มี

พระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เยโข ปนานนฺท ดังนี้เป็นต้น.

ลำดับนั้น จักรรัตนะนั้น ครั้นพระราชาให้พระโอวาทแก่ชาวบุพพ-

วิเทหะ อย่างนี้แล้ว ก็พุ่งขึ้นสู่เวหาสพร้อมกับกำลังของจักรพรรดิที่ได้รับ

ประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็ย่างเข้าสู่สมุทรด้านปุรัตถิมทิศผ่านคลื่นอันกว้าง

ขวาง เหมือนนาคราชได้กลิ่นงูแล้วแผ่พังพานฉะนั้น บินเหนือน้ำมหาสมุทร

ประมาณหนึ่งโยชน์ตั้งอยู่ภายในมหาสมุทรประดุจระเบียบแก้วไพฑูรย์ ฉะนั้น.

และในขณะนั้น รัตนนานาชนิดเกลื่อนกล่นในพื้นมหาสมุทร ดุจประสงค์จะเห็น

บุญศิริของพระราชาพระองค์นั้น มาจากที่นั้นๆ เต็มประเทศนั้น ๆ ลำดับนั้น

บริษัทแห่งพระราชานั้น เห็นพื้นมหาสมุทรเต็มด้วยรัตนนานาชนิดนั้น ก็ถือ

เอาด้วยกอบเป็นต้นตามใจชอบ. ก็เมื่อบริษัทได้ถือเอารัตนะตามชอบ จักร

รัตนะนั้น ก็กลับ. ก็ครั้นจักรรัตนะนั้นกลับ บริษัทไม่ได้ไป พระราชาอยู่ใน

ท่ามกลาง จักรรัตนะอยู่ในที่สุด. จักรรัตนะนั้นกระทบรอบ ๆ กงโดยการแยกนั้น

เหมือนกระทบพื้นน้ำทะเล และเหมือนข่มด้วยจักรรัตนศิริเข้าไปชั่วนิรันดร.

พระเจ้าจักรพรรดิทรงชำนะ ปุพพวิเทหประเทศ ซึ่งมีมหาสมุทรด้านทิศตะวัน

ออกเป็นขอบเขตอย่างนี้แล้ว ทรงประสงค์จะชำนะชมพูทวีป ซึ่งมีสมุทรด้าน

ทิศใต้เป็นขอบเขต เสด็จไปมุ่งตรงต่อสมุทรด้านทิศใต้ ตามทางที่จักรรัตนะ

แสดงนำไป. แม้พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิก็เสด็จไปเช่นนั้นเหมือนกัน.

ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ดูก่อนอานนท์ ลำดับนั้นแล จักรรัตนะนั้นข้าม

ไปยังสมุทรทิศตะวันออกแล้ว กลับไปยังทิศใต้ดังนี้.

ก็เมื่อจักรรัตนะนั้นเป็นไปอย่างนี้ คำว่า วิธีกลับ การพักอยู่แห่ง

เสนา การเสด็จมาแห่งพระอริราช การพระราชทานอนุสาสนีแก่เหล่าพระ

อริราชนั้น ๆ การข้ามไปยังสมุทรด้านทิศใต้ การขึ้นไปเหนือน้ำสมุทร การ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 511

ถือเอารัตนนานาชนิดทั้งหมด พึงทราบโดยนัยก่อนนั้นเทียว. ก็ทรงชำนะ

ชมพูทวีปประมาณหนึ่งโยชน์นั้นแล้ว กลับจากสมุทรทางทิศใต้ เสด็จไปโดย

นัยกล่าวแล้วในบทก่อน เพื่อชำนะอมรโดยานมีเจ็ดพันโยชน์ เป็นประมาณ

ทรงชนะอมรโดยานแม้นั้น ซึ่งมีสมุทรเป็นขอบเขตอย่างนั้น เสด็จข้ามไปจาก

สมุทรทางทิศตะวันตกเสด็จไปอย่างนั้น เพื่อชำนะอุตรกุรุ ซึ่งมีแปดพันโยชน์

เป็นประมาณ ทรงชนะอุตรกุรุแม้นั้น ซึ่งมีสมุทรเป็นขอบเขตเช่นกัน แล้ว

เสด็จกลับจากสมุทรทางทิศเหนือ. พระจ้าจักรพรรดิทรงบรรลุความเป็นผู้ยิ่ง

ใหญ่แห่งปฐพี ซึ่งมีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นขอบเขต ด้วยประการฉะนี้.

พระราชาพระองค์นั้น ทรงชนะวิเศษด้วยอันชำนะแล้วอย่างนี้ มีบริษัท

เพื่อแสดงถึงศิริราชสมบัติของพระองค์ ทรงแหงนดูท้องฟ้าเบื้องบน ทรงแลดู

มหาทวีปสี่ ซึ่งมีเกาะเล็กประมาณ ๕๐๐ ๆ เป็นบริวาร เหมือนสระเกิดขึ้นเอง

ทั้งสี่ ที่วิจิตรด้วยป่าปทุม อุบล กุมุท และบุณฑริก ที่บานแย้มดีแล้วฉะนั้น

เสด็จกลับไปสู่ราชธานี ของพระองค์ตามลำดับ ตามทางที่จักรรัตนะแสดงแล้ว

นั่นเทียว. ลำดับนั้น จักรรัตนะนั้นก็ตั้งอยู่เหมือนยังภายในประตูแห่งบุรีให้

งดงามฉะนั้น. ก็ครั้นจักรรัตนะนั้นประดิษฐานอยู่อย่างนี้แล้ว กิจอันจะพึงกระทำ

บางอย่างด้วยคบเพลิง หรือด้วยประทีปภายในราชบุรี ก็ไม่มี. แสงสว่างแห่ง

จักรรัตนะนั่นเทียว ย่อมกำจัดความมืดแห่งราตรี. แต่บุคคลเหล่าใด ต้อง

การความมืด ความมืดนั่นเทียวก็ย่อมมีแก่บุคคลเหล่านั้น. จักรรัตนะนั้นทั้งหมด

ได้มีแล้วอย่างนี้ แม้แก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึง

กล่าวว่า ทกฺขิณสมุทฺท อชฺโฌคาเหตฺวา ฯเปฯ เอวรูป จกฺกรตน ปาตุร-

โหสิ.

อำมาตย์ทั้งหลาย ของพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีจักรรัตนะปรากฏอย่างนี้

ก็ให้กระทำสถานที่อยู่ของช้างมงคลปกติให้เป็นภูมิภาคสม่ำเสมอบริสุทธิ์สะอาด

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 512

ประพรมด้วยกลิ่นสุรภี มีจันทน์แดงเป็นต้น ตบแต่งให้สวยงามเหมือนวิมาน

เทพภายใต้เกลื่อนกล่นด้วยดอกสุรภีดอกกุสุมอันมีสีวิจิตร เบื้องบนมีเพดาน

ประดับประดาด้วยลายกุสุมอันพึงพอใจรวบรวมภายในดวงดาวทองแล้วทูลว่า

ข้าแต่สมติเทพ ขอพระองค์จงพระดำริการมาแห่งหัตถีรัตนะมีรูปปานนี้.

พระราชานั้นก็ทรงถวายมหาทาน โดยนัยที่กล่าวแล้วในกาลก่อน และทรง

สมาทานศีลแล้วประทับนั่งระลึกถึงบุญสมบัตินั้น. ลำดับนั้น ช้างประเสริฐอัน

อานุภาพแห่งบุญของพระราชานั้น เตือนแล้ว เหมือนจะครอบงำสักการะพิเศษ

นั้นจากตระกูลฉัททันต์ หรือจากตระกูลอุโบสถ มีสรีระขาวปลอดตกแต่งการ

เดิน คอและปากมีสีแดงดุจมณฑลแห่งพระอาทิตย์อ่อน ๆ มีที่ประดิษฐ์

เจ็ดประการ มีรูปร่างอวัยวะน้อยใหญ่ตั้งไว้อย่างดี มีนม เล็บ และปลายงวง

แดงแย้ม สามารถเหาะได้เหมือนโยคีผู้มีฤทธิ์ ใหญ่ขาว เหมือนบริเวณที่

ย้อมด้วยจุณแห่งมโนสิลา มายืนอยู่ในประเทศนั้น. ช้างนั้นมาจากตระกูลช้าง

ฉัททันต์ ย่อมเล็กกว่า ช้างทั้งหมด. ช้างที่มาจากตระกูลช้างอุโบสถ ย่อม

ใหญ่กว่า ช้างทั้งปวง. แต่ในบาลี ย่อมมาว่า นาคราชชื่อ อุโบสถ ดังนี้.

ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า ขึ้นชื่อว่าช้างนาคราช ไม่คู่ควรแก่ใครๆ

เป็นช้างเล็กกว่าช้างทั้งหมด ย่อมมาดังนี้. ช้างนี้นั้นย่อมมาแก่พระเจ้าจักรพรรดิ

ผู้มีวัตรแห่งจักรพรรดิ ทรงดำริโดยนัยกล่าวแล้วนั่นเทียว. ก็ช้างนาคราชมา

สู่โรงช้างมงคลปกติเองไม่กำจัดช้างมงคล ยืนอยู่ในที่นั้น. ด้วยเหตุนั้น ท่าน

จึงกล่าวว่า ปุน จปร อานนฺท ฯเปฯ นาคราช ดังนี้.

ก็บุคคลทั้งหลายมีคนเลี้ยงช้างเป็นต้น เห็นหัตถีรัตนะที่ปรากฏอย่าง

นั้นแล้ว รื่นเริงดีใจรีบไปทูลแด่พระราชา. พระราชารีบเสด็จมาดู หัตถี-

รัตนะนั้น ทรงมีพระราชหฤทัยผ่องใส ทรงคิดว่า หัตถียานประเสริฐหนอ

ถ้าสมควรนำเข้าฝึก ดังนี้. ทรงเหยียดพระหัตถ์ ลำดับนั้น ช้างนั้นเหมือน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 513

กับช้างแม่นม สยายหูแสดงเสียงร้องเข้าไปเฝ้าพระราชา. พระราชาทรงใคร่จะ

เสด็จขึ้นประทับช้างนั้น. ลำดับนั้น ปริชนของพระราชานั้นรู้พระประสงค์ ทำ

ธงทอง เครื่องประดับทองคลุมด้วยข่ายทองนำเข้าหาหัตถีรัตนะนั้น. พระราชา

ไม่ให้ประทับนั่งช้างนั้น เสด็จขึ้นบันไดที่ทำด้วยรัตนะเจ็ดประการ มีพระราช

หฤทัยน้อมไปในอากาศ. พร้อมด้วยจิตตุบาท ของพระราชานั้น หัตถินาค-

ราชนั้น ก็ลอยขึ้นสู้ท้องฟ้าที่รุ่งเรืองด้วยแสงแก้วอินทนิล และแก้วมณี เหมือน

ราชหงษ์ฉะนั้น. ต่อจากนั้น บริษัทของพระราชาทั้งหมดก็เหาะขึ้นโดยนัยอัน

กล่าวแล้วในจักกจาริกานั่นเทียว. พระราชาพร้อมกับบริษัทขึ้นชมปฐวีทั้งสิ้น

ก็กลับราชธานีภายในอาหารเช้า ด้วยประการฉะนี้. หัตถีรัตนะแม้ของพระเจ้า

มหาสุทัสสนจักรพรรดิราชก็เป็นเช่นนั่นเทียว. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า

หิสฺวา รญฺโ ฯเปฯ ปาตุรโหสิ ดังนี้.

ก็อำมาตย์ทั้งหลาย ของพระเจ้าจักรพรรดิผู้มีหัตถีรัตนะปรากฏอย่าง

นี้แล้ว ให้กระทำและประดับประดา โรงม้ามงคลตามปกติ ให้มีพื้นสะอาดราบ

เรียบ ยังพระอุตสาหะให้เกิดขึ้นแก่พระราชา เพื่อทรงคิดการมาแห่งม้านั้น

โดยนัยก่อนนั่นเทียว. พระราชานั้น ทรงมีสักการะน้อมในทานที่ทรงกระทำ

แล้วโดยนัยก่อนนั่นเทียว ทรงสมาทานศีลและวัตร ประทับนั่งสำราญบนพื้น

ปราสาททรงระลึกบุญสมบัติ. ลำดับนั้น อัศวราช ชื่อว่า วลาหก จากตระกูล

ม้าสินธพ อันอานุภาพแห่งบุญของพระราชานั้น เตือนแล้ว มีศิริแห่งกลุ่มเมฆ

ขาวในสรทกาลที่ต้องสายฟ้า มีเท้าแดง มีกลีบเท้าแดง มีรูปร่างแข็งแรง

บริสุทธิ์สนิท เช่นกับกลุ่มรัศมีแห่งพระจันทร์ มีศีรษะดำ เพราะถึงพร้อมด้วย

ขนตั้งตรงวงกลมละเอียดสีขาวเช่นหญ้าปล้องที่สำเร็จด้วยดีตั้งไว้แล้ว สามารถ

เหาะได้มาอยู่ในโรงนั้น. ก็อัศวราชนั้น มาแล้วแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ

เหมือนหัตถีรัตนะฉะนั้น. บททั้งปวงที่เหลือ พึงทราบโดยนัยกล่าวแล้วใน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 514

หัตถีรัตนะนั่นแหละ. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงอัสสรัตนะอย่างนั้น จึง

ตรัสว่า ปุน จปร ดังนี้เป็นต้น.

ก็มณีรัตนะจากวิบุลบรรพตยาวสี่ศอก มีรูปทรงงดงาม ประดับประดา

ด้วยทองและปทุมทั้งสอง มีกลีบเป็นมุกดา อันบริสุทธิ์เปล่งออกจากสองก้อน

ในที่สุดสองข้างมีมณีแปดหมื่นสี่พันเป็นบริวาร ราวจะแผ่ไปกระทบศิริแห่ง

พระจันทร์เพ็ญ ที่หมู่ดาวล้อมรอบ มาแก่พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้มีอัสสรัตนะ

ปรากฏแล้วอย่างนี้. เมื่อมณีรัตนะนั้นมาแล้วอย่างนี้ อันบุคคลวางไว้ในข่าย

มุกดา ยกขึ้นสู่อากาศประมาณหกสิบศอก เพียงยอดไม้ไผ่ แสงสว่างจะแผ่ไป

สู่โอกาส ประมาณหนึ่งโยชน์โดยรอบ อันเป็นเหตุให้โอกาสนั้นทั้งหมด เกิด

แสงสว่างเหมือนในเวลาอรุณขึ้นฉะนั้น. แต่นั้น ชาวนาก็ประกอบกสิกรรม

พ่อค้าก็ประกอบการซื้อขาย ศีลปินนั้น ๆ ก็ประกอบการงานนั้นๆ สำคัญว่าเป็น

กลางวัน. มณีรัตนะนั้นทั้งหมดได้มีแล้วอย่างนั้น แม้แก่พระเจ้ามหาสุทัสสน

จักรพรรดินั่นเทียว. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปุน จปร

อานนฺท ฯเปฯ มณิรตน ปาตุรโหสิ ดังนี้.

อิตถีรัตนะมีการณ์พิเศษปรากฏแก่พระเจ้าจักพรรดิผู้ทรงมีสุขวิสัยพิเศษ

มีมณีรัตนะปรากฏแล้วอย่างนี้. ก็พระญาติทั้งหลาย ย่อมนำอิตถีรัตนะนั้นจาก

มัทรราชตระกูลมาเป็นอัครมเหสีของพระเจ้าจักรพรรดินั้น. หรือมาจากอุตตร-

กุรุประเทศด้วยบุญญานุภาพ. ก็สมบัติแห่งอิตถีรัตนะนั้น ที่เหลือมาแล้วใน

บาลีนั่นเทียว โดยนัยมีอาทิว่า ดูกรพระอานนท์ อีกประการหนึ่ง อิตถีรัตนะซึ่ง

มีรูปสุดสวย น่าดู. ปรากฏแล้วแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิราช. ใน

บรรดาสมบัตินั้น ชื่อว่า อภิรูปา เพราะอิตถีรัตนะนั้น มีรูปสวยงาม บริบูรณ์

ด้วยทรวดทรง. และ ชื่อว่า ทัสสนียา เพราะเมื่อดูก็ถูกตา แม้ต้องเลิกธุรกิจ

อย่างอื่น มองดู. ชื่อว่า ปาสาทิกา เพราะเมื่อดูก็ยังให้เลื่อมใสด้วยอำนาจ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 515

โสมนัส. บทว่า ปรมาย ความว่า อุดมเพราะนำมาซึ่งความเลื่อมใสอย่างนี้.

บทว่า วณฺณโปกฺขรตาย ความว่า เพราะวรรณงาม. บทว่า สมนฺนาคตา

ความว่า เข้าถึงแล้ว. อีกประการหนึ่ง ชื่อว่า อภิรูปา เพราะไม่สูงนัก ไม่

เตี้ยนัก. ชื่อว่า ทัสสนียา เพราะไม่ผอมนัก ไม่อ้วนนัก. ชื่อว่า ปาสาทิกา

เพราะไม่ดำนักไม่ขาวนัก. ชื่อว่า ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตา

เพราะก้าวล่วงวรรณมนุษย์ แต่ไม่ถึงวรรณทิพย์. จริงอยู่ แสงสว่างวรรณะของ

พวกมนุษย์ ย่อมไม่เปล่งออกภายนอก. แต่ของเทพทั้งหลาย ย่อมเปล่งไปแม้ไกล.

ส่วนแสงสว่างสรีระแห่งอิตถีรัตนะนั้น ย่อมยังประเทศประมาณสิบสองศอกให้

สว่างได้. ก็ในบรรดาสมบัติมีไม่สูงนักเป็นต้น ของอิตถีรัตนะนั้น ท่านกล่าว

อาโรหสมบัติ ด้วยคู่ที่หนึ่ง กล่าวปริณาหสมบัติ ด้วยคู่ที่สอง กล่าววรรณ-

สมบัติด้วยคู่ที่สาม กล่าวความที่กายวิบัติด้วยกายวิบัติด้วยอาการหกประการนั่น.

กล่าวกายสมบัติด้วยบทนี้ว่า อติกฺกนฺตา มานุสวณฺณ. บทว่า ตูลปิจุโน วา

กปฺปาสปิจุโน วา ความว่า ดุจปุยนุ่น หรือ ปุยฝ้าย แห่งกายสัมผัส ซึ่ง

เอาไปวางไว้บนก้อนเนยใส แล้วแยกออกเจ็ดส่วน. บทว่า สีเต ความว่า

อบอุ่น ในการที่พระราชาเย็น. บทว่า อุณฺเห ความว่า เย็น ในเวลาที่

พระราชาร้อน. บทว่า จนฺทนคนฺโธ ความว่า กลิ่นจันทน์แดงอันประกอบด้วย

ชาติสี่ชนิด ยังใหม่บดละเอียดดีตลอดกาล ย่อมระเหยออกจากกาย. บทว่า

อุปฺปลคนฺโธ ความว่า กลิ่นหอมอย่างยิ่งแห่งนีลุบล ซึ่งบานแย้มขณะนั้น

ย่อมพุ่งออกจากปากในเวลาไอหรือพูด. ก็เพื่อทรงแสดงอาจาระ อันสมควร

แห่งสรีรสมบัติ ประกอบด้วยสัมผัสสมบัติและคันธสมบัติอย่างนี้ จึงตรัสว่า ต

โข ปน เป็นต้น. ในอาจาระนั้น อิตถีรัตนะเห็นพระราชาแล้วลุกขึ้นก่อนทีเดียว

จากอาสนะที่นั่ง เหมือนคนถูกไฟไหม้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปุพฺพุฏฺายิน

ครั้นพระราชานั้นประทับนั่งแล้ว อิตถีรัตนะกระทำกิจมีพัดด้วยใบตาลเป็นต้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 516

แก่พระราชานั้น แล้วจึงพัก คือนั่งที่หลัง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ปัจฉานิ-

ปาตินี. อิตถีรัตนะย่อมขวนขวายกิจอันพึงทำด้วยวาจาว่า ข้าแต่เทวะ หม่อม

ฉันจะทำอะไรแก่พระองค์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า กึการปฏิสาวีนี. อิตถีรัตนะ

ย่อมพระพฤติ ย่อมกระทำสิ่งที่พอพระราชหฤทัย ของพระราชาเท่านั้น เพราะ

ฉะนั้น จึงชื่อว่า มนาปจารินี. อิตถีรัตนะ ย่อมกล่าวคำที่น่ารักแก่พระราชา

เท่านั้น เพราะฉะนั้น. จึงชื่อว่า ปิยวาทินี. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า

ต โข ปน เป็นต้น เพื่อทรงแสดงว่า อาจาระของอิตถีรัตนะนี้นั้น บริสุทธิ์ถ่าย

เดียว โดยไม่มีสาไถยะเลย. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โน อติจารี ความว่า

ไม่ประพฤติล่วงเกิน. ท่านกล่าวว่า อิตถีรัตนะไม่ปรารถนาชายอื่น แม้ด้วยจิต

นอกจากพระราชา. ในบทนั้น อาจาระเหล่าใดของอิตถีรัตนะนั้น ท่านกล่าว

ว่า อภิรูปา เป็นต้น ในเบื้องต้น และกล่าวว่า ปุพพุฏฐายินีในที่สุด อาจาระ

เหล่านั้น เป็นคุณโดยปกติเท่านั้นเอง. ก็สมบัติเป็นต้นว่า อติกฺกนฺตา มา-

นุสวณฺณ พึงทราบว่า บังเกิดขึ้นแล้ว ด้วยอานุภาพกรรมเก่า ตั้งแต่

จักรรัตนะปรากฏขึ้น เพราะอาศัยบุญของพระเจ้าจักรพรรดิ. หรือ สมบัติว่า

อภิรูปตา เป็นต้น เกิดบริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ตั้งแต่จักรรัตนะปรากฏแล้ว.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า เอวรูป อิตฺถีรตน ปาตุรโหสิ

ดังนี้.

ก็คหบดีรัตนะ เพื่อให้กิจทั้งหลายที่พึงกระทำด้วยทรัพย์ เป็นไปโดย

สะดวก ย่อมปรากฏแก่พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้มีอิตถีรัตนะ ปรากฏแล้วอย่างนี้.

คหบดีนั้น โดยปกติมีโภคะมากเกิดในตระกูลมีโภคะมาก เจริญด้วยกองทรัพย์

ของพระราชา เป็นเศรษฐีคหบดี. ก็ทิพยจักษุอันเป็นเหตุเห็นขุมทรัพย์ภายใน

หนึ่งโยชน์แม้ในภายในปฐพี ซึ่งเกิดแต่ผลกรรม สงเคราะห์ด้วยอานุภาพ

จักรรัตนะ ย่อมปรากฏแก่คหบดีรัตนะนั้น คหบดีรัตนะนั้น เห็นสมบัตินั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 517

แล้ว ดีใจ ไปปวารณาพระราชาด้วยทรัพย์ รับทำกิจทั้งหลาย ที่จะพึงทำด้วย

ทรัพย์ทั้งหมดให้สำเร็จ. คหบดีรัตนะแม้ของพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ ก็

ยังกิจอันพึงทำทรัพย์ให้สำเร็จอย่างนั้น เหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มี

พระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ปุน จปร อานนฺท ฯ เป ฯ เอวรูป คหปติรตน

ปาตุรโหสิ ดังนี้.

ก็ปริณายกรัตนะ ซึ่งสามารถจัดแจงสรรพกิจ ย่อมปรากฏแก่พระเจ้า-

จักรพรรดิผู้มีคหบดีรัตนะ ปรากฏแล้วอย่างนี้. ปริณายกรัตนะนั้น เป็น

พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระราชานั่นเทียว. โดยปกติทีเดียว ปริณายกรัตนะ

นั้นเป็นบัณฑิต เฉลียวฉลาด มีปัญญาอาศัยบุญญานุภาพของพระราชา ย่อม

เข้าถึงญาณรู้จิตของบุคคลอื่นด้วยอานุภาพแห่งกรรมของตน ซึ่งเป็นเหตุให้รู้

วาระจิตแห่งบริษัท ประมาณสิบสองโยชน์ สามารถกำหนดรู้หิตะประโยชน์

และอหิตะประโยชน์ แก่พระราชาได้. ปริณายกรัตนะแม้นั้น เห็นอานุภาพของ

ตนนั้น ดีใจปวารณาพระราชาด้วยการบริหารกิจทั้งหมด. ปริณายกรัตนะ

ปวารณาแม้พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิอย่างนั้นเหมือนกัน. ด้วยเหตุนั้น

พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า ปุนจปร อานนฺสท ฯ เป ฯ ปริณายกรตน

ปาตุรโหสิ ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า เปตพฺพ เปตุ ความว่า

เพื่อตั้งให้ดำรงในฐานันดรนั้น ๆ.

บทว่า สมเวปากินิยา ความว่า อันเกิดแต่ผลกรรมอันสม่ำเสมอ.

บทว่า คหณิยา ความว่า ด้วยเตโชธาตอันเกิดแก่กรรม. ในบทนี้ อาหาร

สักว่า เสวยแล้วของพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ ย่อมย่อย ก็หรือย่อมตั้งอยู่

อย่างนั้นเหมือนภัต ที่เสวย ถึงพร้อมด้วยเตโชธาตุอันเกิดแต่วิบากอันสม่ำเสมอ

แม้ทั้งสองนั้น. ก็ความพอพระราชหฤทัยในพระกระยาหารในกาลแห่งภัต ย่อม

บังเกิดขึ้นแก่พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิใด พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ-

ราชนี้ ทรงถึงพร้อมด้วยเตโชธาตุอันเกิดแต่วิบากอันสม่ำเสมอ ดังนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 518

บทว่า มาเปสิโข ความว่า ทรงให้ตีกลองประกาศในพระนคร

ทรงให้ฝูงชนกระทำการสร้าง. ก็สระโบกขรณี ๘๔,๐๐๐ แห่งก็ผุดขึ้นพร้อมกับ

ความเกิดขึ้นแห่งพระราชดำริ ของพระราชา. บทว่า มาเปสิโข นั่น พระ

ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายถึงสระโบกขรณีเหล่านั้น. บทว่า ทฺวีหิ เวทิกาหิ

ความว่า ล้อมด้วยอิฐก้อนหนึ่งในที่สุดแห่งอิฐทั้งหลาย ล้อมด้วยอิฐก้อนหนึ่ง

ในที่สุดกำหนดบริเวณ.

บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ได้มีแล้วเพราะอะไร.

ได้ยินว่า ในวันหนึ่ง มหาบุรุษมองดูมหาชนไปอาบ และดื่ม คิดว่า

ชนเหล่านั้น ย่อมไปด้วยเพศคนบ้า ถ้าพึงมีดอกไม้ประดับในสระนั่นแก่ชน

เหล่านั้น ก็จะเป็นการดี ลำดับนั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดินั้น ได้มี

พระราชดำริ ดังนี้. ในบทเหล่านั้น บทว่า สพฺโพตุก ความว่า พระเจ้า

มหาสุทัสสนจักรพรรดิทรงดำริว่า ธรรมดาดอกไม้ย่อมบานในฤดูเดียวเท่านั้น

ก็เราจักทำโดยประการที่ดอกไม้จักบาน ในทุกฤดู. บทว่า โรปาเปสิ

ความว่า ทรงให้นำพืชอุบลนานาชนิดเป็นต้น จากที่นั้น ๆ ทรงให้ปลูก.

ดอกไม้ทั้งหมด ก็สำเร็จพร้อมกับการเกิดขึ้นแห่งพระราชดำริของพระเจ้ามหา

สุทัสสนจักรพรรดินั้น. ชาวโลกเข้าใจว่า ดอกไม้นั้นพระราชาทรงให้ปลูก.

ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัสว่า โรปาเปสิ ดังนี้. ตั้งแต่นั้นมา

มหาชนได้ประดับดอกไม้ที่เกิดจากน้ำและเกิดจากบนบกนานับประการไป

เหมือนเล่นนักขัตฤกษ์ฉะนั้น.

ลำดับนั้น พระราชาทรงมีพระราชประสงค์ที่จะทำชนให้ถึงพร้อมด้วย

ความสุขยิ่งกว่านั้น จึงทรงคิดจัดหาความสุขแก่ชนด้วยบทว่า ยนฺนูนาห

อิมาส โปกฺขรณีน ตีเร เป็นต้น แล้วทรงกระทำกิจทั้งปวง. ในบรรดาบท

เหล่านั้น บทว่า นฺหาเปสุ ความว่า คนอื่นชำระร่างกาย คนอื่นประกอบ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 519

จุณทั้งหลาย คนอื่นนำน้ำมาให้แก่ผู้อาบน้ำที่ขอบสระโบกขรณี คนอื่นรับผ้า

และให้ผ้า. บทว่า ปฏฺเปสิ ความว่า ทรงตั้งอย่างไร. ทรงตั้งพนักงาน

ประดับประดาอันสมควรแก่สตรี และบุรุษทั้งหลาย ทรงตั้งเพียงสตรีเท่านั้น

ด้วยสามารถบำเรอในที่นั้น ๆ ทรงตั้งกิจทั้งหมดที่เหลือด้วยสามารถการบริจาค

ทรงให้ตีกลองประกาศว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิทรงถวายทาน ท่าน

ทั้งหลายจงบริโภคทานนั้น.

มหาชนมาสู่ขอบสระโบกขรณีอาบน้ำ เปลี่ยนผ้า ลูบไล้ด้วยของหอม

ต่าง ๆ ประดับประดาอันวิจิตร ไปโรงทาน กินและดื่มสิ่งที่ต้องการในบรรดา

ยาคู ภัต และขบเคี้ยวหลายประการ และเครื่องดื่ม ๘ อย่าง นุ่งห่มผ้าฝ้าย

อันละเอียดอ่อน มีสีต่าง ๆ เสวยสมบัติละบุคคลผู้มีของเช่นนั้นไป. คนที่

ไม่มีของเช่นนั้น ถือเอาแล้วจากไป. บุคคลที่นั่งในช้าง ม้า และยานเป็นต้น

เที่ยวไปนิดหน่อย ไม่ต้องการก็จากไป ต้องการก็ถือเอาไป. บุคคลที่นอนแม้

ในที่นอนอันประเสริฐ เสวยสมบัติแล้ว ไม่ต้องการก็จากไป ต้องการก็รับไป.

ผู้ที่เสวยสมบัติกับสตรีทั้งหลาย ไม่ต้องการก็จากไป ต้องการก็รับเอาไป.

ผู้ประดับประดาเครื่องรัตนะเจ็ดชนิด เสวยสมบัติแล้ว ไม่ต้องการก็จากไป

ต้องการก็รับเอาไป. ทานแม้นั้น พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิทรงลุกขึ้นแล้ว

ก็ทรงถวาย. การงานอย่างอื่นของชาวชมพูทวีปทั้งหลายไม่มี. ชาวชมพูทวีป

เที่ยวบริโภคทานของพระราชาเท่านั้น.

ลำดับนั้น พราหมณ์คหบดีทั้งหลายคิดว่า พระราชานี้ แม้เมื่อจะ

ถวายทานปานนี้ ก็ไม่ทรงให้นำอะไรมาว่า ท่านทั้งหลายจงให้ข้าวสารเป็นต้น

หรือให้น้ำนมเป็นต้นแก่เรา ก็ข้อนั้นไม่สมควรที่จะนิ่งดูดายว่า พระราชาของ

พวกเรา ไม่ทรงให้นำมา. พราหมณ์คหบดีเหล่านั้น ก็รวบรวมทรัพย์สมบัติ

จำนวนมากนำไปทูลถวายแด่พระราชา. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า

จึงตรัสว่า อถโข อานนฺท พฺราหฺมณคหปติกา ดังนี้เป็นต้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 520

บทว่า เอว สมจินฺเตสุ ความว่า คิดบ่อย ๆ อย่างนี้ เพราะ

เหตุอะไร. เพราะพราหมณ์คหบดีทั้งหลาย คิดบ่อย ๆ อย่างนี้ว่า บางคนนำ

ทรัพย์สมบัติจากเรือนน้อย บางคนนำมามาก เมื่อทรัพย์สมบัติกำลังรวบรวม

แม้เสียงอึกกระทึกก็จะพึงเกิดขึ้นว่า ทำไมท่านเท่านั้นนำทรัพย์สมบัติจากเรือน

ดี เรานำมาจากเรือนไม่ดี ทำไมท่านเท่านั้นนำทรัพย์สมบัติจากเรือนมาก

เราไม่มาก ดังนี้ เสียงอึกกระทึกนั้น อย่าพึงเกิดขึ้นเลย.

บทว่า เอหิ ตฺว สมฺม ความว่า ดูก่อนผู้มียศ ท่านจงมา. บทว่า

ธมฺม นาม ปาสาท ความว่า ยกขึ้นแล้วทรงตั้งชื่อ ปราสาท. ก็วิศว-

กรรมเทวบุตรรับทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ปราสาทจะใหญ่เท่าไร ครั้น

ตรัสว่า ปราสาทนั้น ยาวหนึ่งโยชน์ กว้างครึ่งโยชน์ สร้างด้วยรัตนะทั้งปวง

ทูลรับพระดำรัสพระราชาว่า จงสำเร็จดังนั้น พระดำรัสของพระองค์ดี ลำดับ

นั้นทูลให้ พระ.ธรรมราชาทรงรับทราบแล้ว ก็สร้าง.

ในบทเหล่านั้น บทว่า เอว ภทฺท ตวาติ โข อานนฺท ความว่า

ดูก่อนพระอานนท์ (วิศวกรรม เทพบุตร ทูลรับสนอง) ว่า พระดำรัสของ

พระองค์อย่างนี้ดี. บทว่า ปฏิสฺสุณิตฺวา ความว่า รับทราบแล้ว คือ

กราบทูลแล้ว. บทว่า ตุณฺหีภาเวน ความว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ

ทรงปรารถนาว่า เราจักมีโอกาสกระทำการปฏิบัติสมณธรรม ทรงรับด้วยการ

ทรงนิ่ง.

บทว่า สารมโย ความว่า สำเร็จด้วยแก่นจันทร์. ในบทว่า ทฺวีหิ

เวทิกาหิ นั่น เวทีหนึ่งมีในยอดอุณหิส เวทีหนึ่งมีในที่สุดกำหนดภายใต้.

บทว่า ทุกฺทิกฺโข โหติ ความว่า เห็นได้ยาก คือ เห็นได้ลำบาก เพราะ

สมบัติแห่งแสงสว่าง. บทว่า มุสติ คือ นำไป ให้สำเร็จ คือ ไม่ให้เพื่อ

ตั้งอยู่ โดยสภาพเป็นนิตย์ บทว่า อุปวิทฺเธ ความว่า มั่นคง คือ อยู่ไกล

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 521

เพราะปราศจากเมฆ. บทว่า เทเว ความว่า ในอากาศ. บทว่า มาเปสิ โข

ความว่า วิศวกรรมเทพบุตรไม่กระทำอย่างนี้ว่า เราจะสร้างสระโบกขรณีในที่นี้

ท่านทั้งหลายจงทำลายบ้านเรือนของท่าน ดังนี้แล้ว สร้าง. ก็สระโบกขรณี

เห็นปานนั้น ได้ผุดขึ้นแล้วด้วยสามารถแห่งจิตตุปปาทของพระเจ้ามหาสุทัสสน

จักรพรรดินั้น. บทว่า เต สพฺพกาเมหิ ความว่า ทรงเลี้ยงสมณะทั้งหลาย

ด้วยวัตถุที่ต้องการทั้งปวง คือ ด้วยสมณบริขาร ทรงเลี้ยงพราหมณ์ทั้งหลาย

ด้วยพราหมณบริขาร.

จบ ปฐมภาณวารวรรณนา

บทว่า มหิทฺธิโก ความว่า ทรงถึงพร้อมด้วยอิทธิฤทธิ์มาก กล่าว

คือ ความสำเร็จแห่งสระโบกขรณีจำนวน ๘๔,๐๐๐ สระ ด้วยอำนาจแห่งจิต-

ตุบบาทเท่านั้น. บทว่า มหานุภาโว ความว่าถึงพร้อมด้วยอานุภาพใหญ่

เพราะความที่กรรมอันพึงเสวยเหล่านั้น มีมาก. บทว่า เสยฺยถีท ความว่า

เป็นนิบาต. อรรถแห่งนิบาตนั้นว่า กรรม ๓ ประการ เป็นไฉน. บทว่า

ทานสฺส ได้แก่ บริจาคสมบัติ. บทว่า ทมสฺส ความว่า ปัญญามาว่า

ทมะ ในอาฬวกสูตร. ในบทนี้ เราฝึกตนเอง รักษาอุโบสถกรรม. บทว่า

สญฺมสฺส ได้เเก่ศีล. ก็พึงทราบบุรพโยค ของพระราชาที่ดำรงอยู่ในศีลนี้

นั้น.

ได้ยินว่า ในกาลก่อน พระราชาทรงสมภพในตระกูลคหบดี. ก็โดย

สมัยนั้น พระเถระรูปหนึ่งในพระศาสนาของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ทรงพระชนม์

อยู่ จำพรรษาในป่า. พระโพธิสัตว์เข้าป่าด้วยการงานของตน เห็นพระเถระ

แล้ว เข้าไปเฝ้า ไหว้แล้ว แลดูที่นั่งและที่จงกรมเป็นต้น ของพระเถระ จึง

ถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในที่นั้นหรือ. ได้ฟังว่า อย่างนั่น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 522

อุบาสก จึงคิดว่า สมควรที่จะสร้างบรรณศาลาถวายพระผู้เป็นเจ้าในที่นี้แล้ว

เลิกการงานของตนขนทัพพสัมภาระ ทำบรรณศาลา ฉาบ โบกฝาด้วยดินเหนียว

ติดประตู ทำพนักนั่ง นั่ง ณ ที่ควรส่วนสุดข้างหนึ่ง ด้วยคิดว่า พระผู้เป็น

เจ้าจักทำการบริโภค หรือไม่หนอ.

พระเถระมาจากภายในบ้าน เข้าไปสู่บรรณศาลา แล้วนั่งที่พนัก.

แม้อุบาสกมาแล้วไหว้นั่ง ณ ที่ใกล้แล้ว ถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ บรรณ

ศาลาผาสุกไหม. ผาสุก สมควรแก่บรรพชิต. ท่านจักอยู่ที่นี้หรือ. อย่างนั้น

อุบาสก. อุบาสกนั้นรู้แล้วว่า พระเถระจักอยู่โดยอาการรับให้พระเถระทราบว่า

ท่านพึงไปสู่ประตูเรือนของกระผมเป็นนิตย์แล้วเรียนว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญขอ

ท่านจงให้พรอย่างหนึ่ง แก่กระผมเถิด. ดูก่อนอุบาสก บรรพชิตก้าวล่วงแล้ว.

ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เป็นพรที่ควรและไม่มีโทษ. อุบาสก จงบอก. ข้าแต่ท่าน

ผู้เจริญ มนุษย์ทั้งหลายในที่เป็นที่อยู่ประจำ ย่อมปรารถนาการมาในมงคล

หรือ อมงคล ย่อมโกรธแก่พระเถระผู้ไม่มา เพราะฉะนั้น ท่านแม้ไปสู่ที่

นิมนต์อื่นแล้ว เข้าไปสู่เรือนของกระผมแล้ว พึงทำภัตกิจ. พระเถระรับแล้ว.

ก็โพธิสัตว์นั้น ปูเสื่อลำแพนในศาลาตั้งเตียงตั่ง วางพนักพิงวางที่

เช็ดเท้า ขุดสระ ทำที่จงกรมเกลี่ยทราย เห็นสัตว์มาทำลายฝา ทำดินเหนียว

ให้ตก ก็ล้อมรั้วหนาม เห็นสัตว์ลงสระทำน้ำให้ขุ่นก็ก่อบันไดภายใน ล้อมรั้ว

หนามภายนอก ปลูกแถวตาลในที่สุดรั้วภายใน เห็นสัตว์ทำสกปรกที่อันลมควร

ในมหาจงกรม ก็ล้อมที่จงกรมด้วยรั้ว ปลูกแถวตาลในที่สุดรั้วภายใน ยังอาวาส

ให้สำเร็จอย่างนี้ ถวายไตรจีวร บิณฑบาต ยา ภาชนบริโภค เหยือกน้ำ

กรรไกร มีดตัดเล็บ เข็ม ไม้เท้า รองเท้า ตุ่มน้ำ ร่ม คบเพลิง ไม้แคะ

มูลหู บาตร ถลกบาตร ผ้ากรองน้ำ ที่กรองน้ำ ก็หรือ สิ่งที่บรรพชิตควร

บริโภคอื่นแด่พระเถระ ชื่อว่า บริขารที่พระโพธิสัตว์ไม่ถวายแก่พระเถระไม่มี.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 523

พระโพธิสัตว์นั้น รักษาศีล รักษาอุโบสถ บำรุงพระเถระตลอดชีวิต. พระ-

เถระอยู่ในอาวาสนั้นเทียว บรรลุพระอรหัตแล้วนิพพาน. ฝ่ายพระโพธิสัตว์

ทำบุญตลอดอายุแล้วไปเกิดในเทวโลก จุติจากเทวโลกนั้น มาสู่มนุษยโลกไป

เกิดเป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิในราชธานี ชื่อว่า กุสาวดี.

บุญแม้อันไม่ใหญ่ยิ่งได้กระทำแล้วในศาสนาของท่านอย่างนี้

มหาวิบาก จึงมี เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญาพึงทำบุญนั้น.

บทว่า มหาวิยูห ความว่า มหากูฏาคารอันทำด้วยเงิน. ทรงพระ-

ประสงค์ที่จะประทับอยู่ในกูฏาคารนั้น จึงได้เสด็จไป. บทว่า เอตฺตาวตา

กามวิตกฺก ความว่า พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ ทรงข่มวิตกทั้งสามที่ประตู

กูฏาคารนั่นเทียวอย่างนี้ว่า.-

ดูก่อนกามวิตก ท่านพึงกลับเพียงเท่านี้ เบื้องหน้าแต่นี้ไป ท่านไม่มี

ที่อยู่ นี้ชื่อว่า ฌาณาคาร ฌาณาคารนี้ ไม่ใช่ที่อยู่ร่วมกับท่าน.

ในบทว่า ปมชฺฌาน เป็นต้น ชื่อว่า กสิณบริกรรมกิจย่อมไม่มีต่าง

หาก ครั้นมีความต้องการนีลกสิณ นิลมณีก็ย่อมมี ครั้นมีความต้องการด้วย

ปิตกกสิณ สุวัณณะก็ย่อมมี ครั้นมีความต้องการด้วยโลหิตกสิณ รัชตะมณี ก็

ย่อมมี ครั้นมีความต้องการด้วยโอทาตกสิณ รัชตะก็ย่อมมี ท่านบัญญัติกสิณ

ในฐานะที่แลดูแล้ว ๆ อย่างนี้ในบทว่า เมตฺตาสหคเตน เป็นต้น คำที่จะพึง

กล่าวแม้ทั้งหมด ได้กล่าวแล้วในวิสุทธิมรรคนั้นแล. ท่านกล่าวฌานสี่

อัปปมัญญาสี่ในบาลีด้วยประการฉะนี้. ก็มหาบุรุษยังสมาบัติแปดทั้งหมด

อภิญญาห้าให้เกิดแล้วเข้าสมาบัติโดยอาการสิบสี่ด้วยสามารถอนุโลม ปฏิโลม

เป็นอาทิ ให้เป็นไปด้วยความสุข ในสมาบัตินั้นเทียว เหมือนภมรเข้ารวงผึ้ง

เป็นอยู่ด้วยมธุรส ฉะนั้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 524

บทว่า กุสาวติราชธานี ความว่า กุสาวดีราชธานี เป็นประมุข คือ

เป็นใหญ่ทั้งหมดแห่งพระนครเหล่านั้น. บทว่า ภตฺตาภิหาโร ความว่า ภัต

อันจะพึงนำไปเฉพาะ. บทว่า วสฺสสตสฺส วสฺสสตสฺส ความว่า ท่านคิด

อย่างนี้ เพราะเหตุไร. เพราะรำคาญด้วยเสียงบุคคลเหล่านั้น. ก็ท่านกล่าวว่า

เสียงย่อมรบกวนผู้เข้าสมาบัติ เพราะฉะนั้น มหาบุรุษจึงรำคาญด้วยเสียง. ถ้า

เช่นนั้น ทำไมจึงไม่บอกว่า พวกท่านจงอย่ามา. เดี๋ยวนี้พระราชาไม่เห็น

เพราะฉนั้น จึงไม่กล่าวว่า จักไม่ได้วัตรเป็นนิตย์ วัตรนั้นของชนเหล่านั้น

จงอย่าขาดไป.

บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ความคิดนั้นได้มีแล้วเมื่อไร. ในวันกาล

กิริยาของพระราชา. ได้ยินว่า ในกาลนั้น เทพดาทั้งหลายคิดว่า พระราชาจง

อย่าทรงกระทำกาลกิริยาอย่างอนาถา จงมีธิดา บุตรทั้งหลายที่ร้องไห้แวดล้อม

กระทำกาลกิริยาเถิด. ลำดับนั้น นึกถึงเทวียังจิตแห่งเทวีเกิดขึ้นอย่างนี้. บทว่า

ปิตานิ วตฺถานิ ความว่า ได้ยินว่า ผ้าเหลืองเหล่านั้น เป็นที่พึงพอพระ-

ราชหฤทัยของพระราชาโดยปกติ เพราะฉะนั้น พระนางสุภัททาเทวี จึงตรัส

ว่า ท่านทั้งหลายจงห่มผ้าเหลือง. บทว่า เอตฺเถว เทวิ เทวิ ติฏฺ ความว่า

ชื่อว่า ฌานาคารนี้ ไม่ใช่สถานอยู่ร่วมกับท่านทั้งหลาย ชื่อว่า สถานที่ได้

ความยินดีในฌานท่านอย่าเข้ามาในที่นี้.

บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ธรรมดาสัตว์ทั้งหลายในโลกย่อมรุ่งโรจน์

ยิ่งในกาลสมัยใกล้ตาย ด้วยเหตุนั้น พระนางเทวีนั้น ทรงเห็นความที่พระราชา

ทรงมีพระอินทรีย์ผ่องใส จึงมีพระดำรัสอย่างนั้น.

แต่นั้น พระนางเทวีไม่ทรงปรารถนากาลกิริยาของพระราชาชั้นว่า

ขอกาลกิริยาอย่าได้มีแด่พระราชา ตรัสถึงคุณสมบัติของพระราชานั้น ทรงคิด

ว่า เราจักทำอาการให้ทรงมีพระชนม์อยู่จึงทูลว่า อิมานิ เต เทว เป็นต้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 525

ในบทเหล่านั้น บทว่า ฉนฺท ชเนหิ ความว่า จงทรงยังความรัก

ให้เกิดขึ้น คือ จงทรงกระทำปีติ. บทว่า ชีวิเต ปน อเปกฺข ความว่า

พระองค์จงทรงทำความอาลัย คือ ความอยากในชีวิต. บทว่า เอวโข ม ตฺว

เทวิ ความว่า ครั้นพระนางเทวีสำคัญพระราชาว่า พระราชานี้เป็นบรรพชิต

จึงทูลว่า ข้าแต่เทวะ หม่อมฉันเป็นหญิงย่อมไม่รู้จักถ้อยคำอันควรแก่บรรพชิต

หม่อมฉันจะกล่าวอย่างไร มหาราช พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิจึงตรัสว่า

เอว โข ม ตฺว เทวิ สมุทาจาร ดังนี้. บทว่า ครหิตา ความว่า สเปกข-

กาลกิริยา อันพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสาวกและบรรพชิตเหล่า

อื่น ผู้เป็นพหุสูตติเตียนแล้ว. เพราะเหตุอะไร. เพราะกาลกิริยาที่มีความ

ห่วงใย เป็นเหตุให้เกิดเป็นยักษ์ สุนัข แพะ โค กระบือ หนู ไก่ และ

นกเป็นต้น ในเรือนของตนเท่านั้น.

บทว่า อถโข อานนฺท ความว่า พระนางเทวี ไปในที่ควรส่วนสุด

ข้างหนึ่งแล้ว ทรงพระกันแสง ทรงเช็ดพระอัสสุชล จึงตรัสดังนั้น. บทว่า

คหปติสฺส วา ความว่า ทำไมพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงตรัส. ได้ยินว่า สมบัติ

อันมากย่อมมีแก่ชนเหล่านั้นเหมือนมีแก่บุตรของโสณเศรษฐีเป็นต้น ฉะนั้น.

ได้ยินว่า ถาดแห่งภัตใบหนึ่งของโสณเศรษฐีบุตร มีราคาตั้งสองแสน เมื่อ

ชนเหล่านั้นบริโภคภัตเช่นนั้น ชั่วครู่ก็เกิดความเมาในภัต ทำให้อึดอัด ลำบาก

เพราะภัต ด้วยประการฉะนี้. บทว่า ย เตน สมเยน อชฺฌาวสามิ ความ

ว่า นครที่เราอยู่มีเพียงนครเดียวเท่านั้น. บุตรธิดาเป็นต้นและทาสมนุษย์ทั้ง

หลายอยู่ในนครที่เหลือ. แม้ในปราสาทและกูฏาคารทั้งหลาย ก็มีนัยเช่นเดียว

กัน.

ในบัลลังก์เป็นต้น ก็ทรงใช้บัลลังก์เดียวเท่านั้น. บัลลังก์ที่เหลือ เป็น

ของใช้สำหรับ บุตรเป็นต้น. แม้ในสตรีทั้งหลาย สตรีคนเดียวเท่านั้น บำรุง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 526

สตรีที่เหลือเป็นเพียงบริวาร. บทว่า ปริทหามิ ความว่า เรานุ่งผ้าคู่เดียวเท่า

นั้น. ผ้าคู่ที่เหลือย่อมมีแก่บุรุษ ๑๖ แสน ๘๐ พันคนผู้ขอเที่ยวไป. บทว่า

ภุญฺชามิ แสดงว่า เราบริโภคข้าวสุกเพียงหนึ่งทะนาน โดยปัตถะเป็นประมาณ

ที่เหลือได้แก่บุรุษ ๘ แสน ๔๐ พัน ที่ขอเที่ยวไป. จริงอยู่ สำรับหนึ่ง พอ

แก่ชนสิบคน. ได้ยินว่า พระนคร ๘๔,๐๐๐ แห่ง ปราสาทพันหลัง และ

กูฏาคารหนึ่งพัน เกิดขึ้นเพราะผลบุญไหลมาแห่งบรรณศาลาหลังเดียว. บัลลังก์

๘๔,๐๐๐ หลังเกิดขึ้น ด้วยผลบุญไหลมาแห่งเตียงที่ถวายเพื่อประโยชน์แก่การ

นอน. ช้าง ๘๔,๐๐๐ เชือก ม้า ๑,๐๐๐ ตัว รถ ๑,๐๐๐ คัน เกิดขึ้นด้วย

ผลบุญที่ใหลมาแห่งตั่งที่ถวาย เพื่อประโยชน์แก่การนั่ง. แก้วมณี ๘๔,๐๐๐

ดวง เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมาแห่งประทีปหนึ่งดวง. สระโบกขรณี ๘๔,๐๐๐

สระ เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมาแห่งสระโบกขรณีหนึ่งสระ. สตรี ๘๔,๐๐๐ นาง

บุตร ๑,๐๐๐ คน คหบดี ๑,๐๐๐ คน เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมาแห่งการ

ถวายบริโภคภาชนะ บาตร ถลกบาตร ธรมกรก ผ้ากรองน้ำ หม้อน้ำ

กรรไกร มีดตัดเล็บ เข็ม กุญแจ ไม้แคะมูลหู ผ้าเช็ดเท้า รองเท้า ร่ม และ

ไม้เท้า. แม่โคนม ๘๔,๐๐๐ ตัว เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมาแห่งทานโครส.

ผ้า ๘๔,๐๐๐ โกฏิพับเกิดขึ้นด้วยผลบุญอันไหลมาแห่งทานผ้านุ่งผ้าห่ม. สำรับ

ใส่ พระกระยาหาร ๘๔,๐๐๐ สำรับ พึงทราบว่า เกิดขึ้นด้วยผลบุญที่ไหลมา

แห่งทานโภชนา. พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถึงสมบัติของพระเจ้ามหาสุทัสสน

จักรพรรดิตั้งแต่ต้นโดยพิสดาร ดังนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงสมบัตินั้นทั้งหมด

เหมือนแสดงโรงเล่นฝุ่นแก่เด็กทั้งหลาย บรรทมบนพระแท่นเป็นที่ดับขันธ

ปรินิพานแล้วตรัสว่า ดูกรอานนท์ เธอจงดู ดังนี้เป็นอาทิ.

ในบทเหล่านั้น บทว่า วิปริณตา ความว่า ถึงซึ่งความแปรปรวน

เหมือนประทีปดับ โดยละปกติไปฉะนั้น. บทว่า เอว อนิจฺจาโข อานนฺท

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 527

สขารา ความว่า ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่ามีแล้ว กลับไม่มีอย่างนี้.

บุรุษผูกพะองในต้นไม้จำปาสูงร้อยศอก ขึ้นแล้ว ถือเอาดอกไม้จำปาแก้พะอง

ลงมาฉันใด พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ฉันนั้นเหมือนกัน ทรงยก ซึ่งสมบัติของพระ

เจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ สูงถึงแสนโกฏิปี ไม่ใช่น้อย เหมือนผูกพะอง ทรงถือ

เอา อนิจลักษณะที่ตั้งอยู่ในที่สุดแห่งสมบัติ ก้าวลงเหมือนแก้พะอง ด้วย

ประการฉะนี้. ด้วยเหตุนั้น ในกาลก่อน พระเจ้า วสภะ ทรงสดับพระสูตรนี้

ที่พระทีฆภาณกเถระสาธยายในอัมพลัฏฐิกา ด้านทิศตะวันออกแห่งโลหะ

ปราสาทแล้วทรง คิดว่า พระผู้เป็นเจ้าของเรากล่าวอะไรในที่นี้ พระผู้เป็นเจ้า

กล่าวเฉพาะ สมบัติในฐานที่ตนได้กินได้ดื่มเท่านั้น ทรงเหยียดพระหัตถ์ซ้าย

ประสานด้วยพระหัตถ์ขวาว่า ท่านมีจักษุด้วยจักษุห้าประการ เห็นสูตรนี้แล้ว

กล่าวอย่างนี้ ในกาลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ สังขารทั้งหลาย

ไม่เที่ยงอย่างนี้แล. ทรงมีพระหฤทัยยินดีว่า สาธุ สาธุ ทรงให้สาธุการ.

บทว่า เอว อธุวา ความว่า ปราศจากความแน่นอน เหมือนคลื่น

น้ำเป็นต้นอย่างนี้. บทว่า เอว อนสฺสาสิกา ความว่า ปราศจากลมอัสสาสะ

เหมือนน้ำที่ดื่มแล้ว และเหมือนจันทร์ที่ลูบไล้ในความฝันอย่างนี้. บทว่า

สรีร นิกฺขิเปยฺย ความว่า ทิ้งสรีระ. บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน

อานนท์ การทิ้งหรือการปฏิบัติสรีระอื่น ย่อมไม่มีแก่พระตถาคต. ก็แลครั้น

ตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัสเรียกพระเถระอีกว่า ธรรมดาอานุภาพแห่งพระเจ้า

จักรพรรดิ ย่อมอันตรธานในวันที่เจ็ดแห่งการบวช. ส่วนสมบัติทั้งหมด นี้คือ

กำแพงรัตนะเจ็ดขึ้น ตาลรัตนะ สระโบกขรณี ๘๔,๐๐๐ สระ ธรรมปราสาท

ธรรมาโบกขรณี จักรรัตนะ อันตรธานแล้วในวันที่เจ็ด แต่กาลกิริยาแห่ง

พระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ. ในช้างเป็นต้น ก็ธรรมดาอย่างนี้. ที่หมดอายุขัย

ก็ทำกาลกิริยาไป. ครั้นอายุยังเหลืออยู่ หัตถีรัตนะ ก็จะไปสู่ตระกูลอุโบสถ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 528

อัสสรัตนะ ก็จะไปสู่ตระกูลวลาหก มณีรัตนะก็จะไปสู่ วิบุลบรรพตเท่านั้นเอง.

อานุภาพแห่งอิตถีรัตนะ ย่อมอันตรธานไป. จักษุของคหบดีรัตนะก็จะกลับ

เป็นปกติ. การขวนขวายของปริณายกรัตนะ ก็ย่อมพินาศ.

บทว่า อิทมโวจ ภควา ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสบทนี้

ทั้งหมดที่มาแล้วและไม่มาแล้วในพระบาลี. บทที่เหลือมีเนื้อความง่ายทั้งนั้น

ดังนี้.

จบ อรรถกถามหาสุทัสสนสูตรที่ ๔

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 529

๕. ชนวสภสูตร

คติพยากรณ์ เรื่องผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ

[๑๘๗] ข้าพเจ้า ได้สดับมาดังนี้ :-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระตำหนักคิญชกาวสถะ

ในบ้านนาทิกะ. ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ ถึงชนผู้บำรุง

ซึ่งทำกาละล่วงไปนานแล้วในการอุบัติในชนบทใกล้เคียง คือ กาสี โกศล วัชชี

มัลละ เจติ วังสะ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสน ว่า คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น

คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า ๕๐ คน ทำกาละล่วง

ไปนานแล้วเป็นโอปปาติกะ เพราะสิ้นไปซึ่งสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ อย่าง ปรินิพ-

พาน ณ ที่นั่น ไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ

กว่า ๙๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้วเป็นพระสกทาคามี เพราะสิ้นสังโยชน์

๓ อย่าง เพราะราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง จะกลับมาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว

แล้วทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้ ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า ๕๐๐ คน ทำกาละ

ล่วงไปนานแล้ว เป็นพระโสดาบัน เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ อย่าง มีอันไม่ตกต่ำ

เป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีสัมโพธิญาณเป็นเบื้องหน้า.

[๑๘๘] ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ ได้สดับข่าวมาว่า พระผู้มีพระภาค

เจ้าทรงพยากรณ์ถึงชนผู้บำรุงทำกาละล่วงไปนานแล้วในการอุบัติในชนบทใกล้-

เคียง คือ กาสี โกศล วัชชี มัลละ เจติ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะ สุรเสน

ว่า คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ

กว่า ๕๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้ว เป็นโอปปาติกะ เพราะสิ้นไปซึ่งสังโยชน์

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 530

เบื้องต่ำ ๕ อย่าง ปรินิพพาน ณ ที่นั้น ไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา ชน

ผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า ๙๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้ว เป็นพระสกทาคามี

เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ อย่าง เพราะราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง จะกลับมาสู่โลกนี้

เพียงครั้งเดียว แล้วจักทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้ ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า

๕๐๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้ว เป็นพระโสดาบัน เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓

อย่าง มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีสัมโพธิญาณเป็นเบื้องหน้า.

เพราะเหตุนั้นแล ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะ ได้ฟังปัญหาพยากรณ์ของพระผู้

มีพระภาคเจ้าแล้วดีใจ เบิกบาน เกิดปีติโสมนัส.

ปริวิตกของพระอานนทเถระ

[๑๘๙] พระอานนท์ผู้มีอายุได้สดับข่าวมาว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

พยากรณ์ถึงชนผู้บำรุงทำกาละล่วงไปนานแล้วในการอุบัติในชนบทใกล้เคียงทั้ง

หลาย คือ กาลี โกศล วัชชี มัลละ เจติ วังสะ กุรุ ปัญจาละ มัจฉะ

สุรเสน ว่า คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น คนโน้นเกิด ณ ที่โน้น ชนผู้บำรุงชาวบ้าน

นาทิกะกว่า ๕๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้ว เป็นโอปปาติกะ เพราะสิ้นไป

ซึ่งสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ อย่าง ปรินิพพาน ณ ที่นั้น ไม่กลับจากโลกนั้นเป็น

ธรรมดา ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า ๙๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้ว

เป็นพระสกทาคามี เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ อย่าง เพราะราคะ โทสะ โมหะ

เบาบาง จะกลับมาสู่โลกนี้เพียงครั้งเดียว แล้วจักทำซึ่งที่สุดแห่งทุกข์ได้ ชน

ผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะกว่า ๕๐๐ คน ทำกาละล่วงไปนานแล้ว เป็นพระโสดาบัน

เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ อย่าง มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงมีสัมโพธิ

ญาณเป็นเบื้องหน้า เพราะเหตุนั้นแล ชนผู้บำรุงชาวบ้านนาทิกะได้ฟังปัญหา

พยากรณ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วดีใจ เบิกบานเกิดปีติโสมนัส.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 531

ครั้งนั้นแล พระอานนท์ผู้มีอายุมีปริวิตกว่า ก็ชนผู้บำรุงชาวมคธเหล่า

นี้ มีมากและเป็นรัตตัญญู ทำกาละล่วงไปนานแล้ว อังคะและมคธ เห็นจะ

ว่างเปล่าจากชนผู้บำรุงชาวมคธซึ่งทำกาละล่วงไปนานแล้ว ก็ด้วยเหตุนั้นแล

ชาวมคธทั้งหลายเป็นผู้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เลื่อมใสในพระธรรม เลื่อมใส

ในพระสงฆ์ กระทำให้บริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย ชาวมคธเหล่านั้น ทำกาละล่วงไป

นานแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ การพยากรณ์จะพึงสำเร็จประโยชน์

แม้แก่พวกเขา ชนมากจะพึงเลื่อมใส แต่นั้น จะพึงไปสู่สุคติ อนึ่ง พระเจ้า

พิมพิสาร จอมเสนี พระเจ้าแผ่นดินแห่งมคธพระองค์นี้ ทรงดำรงอยู่ในธรรม

เป็นพระราชาปกครองโดยธรรม ทรงเกื้อกูลแก่พราหมณ์คหบดี ชาวนิคมและ

ชาวชนบททั้งหลาย อนึ่ง ได้ยินว่า พวกมนุษย์พากันสรรเสริญว่า พระเจ้า-

แผ่นดินมคธนั้น ทรงดำรงอยู่ในธรรม เป็นพระราชาปกครองโดยธรรม ทรง

ปกครองให้พวกเราเป็นสุขอย่างนี้ เสด็จสวรรคตเสียแล้ว พวกเรา อยู่เป็นผาสุก

ในแว่นแคว้นของพระองค์ผู้ทรงดำรงอยู่ในธรรม เป็นพระราชาปกครองโดย

ธรรมอย่างนี้ แม้อนึ่ง พระเจ้าแผ่นดินมคธนั้นแล ทรงเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า

ทรงเลื่อมใสในพระธรรม ทรงเลื่อมใสในพระสงฆ์ ทรงทำให้บริบูรณ์ในศีล

ทั้งหลาย ได้ยินว่า พวกมนุษย์ได้กล่าวอย่างนี้ว่า แม้จนกระทั่งเวลาจะเสด็จ

สวรรคต พระเจ้าพิมพิสาร จอมเสนีพระเจ้าแผ่นดินมคธ ก็ยังทรงสรรเสริญ

พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จสวรรคตแล้ว พระเจ้าแผ่นดินมคธนั้นเสด็จสวรรคต

ล่วงไปนานแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ การพยากรณ์จะพึงสำเร็จ

ประโยชน์แม้แก่พระเจ้าแผ่นดินมคธนั้น ชนมากจะพึงเลื่อมใส แต่นั้นจะพึงไป

สู่สุคติก็พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ในแผ่นดินมคธ เหตุไฉน พระผู้มีพระภาคเจ้า

จึงไม่ทรงพยากรณ์ถึงชนผู้บำรุงชาวมคธ ซึ่งทำกาละล่วงไปนานแล้วในแผ่นดิน

มคธที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้นั้น ในการอุบัติทั้งหลายเล่า ก็ถ้าพระผู้มีพระ-

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 532

ภาคเจ้า ไม่ทรงพยากรณ์ถึงชนผู้บำรุงชาวมคธทั้งหลายที่ทำกาละล่วงไปนานแล้ว

ในการอุบัติทั้งหลาย ก็จะเป็นเหตุให้ชนผู้บำรุงชาวมคธทั้งหลายจะพึงเสียใจว่า

ไฉนพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงไม่ทรงพยากรณ์ถึงพวกเขา. พระอานนท์ผู้มีอายุ

ปรารภถึงชนผู้บำรุงชาวมคธนี้ ทูลเลียบเคียงเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า

แล้วลุกจากอาสนะะถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าทำประทักษิณหลีกไปแล้ว.

[๑๙๐] ครั้งนั้นแล เมื่อพระอานนท์ผู้มีอายุหลีกไปไม่นาน ในปุพ-

พัณหสมัยเวลาใกล้รุ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนุ่งสบง ทรงบาตรและจีวรเสด็จ

เข้าไปบิณฑบาตยังบ้านนาทิกะ เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในบ้านนาทิกะ ภายหลัง

ภัต เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ทรงล้างพระบาทเสด็จเข้าพระตำหนัก คิญ-

ชกาวสถะ ทรงปรารภถึงชนผู้บำรุงชาวมคธทรงตั้งพระทัยมนสิการประมวลเหตุ

ทั้งปวงด้วยพระทัย ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ด้วยทรงพระดำริว่า ผู้

เจริญเหล่านั้นมีคติอย่างใด มีภพหน้าอย่างใด เราจักรู้คติ จักรู้ภพหน้านั้น

ของชนผู้บำรุงชาวมคธเหล่านั้น . พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นชนผู้บำรุงชาวมคธ

ว่าผู้เจริญเหล่านั้นมีคติเป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร. ครั้งนั้นแล ใน

สายัณหสมัยเวลาใกล้เย็น พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากที่เร้นเสด็จออกจาก

พระตำหนัก คิญชกาวสถะ ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ในร่มเงาวิหาร.

ว่าด้วยชนวสภะ

[๑๙๑] ครั้งนั้นแล พระอานนท์ผู้มีอายุเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า

ถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ถวายอภิวาทแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว นั่ง

ณ ที่ควรส่วนสุดข้างหนึ่ง พระอานนท์ผู้มีอายุนั่ง ณ ที่ควรส่วนสุดข้างหนึ่ง ได้

กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง

มีพระอิริยาบถสงบยิ่ง ทรงมีพระฉวีวรรณแห่งพระพักตร์เปล่งปลั่งยิ่งนัก เพราะ

พระอินทรีย์ทั้งหลายผ่องใสวันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ด้วยวิหารธรรม

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 533

อันสงบแน่. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ ข้อที่เธอปรารภชนผู้บำรุง

ชาวมคธพูดเลียบเคียงเฉพาะหน้าเราแล้ว ลุกจากอาสนะหลีกไป เพราะข้อ

นั้นเป็นเหตุ เราเที่ยวบิณฑบาตในบ้านนาทิกะ ภายหลังภัต กลับจากบิณฑบาต

แล้วล้างเท้าเข้าไปยังที่พัก คิญชกาวสถะแล้ว ปรารภถึงชนผู้บำรุงชาวมคธ ตั้งใจ

มนสิการประมวลเหตุทั้งปวงด้วยใจ นั่งอยู่บนอาสนะที่ปูลาดไว้ด้วยดำริว่า เรา

จักรู้คติ จักรู้ภพหน้าของชาวมคธเหล่านั้นว่า ผู้เจริญเหล่านั้น มีคติเป็น

อย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร อานนท์ เราได้เห็นชนผู้บำรุงชาวมคธแล้วว่า

ผู้เจริญเหล่านั้นมีคติเป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร ครั้งนั้นยักษ์ หายไป

เปล่งเสียงให้ได้ยินว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าข้าพระพุทธเจ้าชื่อว่า ชนวสภะ

ข้าแต่พระสุคต ข้าพระพุทธเจ้าชื่อว่าชนวสภะ อานนท์ เธอรู้หรือไม่ว่า เธอเคย

ฟังชื่อว่า ชนวสภะ เห็นปานนี้ ในกาลก่อนแต่กาลนี้. พระอานนท์กราบทูล

ว่า ข้าพระองค์ไม่รู้เลยว่า เคยได้ฟังชื่อว่า ชนวสภะ เห็นปานนี้ ในกาลก่อน

แต่กาลนี้ อนึ่ง ข้าพระองค์ได้ฟังชื่อว่า ชนวสภะ ทำให้ขนลุกชูชัน ทำให้เกิด

ความคิดว่า ยักษ์ที่มีชื่อว่า ชนวสภะ ไม่ใช่ยักษ์ชั้นต่ำเป็นแน่ๆ พระผู้มีพระ-

ภาคเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ ในระหว่างนั้น เสียงได้ปรากฏขึ้น ยักษ์มีผิวพรรณ

อันงามยิ่งได้ปรากฏต่อหน้าเรา ได้เปล่งเสียงให้ได้ยินแม้เป็นครั้งที่สองว่า ข้า

แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าชื่อว่า พิมพิสาร ข้าแต่พระสุคต ข้าพระ-

พุทธเจ้าชื่อ พิมพิสาร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าเข้าถึงความเป็น

สหายของท้าวเวสวัณมหาราชเป็นครั้งที่ ๗ นี้ ข้าพระพุทธเจ้านั้นจุติจากนี้แล้ว

สามารถเป็นราชาในหมู่มนุษย์.

[๑๙๒] ข้าพระพุทธเจ้าท่องเที่ยวจากเทวโลกนี้

เจ็ดครั้ง จากมนุษยโลกนั้นเจ็ดครั้ง รวม

สิบสี่ครั้ง ย่อมรู้จักภพที่ข้าพระพุทธเจ้าเคย

อยู่อาศัยในกาลก่อน.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 534

ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ามีความไม่ตกต่ำ ทราบชัดถึง

ความไม่ตกต่ำเป็นเวลานาน อนึ่งความหวังเพื่อความเป็นพระสกทาคามีของ

ข้าพระพุทธเจ้ายังคงมีอยู่. พระอานนท์กราบทูลว่า ข้อที่ ชนวสภยักษ์

ประกาศว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ามีความไม่ตกต่ำทราบชัดถึง

ความไม่ตกต่ำเป็นเวลานาน และประกาศว่า ความหวังเพื่อความเป็นพระสก-

ทาคามีของข้าพระพุทธเจ้ายังคงมีอยู่นี้ น่าอัศจรรย์สำหรับท่านชนวสภยักษ์

ไม่เคยมีมาสำหรับท่านชนวสภยักษ์ ก็ท่านชนวสภยักษ์ ทราบชัดถึงการบรรลุ

คุณวิเศษ อันโอฬารเห็นปานนี้จากอะไรเป็นเหตุเล่า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

ชนวสภยักษ์ประกาศว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า นอกจากพระศาสนาของ

พระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักการบรรลุคุณวิเศษอันโอฬาร ข้าแต่พระสุคต

นอกจากพระศาสนาของพระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักการบรรลุคุณวิเศษอัน

โอฬาร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตั้งแต่วันที่ข้าพระพุทธเจ้าเลื่อมใสอย่างยิ่งใน

พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นต้นมา ข้าพระพุทธเจ้าไม่ตกต่ำ ทราบชัดถึงความ

ไม่ตกต่ำเป็นเวลานาน และความหวังเพื่อความเป็นพระสกทาคามีของข้าพระ-

พุทธเจ้ายังคงมีอยู่. ข้าพระพุทธเจ้าถูกท้าวเวสวัณมหาราชส่งไปในสำนักของ

ท้าววิรูฬกมหาราชด้วยกรณียกิจบางอย่าง ในระหว่างทางได้เห็นพระผู้มีพระ-

ภาคเจ้า ซึ่งเสด็จเข้าไปสู่พระตำหนักคิญชกาวสถะ ทรงปรารภถึงชนผู้บำรุง

ชาวมคธ ตั้งพระทัยมนสิการประมวลเหตุทั้งปวงด้วยพระทัยประทับอยู่ด้วยทรง

ดำริว่า เรารู้จักคติ รู้จักภพหน้าของชาวมคธเหล่านั้นว่า ผู้เจริญเหล่านั้นมีคติ

เป็นอย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่ข้าพระพุทธ-

เจ้ารับคำต่อหน้าท้าวเวสวัณซึ่งกล่าวในบริษัทนั้นว่า ผู้เจริญเหล่านั้นมีคติเป็น

อย่างไร มีภพหน้าเป็นอย่างไร เป็นความอัศจรรย์เล็กน้อย ข้าพระพุทธเจ้า

คิดว่า เราจะเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า และจักกราบทูลข้อนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 535

ข้าพระพุทธเจ้ามีเหตุ ๒ อย่างนี้แล เพื่อที่จะได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า วันก่อนๆ

นานมาแล้ว ในวันอุโบสถที่ ๑๕ แห่งราตรีวันเพ็ญวัสสูปนายิกา เทวดาชั้น

ดาวดึงส์ทั้งสิ้นนั่งประชุมในสุธรรมาสภา เทพบริษัทมากมายนั่งอยู่โดยรอบ

และท้าวมหาราชทั้งสี่นั่งอยู่ใน ๔ ทิศ คือ ในทิศบูรพา ท้าวธตรัฏฐมหาราช

นั่งผินหน้าไปทางทิศปัจฉิมแวดล้อมด้วยเทวดาทั้งหลาย ในทิศทักษิณ ท้าว

วิรุฬกมหาราชนั่งผินหน้าไปทางทิศอุดร แวดล้อมด้วยเทวดาทั้งหลาย ในทิศ

ปัจฉิม ท้าววิรูปักขมหาราช นั่งผินหน้าไปทางทิศบูรพา แวดล้อมด้วยเทวดา

ทั้งหลาย ในทิศอุดร ท้าวเวสวัณมหาราช นั่งผินหน้าไปทางทิศทักษิณ

แวดล้อมด้วยเทวดาทั้งหลาย ก็เมื่อเทวดาชั้นดาวดึงส์ทั้งสิ้นนั่งประชุมใน

สุธรรมาสภา เทพบริษัทมากมายนั่งอยู่โดยรอบ และท้าวมหาราชทั้งสี่นั่งอยู่

ในทิศทั้ง ๔ นี้ อาสนะของมหาราชทั้งสี่นั้น ข้างหลังถัดออกมาก็เป็นอาสนะ

ของข้าพระพุทธเจ้า เหล่าเทพที่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว

บังเกิดในดาวดึงส์เมื่อกี้นี้ ย่อมไพโรจน์ล่วงเทวดาเหล่าอื่นด้วยวรรณะและยศ

ด้วยเหตุนั้น เทวดาชั้นดาวดึงส์จึงดีใจ เบิกบาน เกิดปีติและโสมนัสว่า ผู้เจริญ

ทั้งหลาย ทิพยกายย่อมบริบูรณ์หนอ อสุรกายย่อมเสื่อมไป ครั้งนั้นแล ท้าว

สักกะจอมเทพ ทรงทราบความบันเทิงของเทวดาชั้นดาวดึงส์แล้ว จึงทรง

บันเทิงตามด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า

[๑๙๓] ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย ทวยเทพชั้น

ดาวดึงส์พร้อมกับพระอินทร์ ถวายนมัส-

การพระตถาคตและความที่พระธรรมเป็น

ธรรมดี เห็นทวยเทพใหม่ ๆ มีวรรณะ มี

ยศ ประพฤติพรหมจรรย์ในพระสุคตมา

ประชุม ณ สุธรรมาสภานี้ ย่อมบันเทิงหนอ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 536

ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ผู้เป็นสาวกของ

พระสุคตผู้ทรงภูริปัญญา บรรลุคุณธรรม

วิเศษแล้วในสุธรรมาสภานี้ ไพโรจน์ล่วง

เทพเหล่าอื่นด้วยวรรณะ ด้วยยศและอายุ.

ทวยเทพ ชั้น ดาวดึงส์ พร้อมกับ พระ-

อินทร์ถวายนมัสการพระตถาคตและความ

ที่พระธรรมเป็นธรรมดี เห็นเหตุนี้แล้วย่อม

บันเทิง ดังนี้.

[๑๙๔] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ทราบว่า เพราะเหตุนั้น เทวดาชั้น

ดาวดึงส์ จึงดีใจเกิดปีติและโสมนัสยิ่งประมาณว่า ทิพยกายบริบูรณ์หนอ

อสุรกายย่อมเสื่อมไป ครั้งนั้น ท้าวมหาราชทั้งสี่ ถึงแม้จะมีคำที่เทวดาชั้นดาว-

ดึงส์คิดกันปรึกษากันถึงความประสงค์ ซึ่งเป็นเหตุให้นั่งประชุม ณ สุธรรมา

สภากล่าวแล้ว ก็มีในข้อประสงค์นั้น ท้าวมหาราชทั้งสี่แม้รับคำสั่งกำชับมาแล้ว

ก็มีในข้อประสงค์นั้น ยืนอยู่บนอาสนะของตน ๆ ไม่หลีกไป.

ท้าวมหาราชเหล่านั้นผู้รับถ้อยคำ รับ

คำสั่งแล้ว มีใจผ่องใส สงบระงับ ยืนอยู่

บนอาสนะของตน ๆ ดังนี้.

[๑๙๕] ครั้งนั้นแล ในทิศอุดร แสงสว่างอย่างยิ่งเกิดขึ้น โอภาส

ปรากฏล่วงซึ่งเทวานุภาพแห่งเทพทั้งหลาย ลำดับนั้น ท้าวสักกะจอมเทพ จึง

ตรัสเรียกทวยเทพชั้นดาวดึงส์ว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ นิมิตปรากฏ แสงสว่าง

เกิดขึ้น โอภาสปรากฏ พรหมจักเกิดฉันใด ข้อที่ว่าแสงสว่างเกิดขึ้น โอภาส

ปรากฏนั่น เป็นบุพพนิมิตเพื่อเกิดของพรหม ฉันนั้น.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 537

นิมิตปรากฏ พรหมจักเกิดฉันใด ข้อ

ที่ว่าโอภาสรุ่งเรืองใหญ่นั่น เป็นบุพพนิมิต

ของพรหม ฉันนั้น.

ว่าด้วยสนังกุมารพรหม

[๑๙๖] ครั้งนั้นแล เทวดาชั้นดาวดึงส์ นั่งบนอาสนะของตน ๆ ด้วย

คิดว่า พวกเราจักรู้โอภาสนั่น วิบากใดจักมี พวกเราจักทำให้แจ้งซึ่งวิบากนั่น

ก่อนแล้วจึงไป. ท้าวมหาราชแม้ทั้งสี่นั่งบนอาสนะของตน ๆ ด้วยคิดว่า พวก

เราจักรู้โอภาสนั่น วิบากใดจักมี พวกเราจักทำให้แจ้ง ซึ่งวิบากนั้นก่อนแล้ว

จึงไป. เทวดาชั้นดาวดึงส์ฟังข้อความนี้แล้วเข้าสงบอารมณ์ว่า พวกเราจักรู้

โอภาสนั่น วิบากใดจักมี พวกเราจักกระทำให้แจ้งซึ่งวิบากนั้นก่อนแล้ว

จึงไป ในเวลาใด สนังกุมารพรหมปรากฏแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์ ก็นิรมิต

อัตภาพใหญ่ยิ่ง เพศปรกติของพรหมอันเทพเหล่าอื่นไม่พึงมองเห็น ก็ปรากฏ

ในสายตาของเทวดาชั้นดาวดึงส์ ในเวลาใดที่สนังกุมารพรหมปรากฏแก่เทวดา

ชั้นดาวดึงส์ ย่อมรุ่งเรืองล่วงเทวดาเหล่าอื่นด้วยวรรณะและยศ เทวดามีกาย

เป็นทองคำ ย่อมรุ่งเรืองล่วงกายมนุษย์แม้ฉันใด ในเวลาที่สนังกุมารพรหม

ปรากฏแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์ ย่อมรุ่งเรืองล่วงเทพเหล่าอื่นด้วยวรรณะและยศ

ฉันนั้นเหมือนกัน ในเวลาใด สนังกุมารพรหมปรากฏแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์

เทพบางองค์ในบริษัทนั้น ไม่ไหว้ ไม่ต้อนรับ หรือไม่เชิญด้วยอาสนะ

เทพทั้งหมดเทียว นั่งนิ่งประคองอัญชลีอยู่บนบัลลังก์ บัดนี้ สนังกุมารพรหม

จักปรารถนาต่อเทพองค์ใด ก็จักนั่งบนบัลลังก์ของเทพองค์นั้น สนังกุมาร-

พรหมนั่งบนบัลลังก์ของเทพองค์ใดแล เทพองค์นั้นย่อมได้ความยินดีอย่างยิ่ง

ย่อมได้ความโสมนัสอย่างยิ่ง พระราชาผู้กษัตริย์ได้มุรธาภิเษกแล้ว ทรง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 538

ครองราชสมบัติใหม่ ย่อมทรงได้ความยินดีอย่างยิ่ง ย่อมทรงได้ความโสมนัส

อย่างยิ่ง แม้ฉันใด สนังกุมารพรหม นั่งบนบัลลังก์ของเทพองค์ใด เทพ

องค์นั้นย่อมได้ความยินดีอย่างยิ่ง ย่อมได้ความโสมนัสอย่างยิ่ง ฉันนั้นเหมือนกัน

ในเวลานั้น สนังกุมารพรหมนิรมิตอัตภาพใหญ่ยิ่ง เป็นเพศกุมารเช่นกับปัญจ-

สิขเทพบุตรปรากฏแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์ เธอเหาะขึ้นเวหาสนั่งขัดสมาธิในอากาศ

ที่ว่างเปล่า. บุรุษผู้มีกำลังนั่งขัดสมาธิบนบัลลังก์ที่ปูลาดดี หรือ บนภูมิภาค

ราบเรียบแม้ฉันใด สนังกุมารพรหมก็ฉันนั้นเหมือนกัน เหาะขึ้นเวหาสนั่งขัด

สมาธิในอากาศที่ว่างเปล่า ทราบความเบิกบานใจของเทวดาชั้นดาวดึงส์แล้ว

บันเทิง ด้วยคาถาเหล่านี้ ความว่า

คาถาอนุโมทนา

[๑๙๗] ดูก่อนผู้เจริญทั้งหลาย ทวยเทพชั้นดาว

ดึงส์พร้อมกับพระอินทร์ ถวายนมัสการ

พระตถาคตและความที่พระธรรมเป็น

ธรรมดี เห็นทวยเทพใหม่ ๆ มีวรรณะ

มียศ ประพฤติพรหมจรรย์ในพระสุคตมา

ประชุม ณ สุธรรมาสภานี้ ย่อมบันเทิง

หนอ.

ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ผู้เป็นสาวกของ

พระสุคตผู้ทรงภูริปัญญา บรรลุคุณธรรม

วิเศษแล้วในสุธรรมาสภานี้ ไพโรจน์ล่วง

เทพเหล่าอื่นด้วยวรรณะ ด้วยยศ และอายุ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 539

ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ พร้อมกับพระ-

อินทรีถวายนมัสการพระตถาคตและความ

ที่พระธรรมเป็นธรรมดีเห็นเหตุนี้แล้ว

ย่อมบันเทิง ดังนี้.

[๑๙๘] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สนังกุมารพรหมได้กล่าวเนื้อความนี้

เสียงของสนังกุมารพรหมผู้กล่าวเนื้อความนี้ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ คือ

แจ่มใส ๑ ชัดเจน ๑ นุ่มนวล ๑ น่าฟัง ๑ กลมกล่อม ๑ ไม่พร่า ๑ ลึก ๑ มี

กังวาน ๑. ก็สนังกุมารพรหม ย่อมยังบริษัทเท่าใดให้ทราบเนื้อความด้วยเสียง

ของตน กระแสเสียงก็ไม่แพร่ไปในภายนอกบริษัทเท่านั้น. เสียงของผู้ใด

ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการอย่างนี้ ผู้นั้นท่านเรียกว่า มีเสียงเพียงดังเสียง

พรหม. ครั้งนั้นแล สนังกุมารพรหม นิรมิตอัตภาพ ๓๓ อัตภาพ นั่งอยู่บน

บัลลังก์ของเทวดาชั้นดาวดึงส์ทุก. ๆ บัลลังก์แล้ว เรียกเทวดาชั้นดาวดึงส์มา

กล่าวว่า เทวดาชั้นดาวดึงส์ จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ก็พระผู้มีพระภาค

พระองค์นี้ ทรงปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ชนมาก เพื่อสุขแก่ชนมาก เพื่ออนุเคราะห์

โลก เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อสุข แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเพียงไร.

ชนเหล่าใดถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง ถึงพระสงฆ์เป็น

ที่พึ่ง กระทำบริบูรณ์ในศีลทั้งหลาย ชนเหล่านั้นเบื้องหน้าแต่ตายเพราะกาย

แตก บางพวกเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตดี บางพวก

เข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชั้นนิมมานรดี บางพวกเข้าถึงความเป็นสหาย

ของเทวดาชั้นดุสิต บางพวกเข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชั้นยามา บางพวก

เข้าถึงความเป็นสหายของเทวดาชั้นดาวดึงส์ บางพวกเข้าถึงความเป็นสหายของ

เทวดาชั้นจาตุมมหาราช พวกที่ยังกายที่เลวกว่าเขาทั้งหมดให้บริบูรณ์ ย่อมไป

เพิ่มจำนวนหมู่เทพคนธรรพ์ ดังนี้.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 540

[๑๙๙] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สนังกุมารพรหมได้กล่าวเนื้อความนี้.

กระแสเสียงของสนังกุมารพรหมกล่าวเนื้อความนี้เท่านั้น เทวดาทั้งหลายสำคัญ

ว่า ผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ของเรานี้ผู้เดียวกล่าว ฉะนั้น พระโบราณาจารย์ จึง

กล่าวว่า

เมื่อสนังกุมารพรหมกล่าวผู้เดียว รูป

นิรมิตทั้งหมดก็กล่าว เมื่อสนังกุมารพรหม

นิ่งผู้เดียว รูปนิมิตเหล่านั้นทั้งหมดก็นิ่ง.

เทวดาชั้นดาวดึงส์พร้อมด้วยพระ-

อินทร์ ย่อมสำคัญสนังกุมารพรหมนั้นว่า

ผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ของเรานี้ผู้เดียวเท่านั้น

กล่าว.

ว่าด้วยอานิสงส์แห่งอิทธิบาท

[๒๐๐] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ครั้งนั้นแล สนังกุมารพรหมกลับคืน

คนเป็นผู้เดียวแล้ว นั่งบนบัลลังก์ของท้าวสักกะจอมเทพ เรียกเหล่าเทวดาชั้น

ดาวดึงส์มากล่าวว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย เหล่าเทวดาชั้นดาวดึงส์จะสำคัญ

ความข้อนั้นเป็นไฉน อิทธิบาท ๔ เหล่านี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้รู้ ผู้เห็น

เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติไว้แล้ว เพื่อความ

ทำฤทธิ์ให้มาก เพื่อความทำฤทธิ์ให้วิเศษ เพื่อแสดงฤทธิ์ได้ อิทธิบาท ๔

เป็นไฉน ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยฉันทสมาธิ

และปธานสังขาร เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยวิริยสมาธิและปธานสังขาร

เจริญอิทธิบาทประกอบด้วยจิตตสมาธิและปธานสังขาร เจริญอิทธิบาทประกอบ

ด้วยวิมังสาสมาธิและปธานสังขาร อิทธิบาท ๔ เหล่านี้แล อันพระผู้มีพระภาคเจ้า

ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติไว้แล้ว

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 541

เพื่อความทำฤทธิ์ให้มาก เพื่อความทำฤทธิ์ให้วิเศษ เพื่อแสดงฤทธิ์ได้ สมณะ

หรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในอดีตกาล แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง สมณะ

หรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมด แสดงฤทธิ์ได้เพราะความที่อิทธิบาททั้ง ๔

เหล่านี้เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว อนึ่ง สมณะหรือพราหนณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง

ในอนาคตกาล จักแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้ง

หมดจะแสดงฤทธิ์ได้ เพราะความที่อิทธิบาททั้ง ๔ อย่างเหล่านี้เจริญแล้ว ทำให้

มากแล้ว อนึ่ง สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่งในปัจจุบันกาล ย่อม

แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นทั้งหมดแสดงฤทธิ์ได้

เพราะความที่อิทธิบาททั้ง ๔ อย่างเหล่านี้แหละเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว เทวดา

ชั้นดาวดึงส์เห็นอิทธานุภาพเห็นปานนี้ของเราหรือไม่. เห็นแล้ว ท่านมหา-

พรหม. แม้เรามีฤทธิ์มากอย่างนี้ มีอานุภาพมากอย่างนี้ ก็เพราะความมี

อิทธิบาททั้ง ๔ อย่างนี้แลได้เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ดังนี้.

ว่าด้วยการบรรลุโอกาส ๓

[๒๑๑] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สนังกุมารพรหมได้กล่าวเนื้อความนี้

แล้ว เรียกเทวดาชั้นดาวดึงส์มากล่าวว่า เทวดาชั้นดาวดึงส์จะสำคัญความข้อ

นั้นเป็นไฉน การบรรลุโอกาส ๓ ประการที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น

เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นตรัสรู้แล้ว เพื่อบรรลุถึงความสุข.

การบรรลุโอกาส ๓ ประการ คืออะไรบ้าง.

[๒๐๒] บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังเกี่ยวข้องด้วยกาม คลุกคลีด้วย

อกุศลธรรมอยู่. โดยสมัยอื่น เขาฟังธรรมของพระอริยเจ้า มนสิการโดยแยบคาย

ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม. เขาอาศัยการฟังธรรมของพระอริยเจ้า มนสิการ

โดยแยบคาย ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ไม่เกี่ยวข้องด้วยกาม ไม่คลุกคลี

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 542

ด้วยอกุศลธรรมอยู่. ความสุข ความโสมนัสอันยิ่งกว่าสุขย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ไม่

เกี่ยวข้องด้วยกาม ไม่คลุกคลีด้วยอกุศลธรรมนั้น. ความปราโมทย์เกิดต่อจาก

ความบันเทิง แม้ฉันใด ความสุข ความโสมนัสอันยิ่งกว่าสุขย่อมเกิดแก่ผู้ไม่

เกี่ยวข้องด้วยกาม ไม่คลุกคลีด้วยอกุศลธรรม ฉันนั้นเหมือนกันแล. การ

บรรลุโอกาสนี้เป็นประการที่ ๑ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระ-

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นตรัสรู้แล้ว เพื่อบรรลุถึงความสุข.

[๒๐๓] อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีกายสังขารหยาบ

ไม่สงบระงับ มีวจีสังขารหยาบไม่สงบระงับ มีจิตตสังขารหยาบไม่สงบระงับ.

โดยสมัยอื่น เขาฟังธรรมของพระอริยเจ้า กระทำในใจโดยแยบคาย ปฏิบัติ

ธรรมสมควรแก่ธรรม. เมื่อเขาอาศัยการฟังธรรมของพระอริยเจ้า มนสิการ

โดยแยบคาย ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม กายสังขารที่หยาบย่อมสงบระงับ

วจีสังขารที่หยาบย่อมสงบระงับ จิตตสังขารที่หยาบย่อมสงบระงับ. ความสุข

ความโสมนัสอันยิ่งกว่าสุขย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะกายสังขารที่หยาบสงบระงับ

เพราะวจีสังขารที่หยาบสงบระงับ เพราะจิตตสังขารที่หยาบสงบระงับ. ความ

ปราโมทย์เกิดต่อจากความบันเทิงแม้ฉันใด ความสุข ความโสมนัสอันยิ่งกว่า

สุขย่อมเกิดขึ้น เพราะกายสังขารที่หยาบสงบระงับ เพราะวจีสังขารที่หยาบ

สงบระงับ เพราะจิตตสังขารหยาบสงบระงับฉันนั้นเหมือนกัน. การบรรลุโอกาส

นี้เป็นที่ ๒ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์นั้นตรัสรู้แล้ว เพื่อบรรลุถึงความสุข.

[๒๐๔] อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมไม่รู้ตามความ

เป็นจริงว่า นี้กุศล ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้อกุศล ย่อมไม่รู้ตามความ

เป็นจริงว่า นี้มีโทษ ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ไม่มีโทษ ย่อมไม่รู้ตาม

ความเป็นจริงว่า นี้ควรเสพ ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ไม่ควรเสพ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 543

ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้เลว ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ประณีต

ย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นส่วนธรรมดำและธรรมขาว. โดยสมัยอื่น

เขาฟังธรรมของพระอริยเจ้า กระทำในใจโดยแยบคาย ปฏิบัติธรรมสมควรแก่

ธรรม ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้กุศล ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้อกุศล

ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้มีโทษ ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ไม่มีโทษ

ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ควรเสพ ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ไม่ควร

เสพ ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้เลว ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ประณีต

ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้เป็นส่วนธรรมดำและธรรมขาว. เมื่อเขารู้อย่างนี้

เห็นอย่างนี้ อวิชชาย่อมละได้ วิชชาย่อมเกิดขึ้น. ความสุข โสมนัสอันยิ่งกว่า

สุข ย่อมเกิดขึ้นแก่เขา เพราะปราศจากอวิชา เพราะวิชาเกิดขึ้น. ความ

ปราโมทย์เกิดต่อจากความบันเทิงแม้ฉันใด ความสุข โสมนัสอันยิ่งกว่าสุขย่อม

เกิดขึ้น เพราะปราศจากอวิชา เพราะวิชาเกิดขึ้นฉันนั้นเหมือนกัน. การ

บรรลุโอกาสนี้เป็นประการที่ ๓ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระ

อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นตรัสรู้แล้ว เพื่อบรรลุถึงความสุข. การ

บรรลุโอกาส ๓ ประการเหล่านี้แล อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็น

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นตรัสรู้แล้ว เพื่อบรรลุถึงความสุข.

ว่าด้วยสติปัฏฐาน

[๒๐๕] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สนังกุมารพรหมได้กล่าวเนื้อความนี้

แล้ว เรียกเทวดาชั้นดาวดึงส์มากล่าวว่า เทวดาชั้นดาวดึงส์จะสำคัญความข้อ

นั้นเป็นไฉน สติปัฏฐาน ๔ นี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นอรหันต-

สัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงบัญญัติดีแล้ว เพื่อบรรลุกุศล สติปัฏฐาน

๔ มีอะไรบ้าง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณากายในกาย เป็นภายใน มี

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 544

ความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ เมื่อ

ภิกษุพิจารณากายในกาย เป็นภายในอยู่ ย่อมตั้งจิตไว้โดยชอบ ผ่องใสโดย

ชอบในกายานุปัสสนานั้น. เธอตั้งจิตไว้โดยชอบในกายานุปัสสนานั้นแล้ว ยัง

ญาณทัสสนะให้เกิดในกายอื่นในภายนอก. ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา

เป็นภายในมีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่

เมื่อภิกษุพิจารณาเวทนาในเวทนาเป็นภายในอยู่ ย่อมตั้งจิตไว้โดยชอบ ผ่องใส

โดยชอบในเวทนานุปัสสนานั้น เธอตั้งจิตไว้โดยชอบ ผ่องใสโดยชอบในเวทนา

นุปัสสนานั้นแล้ว ยังญาณทัสสนะให้เกิดในเวทนาอื่นภายนอก ภิกษุพิจารณาจิต

ในจิตเป็นภายใน มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัส

ในโลกอยู่ เมื่อภิกษุพิจารณาจิตในจิตเป็นภายในอยู่ ย่อมตั้งจิตไว้โดยชอบ ย่อม

ผ่องใสโดยชอบในจิตตานุปัสสนานั้น. เธอตั้งจิตไว้โดยชอบ ผ่องใสโดยชอบ

ในจิตตานุปัสสนานั้นแล้ว ยังญาณทัสสนะให้เกิดในจิตอื่นในภายนอก. ภิกษุ

พิจารณาธรรมในธรรมเป็นภายใน มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัด

อภิชฌาและโทมนัสในโลกอยู่ เมื่อภิกษุพิจารณาธรรมในธรรมเป็นภายในอยู่

ย่อมตั้งจิตไว้โดยชอบ ผ่องใสโดยชอบในธัมมานุปัสสนานั้น. เธอตั้งจิตไว้โดย

ชอบ ผ่องใสโดยชอบในธัมมานุปัสสนานั้นแล้ว ยังญาณทัสสนะให้เกิดใน

ธรรมอื่นในภายนอก. สติปัฏฐาน ๔ อย่างนี้แล อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้

ผู้เห็น เป็นอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นทรงบัญญัติแล้ว เพื่อบรรลุคุณ

ว่าด้วยบริขารแห่งสมาธิ

[๒๐๖] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สนังกุมารพรหม ได้กล่าวเนื้อความ

นี้แล้ว ได้เรียกเทวดาชั้นดาวดึงส์มากล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญทั้งหลาย เทวดา

ชั้วดาวดึงส์จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บริขารแห่งสมาธิ ๗ ประการนี้ อัน

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 545

พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ทรงบัญญัติแล้ว เพื่อความเจริญแห่งสัมมาสมาธิเพื่อความบริบูรณ์แห่งสัมมา

สมาธิ บริขารแห่งสมาธิ ๗ ประการเป็นไฉน คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ

สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ. ความที่

จิตมั่นแวดล้อมด้วยองค์ ๗ นี้แล เรียกว่า สัมมาสมาธิอันเป็นอริยะ มีอุปนิสัย

ดังนี้บ้าง มีบริขารดังนี้บ้าง สัมมาสังกัปปะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาทิฏฐิ

สัมมาวาจาย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาสังกัปปะ สัมมากัมมันตะย่อมเพียงพอ

แก่บุคคลผู้มีสัมมาวาจา สัมมาอาชีวะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมากัมมันตะ

สัมมาวายามะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาอาชีวะ สัมมาสติย่อมเพียงพอ

แก่บุคคลผู้มีสัมมาวายามะ สัมมาสมาธิ ย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสัมมาสติ

สัมมาญาณะย่อมเพียงพอแก่บุคคลผู้มีสมาธิ สัมมาวิมุตติ ย่อมเพียงพอแก่บุคคล

ผู้มีสัมมาญาณะ ก็บุคคลเมื่อกล่าวโดยชอบถึงความข้อนั้น พึงกล่าวว่า

พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว อันบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบ

ด้วยกาลควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน

เพราะฉะนั้น ประตูแห่งพระนิพพานเปิดเพื่อท่านแล้ว. บุคคลเมื่อกล่าว

โดยชอบถึงความนี้เทียวกะบุคคลนั้นผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้น

ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พึงกล่าวว่า ก็พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้า

ตรัสดีแล้ว อันบุคคลพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อม

เข้ามา. อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ประตุแห่งพระนิพพานเปิดเพื่อท่านแล้ว.

ก็ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ผู้ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้นในพระ-

พุทธเจ้า ประกอบด้วยความเลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้นในพระธรรม ประกอบ

ด้วยความเลื่อมใสอย่างแน่นแฟ้นในพระสงฆ์ ประกอบด้วยศีลทั้งหลายที่พระ

อริยเจ้าชอบใจ. ชนเหล่านี้เป็นโอปปาติกะ นำมาแล้วในพระธรรม ชนผู้บำรุง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 546

ชาวมคธเกินสองล้านสี่แสนคน ทำกาละล่วงไปนานแล้วเป็นพระโสดาบัน

เพราะสิ้นสังโยชน์ ๓ อย่าง มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันจะ

ตรัสรู้ในเบื้องหน้า. ข้าพเจ้ากลัวการพูดเท็จ จึงไม่อาจคำนวณได้ว่าในชน

เหล่านี้ มีพระสกทาคามีเท่าไร และหมู่สัตว์นอกนี้บังเกิดด้วยส่วนบุญ.

ปริวิตกของท้าวเวสวัณมหาราช

[๒๐๗] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สนังกุมารพรหมได้กล่าวเนื้อความนี้

แล้ว. เมื่อสนังกุมารพรหมกล่าวเนื้อความนี้อยู่ ท้าวเวสวัณมหาราชเกิดความ

ดำริแห่งใจอย่างนี้ว่า ดูก่อนท่านผู้เจริญ น่าอัศจรรย์หนอ ไม่เคยมีมาหนอ

จักมีพระศาสดาผู้ยิ่งเห็นปานนี้ จักมีการแสดงธรรมที่ยิ่งเห็นปานนี้ จักปรากฏ

การบรรลุคุณวิเศษที่ยิ่งเห็นปานนี้. ครั้งนั้น สนังกุมารพรหมได้ทราบความ

ดำริในใจของท้าวเวสวัณมหาราชด้วยใจแล้ว ได้กล่าวกะท้าวเวสวัณมหาราช

ดังนี้ว่า ท่านเวสวัณมหาราชจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในอดีตกาล ก็ได้มี

พระศาสดาผู้ยิ่งเห็นปานนี้ ได้มีการแสดงธรรมที่ยิ่งเห็นปานนี้ ได้ปรากฏการ

บรรลุคุณวิเศษที่ยิ่งเห็นปานนี้ แม้ในอนาคตกาล ก็จักมีพระศาสดาผู้ยิ่งเห็น

ปานนี้จักมีการแสดงธรรมที่ยิ่งเห็นปานนี้ จักปรากฏการบรรลุคุณวิเศษที่ยิ่ง

เห็นปานนี้.

[๒๐๘] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สนังกุมารพรหม ได้กล่าวเนื้อความนี้

แก่ทวยเทพชั้นดาวดึงส์แล้ว. ท้าวเวสวัณมหาราชได้บอกเนื้อความนี้ที่ได้สดับ

ต่อหน้า ได้รับต่อหน้าสนังกุมารพรหมผู้กล่าวแก่ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ในบริษัท

ของตน. ชนวสภยักษ์กราบทูลความนี้ที่ได้สดับต่อหน้า ที่ได้รับต่อหน้าท้าว

เวสวัณมหาราชผู้กล่าวในบริษัทของตนแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาค

เจ้าทรงสดับต่อหน้า ทรงรับต่อหน้าชนวสภยักษ์และทรงทราบได้เองได้ตรัส

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 547

บอกเนื้อความนี้แก่ท่านพระอานนท์. พระอานนท์ผู้มีอายุได้ฟังมาต่อพระพักตร์

ได้รับมาต่อพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้กล่าวบอกความข้อนี้แก่ภิกษุ

ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา. พรหมจรรย์นี้นั้น บริบูรณ์ แพร่หลาย กว้าง

ขวาง ชนเป็นอันมากทราบชัด เป็นปึกแผ่น จนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

ประกาศดีแล้ว ดังนี้แล.

จบ ชนวสภสูตรที่ ๕

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 548

อรรถกถาชนวสภสูตร

ชนวสภสูตร มีคำว่าเริ่มต้นว่า ข้าพเจ้าได้ฟังมาอย่างนี้ :-

การพรรณนาบทไม่ตื้นในชนวสภสูตร ดังนี้. บทว่า ปริโต ปริโต

ชนปเทสุ ความว่า ในชนบทใกล้เคียง. บทว่า ปริจารเก ความว่า ผู้บำรุง

พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์. บทว่า อุปปตฺตีสุ ความว่า ในการอุบัติ

แห่งญาณคติ และบุญ. บทว่า กาสีโกสเลสุ ความว่า ในแคว้นกาสีและโกศล.

อธิบายว่า ในกาสีรัฐ และโกศลรัฐ. ในบททั้งปวงก็มีนัยเช่นเดียวกัน. แต่ไม่

ทรงพยากรณ์ในรัฐทั้ง ๖ คือ อังคะ มคธ โยนก กัมโพช อัสสกะ และ

อวันตี. ก็ทรงพยากรณ์ในชนบทสิบก่อนแห่งมหาชนบทสิบหกนี้.

บทว่า นาทิกิยา ความว่า ชาวบ้านนาทิกะ. บทว่า เตน จ ความ

ว่า ด้วยความเป็นพระอนาคานี้ เป็นต้นนั้น. บทว่า สุตฺวา ความว่า ได้ฟัง

พยากรณ์ปัญหาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกำหนดด้วยพระสัพพัญุตญาณ

พยากรณ์อยู่ ก็จะถึงที่สุด ในความเป็นพระอนาคามี เป็นต้น ของชนเหล่า

นั้น ก็จะมีใจเป็นของตนด้วยความเป็นพระอนาคามีเป็นต้นนั้น. แต่ในอรรถกถา

ท่านกล่าวว่า บทว่า เตน คือ ชาวบ้านนาทิกะเหล่านั้น. จริงอยู่ อักษร

ในอรรถนั่น เป็นเพียงนิบาต.

บทว่า ภควนฺต กิตฺตยมานรูโป ความว่า พระเจ้าพิมพิสาร ทรง

บริกรรมอย่างนี้ว่า โอหนอพระพุทธเจ้า โอหนอพระธรรม โอหนอพระสงฆ์

โอหนอพระธรรมที่ตรัสดี แล้วสวรรคต. บทว่า พหุชโน ปสีเทยฺย ความ

ว่า ชนมากถึงความเลื่อมใสอย่างนี้ว่า บิดา มารดา พี่ชาย พี่สาว บุตร ธิดา

สหาย ของพวกเรา พวกเราเคยกินร่วม นอนร่วมกับท่านนั้น พวกเราจะทำ

สิ่งที่น่าพอใจอย่างนี้ และอย่างนี้แก่ท่านนั้น ได้ยินว่า ท่านนั้นเป็นอนาคามี

สกทาคามี โสดาบัน โอหนอ เป็นการดี โอหนอเป็นการชอบ.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 549

บทว่า คตึ คือ ญาณคติ. บทว่า อภิสมฺปราย ความว่า มีญาณ

เป็นไปเบื้องหน้า. บทว่า อทฺทสา โข ความว่า ได้เห็นชนประมาณ

เท่าใด. ประมาณ ๒,๔๐๐,๐๐๐ คน. บทว่า อุปสนฺตปติสฺโส ความ ทรง

มีทัศนสงบแล้ว. บทว่า ภาติริว ความว่า เปล่งปลั่งยิ่ง คือ รุ่งโรจน์ยิ่ง.

บทว่า อินฺทฺริยาน ความว่า พระอินทรีย์ซึ่งมีพระหฤทัยเป็นที่หก. บทว่า

อทฺทส โข อห อานนฺท ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เราได้เห็นชาว

มคธผู้บำรุง ไม่ใช่จำนวนสิบ จำนวนยี่สิบ จำนวนร้อย จำนวนพัน แต่

จำนวนไม่ต่ำกว่า ๒,๔๐๐,๐๐๐ คน. แต่ชนมีประมาณเท่านี้ เห็นเราแล้ว

อาศัยเราพ้นจากทุกข์แล้ว โสมนัสมีกำลังเกิดขึ้นแล้ว จิตเลื่อมใส เพราะจิต

เลื่อมใส โลหิตซึ่งมีจิตเป็นสมุฏฐานก็ผ่องใส เพราะโลหิตผ่องใส อินทรีย์ทั้ง

หลายซึ่งมีมนะเป็นที่หก ก็ผ่องใส ครั้นตรัสดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า อถโข

อานนฺท เป็นต้น. พระเจ้าพิมพิสารพระองค์นั้น ทรงสดับธรรมกถาของสมเด็จ

พระผู้มีพระภาคเจ้า ณ ที่นั้น เป็นใหญ่แห่งชนหนึ่งแสนยิ่งด้วยสิบพัน บรรลุ

เป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้น พระองค์จึงมีพระนามว่า ชนวสภะ.

บทว่า อิโต สตฺต ความว่า จุติจากเทวโลกนี้เจ็ดครั้ง. บทว่า ตโต

สตฺต ความว่า จุติจากมนุษยโลกนั้นเจ็ดครั้ง. บทว่า สสรามิ จตุทฺทส

ความว่า ตามลำดับขันธ์ทั้งหมด สิบสี่ครั้ง. บทว่า นิวาสมภิชานามิ ความ

ว่า เรารู้นิวาสด้วยอำนาจแห่งชาติ. บทว่า ยตฺถ เม วุสิต ปุเร ความว่า เรา

เข้าถึงความเป็นสหายแห่งเวสวัณในเทวโลก และเป็นราชาในมนุษยโลกอยู่แล้ว

ในกาลก่อน แต่อัตภาพนี้ และเพราะได้อยู่อย่างนี้แล้ว บัดนี้ได้เป็นโสดาบัน

กระทำบุญมากในวัตถุทั้ง ๓ แม้สามารถบังเกิดเบื้องสูงด้วยอานุภาพแห่งบุญนั้น

จึงได้เกิดแล้วในที่นี้เทียว เพราะกำลังแห่งความใคร่ในสถานที่อยู่ตลอดกาลนาน.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 550

ด้วยบทว่า อาสา จ ปน เม สนฺติฏฺติ นี้ ท่านแสดงว่า เราไม่

หลับประมาทว่า เราเป็นโสดาบัน ยังกาลให้ล่วงแล้ว ก็เราได้เจริญวิปัสสนา

เพื่อประโยชน์แก่พระสกทาคามี อยู่อย่างมีความหวังว่า เราจะบรรลุในวันนี้ ๆ.

บทว่า ยทคฺเค ความว่า ท่านกล่าวมุ่งถึงวันบรรลุพระโสดาบันในปฐมทัศน์ที่

สวนลัฏฐิวัน. บทว่า ตทคฺเค อห ภนฺเต ทีฆรตฺต อวินิปาโต อวินิปาต

สญฺชานามิ ความว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ทำวันนั้นเป็นต้นเหตุ ไม่

ตกต่ำเป็นเวลานาน นับได้ ๑๔ อัตภาพก่อน ได้จำธรรมที่ไม่ยังตนให้ตกต่ำที่

บรรลุแล้ว ด้วยอำนาจโสดาปัตติมรรค ที่สวนลัฏฐิวัน. บทว่า อนจฺฉริย ความ

ว่าอัศจรรย์เนืองๆ. การที่เราไปด้วยกรณียกิจบางอย่าง ได้เห็นพระผู้มีพระภาค

เจ้าในระหว่างทาง เป็นการอัศจรรย์ที่คิดถึงบ่อยๆ และธรรมที่เราได้ฟังเฉพาะ

พระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสให้บริษัทของมหาราชเวสวัณนั้น แม้ข้อนี้

ก็เป็นการอัศจรรย์. บทว่า เทฺว ปจฺจยา ความว่า ภาพที่เห็นในระหว่างทาง

และความใคร่ที่จะบอกธรรมที่ได้ฟังต่อหน้าท้าวเวสวัณ. บทว่า สนฺนิปติตา

ความว่า ประชุม เพราะเหตุอะไร. ได้ยินว่า เทพเหล่านั้น ประชุมด้วยเหตุ

๔ ประการ คือ เพื่อสงเคราะห์วันวัสสูปนายิกา เพื่อสงเคราะห์วันปวารณา

เพื่อฟังธรรม เพื่อเล่นปาริฉัตรกีฬา. ในเหตุการณ์เหล่านั้น ในวันอาสาฬห-

ปุณมี เหล่าเทพในเทวโลกทั้งสอง ประชุมในเทวสภา ชื่อ สุธัมมา ว่า พรุ่ง

นี้เป็นวันวัสสูปนายิกา แล้วปรึกษากันว่า ในวิหารโน้น มีพระภิกษุเข้าพรรษา

หนึ่งรูป ในวิหารโน้น มีพระภิกษุเข้าพรรษา ๒ รูป ๓ รูป ๔ รูป ๕ รูป ๑๐ รูป

๒๐ รูป ๓๐ รูป ๔๐ รูป ๕๐ รูป ๑๐๐ รูป ๑,๐๐๐ รูป ท่านทั้งหลายจงทำการ

รักษาอารามในที่นั้น ๆให้ดี. การสงเคราะห์วัสสูปนายิกา ทวยเทพได้ทำแล้ว

ดังนี้. แม้ในกาลนั้น ทวยเทพได้ประชุมแล้ว ด้วยการณ์นั่นเทียว. บทว่า

อิท เตส โหติ อาสนสฺมึ ความว่า อาสวะนี้ เป็นของมหาราชทั้งสีเหล่านั้น

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 551

ครั้นมหาราชแม้เหล่านั้น ได้นั่งอย่างนี้แล้ว ต่อมาภายหลัง อาสนะจึงมีแก่เรา.

บทว่า เยนตฺเถน ความว่า ด้วยประโยชน์แห่งวัสสะปนายิกาใด. บทว่า ต

อตฺถ จินฺตยิตฺวา ความว่า คิดการอารักขาพระภิกษุสงฆ์ที่อยู่ป่านั้นแล้ว

ปรึกษากับมหาราชทั้งสี่ว่า ท่านทั้งหลายจงจัดแจงอารักขาพระภิกษุสงฆ์ผู้อยู่ใน

ป่านั้น ๆ. บทว่า วุตฺตวจนาปิ ต ความว่า เทวบุตร ๓๓ องค์ ย่อมกล่าว

ออกชื่อว่า มหาราช. เทวบุตร ๓๓ องค์ ย่อมพร่ำเรียกอย่างนั้น. มหาราช

นอกนี้ ก็ระบุชื่อรอง ๆ ลงมา. ก็บทว่า ต แม้ในบททั้งสองเป็นเพียงนิบาต

เท่านั้น. บทว่า อปกฺกนฺตา ความว่า ไม่หลีกไปแล้ว.

บทว่า อุฬาโร คือ ไพบูลย์ ใหญ่. บทว่า เทวานุภาว ความว่า

แสงสว่างแห่งผ้า เครื่องประดับ วิมาน และสรีระของเทวดาทั้งปวง ย่อมแผ่

ไปไกล ๑๒ โยชน์ ส่วนแสงสว่างแห่งสรีระของเทวดาผู้มีบุญมากแผ่ไปไกล

๑๐๐ โยชน์ ก้าวล่วง ซึ่งเทวานุภาพนั้น. บทว่า พฺรหฺมุโน เหต ปุพฺพนิ-

มิตฺต ความว่า ท่านแสดงว่า แสงอรุณเป็นบุพพังคมะ เป็นบุพนิมิตแห่ง

พระอาทิตย์อุทัยฉันใด นั่นเป็นบุรพนิมิต แม้แห่งพรหมฉันนั้นเหมือนกัน. บทว่า

อนภิสมฺภวนิโย ความว่า ไม่พึงถึง. ความว่า ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ย่อม

ไม่เห็นพรหมนั้น. บทว่า จกฺขุปถสฺมึ ความว่า ในประสาทจักษุ หรือ

คลองจักษุ. วรรณะนั้น ไม่พึงเห็นหรือไม่พึงถึงในคลองจักษุของเทพทั้งหลาย.

บทว่า นาภิภวติ ความว่า ได้กล่าวแล้ว. จริงอยู่ เทวดาชั้นต่ำ ๆ ย่อมอาจ

เห็นอัตภาพที่สร้างอย่างไพบูลย์ของเทวดาชั้นสูง ๆ. บทว่า เวทปฏิลาภ ความ

ว่า กลับได้ความยินดี. บทว่า อธุนาภิสิตฺโต รชฺเชน ความว่า ทรงอภิเษก

ด้วยสมบัติ. ก็อรรถนี้ พึงแสดงเรื่องทุฏฐคามณีอภัย.

ได้ยินว่า พระเจ้าทุฏฐคามณีอภัยนั้น ทรงชนะกษัตริย์ทมิฬถึง ๓๒

พระองค์ ทรงถึงอภิเษกในกรุงอนุราธบุรี ด้วยพระหฤทัยโสมนัสยินดี แต่ไม่

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 552

ได้ความหลับ ตรัสบอกพระภิกษุสงฆ์ว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ตั้งแต่นั้นมา

หม่อมฉันไม่ได้หลับเลย. พระภิกษุสงฆ์ทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร ถ้าอย่างนั้น

ขอพระองค์ทรงอธิฐานพระอุโบสถศีลในวันนี้ และพระองค์ทรงอธิษฐานพระ-

อุโบสถศีลแล้ว. พระสงฆ์ไปส่งพระภิกษุผู้บำเพ็ญพระอภิธรรม ๘ รูป ว่า ขอ

ให้ท่านสาธยายจิตตยมก. พระภิกษุเหล่านั้น ไปแล้วทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตร

ขอพระองค์ทรงบรรทมหลับ แล้วเริ่มสาธยาย. พระราชาทรงสดับการสาธยาย

อยู่ก็ทรงก้าวไปสู่ความหลับ. พระเถระทั้งหลายคิดว่า อย่าปลุกพระราชา แล้ว

หลีกไป ในวันที่สอง พระราชาทรงตื่นขึ้น เมื่อพระอาทิตย์อุทัย เมื่อไม่ทรง

เห็นพระเถระ. จึงตรัสถามว่า พระผู้เป็นเจ้าไปไหน. ทรงได้รับคำกราบทูลว่า

พระเถระรู้ว่า พระองค์ก้าวสู่ความหลับแล้วไป. พระราชตรัสว่า พระผู้เป็น

เจ้าย่อมรู้. แม้เภสัชคือความหลับ ตราบใด ชื่อว่าเภสัช คือความไม่รู้ของ

เด็กทั้งหลาย ย่อมไม่มีแก่พระผู้เป็นเจ้าของเรา ตราบนั้น.

บทว่า ปญฺจสิโข ความว่า เป็นเช่นกับปัญจสิชคนธรรพ์. ได้ยินว่า

เทวบุตรทั้งหมดได้นิรมิตอัตภาพของเทพบุตร ปัญจสิขคนธรรพ์ เพราะฉะนั้น

แม้พรหมก็ได้นิรมิตอัตภาพเช่นนั้น ปรากฏแล้วเช่นกัน . บทว่า ปลฺลงฺเกน

นิสีทิ ความว่า นั่งขัดสมาธิ.

บทว่า วิสฏฺโ ความว่า ละเอียดดีคือไม่กระด้าง. บทว่า วิญฺเยฺโย

ความว่าให้รู้ประโยชน์. บทว่า มญฺชุ คือ อ่อนหวานกลมกล่อม. บทว่า

สวนิโย คือ ควรฟัง ได้แก่ เสนาะโสต. บทว่า พินฺทุ ความว่า ก้อน

เดียว. บทว่า อวิสารี ความว่า สละสลวย ไม่แตกพร่า. บทว่า คมฺภีโร

ความว่า เกิดลึกตั้งแต่มูลนาภี. ไม่ได้เกิดกระทบเพียงลิ้น ฟัน ริมฝีปาก หรือ

เพดาน. ด้วยว่า เสียงที่เกิดเพียงนี้ จะไม่อ่อนหวาน และไม่ดังไปไกล.

บทว่า นินฺนาที ความว่า กึกก้องเหมือนเสียงคำรามของมหาเมฆ และเสียง

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 553

ตะโพน. อนึ่ง บนหลัง ๆ ในที่นี้ พึงทราบว่า เป็นประโยชน์ของบทก่อน ๆ.

บทว่า ยถาปริส ความว่า ให้บริษัทรู้ทั่วถึงกัน. เสียงแห่งพรหมนั้น ย่อม

ดังภายในบริษัทเท่านั้น ย่อมไม่ดังออกไปภายนอก.

บทว่า เย หิ เกจิ เป็นต้น บ่งบอก เพื่อแสดงการปฏิบัติ เพื่อ

ประโยชน์แก่ชนมาก. บทว่า สรณ คตา ความว่า ท่านไม่กล่าวถึงผู้ถึง

สรณตามมีตามเกิด แต่กล่าวหมายถึงสรณที่ถือไม่ผิด. บทว่า คนฺธพฺพกาย

ปริปูเรติ ความว่า เพิ่มคณะแห่งคันธัพเทพให้บริบูรณ์. ท่านกล่าวว่า

เทวโลก ๖ ชั้น จำเดิมแต่กาลที่พระศาสดาของพวกเราได้อุบัติในโลกแล้ว

เกิดไม่มีระหว่าง เหมือนทะนานที่ทุบแป้งบริบูรณ์ และเหมือนป่าศร ป่าอ้อ

จึงชื่อว่า มาริสา.

บทว่า ยาว สุปญฺญตฺตาปิ เม เตน ภควตา ความว่า พระ

ผู้มีพระภาคผู้เป็นศาสดาของเราทรงบัญญัติดีแล้ว คือ ตรัสดีแล้ว. ในบทว่า

อิทฺธิปาทา นั่น พึงทราบว่า อิทธิ ด้วยอรรถว่าสำเร็จ พึงทราบว่า บาท

ด้วยอรรถว่าเป็นที่ตั้ง. บทว่า อิทฺธิ พหุลีกตาย ความว่า เพราะความที่

อิทธิมีเพียงพอ. บทว่า อิทฺธิวิเสวิตาย ความว่า เพราะมีอิทธิเป็นพิเศษ

ท่านกล่าวว่า จิณฺณวสิตาย ด้วยสามารถเสพบ่อย ๆ. บทว่า อิทฺธิวกุพฺพน-

ตาย ความว่า เพราะความที่เจริญอิทธิบ่อย ๆ เพื่อประโยชน์ที่จะแสดง

กระทำโดยประการต่างๆ. ในบทว่า ฉนฺทสมาธิปธานสำขารสมนฺนาคต

เป็นต้นมีอรรถดังนี้. สมาธิซึ่งมีฉันทะเป็นเหตุ หรือมีฉันทะเป็นหลัก ชื่อว่า

ฉันทสมาธิ. บทว่า ฉนฺทสมาธิ นั่น เป็นชื่อแห่งสมาธิซึ่งได้มาเพราะกระทำ

ฉันทะ ซึ่งมีความใคร่ที่จะกระทำเป็นใหญ่. สังขารที่เป็นปธาน ชื่อว่า ปธาน

สังขาร. บทว่า ปธานสขารา นั่น เป็นชื่อของสัมมัปปธานวิริยะอันยังกิจ ๔

ประการให้สำเร็จ. บทว่า สมนฺนาคต ความว่า เข้าถึงแล้วด้วยฉันทสมาธิ

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 554

และปธานสังขาร. บทว่า อิทฺธิปาท ความว่า กองแห่งจิตที่เหลือ หรือ

เจตสิก เป็นบาทด้วยอรรถว่า ตั้งมั่นแห่งฉันทสมาธิ และปธานสังขาร

อันประกอบพร้อมด้วยอภิญญาจิต ซึ่งถึงอันนับว่า อิทธิ โดยปริยายว่า สำเร็จ

หรือโดยปริยายนี้ว่า เป็นเหตุให้สัตว์ทั้งหลายสำเร็จด้วยอรรถว่า สำเร็จ คือ

เป็นผู้สำเร็จแล้ว สมบูรณ์แล้ว ถึงที่สุดแล้ว. เพราะคำว่า อิทธิบาท ท่าน

กล่าวว่า เวทนาขันธ์ แห่งความเป็นจริงใด ฯลฯ วิญญาณขันธ์. พึงทราบอรรถ

แม้ในบทที่เหลือโดยนัยนี้. เพราะสมาธิที่ทำฉันทะเป็นใหญ่ จึงได้มา ท่าน

เรียกว่า ฉันทสมาธิฉันใด สมาธิที่ทำวิริยจิต วิมังสาเป็นใหญ่ได้มา เรียกว่า

วิมังสาสมาธิ ฉันนั้น.

อนึ่ง พึงทราบอรรถในคำนี้ว่า บาทในส่วนต้นว่า อุปจารฌาน

เป็นบาท ปฐมฌานเป็นอิทธิ ปฐมฌานเป็นบาท ทุติยฌานเป็นอิทธิ เป็น

อิทธิในส่วนปลาย. ก็อิทธิบาทกถา ท่านกล่าวไว้แล้วในวิสุทธิมรรค และใน

วิภังคอรรถกถา โดยพิสดาร. แต่เกจิอาจารย์ กล่าวว่า อิทธิที่สำเร็จแล้ว

เป็นอิทธิที่ยังไม่สำเร็จ. เพื่อประโยชน์แห่งการพูดถึงวาทะแห่งเกจิอาจารย์เหล่า

นั้น ชื่อว่า อุตรจูฬิกวาร มาแล้วในอภิธรรมว่า อิทธิบาท ๔ คือ ฉันทิท-

ธิบาท วิริยิทธิบาท จิตติทธิบาท วิมัสิทธิบาท ในอิทธิบาททั้ง ๔ นั้น

ฉันทิทธิบาทเป็นไฉน ภิกษุในศาสนานี้ ในสมัยใด เจริญโลกุตรฌาน

อันเป็นเครื่องออกจากทุกข์ อันเป็นอปจยคามี เพื่อละทิฐิ เพื่อบรรลุปฐมภูมิ

สงัดจากกามทั้งหลาย ฯลฯ เข้าถึงปฐมฌาน อันเป็นทุกขาปฏิปทา ทันธา-

ภิญญาอยู่ ในสมัยนั้น ธัมมฉันทะใด ชื่อว่าฉันทะ เพราะได้กระทำฉันทะแล้ว

ชื่อว่า กุศลเพราะใคร่ที่จะกระทำ นี้เรียกว่า ฉันทิทธิบาท ธรรมที่เหลือ

สัมประยุตด้วยฉันทิทธิบาท. ก็ธรรมเหล่านี้ มาแล้วด้วยอำนาจแห่งโลกุตตร.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 555

ในที่นี้ รัฐบาลเถระทำฉันทะเป็นธุระ ยังโลกุตตรธรรมให้เกิดแล้ว

โสณเถระ กระทำวิริยเป็นธุระ สัมภูตเถระ กระทำจิตเป็นธุระ ท่านโมฆราชผู้มี

อายุทำวิมังสาเป็นธุระ ยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้น. ในข้อนี้ ครั้นบุตรอำมาตย์

ทั้ง ๔ คน ปรารถนาฐานันดร เข้าไปอาศัยพระราชาอยู่ คนหนึ่งเกิดความ

พอใจในการบำรุงรู้อัธยาศัย และความชอบพระทัยของพระราชา คอยบำรุง

ทั้งกลางวัน และกลางคืน ยังพระราชาให้พอพระราชหฤทัย แล้วได้ฐานันดร

ฉันใด พึงทราบพระภิกษุผู้ยังโลกุตตรธรรมให้เกิดขึ้นด้วยฉันทธุระฉันนั้น.

ส่วนคนหนึ่ง คิดว่า ใครจะสามารถเพื่อบำรุงทุกวัน ๆ ได้ เมื่อกิจเกิดขึ้นเราจะ

ยังพระราชาให้พอพระทัยด้วยความพยายาม ครั้นปัจจันตชนบท เกิดจลาจลถูก

พระราชาส่งไปปราบศัตรูด้วยความพยายาม ถึงแล้วซึ่งฐานันดรฉันใด ภิกษุนั้น

ให้โลกุตตรธรรมเกิดขึ้นด้วยวิริยธุระ พึงทราบฉันนั้น. คนหนึ่ง คิดว่า แม้การ

บำรุงทุกวัน ๆ เป็นภาระหนัก เหมือนลูกศรเสียบอกทีเดียว เราจะยังพระราชา

ให้พอพระทัยด้วยอำนาจมนต์ จึงยังพระราชาให้พอพระหฤทัยด้วยการร่ายมนต์

เพราะวิชาภูมิศาสตร์ได้อบรมไว้แล้ว ถึงฐานันดรฉันใด ภิกษุนั้น ผู้ยังโลกุตตร

ธรรมให้เกิดขึ้นด้วยจิตธุระ พึงทราบฉันนั้น. บุตรอำมาตย์คนอื่นคิดว่า ชื่อว่า

พระราชาย่อมพระราชทานฐานันดรแก่ผู้ถึงพร้อมด้วยชาติ ด้วยการบำรุงเป็นต้น

เหล่านี้ เมื่อทรงพระราชทานแก่บุคคลเช่นนั้น ก็จะทรงพระราชทานแก่เรา

อาศัยชาติสัมปทาอย่างเดียว ก็ถึงซึ่งฐานันดร ฉันใด ภิกษุนั้น อาศัยวิมังสา

อันบริสุทธิ์ดี ยังโลกุตตรธรรมเกิดขึ้นด้วยวิมังสาธุระ พึงทราบฉันนั้น.

บทว่า อเนกวิหิต ความว่า วิธีไม่ใช่หนึ่ง. บทว่า อิทฺธิวิธ

ความว่า ส่วนของอิทธิ.

บทว่า สุขสฺสาธิคมาย ความว่า เพื่อบรรลุถึงฌานสุข มรรคสุข

และผลสุข. บทว่า สสฏฺโ ความว่า จิตตสัมปยุต. บทว่า อริยธมฺม

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 556

ความว่า ธรรมอันพระอริยะ. พระผู้มีพระภาค คือ พระพุทธเจ้าทรงแสดงแล้ว.

บทว่า สุณาติ ความว่า ธรรมที่ภิกษุและภิกษุณีเป็นต้น แสดงต่อพระพักตร์

พระศาสดา ชื่อว่าฟังอยู่. บทว่า โยนิโสมนสิกโรติ ความว่า กระทำในใจ

โดยอุบาย โดยคัลลอง โดยเหตุการณ์ ด้วยอำนาจ เป็นต้น ว่า ไม่เที่ยง.

อธิบายว่า ภิกษุปรารภกรรมด้วยการกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย ที่ท่านกล่าว

อย่างนี้ว่า ชื่อว่า โยนิโสมนสิการ คือ การกระทำไว้ในใจโดยอุบาย

การกระทำไว้ในใจโดยคัลลอง หรือ การระลึก การผูก การรวบรวมพร้อม

แห่งจิต การกระทำไว้ในใจ โดยอนุโลมสัจจะ ในความไม่เที่ยงว่า ไม่เที่ยง

ในความไม่สวยงามว่า ไม่สวยงาม ในทุกข์ว่า ทุกข์ ในความเป็นอนัตตาว่า

เป็นอนัตตา นี้เรียกว่า โยนิโสมนสิการ. บทว่า อสสฏฺโ ความว่า ไม่

คลุกคลีอยู่กับวัตถุกามบ้าง กิเลสกามบ้าง. บทว่า อุปฺปชฺชติ สุข ความว่า

ปฐมฌานสุข ย่อมเกิดขึ้น. บทว่า สุขา ภิยฺโย โสมนสฺส ความว่า

โสมนัสอื่น ๆ เพราะฌานสุขเป็นปัจจัยย่อมเกิดขึ้นแก่ผู้ออกจากสมาบัติ. บทว่า

ปมุทา คือ ปีติ ซึ่งมีกำลังน้อย กว่าอาการของตุฏฐี. คำว่า ปาโมชฺช

คือ ปีติและโสมนัสมีกำลัง. บทว่า ปโม โอกาสาธิคโม ความว่า ปฐม

ฌาน ข่มนิวรณห้า ถือโอกาสของตนดำรงอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านจงกล่าวว่า

ปโม โอกาสาธิคโม (การบรรลุโอกาสอันแรก).

ในบทว่า โอฬาริกา นั่น กายสังขารและวจีสังขารยังหยาบ จิตตสังขาร

จะหยาบอย่างไร. เพราะจิตตสังขารยังไม่ละ. ก็กายสังขารย่อมละด้วยจตุถฌาน.

วจีสังขารละด้วยทุติยฌาน. จิตตสังขารละด้วยนิโรธสมาบัติ. ครั้นกายสังขาร

แล้วจีสังขารแม้ละแล้ว จิตตสังขารทั้งหลายนั้น ก็ตั้งอยู่ด้วยประการฉะนี้

จึงเป็นโอฬาริกะ เพราะยังละไม่ได้ โดยยึดกายสังขารวจีสังขารที่ละได้แล้ว.

บทว่า สุข ความว่า ผลสมาบัติสุขอันเกิดแต่จตุตถฌาน ซึ่งเกิดแก่ผู้ออกจาก

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 557

นิโรธ. บทว่า สุขา ภิยฺโย โสมนสฺส ความว่า โสมนัสอื่น ๆ แก่ผู้ออก

แล้ว จากผลสมาบัติ. บทว่า ทุติโย โอกาสาธิคโม ความว่า จตุถฌาน

ข่มสุขทุกข์ ถือโอกาสตนตั้งอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ทุติโย โอ-

กาสาธิคโม. ส่วนทุติยฌาน และตติยฌาน ท่านถือเอาแล้วใน จตุถฌานนั่น

เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่กล่าวแยกต่างหาก.

ในบทว่า อิท กุสล เป็นต้น มีอรรถาธิบาย ดังนี้. กุสลกรรมบถสิบ

ชื่อว่า กุสล. บทว่า อกุสล ได้แก่อกุศลกรรมบถสิบ. แม้สาวัชชทุกเป็นต้น

พึงทราบด้วย สามารถแห่งอกุศลกรรมบถสิบเหล่านั้นเทียว. ก็นั่นทั้งหมดเป็น

กัณหะ สุกะ และ สปฏิภาค จึงชื่อว่า กณฺหสุกฺกสปฺปฏิภาค. ก็นิพพานเท่านั้น

เป็นอัปปฏิภาค. บทว่า อวิชฺชา ปหียติ ความว่า อวิชชา ซึ่งปกปิดวัฏฏะ ย่อม

ละได้. บทว่า วิชฺชา อุปฺปชฺชติ ความว่า อรหัตตมรรควิชชา ย่อมเกิดขึ้น. บทว่า

สุข คือ สุขอันเกิดแต่อรหัตตมรรคและผล. บทว่า สุขา ภิยฺโย โสมนสฺส

ความว่า โสมนัสอื่น ๆ ของผู้ออกแล้วจากผลสมาบัติ. บทว่า ตติโย โอกา-

สาธิคโม ความว่า อรหัตตมรรค ข่มกิเลสทั้งหมด ถือโอกาสตนแล้วตั้งอยู่

เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ตติโย โอกาสาธิคโม. ส่วนมรรคที่เหลือ

เมื่ออรหัตตมรรคถือเอาแล้ว ก็ประมวลเข้ากันได้ จึงไม่กล่าวแยกต่างหาก.

ส่วน โอกาสาธิคม ๓ ประการนี้ พึงกล่าวอย่างพิสดาร ด้วยสามารถ

อารมณ์ ๓๘ ประการ. อย่างไร. ท่านกำหนดอารมณ์ทั้งหมดด้วยสามารถอุปจาร

และอัปปนา โดยนัยที่กล่าวแล้วในวิสุทธิมรรคนั่นเทียว กล่าวถึงปฐมฌานใน

ฐานะ ๒๔ ประการว่า ปโม โอกาสาธิคโม. ท่านกำหนดทุติยฌาน และ

ตติยฌาน ในฐานะ ๑๓ ประการ และจตุตถฌาน ในฐานะ ๑๕ ประการให้ถึง

นิโรธสมาบัติกล่าวว่า ทุติโย โอกาสาธิคโม. ส่วน อุปจารฌาน ๑๐ ประการ

เป็นปทัฏฐาน แห่งมรรครวมเข้ากับโอกาสาธิคมที่ ๓. อนึ่ง พึงกล่าวแม้ด้วย

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 558

อำนาจสิกขา อย่างนี้ ในสิกขา ๓ ประการ อธิสีลสิกขา รวมเข้ากับปฐมโอ-

กาสาธิคมะ อธิจิตตสิกขา รวมเข้ากับ ทุติยโอกาสาธิคมะ อธิปัญญาสิกขา

รวมเข้ากับตติยโอกาสาธิคมะ. แม้ในสามัญญผล ท่านกล่าวแม้ด้วยสามารถ

แห่งสามัญญผลสูตร อย่างนี้ว่า ตั้งแต่จุลศีล จนถึงปฐมฌาน เป็น

โอกาสาธิคมที่ ๑ ตั้งแต่ทุติยฌานจนถึงเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นโอกาสา-

ธิคมะที่ ๒ ตั้งแต่วิปัสสนาจนถึงอรหัตต์ เป็นโอกาสาธิคมะที่ ๓ ส่วนในปิฎก

๓ ประการ พึงกล่าว แม้ด้วยสามารถปิฎกอย่างนี้ว่า วินัยปิฎก บวกเข้ากับ

ปฐมโอกาสาธิคมะ สุตตันตปิฎก บวกเข้ากับทุติยโอกาสาธิคมะ อภิธรรมปิฎก

บวกเข้ากับตติยโอกาสาธิคมะ.

ได้ยินว่า พระมหาเถระในกาลก่อน ย่อมตั้งพระสูตรนี้เท่านั้นในวัน

วัสสูปนายิกา. เพราะเหตุไร. เพราะพวกเราจักจำแนกปิฎก ๓ กล่าว. เพราะ

เมื่อรวมพระไตรปิฎกกล่าว พระสูตรก็กล่าวได้ยาก เพราะฉะนั้น ใคร ๆ ก็ไม่

อาจ กล่าวได้. สูตรนี้ที่จำแนกไตรปิฎกกล่าว ก็จะกล่าวได้ง่าย.

บทว่า กุสลสฺสาธิคมาย ความว่า เพื่อประโยชน์บรรลุมรรคกุศลและ

ผลกุศล. จริงอยู่ ทั้งสองอย่างนั่น ชื่อว่า เป็นกุศล ด้วยอรรถว่า ไม่มีโทษ

หรือด้วยอรรถว่า เกษม. บทว่า ตตฺถ สมฺมา สมาธิยติ ความว่า ภิกษุตั้ง

มั่นชอบ ในกายภายในนั้น ก็จะเป็นเอกัคคตาจิต. บทว่า พหิทฺธา ปรกาเย

าณทสฺสน อภินิพฺพตฺเตติ ความว่า ส่งญาณอันมุ่งต่อกายคนอื่น จาก

กายตน. ในบททั้งปวงก็มีนัยนี้. พึงทราบสติที่กำหนดกายเป็นต้น ด้วยบทว่า

สติมา ในบททั้งปวง. พึงทราบกายเป็นต้นเทียว กำหนดแล้วด้วยบทว่า โลเก.

ก็สติปัฏฐานทั้ง ๔ นั่น พึงทราบว่า ท่านกล่าวเจือด้วยโลกกิยะ และโลกุตตระ.

บริขาร ในบทนี้ว่า สมาธิปริกขารา มี ๓ อย่าง. เครื่องประดับใน

บทนี้ว่า รถมีสีขาวเป็นบริขาร มีฌานเป็นเพลา มีวิริยะเป็นล้อ ชื่อว่า บริขาร.

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 559

ปริวารในบทนี้ว่า ล้อมด้วยดีแล้วด้วยนครปริกขาร ๗ ประการ ชื่อว่า ปริขาร.

สัมภาระในบทนี้ว่า คิลานปจฺจยชีวิตปริกฺขารา ชื่อว่า ปริขาร. ก็ในที่นี้

ท่านกล่าวว่า สมาธิปริกขาร ๗ ประการ ด้วยสามารถปริวารและปริขาร.

ปริวาริกะ ชื่อว่า ปริขาร. บทว่า อย วุจฺจติ โภ อริโย สมฺมาสมาธิ

ความว่า นี้เรียกว่า สัมมาสมาธิอริยอันล้อมองค์ ๗ เหมือนจักรพรรดิล้อม

ด้วยรัตนะ ๗ ประการ ฉะนั้น. บทว่า สอุปนิโส อิติปิ ความว่า ท่าน

เรียกว่า สอุปนิสัย แม้ด้วยประการนี้. บทว่า สปริวาโรเยว ได้กล่าว

แล้ว. บทว่า สมฺมาทิฎฺิสฺส ความว่า ผู้ตั้งอยู่ในสัมมาทิฏฐิ. บทว่า

สมฺมาสกปฺโป จ โหติ ความว่า สัมมาสังกัปปะ ย่อมเป็นไป. ในบท

ทั้งปวงก็มีนัยเช่นกัน. ก็อรรถนี้ พึงทราบด้วยอำนาจมรรคบ้าง ด้วยอำนาจ

ผลบ้าง. อย่างไร. มรรคสัมมาสังกัปปะ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในมรรคสัมมาทิฏฐิ

ฯลฯ และมรรควิมุติ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในมรรคญาณ อนึ่ง ผลสัมมา-

สังกัปปะ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในผลสัมมาทิฏฐิ ฯลฯ และผลวิมุติ ย่อมมีแก่

ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในผลสัมมาญาณ. บทว่า สฺวากฺขาโต เป็นต้น ท่านพรรณนา

ไว้แล้วในวิสุทธิมรรค. บทว่า อปารุตา ความว่า เปิดแล้ว. บทว่า อมตสฺส

ความว่า นิพพาน. บทว่า ทฺวารา ความว่า ทางเข้า. บทว่า อเวจฺจปฺ-

ปสาเทน ความว่า ความเสื่อมใสไม่หวั่นไหว. บทว่า ธมฺเม วีนีตา ความ

ว่า แน่นอนแล้วด้วยธรรมนิยาม. บทว่า อถาย อิตรา ปชา ความว่า

ท่านกล่าวหมายถึงพระอนาคามี. บทว่า อนาคามิโน อตฺถี ท่านกล่าวแล้ว.

บทว่า ปุญฺภาคา ความว่า เกิดแล้วด้วยส่วนแห่งบุญ. บทว่า โอตฺตปฺป

ความว่า มีใจเกรงกลัว. ถ้าอย่างนั้น มุสา พึงมีในกาลไหน เพราะฉะนั้น

เราไม่อาจนับโดยภัยมุสาวาทได้ แต่ไม่ได้แสดงว่า กำลังนับของเราไม่มี. สนัง-

กุมารพรหมถามเวสวัณอย่างเดียว ด้วยบทนี้ว่า ต กึ มญฺต ภว. แต่

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 560

สนังกุมารพรหมนั้น ไม่มีลัทธิว่า พระศาสดาอย่างนั้น ไม่มีแล้ว หรือจักไม่มี.

จริงอยู่ ในอภิสมัยของพระพุทธเจ้า ทั้งปวงไม่มีพิเศษ. บทว่า สาย ปริสาย

ความว่า ในบริษัท ของตน.

บทว่า ตยิท พฺรหฺมจริย ความว่า ไตรสิกขาทั้งสิ้นนี้นั้น คือ

พรหมจรรย์. บทที่เหลือง่ายทั้งนั้น. ส่วนบทเหล่านี้อันพระธรรมสังคาหกเถระ

ทั้งหลาย ได้ตั้งไว้แล้ว ดังนี้.

จบ อรรถกถาชนวสภสูตรที่ ๕

รวมพระสูตรในเล่มนี้

๑. มหาปทานสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา

๒. มหานิทานสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา

๓. มหาปรินิพพานสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา

๔. มหาสุทัสสนสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา

๕. ชนวสภสูตร พร้อมทั้งอรรถกถา